[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 17 ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 17 ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 17

ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

 

 

  เซเลนมองไปยังหนังและเอ็นไก่ในจานเบื้องหน้าของเธอ สั่นเทาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

 

“(ถึงจะไม่แปลกใจก็เถอะ แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำถึงขนาดนี้)”

 

  มิลานพยายามระงับความโกรธไม่ให้มันมาควบคุมสติสัมปชัญญะของเขาและมองไปที่เซเลนอย่างกังวล เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเอนเต้เกลียดเซเลน แต่ที่คาดไว้อย่างมากก็แค่พูดจาถากถางหรือประชดประชันในช่วงมื้อค่ำนี้

 

   การกระทำของเอนเต้เป็นเรื่องโง่เขลา แต่ก็มีประสิทธิภาพในการทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสียชื่อเสียงในเกมการเมือง ในงานเลี้ยงรับรองมื้อค่ำนี้มันหมายถึงการกีดกันหรือดูถูกกันตรงๆ เซเลนที่ตอนนี้เป็น ‘สามัญชนที่ได้รับเกียรติให้ร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าหญิงเอนเต้’ ไม่จำเป็นต้องได้รับการปฏิบัติเทียบเท่ากับมิลาน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความกรุณาของเอนเต้เท่านั้น

 

“(พอจะทำอะไรได้บ้างนะ…)”

 

   มิลานต้องคิดหนัก ถ้าสามารถเปิดเผยออกไปได้ว่าเซเลนเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ก็จะปฏิเสธออกไปได้ว่า ‘จะให้รับประทานอาหารเช่นนี้ไม่ได้’ แต่ก็ติดตรงที่ห้ามเปิดเผยอยู่ดี ในทางกลับกัน หากปฏิเสธออกไปตอนนี้ว่า ‘ไม่กินของแบบนี้หรอก’ ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นสามัญชนที่ดูหมิ่นในความเมตตาของเจ้าหญิง

 

  และมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกใช้ความรุนแรงจากข้ออ้างนั้น หรืออย่างเลวร้ายที่สุดก็คงจะใช้ฐานะที่เป็นตัวแทนของวัลเบิร์ตในขณะนี้เรียกร้องให้เขารับผิดชอบในความเสียมารยาทของผู้ติดตาม ถึงยังไงตอนนี้ก็ต้องช่วยเซเลนให้ได้ก่อน แต่ยังคิดคำพูดให้ยอมรับได้ไม่ออกด้วยสิ

 

“(ไม่ควรพาเซเลนมาที่นี่จริงๆด้วยสินะ)”

 

  เอนเต้เป็นคนขี้อิจฉาและโมโหร้าย แต่ที่กัดเซเลนไม่ยอมปล่อยแบบนี้ก็เหนือความคาดหมายเหมือนกัน มิลานเสียใจที่ตนมองโลกในแง่ดีเกินไป จู่ๆเซเลนก็พูดขึ้นมาจากอีกฝั่ง

 

“เจ้าหญิง เอนเต้”

“มีอะไร? จะบอกว่าไม่ยอมรับอาหารที่ฉันเตรียมให้เธอเป็นพิเศษงั้นเหรอ?”

“กิน ได้เลยไหม?”

“ว่าไงนะ กล้าปฏิเสธความหวังดี… เอ๋?”

 

  กำลังร้องไห้เพราะไม่กล้ากินอยู่ล่ะสิ เอนเต้ที่คิดเอาไว้แบบนั้นก็หลงดีใจในชัยชนะอยู่พักหนึ่ง เพราะถึงเซเลนจะมีฐานะต่ำสักแค่ไหนก็เป็นถึงผู้ติดตามของราชวงศ์ที่อาศัยอยู่ในวัง อย่างน้อยถ้าถูกหยามเกียรติขนาดนี้ถ้าไม่ร้องไห้ก็ต้องโกรธจนเผยธาตุแท้ออกมา ถ้าเอนเต้ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกันนี้ในประเทศอื่น ยกเว้นเฮลิฟาเต้  เธอก็จะกระชากผ้าปูโต๊ะให้อาหารทั้งหมดลงไปกองอยู่บนพื้น มันเป็นเรื่องเสื่อมเสียถึงขั้นนั้น

 

  แต่เพราะอะไรก็ไม่อาจทราบได้ เซเลนตาเป็นประกาย เอ่ยปากขอกินกับเอนเต้เอง และยังทำเหมือนกับว่าไม่สนใจอาหารชั้นเลิศที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าเธอและมิลาน ดวงตาสีแดงที่มองมานั้นไม่มีวี่แววของท่าทีรังเกียจเลย 

 

 “กิน ได้เลยไหม?”

 

   เซเลนถามซ้ำด้วยเสียงที่น่ารัก เอนเต้ตกตะลึงกับการตอบสนองที่ไม่คาดคิดอีกครั้ง แต่ก็ยังพยายามอ่านความคิดและการกระทำของเซเลนต่อไป เอนเต้ที่ใจเย็นลงแล้วก็คิดได้ว่านั่นมันเป็นเพียงการหลอกล่อเท่านั้น คิดว่าทำตัวให้น่ารักแล้วจะให้เจ้าหญิงเอนเต้คนนี้สงสารได้สินะ ยัยเปี๊ยกนี่แสดงเก่งใช้ได้เลยนี่นา แต่ถ้าเป็นเรื่องการรับมือกับคนประเภทนี้ ฉันเองก็มีประสบการณ์พอตัวอยู่เหมือนกัน

 

“เอาสิ กินได้เท่าที่ต้องการเลยนะ!”

 

   เอนเต้เผยรอยยิ้มที่งดงามออกมา การแสดงจบลงแล้วปิดม่านลงได้อย่างสวยงาม ถามมาว่ากินได้ไหม คงอยากจะให้ตอบว่า ‘ไม่ต้องหรอก แค่ล้อเล่นเอง’ มันเป็นกลยุทธ์ของเด็กๆ ตอนนี้ก็บอกไปชัดเจนแล้ว กินเข้าไปสิ แล้วสำรอกออกมา แสดงกิริยาน่ารังเกียจออกมาเลย

 

“ทานล่ะนะ!”

 

   ทันทีที่เอนเต้พูดจบ เซเลนก็เริ่มใส่หนังไก่ทอดเข้าปากไปแล้ว ทั้งมิลานและเอนเต้ถึงกับพูดไม่ออกที่เห็นเซเลนกินของพวกนั้นเข้าไปโดยไม่ลังเล ไม่ใช่แค่พวกมิลานเท่านั้น แต่รวมถึงพ่อบ้านกับคนครัวที่เรียงแถวรอรับคำสั่งอยู่ข้างหลังด้วย

 

   เซเลนขยับปากเล็กๆของเธอเคี้ยวและลิ้มรสอย่างเต็มที่ และหลังจากกลืนลงไปก็หันไปยิ้มให้กับเอนเต้ด้วยรอยยิ้มที่สดใสยิ่งกว่าดวงอาทิตย์

 

“สุดยอด!”

