[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 19 ผู้สาปแช่ง

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 19 ผู้สาปแช่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 19

ผู้สาปแช่ง

 

   ค่ำคืนนี้เป็นคืนจันทร์ดับ เพื่อต่อต้านความมืดโดยไม่มีแสงจันทร์ช่วย กองไฟขนาดใหญ่ถูกจุดขึ้นที่ซุ้มประตูของปราสาทวัลเบิร์ต ทัศนวิสัยของทหารยามที่เข้าเวรก็มีแต่รอบแสงไฟนี้เท่านั้น เขาหาวอย่าเบื่อหน่าย

 

  เหตุการณ์ใหญ่อย่างการรับรองเจ้าชายและคณะทูตจากเฮลิฟาเต้อันยิ่งใหญ่ก็ได้จบลงไปแล้วไม่กี่วันก่อน ทำให้ช่วงเวลานี้เขาว่างเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็ควรเป็นอย่างนั้น เพราะไม่มีใครโง่พอที่จะบุกรุกเข้ามาในปราสาทวัลเบิร์ตซึ่งๆหน้าอยู่แล้ว

 

   ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางความมืด ทหารยามสังเกตเห็นเงาของคนเคลื่อนที่เข้ามาหาอย่าช้าๆในระยะไกล มีเสียงเคาะถนนที่ทำจากหินดังออกมาเป็นระยะ ทหารยามตื่นตัวตามหน้าที่และส่งเสียงทักออกไป

 

“แกตรงนั้นน่ะ! นี่มันเลยเวลาทำการมานานแล้ว ถ้ามีธุระก็กลับมาใหม่พรุ่งนี้”

“งั้นเหรอ แหม แม่เฒ่าคนนี้อุตส่าห์ถ่อสังขารมา ต้อนรับได้แย่จังนะ”

“ท-ท่านหมอ! ขออภัยครับ!”

 

  เมื่อจำเสียงที่แหบแห้งนั้นได้ ทหารยามจึงรีบขอโทษในทันที หญิงชราที่เขาพยายามจะหยุดไว้เมื่อครู่ แม้จะดูเหมือนแม่มดแต่ก็เป็นหมอยาของเจ้าหญิง

 

  แม้เขาจะไม่รู้รายระเอียดมากนัก แต่ก็เคยได้ยินมาว่าเธอเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเก่าแก่จากต่างประเทศ ยาที่ทำโดยหญิงชราคนนี้แม้จะดูไม่น่าไว้วางใจและมีราคาแพงแต่ก็มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมจนเป็นที่ไว้วางใจของบรรดาขุนนานและชนชั้นสูงของวัลเบิร์ต

 

“ทำไมท่านถึงมาเวลานี้ครับ? ถ้าเป็นเรื่องยา ก็น่าจะส่งข่าวมาให้ทางเราไปรับเองก็ได้…”

“ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่ายาสำหรับอาการ ‘ปวดหัว’ ของเจ้าหญิงที่สั่งไว้วันก่อน เตรียมการเรียบร้อยแล้วน่ะสิ ยาตัวนี้ยิ่งได้รับเร็วยิ่งดี ก็เลยมาหาถึงที่เลยนี่ไง”

 

   หลังจากตอบไปแบบนั้น หญิงชราก็หัวเราะและเดินผ่านทหารยามเข้าไป หญิงชราที่มีอีกตำแหน่งคือแพทย์หลวงของวัลเบิร์ต เดินเข้าไปในปราสาทเหมือนเดินเข้าบ้านของตัวเอง ทหารยามไม่โต้ตอบอะไรอีก และให้หญิงชราที่มากับอีกาผ่านไปได้

 

“เฮ้อ อาการปวดหัวของเจ้าหญิงอีกแล้วสินะ ไอ้ที่ปวดหัวมันต้องพวกเราต่างหาก”

 

  หลังจากหญิงชราหายลับไปจากสายตากับความมืด ทหารยามบ่นอยู่คนเดียว เจ้าหญิงเอนเต้มักจะปวดหัวทุกครั้งที่มีคณะทูตจากประเทศอื่นเข้ามาเยี่ยมเยียนเธอ เจ้าหญิงที่มีนิสัยแบบนั้นต้องมารักษามารยาทต่อหน้าตัวแทนจากประเทศอื่น พวกคนรับใช้จึงคิดกันว่าอาการปวดหัวนี้เกิดจากความเครียดจากการทำงานหนัก

 

  ทหารยามกลับเข้าประจำที่ นินทาเจ้าหญิงที่ไม่เคยสนใจผู้ใต้บังคับบัญชาชั้นผู้น้อยที่ต้องลำบากกว่าไม่รู้กี่เท่า

 

“เอาล่ะ ท่านเอนเต้ อาการเป็นยังไงบ้าง?”