 

   เซเลนพูดพร้อมกับกำส้อมที่อยู่ในมือแน่น และเสียบลงไปบนหนังกับเอ็นไก่ทอดพร้อมกันและรูดทั้งหมดนั้นเข้าปากในครั้งเดียว กลิ่นของเครื่องเทศกับรสของเครื่องปรุงชั้นยอดกระจายอยู่ในปาก ถึงจะเป็นเศษของเหลืออย่างหนังและเอ็นของไก่แต่มันก็ถูกปรุงรสอย่างพิถีพิถันโดยพ่อครัวมืออาชีพ ทำให้มีรสชาติกลมกล่อมกำลังดีกับความกรุบกรอบที่ลงตัว

 

  ตอนที่อยู่ในอาร์คุยล่า อาหารหลักก็มีแต่ขนมปังกับซุป พอมาที่เฮลิฟาเต้ อาหารก็ได้รับการยกระดับให้สูงขึ้น แต่ทั้งหมดนั้นก็หรูหราเกินไปไม่เข้ากับรสนิยมของชายแก่เซเลน

 

  ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้กินของโปรดเช่นหนังและเอ็นไก่ทอดในโลกนี้ด้วย ไม่เหมือนกับเจ้าชายสมองกลวงที่คิดจะกินแต่ของแพงๆ เจ้าหญิงเอนเต้เข้าใจถึงความอร่อยที่แท้จริงที่โหยหามานานและเตรียมอาหารจานนี้มาให้อย่างดีที่สุด

 

  เซเลนรู้สึกขอบคุณเอนเต้อย่างสุดซึ้ง อา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเด็กดีขนาดนี้ ขอโทษด้วยที่เคยมองเป็นตั๊กแตน แต่ก็อย่าลืมกินเจ้าชายเข้าไปให้ด้วยล่ะ เซเลนคิดและก้มหน้าก้มตากินอย่างไม่สนใจใคร

 

“ซ-เซเลน! เป็นอะไรหรือเปล่า?”

 

  เซเลนที่กำลังเคี้ยวไก่ทอดกร๊วบๆอยู่ ถูกมิลานถามด้วยความเป็นห่วง

 

“อือ อร่อย”

 

   เซเลนคิดกับมิลานว่า คนเขากำลังกินอย่างมีความสุขยังจะมาขัดจังหวะอีก ไอ้คนอ่านบรรยากาศไม่ออกนี่น่ารำคาญชะมัด แต่แล้วเซเลนก็รู้สึกถึงบางอย่างที่สำคัญ ช่วงเวลานี้ยังไงก็ขาดสิ่งนั้นไม่ได้เลย เซเลนจึงดึงชายเสื้อของพ่อครัวที่อยู่ข้างๆ เขารู้สึกผิดอยู่ในใจจนหน้าถอดสี

 

“ม-มีอะไรทำให้ไม่พอใจหรือเปล่าครับ”

 

  พ่อครัวตัวสั่นเพราะรู้ว่า มันต้องไม่พอใจแน่นอนอยู่แล้ว ของแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเอามาวางไว้บนโต๊ะในงานเลี้ยงอาหารของราชวงศ์ ถึงอย่างงั้นก็ขัดคำสั่งของเจ้าหญิงเอนเต้ไม่ได้

 

   เด็กสาวที่ชื่อเซเลนคนนี้ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในคณะทูตจากเฮลิฟาเต้ที่ยิ่งใหญ่ หากทำให้ไม่พอใจก็เท่ากับลบหลู่เจ้าชายมิลานในทางอ้อม หากเป็นเช่นนั้นตำแหน่งของเขาก็จะเหมือนกับถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย เจ้าหญิงเอนเต้ก็ไม่น่าจะคิดรับผิดชอบช่วยเหลืออะไรอีกด้วย พ่อครัวคิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด

 

“เบียร์ มีไหม?”

 

  แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของเซเลนไม่ใช้คำดุด่าหรือตำหนิพ่อครัว เธอน่าจะต้องการบางอย่างที่เรียกว่า ‘เบียร์’ แต่ถึงจะเป็นพ่อครัวมืออาชีพก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

 

“ขออภัยด้วยครับ ผมไม่ทราบว่าคุณหนูหมายถึงสิ่งใด”

“เหล้า(สาเก)”

“เซเลน ไม่ต้องฝืนไปมากกว่านี้หรอกครับ!”

 

   ขณะที่เซเลนพยายามขอเครื่องดื่ม มิลานก็หมดความอดทนและพูดแทรกขึ้นมา เมื่อเทียบกับอายุแล้วเซเลนเป็นเด็กฉลาดที่เข้าใจเรื่องต่างๆได้ในทันที คงรู้อยู่แล้วว่าถ้าปฏิเสธอาหารแย่ๆจานนี้แล้วจะกระทบกับชื่อเสียงของเฮลิฟาเต้ จึงต้องแสร้งกินอย่างเอร็ดอร่อย

 

   ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อรักษามารยาทในงานเลี้ยงระดับสูง เธอยังขอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เช่นเหล้าหรือไวน์อีก เซเลนดูเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาอีก แต่มิลานก็ได้ยกมือห้ามพ่อครัวและให้เขาถอยกลับไปประจำที่ จากนั้นก็หันไปทางเอนเต้

 

“เจ้าหญิงเอนเต้ครับ ผู้ติดตามของผม เซเลน รู้สึกพอใจกับ ‘อาหารพิเศษ’ ของคุณอย่างที่เห็น เท่านี้คงพอใจแล้วสินะครับ ขอบคุณในความกรุณา พวกเราก็เริ่มรับประทานอาหารมื้อนี้สักทีเถอะครับ”

“เอ๋ อะ… ค่ะ นั่นสิคะ โฮะโฮะโฮะ…”

 

  ถ้าอยู่คนเดียวตอนนี้เอนเต้คงดิ้นอาละวาดไปแล้ว หากเซเลนแสดงความไม่พอใจออกมาแม้เพียงนิดเดียวล่ะก็ จะอ้างเรื่องมารยาทเล่นงานเด็กคนนี้ให้ถึงที่สุด และหากต้องการ ก็สามารถร้องเรียนถึงเรื่องการอบรมบุคลากรกับเฮลิฟาเต้ให้เปลี่ยนตัวผู้ติดตามได้เลย และก็จะใช้เรื่องนั้นต่อรองกับมิลานได้อีก

 

   ตอนนี้ เท่าที่เห็น ไม่มีช่องโหว่ที่เอนเต้จะยกขึ้นมาเป็นประเด็นได้อีกแล้ว เพราะไม่ใช่แค่กินเข้าไปแต่ยังบอกว่าอร่อยและท่าทางมีความสุขนั่นอีก ไม่มีอะไรที่เอนเต้ทำได้ไนขณะนี้นอกจากรับประทานอาหารของตัวเองอย่างสงบเสงี่ยมเท่านั้น

 

“(ความจริงแล้วแกเป็นใครกันแน่!)”

 

   เอนเต้กำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะและกดมันเอาไว้เพื่อไม่ให้เผลอทุบโต๊ะในตอนนี้ แม้จะโกรธแต่ก็พยายามควบคุมไม่ให้สั่นให้ใครเห็น เอนเต้และมิลานก็เริ่มรับประทานอาหารไปพร้อมๆกัน มิลานที่ไม่มีอะไรจะพูดอีก กับเอนเต้ที่ไม่หลงเหลือความคิดที่จะพูดจาหยอกล้อกับมิลาน มื้ออาหารนี้จึงดำเนินต่อไปอย่างเงียบเชียบ

 

“เบียร์ล่ะ…”

   

   ไม่มีใครได้ยินเสียงพึมพำอันเศร้าสร้อยของเซเลน

 

◆ ◇ ◆ ◇ ◆

 

“ปวดท้อง”

“องค์หญิง! เป็นอะไรไปครับ!?”

 

  บนเตียงที่สว่างไปด้วยแสงจันทร์ เซเลนกำลังทุกข์ทรมานเนื่องจากหนังและเอ็นไก่ทอดที่ไม่ได้กินมานานหลายปี ทำให้ตื่นเต้นจนลืมตัวว่าตอนนี้ร่างกายเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เผลอกินเข้าไปด้วยความเคยชินโดยใช้ขีดจำกัดของชายแก่ กระเพาะของเซเลนจึงถูกบังคับให้ขยายใหญ่อย่างผิดธรรมชาติ

 

   เซเลนใช้พลังงานทั้งหมดในการระงับอาการคลื่นไส้ที่จู่โจมเข้ามา ชีวิตของไก่พวกนั้นจะต้องมาเป็นเลือดเนื้อของเธอ หากปล่อยให้ไหลย้อนออกมา มันจะเป็นการเสียของที่จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน จริงๆแล้ว ถ้าหากแบ่งพลังงานออกมาใช้ได้จริง มันก็ควรจะใช้ไปกับการย่อยหนังและเอ็นไก่มากกว่า มันจึงเป็นการใช้พลังงานอย่างศูนย์เปล่า

 

  มีเพียงบัตเลอร์เท่านั้นที่ดูอาการของเซเลนอยู่ข้างๆ ไม่กี่นาทีก่อน มิลานยังอยู่ดูแลเธอ และเป็นห่วงถึงขั้นจะไปตามหมอมาตรวจดูอาการ จึงเริ่มรู้สึกว่าน่ารำคาญและพยายามไล่ออกไปหลายครั้งจนเขายอมออกไปในที่สุด

 

“ต้องขอโทษด้วยครับ กระผมไม่ได้คิดถึงสถานการณ์เช่นนี้เลย เพราะมัวแต่ตรวจสอบเรื่องพิษเท่านั้น กระผมมันไร้ความสามารถจริงๆ”

 

   บัตเลอร์แสดงความกังวลอยู่ข้างเตียง เขาเกาหัวด้วยขาหน้า เจ้านายเป็นเจ้าหญิงผู้สูงส่ง อาหารชั้นต่ำที่ทำจากของเหลือย่อมไม่คู่ควร ที่จริงเจ้านายคนนั้นที่เห็นว่าทุกข์ทรมานอยู่ จริงๆแล้วเป็นเพราะกินมากเกินไป

 

  ถ้าเซเลนเป็นอูฐก็อาจจะเก็บสารอาหารเอาไว้ในหนอกได้ แต่น่าเสียดาย หนอกทั้งคู่ยังราบเรียบอยู่ และมันก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่มีประโยชน์แบบนั้นด้วย 

 

“เด็กที่ชื่อเอนเต้นั่นด้วย! ไม่มีความเคารพต่อนายท่านของกระผมเลย! เดี๋ยวกระผมจะเอาเครื่องประดับทั้งหมดของมันไปทิ้ง…!”

“อย่านะ”

 

   บัตเลอร์ที่โทสะกำลังลุกโชน พยายามกระโดดออกไปกระทำการระบายความแค้น แต่ก็ถูกเซเลนคว้าหางเอาไว้ได้ซะก่อน

 

“ห้ามทำไมครับ!? ท่านถูกทำให้ขายหน้าขนาดนี้แล้วยังให้อภัยได้อีกหรือ!”

“เอนเต้ เป็นเพื่อน”

“องค์หญิง…”

 

  เซเลนไม่คิดแค้นเอนเต้ที่เป็นศัตรูทั้งๆที่ถูกทำให้เจ็บป่วยจนต้องทุกข์ทรมานอยู่นี่ ทำไมถึงต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย บัตเลอร์ตั้งคำถาม แต่ก็มีคำตอบอยู่ใจแล้ว

 

  เซเลนไม่อยากมีปัญหากับวัลเบิร์ตไปมากกว่านี้ ตอนที่มาก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะเป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้ติดตามของเจ้าชายมิลาน บัตเลอร์ไม่มีทางลงมือโดยหลงเหลือหลักฐานใดๆไว้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีบางอย่างผิดปรกติเกิดขึ้นกับเจ้าหญิงเอนเต้ บรรดาแขกจากเฮลิฟาเต้ก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอยู่ดี

 

   ถึงจะเกิดเรื่องเช่นนั้น ก็ยากที่ความเสียหายจะตกมาถึงมิลานกับเซเลน แต่ก็มีโอกาสที่ผู้ติดตามคนอื่นๆจะถูกสอบสวนหรือลงโทษ

 

  เจ้าหญิงเซเลนเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน ที่ยอมกินของน่าขยะแขยงและยังคงยิ้มออกมานั่นก็เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศของงานเลี้ยงโดยการตำหนิพ่อครัว หากทำเช่นนั้น พ่อครัวคนนั้นต้องถูกบังคับให้กินของเหลือในของเหลือนั้นอีกแน่

 

   คิดแล้วก็น่าละอาย บัตเลอร์เกือบจะลงมือกระทำผิดด้วยความคิดที่ตื้นเขิน เขาให้ความสำคัญกับเจ้าหญิงเซเลนเป็นอันดับหนึ่งเท่านั้น แต่เจ้าหญิงเซเลนมอบความหวังดีให้กับทุกคนแม้ไม่ใช่ประชาชนของตัวเอง บัตเลอร์ย้ำเตือนตนเองถึงความยิ่งใหญ่ของเจ้านาย

 

“เข้าใจแล้วครับ ถ้านั่นเป็นความประสงค์ขององค์หญิง บัตเลอร์ผู้นี้จะยอมถอยให้ก่อน โปรดจำไว้ว่าในภายภาคหน้าหากมีอะไรก็ตามที่จะทำร้ายองค์หญิง กระผมจะปกป้องท่านด้วยชีวิตตามวิถีผู้รับใช้แห่งนายท่านผู้ยิ่งใหญ่”

“ขอบคุณนะ”

 

   ถึงเธอจะไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไรแต่ก็เข้าใจในความปรารถนาดี เซเลนจึงลูบหัวของบัตเลอร์ด้วยปลายนิ้วจนบัตเลอร์อิ่มเอิบใจเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็ทำความเคารพและลงไปที่ใต้เตียงของเซเลนซึ่งเป็นตำแหน่งประจำของเขา และเนื่องจากที่ต้องวิ่งหาข้อมูลอยู่ตลอดในช่วงกลางวันจึงทำให้เหนื่อยจนหลับไปอย่างรวดเร็ว

 

  ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ตอนที่กระเพาะของเซเลนเริ่มเข้าที่เข้าทาง เป็นเวลาใกล้เที่ยงคืน คนที่ไม่ใช่ทหารยามที่ต้องเข้าเวรก็น่าจะหลับกันไปหมดแล้ว เซเลนที่วันนี้ต้องตื่นตลอดช่วงกลางวันก็น่าจะได้เวลาที่ต้องนอนเหมือนกัน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ

 

“ใคร?”

“ฉันเอง เอนเต้”

 

  ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตู เอนเต้ก็เข้ามาอยู่ข้างในห้องของเซเลนโดยที่ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า เธอสวมเสื้อคลุมสีม่วงเข้มที่แทบจะกลืนไปกับความมืด ตามตัวก็ไม่มีตะเกียงหรือแหล่งกำเนิดแสงใดๆ

 

“เซเลน ร่างกายเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ?”

“สบายมาก”

“ขอโทษที ไม่คิดว่าจะกินลงไปจริงๆ ประสาทรับรสของเธอคงทื่อมากเลยสินะ”

“อือ”

 

   เอนเต้พูดด้วยเจตนาเยาะเย้ยถึงมันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่เซเลนก็ได้แต่ยิ้มและปล่อยผ่านไป เด็กสาวคนนี้อาจจะไม่ได้ใจกล้าหน้าด้านเท่าที่คิด เอนเต้ขมวดคิ้ว ในห้องตอนนี้เกือบจะมืดสนิท ทำให้อ่านสีหน้าไม่ได้เลย แต่ก็ไม่อยากให้สงสัยในสิ่งที่เธอกำลังจะทำหลังจากนี้

 

“นี่ ฉันรู้สึกผิดสำหรับเรื่องก่อนหน้านี้ ทำให้เธอลำบากมากเลยสินะ ถึงอย่างงั้นก็อยากทำเครื่องรางสำหรับเราสองคนหน่อยได้หรือเปล่า?”

“เครื่องราง เหรอ?”

“ในหมู่ผู้หญิง จะนำผมของอีกฝ่ายมาทำเป็นเครื่องประดับติดตัวไว้น่ะ ที่เฮลิฟาเต้ก็มีอะไรแบบนี้ด้วยเหมือนกันใช่ไหม?”

“อ๊ะ”

 

  คิดๆดูแล้วก็เคยทำของแบบนี้กับมารีมาก่อน แหวนที่ถักจากเส้นผมของมารีที่ปรกติจะเก็บไว้ในกล่องเครื่องประดับในห้องของเซเลน เวลาจะใช้ก็เอาออกมาใส่ไว้ใต้หมอนก่อนนอน จะได้นอนหลับโดยที่หวังไว้ว่าจะได้ฝันถึงโลลิผมทองและเล่นอะไรสนุกๆด้วยกัน

 

“ฉันเตรียมส่วนที่จะต้องให้เธอเอาไว้แล้ว”

 

  เอนเต้ถือจี้ห้อยคอหยกที่เจาะรูเล็กๆไว้ มีผมสีเกาลัดพันเป็นเกรียวร้อยผ่านรูนั้น เธอยื่นเครื่องประดับชิ้นนั้นให้เซเลน เซเลนก็รับไว้และมองดูอย่างสนใจ

 

“รับไว้ได้เหรอ?”

“อือ เอาไปได้เลย พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่นา ทีนี้ก็ขอผมของเธอบ้างได้ไหม?”

“ฉัน ถัก ไม่เป็น”

“ไม่เป็นไร เอาแค่ผมของเธอก็พอ เดี๋ยวฉันทำที่เหลือเอง”

“งั้นก็ เอาไปเถอะ”

  เมือได้ยินคำตอบนั้น เอนเต้รู้สึกแปลกใจที่เซเลนไม่ได้ระแวงอะไรเลย ยินยอมให้ตัดผมแต่โดยดีและหันหลังให้โดยปราศจากการป้องกันตัว ทั้งๆที่เพิ่งจะถูกเล่นงานมาในช่วงมื้อค่ำนี้เอง แล้วยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

 

   เมื่อพิจารณาใกล้ๆแล้วเด็กสาวคนนี้ช่างตัวเล็กเหลือเกิน ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิดแต่ตอนนี้ต้องอดทนไม่เอามีดแทงลงไปบนหัวเธอ และเอนเต้ก็ตัดปอยผมของเซเลนมาส่วนหนึ่ง

 

“ฉันกับเธออยู่กันคนละประเทศ คงไม่มีโอกาสเจอกันบ่อยๆ แต่พวกเราก็จะเป็นเพื่อนกันตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่”

“อือ!”

 

   เสร็จแล้วเอนเต้ก็เอาผมที่ตัดมาจากเซเลนเก็บใส่ไว้ในเสื้อคลุมและออกจากห้องไปทันที ระวังตัวไม่ให้ใครมาเห็นและเอนแต้ก็กลับไปที่ห้องของเธอ นำผมของเซเลนออกมาเก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดของลิ้นชักที่ไม่สะดุดตา

 

“ยัยเปี๊ยกนั่นเป็นตัวอันตราย ถ้าไม่กำจัดตอนนี้คงไม่ดีแน่ โชคดีที่เอาชิ้นส่วนมาได้ง่ายกว่าที่คิด”

 

  เส้นผมที่เอนเต้ให้ไปพร้อมกับเครื่องประดับก็บังคับเอามาจากสาวใช้ที่มีผมสีเดียวกัน ไม่มีทางที่เธอจะให้เส้นผมของตัวเองกับเด็กสาวที่เธอเกลียดอยู่แล้ว อัญมณีก็เลือกอันที่ถูกที่สุดมา ทางนี้ไม่มีอะไรเสียหายเลย

 

“ไม่คิดเลยว่าถึงกับต้องใช้คำสาปกับเด็กนั่น…”

 

   ในห้องที่มืดมิด นอกจากตัวเธอแล้วไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดเข้ามาได้แม้แต่แสงจันทร์ เอนเต้ยิ้มอย่างมีความสุข เป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายราวกับแม่มด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 17 ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 17 ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 17

ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

 

 

  เซเลนมองไปยังหนังและเอ็นไก่ในจานเบื้องหน้าของเธอ สั่นเทาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

 

“(ถึงจะไม่แปลกใจก็เถอะ แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำถึงขนาดนี้)”

 

  มิลานพยายามระงับความโกรธไม่ให้มันมาควบคุมสติสัมปชัญญะของเขาและมองไปที่เซเลนอย่างกังวล เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเอนเต้เกลียดเซเลน แต่ที่คาดไว้อย่างมากก็แค่พูดจาถากถางหรือประชดประชันในช่วงมื้อค่ำนี้

 

   การกระทำของเอนเต้เป็นเรื่องโง่เขลา แต่ก็มีประสิทธิภาพในการทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสียชื่อเสียงในเกมการเมือง ในงานเลี้ยงรับรองมื้อค่ำนี้มันหมายถึงการกีดกันหรือดูถูกกันตรงๆ เซเลนที่ตอนนี้เป็น ‘สามัญชนที่ได้รับเกียรติให้ร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าหญิงเอนเต้’ ไม่จำเป็นต้องได้รับการปฏิบัติเทียบเท่ากับมิลาน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความกรุณาของเอนเต้เท่านั้น

 

“(พอจะทำอะไรได้บ้างนะ…)”

 

   มิลานต้องคิดหนัก ถ้าสามารถเปิดเผยออกไปได้ว่าเซเลนเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ก็จะปฏิเสธออกไปได้ว่า ‘จะให้รับประทานอาหารเช่นนี้ไม่ได้’ แต่ก็ติดตรงที่ห้ามเปิดเผยอยู่ดี ในทางกลับกัน หากปฏิเสธออกไปตอนนี้ว่า ‘ไม่กินของแบบนี้หรอก’ ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นสามัญชนที่ดูหมิ่นในความเมตตาของเจ้าหญิง

 

  และมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกใช้ความรุนแรงจากข้ออ้างนั้น หรืออย่างเลวร้ายที่สุดก็คงจะใช้ฐานะที่เป็นตัวแทนของวัลเบิร์ตในขณะนี้เรียกร้องให้เขารับผิดชอบในความเสียมารยาทของผู้ติดตาม ถึงยังไงตอนนี้ก็ต้องช่วยเซเลนให้ได้ก่อน แต่ยังคิดคำพูดให้ยอมรับได้ไม่ออกด้วยสิ

 

“(ไม่ควรพาเซเลนมาที่นี่จริงๆด้วยสินะ)”

 

  เอนเต้เป็นคนขี้อิจฉาและโมโหร้าย แต่ที่กัดเซเลนไม่ยอมปล่อยแบบนี้ก็เหนือความคาดหมายเหมือนกัน มิลานเสียใจที่ตนมองโลกในแง่ดีเกินไป จู่ๆเซเลนก็พูดขึ้นมาจากอีกฝั่ง

 

“เจ้าหญิง เอนเต้”

“มีอะไร? จะบอกว่าไม่ยอมรับอาหารที่ฉันเตรียมให้เธอเป็นพิเศษงั้นเหรอ?”

“กิน ได้เลยไหม?”

“ว่าไงนะ กล้าปฏิเสธความหวังดี… เอ๋?”

 

  กำลังร้องไห้เพราะไม่กล้ากินอยู่ล่ะสิ เอนเต้ที่คิดเอาไว้แบบนั้นก็หลงดีใจในชัยชนะอยู่พักหนึ่ง เพราะถึงเซเลนจะมีฐานะต่ำสักแค่ไหนก็เป็นถึงผู้ติดตามของราชวงศ์ที่อาศัยอยู่ในวัง อย่างน้อยถ้าถูกหยามเกียรติขนาดนี้ถ้าไม่ร้องไห้ก็ต้องโกรธจนเผยธาตุแท้ออกมา ถ้าเอนเต้ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกันนี้ในประเทศอื่น ยกเว้นเฮลิฟาเต้  เธอก็จะกระชากผ้าปูโต๊ะให้อาหารทั้งหมดลงไปกองอยู่บนพื้น มันเป็นเรื่องเสื่อมเสียถึงขั้นนั้น

 

  แต่เพราะอะไรก็ไม่อาจทราบได้ เซเลนตาเป็นประกาย เอ่ยปากขอกินกับเอนเต้เอง และยังทำเหมือนกับว่าไม่สนใจอาหารชั้นเลิศที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าเธอและมิลาน ดวงตาสีแดงที่มองมานั้นไม่มีวี่แววของท่าทีรังเกียจเลย 

 

 “กิน ได้เลยไหม?”

 

   เซเลนถามซ้ำด้วยเสียงที่น่ารัก เอนเต้ตกตะลึงกับการตอบสนองที่ไม่คาดคิดอีกครั้ง แต่ก็ยังพยายามอ่านความคิดและการกระทำของเซเลนต่อไป เอนเต้ที่ใจเย็นลงแล้วก็คิดได้ว่านั่นมันเป็นเพียงการหลอกล่อเท่านั้น คิดว่าทำตัวให้น่ารักแล้วจะให้เจ้าหญิงเอนเต้คนนี้สงสารได้สินะ ยัยเปี๊ยกนี่แสดงเก่งใช้ได้เลยนี่นา แต่ถ้าเป็นเรื่องการรับมือกับคนประเภทนี้ ฉันเองก็มีประสบการณ์พอตัวอยู่เหมือนกัน

 

“เอาสิ กินได้เท่าที่ต้องการเลยนะ!”

 

   เอนเต้เผยรอยยิ้มที่งดงามออกมา การแสดงจบลงแล้วปิดม่านลงได้อย่างสวยงาม ถามมาว่ากินได้ไหม คงอยากจะให้ตอบว่า ‘ไม่ต้องหรอก แค่ล้อเล่นเอง’ มันเป็นกลยุทธ์ของเด็กๆ ตอนนี้ก็บอกไปชัดเจนแล้ว กินเข้าไปสิ แล้วสำรอกออกมา แสดงกิริยาน่ารังเกียจออกมาเลย

 

“ทานล่ะนะ!”

 

   ทันทีที่เอนเต้พูดจบ เซเลนก็เริ่มใส่หนังไก่ทอดเข้าปากไปแล้ว ทั้งมิลานและเอนเต้ถึงกับพูดไม่ออกที่เห็นเซเลนกินของพวกนั้นเข้าไปโดยไม่ลังเล ไม่ใช่แค่พวกมิลานเท่านั้น แต่รวมถึงพ่อบ้านกับคนครัวที่เรียงแถวรอรับคำสั่งอยู่ข้างหลังด้วย

 

   เซเลนขยับปากเล็กๆของเธอเคี้ยวและลิ้มรสอย่างเต็มที่ และหลังจากกลืนลงไปก็หันไปยิ้มให้กับเอนเต้ด้วยรอยยิ้มที่สดใสยิ่งกว่าดวงอาทิตย์

 

“สุดยอด!”

 

   เซเลนพูดพร้อมกับกำส้อมที่อยู่ในมือแน่น และเสียบลงไปบนหนังกับเอ็นไก่ทอดพร้อมกันและรูดทั้งหมดนั้นเข้าปากในครั้งเดียว กลิ่นของเครื่องเทศกับรสของเครื่องปรุงชั้นยอดกระจายอยู่ในปาก ถึงจะเป็นเศษของเหลืออย่างหนังและเอ็นของไก่แต่มันก็ถูกปรุงรสอย่างพิถีพิถันโดยพ่อครัวมืออาชีพ ทำให้มีรสชาติกลมกล่อมกำลังดีกับความกรุบกรอบที่ลงตัว

 

  ตอนที่อยู่ในอาร์คุยล่า อาหารหลักก็มีแต่ขนมปังกับซุป พอมาที่เฮลิฟาเต้ อาหารก็ได้รับการยกระดับให้สูงขึ้น แต่ทั้งหมดนั้นก็หรูหราเกินไปไม่เข้ากับรสนิยมของชายแก่เซเลน

 

  ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้กินของโปรดเช่นหนังและเอ็นไก่ทอดในโลกนี้ด้วย ไม่เหมือนกับเจ้าชายสมองกลวงที่คิดจะกินแต่ของแพงๆ เจ้าหญิงเอนเต้เข้าใจถึงความอร่อยที่แท้จริงที่โหยหามานานและเตรียมอาหารจานนี้มาให้อย่างดีที่สุด

 

  เซเลนรู้สึกขอบคุณเอนเต้อย่างสุดซึ้ง อา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเด็กดีขนาดนี้ ขอโทษด้วยที่เคยมองเป็นตั๊กแตน แต่ก็อย่าลืมกินเจ้าชายเข้าไปให้ด้วยล่ะ เซเลนคิดและก้มหน้าก้มตากินอย่างไม่สนใจใคร

 

“ซ-เซเลน! เป็นอะไรหรือเปล่า?”

 

  เซเลนที่กำลังเคี้ยวไก่ทอดกร๊วบๆอยู่ ถูกมิลานถามด้วยความเป็นห่วง

 

“อือ อร่อย”

 

   เซเลนคิดกับมิลานว่า คนเขากำลังกินอย่างมีความสุขยังจะมาขัดจังหวะอีก ไอ้คนอ่านบรรยากาศไม่ออกนี่น่ารำคาญชะมัด แต่แล้วเซเลนก็รู้สึกถึงบางอย่างที่สำคัญ ช่วงเวลานี้ยังไงก็ขาดสิ่งนั้นไม่ได้เลย เซเลนจึงดึงชายเสื้อของพ่อครัวที่อยู่ข้างๆ เขารู้สึกผิดอยู่ในใจจนหน้าถอดสี

 

“ม-มีอะไรทำให้ไม่พอใจหรือเปล่าครับ”

 

  พ่อครัวตัวสั่นเพราะรู้ว่า มันต้องไม่พอใจแน่นอนอยู่แล้ว ของแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเอามาวางไว้บนโต๊ะในงานเลี้ยงอาหารของราชวงศ์ ถึงอย่างงั้นก็ขัดคำสั่งของเจ้าหญิงเอนเต้ไม่ได้

 

   เด็กสาวที่ชื่อเซเลนคนนี้ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในคณะทูตจากเฮลิฟาเต้ที่ยิ่งใหญ่ หากทำให้ไม่พอใจก็เท่ากับลบหลู่เจ้าชายมิลานในทางอ้อม หากเป็นเช่นนั้นตำแหน่งของเขาก็จะเหมือนกับถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย เจ้าหญิงเอนเต้ก็ไม่น่าจะคิดรับผิดชอบช่วยเหลืออะไรอีกด้วย พ่อครัวคิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด

 

“เบียร์ มีไหม?”

 

  แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของเซเลนไม่ใช้คำดุด่าหรือตำหนิพ่อครัว เธอน่าจะต้องการบางอย่างที่เรียกว่า ‘เบียร์’ แต่ถึงจะเป็นพ่อครัวมืออาชีพก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

 

“ขออภัยด้วยครับ ผมไม่ทราบว่าคุณหนูหมายถึงสิ่งใด”

“เหล้า(สาเก)”

“เซเลน ไม่ต้องฝืนไปมากกว่านี้หรอกครับ!”

 

   ขณะที่เซเลนพยายามขอเครื่องดื่ม มิลานก็หมดความอดทนและพูดแทรกขึ้นมา เมื่อเทียบกับอายุแล้วเซเลนเป็นเด็กฉลาดที่เข้าใจเรื่องต่างๆได้ในทันที คงรู้อยู่แล้วว่าถ้าปฏิเสธอาหารแย่ๆจานนี้แล้วจะกระทบกับชื่อเสียงของเฮลิฟาเต้ จึงต้องแสร้งกินอย่างเอร็ดอร่อย

 

   ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อรักษามารยาทในงานเลี้ยงระดับสูง เธอยังขอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เช่นเหล้าหรือไวน์อีก เซเลนดูเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาอีก แต่มิลานก็ได้ยกมือห้ามพ่อครัวและให้เขาถอยกลับไปประจำที่ จากนั้นก็หันไปทางเอนเต้

 

“เจ้าหญิงเอนเต้ครับ ผู้ติดตามของผม เซเลน รู้สึกพอใจกับ ‘อาหารพิเศษ’ ของคุณอย่างที่เห็น เท่านี้คงพอใจแล้วสินะครับ ขอบคุณในความกรุณา พวกเราก็เริ่มรับประทานอาหารมื้อนี้สักทีเถอะครับ”

“เอ๋ อะ… ค่ะ นั่นสิคะ โฮะโฮะโฮะ…”

 

  ถ้าอยู่คนเดียวตอนนี้เอนเต้คงดิ้นอาละวาดไปแล้ว หากเซเลนแสดงความไม่พอใจออกมาแม้เพียงนิดเดียวล่ะก็ จะอ้างเรื่องมารยาทเล่นงานเด็กคนนี้ให้ถึงที่สุด และหากต้องการ ก็สามารถร้องเรียนถึงเรื่องการอบรมบุคลากรกับเฮลิฟาเต้ให้เปลี่ยนตัวผู้ติดตามได้เลย และก็จะใช้เรื่องนั้นต่อรองกับมิลานได้อีก

 

   ตอนนี้ เท่าที่เห็น ไม่มีช่องโหว่ที่เอนเต้จะยกขึ้นมาเป็นประเด็นได้อีกแล้ว เพราะไม่ใช่แค่กินเข้าไปแต่ยังบอกว่าอร่อยและท่าทางมีความสุขนั่นอีก ไม่มีอะไรที่เอนเต้ทำได้ไนขณะนี้นอกจากรับประทานอาหารของตัวเองอย่างสงบเสงี่ยมเท่านั้น

 

“(ความจริงแล้วแกเป็นใครกันแน่!)”

 

   เอนเต้กำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะและกดมันเอาไว้เพื่อไม่ให้เผลอทุบโต๊ะในตอนนี้ แม้จะโกรธแต่ก็พยายามควบคุมไม่ให้สั่นให้ใครเห็น เอนเต้และมิลานก็เริ่มรับประทานอาหารไปพร้อมๆกัน มิลานที่ไม่มีอะไรจะพูดอีก กับเอนเต้ที่ไม่หลงเหลือความคิดที่จะพูดจาหยอกล้อกับมิลาน มื้ออาหารนี้จึงดำเนินต่อไปอย่างเงียบเชียบ

 

“เบียร์ล่ะ…”

   

   ไม่มีใครได้ยินเสียงพึมพำอันเศร้าสร้อยของเซเลน

 

◆ ◇ ◆ ◇ ◆

 

“ปวดท้อง”

“องค์หญิง! เป็นอะไรไปครับ!?”

 

  บนเตียงที่สว่างไปด้วยแสงจันทร์ เซเลนกำลังทุกข์ทรมานเนื่องจากหนังและเอ็นไก่ทอดที่ไม่ได้กินมานานหลายปี ทำให้ตื่นเต้นจนลืมตัวว่าตอนนี้ร่างกายเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เผลอกินเข้าไปด้วยความเคยชินโดยใช้ขีดจำกัดของชายแก่ กระเพาะของเซเลนจึงถูกบังคับให้ขยายใหญ่อย่างผิดธรรมชาติ

 

   เซเลนใช้พลังงานทั้งหมดในการระงับอาการคลื่นไส้ที่จู่โจมเข้ามา ชีวิตของไก่พวกนั้นจะต้องมาเป็นเลือดเนื้อของเธอ หากปล่อยให้ไหลย้อนออกมา มันจะเป็นการเสียของที่จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน จริงๆแล้ว ถ้าหากแบ่งพลังงานออกมาใช้ได้จริง มันก็ควรจะใช้ไปกับการย่อยหนังและเอ็นไก่มากกว่า มันจึงเป็นการใช้พลังงานอย่างศูนย์เปล่า

 

  มีเพียงบัตเลอร์เท่านั้นที่ดูอาการของเซเลนอยู่ข้างๆ ไม่กี่นาทีก่อน มิลานยังอยู่ดูแลเธอ และเป็นห่วงถึงขั้นจะไปตามหมอมาตรวจดูอาการ จึงเริ่มรู้สึกว่าน่ารำคาญและพยายามไล่ออกไปหลายครั้งจนเขายอมออกไปในที่สุด

 

“ต้องขอโทษด้วยครับ กระผมไม่ได้คิดถึงสถานการณ์เช่นนี้เลย เพราะมัวแต่ตรวจสอบเรื่องพิษเท่านั้น กระผมมันไร้ความสามารถจริงๆ”

 

   บัตเลอร์แสดงความกังวลอยู่ข้างเตียง เขาเกาหัวด้วยขาหน้า เจ้านายเป็นเจ้าหญิงผู้สูงส่ง อาหารชั้นต่ำที่ทำจากของเหลือย่อมไม่คู่ควร ที่จริงเจ้านายคนนั้นที่เห็นว่าทุกข์ทรมานอยู่ จริงๆแล้วเป็นเพราะกินมากเกินไป

 

  ถ้าเซเลนเป็นอูฐก็อาจจะเก็บสารอาหารเอาไว้ในหนอกได้ แต่น่าเสียดาย หนอกทั้งคู่ยังราบเรียบอยู่ และมันก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่มีประโยชน์แบบนั้นด้วย 

 

“เด็กที่ชื่อเอนเต้นั่นด้วย! ไม่มีความเคารพต่อนายท่านของกระผมเลย! เดี๋ยวกระผมจะเอาเครื่องประดับทั้งหมดของมันไปทิ้ง…!”

“อย่านะ”

 

   บัตเลอร์ที่โทสะกำลังลุกโชน พยายามกระโดดออกไปกระทำการระบายความแค้น แต่ก็ถูกเซเลนคว้าหางเอาไว้ได้ซะก่อน

 

“ห้ามทำไมครับ!? ท่านถูกทำให้ขายหน้าขนาดนี้แล้วยังให้อภัยได้อีกหรือ!”

“เอนเต้ เป็นเพื่อน”

“องค์หญิง…”

 

  เซเลนไม่คิดแค้นเอนเต้ที่เป็นศัตรูทั้งๆที่ถูกทำให้เจ็บป่วยจนต้องทุกข์ทรมานอยู่นี่ ทำไมถึงต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย บัตเลอร์ตั้งคำถาม แต่ก็มีคำตอบอยู่ใจแล้ว

 

  เซเลนไม่อยากมีปัญหากับวัลเบิร์ตไปมากกว่านี้ ตอนที่มาก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะเป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้ติดตามของเจ้าชายมิลาน บัตเลอร์ไม่มีทางลงมือโดยหลงเหลือหลักฐานใดๆไว้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีบางอย่างผิดปรกติเกิดขึ้นกับเจ้าหญิงเอนเต้ บรรดาแขกจากเฮลิฟาเต้ก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอยู่ดี

 

   ถึงจะเกิดเรื่องเช่นนั้น ก็ยากที่ความเสียหายจะตกมาถึงมิลานกับเซเลน แต่ก็มีโอกาสที่ผู้ติดตามคนอื่นๆจะถูกสอบสวนหรือลงโทษ

 

  เจ้าหญิงเซเลนเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน ที่ยอมกินของน่าขยะแขยงและยังคงยิ้มออกมานั่นก็เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศของงานเลี้ยงโดยการตำหนิพ่อครัว หากทำเช่นนั้น พ่อครัวคนนั้นต้องถูกบังคับให้กินของเหลือในของเหลือนั้นอีกแน่

 

   คิดแล้วก็น่าละอาย บัตเลอร์เกือบจะลงมือกระทำผิดด้วยความคิดที่ตื้นเขิน เขาให้ความสำคัญกับเจ้าหญิงเซเลนเป็นอันดับหนึ่งเท่านั้น แต่เจ้าหญิงเซเลนมอบความหวังดีให้กับทุกคนแม้ไม่ใช่ประชาชนของตัวเอง บัตเลอร์ย้ำเตือนตนเองถึงความยิ่งใหญ่ของเจ้านาย

 

“เข้าใจแล้วครับ ถ้านั่นเป็นความประสงค์ขององค์หญิง บัตเลอร์ผู้นี้จะยอมถอยให้ก่อน โปรดจำไว้ว่าในภายภาคหน้าหากมีอะไรก็ตามที่จะทำร้ายองค์หญิง กระผมจะปกป้องท่านด้วยชีวิตตามวิถีผู้รับใช้แห่งนายท่านผู้ยิ่งใหญ่”

“ขอบคุณนะ”

 

   ถึงเธอจะไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไรแต่ก็เข้าใจในความปรารถนาดี เซเลนจึงลูบหัวของบัตเลอร์ด้วยปลายนิ้วจนบัตเลอร์อิ่มเอิบใจเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็ทำความเคารพและลงไปที่ใต้เตียงของเซเลนซึ่งเป็นตำแหน่งประจำของเขา และเนื่องจากที่ต้องวิ่งหาข้อมูลอยู่ตลอดในช่วงกลางวันจึงทำให้เหนื่อยจนหลับไปอย่างรวดเร็ว

 

  ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ตอนที่กระเพาะของเซเลนเริ่มเข้าที่เข้าทาง เป็นเวลาใกล้เที่ยงคืน คนที่ไม่ใช่ทหารยามที่ต้องเข้าเวรก็น่าจะหลับกันไปหมดแล้ว เซเลนที่วันนี้ต้องตื่นตลอดช่วงกลางวันก็น่าจะได้เวลาที่ต้องนอนเหมือนกัน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ

 

“ใคร?”

“ฉันเอง เอนเต้”

 

  ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตู เอนเต้ก็เข้ามาอยู่ข้างในห้องของเซเลนโดยที่ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า เธอสวมเสื้อคลุมสีม่วงเข้มที่แทบจะกลืนไปกับความมืด ตามตัวก็ไม่มีตะเกียงหรือแหล่งกำเนิดแสงใดๆ

 

“เซเลน ร่างกายเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ?”

“สบายมาก”

“ขอโทษที ไม่คิดว่าจะกินลงไปจริงๆ ประสาทรับรสของเธอคงทื่อมากเลยสินะ”

“อือ”

 

   เอนเต้พูดด้วยเจตนาเยาะเย้ยถึงมันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่เซเลนก็ได้แต่ยิ้มและปล่อยผ่านไป เด็กสาวคนนี้อาจจะไม่ได้ใจกล้าหน้าด้านเท่าที่คิด เอนเต้ขมวดคิ้ว ในห้องตอนนี้เกือบจะมืดสนิท ทำให้อ่านสีหน้าไม่ได้เลย แต่ก็ไม่อยากให้สงสัยในสิ่งที่เธอกำลังจะทำหลังจากนี้

 

“นี่ ฉันรู้สึกผิดสำหรับเรื่องก่อนหน้านี้ ทำให้เธอลำบากมากเลยสินะ ถึงอย่างงั้นก็อยากทำเครื่องรางสำหรับเราสองคนหน่อยได้หรือเปล่า?”

“เครื่องราง เหรอ?”

“ในหมู่ผู้หญิง จะนำผมของอีกฝ่ายมาทำเป็นเครื่องประดับติดตัวไว้น่ะ ที่เฮลิฟาเต้ก็มีอะไรแบบนี้ด้วยเหมือนกันใช่ไหม?”

“อ๊ะ”

 

  คิดๆดูแล้วก็เคยทำของแบบนี้กับมารีมาก่อน แหวนที่ถักจากเส้นผมของมารีที่ปรกติจะเก็บไว้ในกล่องเครื่องประดับในห้องของเซเลน เวลาจะใช้ก็เอาออกมาใส่ไว้ใต้หมอนก่อนนอน จะได้นอนหลับโดยที่หวังไว้ว่าจะได้ฝันถึงโลลิผมทองและเล่นอะไรสนุกๆด้วยกัน

 

“ฉันเตรียมส่วนที่จะต้องให้เธอเอาไว้แล้ว”

 

  เอนเต้ถือจี้ห้อยคอหยกที่เจาะรูเล็กๆไว้ มีผมสีเกาลัดพันเป็นเกรียวร้อยผ่านรูนั้น เธอยื่นเครื่องประดับชิ้นนั้นให้เซเลน เซเลนก็รับไว้และมองดูอย่างสนใจ

 

“รับไว้ได้เหรอ?”

“อือ เอาไปได้เลย พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่นา ทีนี้ก็ขอผมของเธอบ้างได้ไหม?”

“ฉัน ถัก ไม่เป็น”

“ไม่เป็นไร เอาแค่ผมของเธอก็พอ เดี๋ยวฉันทำที่เหลือเอง”

“งั้นก็ เอาไปเถอะ”

  เมือได้ยินคำตอบนั้น เอนเต้รู้สึกแปลกใจที่เซเลนไม่ได้ระแวงอะไรเลย ยินยอมให้ตัดผมแต่โดยดีและหันหลังให้โดยปราศจากการป้องกันตัว ทั้งๆที่เพิ่งจะถูกเล่นงานมาในช่วงมื้อค่ำนี้เอง แล้วยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

 

   เมื่อพิจารณาใกล้ๆแล้วเด็กสาวคนนี้ช่างตัวเล็กเหลือเกิน ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิดแต่ตอนนี้ต้องอดทนไม่เอามีดแทงลงไปบนหัวเธอ และเอนเต้ก็ตัดปอยผมของเซเลนมาส่วนหนึ่ง

 

“ฉันกับเธออยู่กันคนละประเทศ คงไม่มีโอกาสเจอกันบ่อยๆ แต่พวกเราก็จะเป็นเพื่อนกันตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่”

“อือ!”

 

   เสร็จแล้วเอนเต้ก็เอาผมที่ตัดมาจากเซเลนเก็บใส่ไว้ในเสื้อคลุมและออกจากห้องไปทันที ระวังตัวไม่ให้ใครมาเห็นและเอนแต้ก็กลับไปที่ห้องของเธอ นำผมของเซเลนออกมาเก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดของลิ้นชักที่ไม่สะดุดตา

 

“ยัยเปี๊ยกนั่นเป็นตัวอันตราย ถ้าไม่กำจัดตอนนี้คงไม่ดีแน่ โชคดีที่เอาชิ้นส่วนมาได้ง่ายกว่าที่คิด”

 

  เส้นผมที่เอนเต้ให้ไปพร้อมกับเครื่องประดับก็บังคับเอามาจากสาวใช้ที่มีผมสีเดียวกัน ไม่มีทางที่เธอจะให้เส้นผมของตัวเองกับเด็กสาวที่เธอเกลียดอยู่แล้ว อัญมณีก็เลือกอันที่ถูกที่สุดมา ทางนี้ไม่มีอะไรเสียหายเลย

 

“ไม่คิดเลยว่าถึงกับต้องใช้คำสาปกับเด็กนั่น…”

 

   ในห้องที่มืดมิด นอกจากตัวเธอแล้วไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดเข้ามาได้แม้แต่แสงจันทร์ เอนเต้ยิ้มอย่างมีความสุข เป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายราวกับแม่มด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+