“แค่เห็นก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอ แย่ที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาเลยยังไงล่ะ”

 

  หญิงชราได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องของเอนเต้ได้ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ตรวจอาการ’ เธอยิ้มเยาะเย้ยเมื่อเห็นหน้าของเอนเต้ที่นั่งอารมณ์เสียอยู่บนเก้าอี้

 

[“ประกาย สีทอง ขอสักอันสิ?”]

“ใจเย็นๆสิ โคคุมารุ ฉันกำลังคุยกับเจ้าหญิงอยู่ ไม่เห็นเหรอ”

 

  หญิงชราดุอีกาที่เรียกว่าโคคุมารุ มันตื่นเต้นที่เห็นการแต่งตัวและเครื่องประดับอันแวววาวของเอนเต้จนแสดงสัญชาตญาณออกมา เอนเต้ก็เคยให้หญิงชราเข้าพบในรูปแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ค่อยอยากต้อนรับหญิงชราและอีกาสกปรกเข้ามาในห้องที่หรูหราของเธอ

 

“นี่ ผู้สาปแช่ง เลิกเอาอีกาส่งเสียงน่ารำคาญมาด้วยไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ได้ ไม่ได้ นี่มันคู่หูคนสำคัญในงานของฉัน ถ้าอยากให้ราบรื่นก็ต้องให้มันเข้ามาด้วย”

 

   หญิงชรา หรือคนที่ถูกเรียกว่าผู้สาปแช่ง โต้ตอบข้อเรียกร้องของเอนเต้ ในงานสายนี้เธอใช้ชื่อว่าผู้สาปแช่ง ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเธอ ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเธอมีแค่ว่า เป็นผู้สืบทอดของตระกูลเก่าแก่ที่มาจากประเทศอื่นเมื่อนานมาแล้ว และความสามารถทางเวทย์มนต์ของเธอคือการ ‘สาปแช่งบั่นทอนชีวิตผู้อื่น’

 

“มันเคยมียุคสมัยของพวกเรา โรคระบาด ความอดอยาก สงคราม… โลกที่มีแต่ความอาฆาต แต่ลองดูตอนนี้สิ โลกที่สงบสุขทำให้ต้องเอาชีวิตรอดด้วยการผันตัวมาเป็นหมอยากระจอกๆ ต้องของคุณท่านมาก องค์หญิง ที่มอบงานนี้ให้กับฉัน”

 

  ผู้สาปแช่งพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่รู้สึกว่าขอบคุณอยู่จริงๆ แต่เอนเต้ก็ไม่ได้สนใจและถามต่อในเรื่องที่เธอยังสงสัย

 

“เรืองไร้สาระเอาไว้ที่หลัง แล้วที่บอกว่าไอ้นั่นน่ะ โคคุมารุสินะ… หาคู่หูที่เป็นคน ไม่ดีกว่าสัตว์โง่ๆนี่เหรอ?”

“ไม่ใช่สัตว์โง่ๆ สัตว์ที่ได้รับเวทย์มนต์เข้าไปจนเป็น ‘สัตว์อสูร’ ต่างหาก แตกต่างจากสัตว์ธรรมดาตรงที่มันมีสติปัญญาและพละกำลังที่เหนือกว่า อีกทั้งยังเข้าใจภาษามนุษย์และยังสื่อสารกันได้อีก”

“ได้ยินแต่เสียงร้องน่ารำคาญเองนะ”

“สัตว์อสูรสื่อสารกับเจ้านายที่ทำสัญญาด้วยเท่านั้น คนทั่วไปไม่สามารถจับใจความได้หรอก”

“นั่นไงล่ะ สื่อสารได้แค่คนคนเดียวมันจะมีประโยชน์อะไร”

“ไม่เลย ไม่เลย มันมีประโยชน์กว่าที่ท่านคิด แบบนี้ไง…”

[“ไอ้โง่ ไอ้โง่”]

“อีกานั่น เป็นอะไรของมันอีกล่ะ”

“มันบอกว่า เจ้าหญิงผู้รอบรู้ งดงาม และสูงส่ง”

 

  เมื่อผู้สาปแช่งบอกไปเช่นนั้น เอนเต้ก็หัวเราะด้วยเสียงเรียบๆออกมา

 

“โห ฉลาดกว่าอีกาทั่วไปจริงๆด้วย แบบนี้ก็ดีนะ”

“ก็ตามนั่นแหละ”

 

   ผู้สาปแช่งหลีกเลี่ยงการโต้เถียงที่ยืดยาวด้วยคำตอบแค่นั้น ใช่แล้ว แทนที่จะหลีกเลี่ยงผู้คนและคุยกันลับๆอยู่อย่างนี้ เธอสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ทุกเรื่องและทุกที่ ไม่ต้องกังวลว่าความลับจะรั่วไหล เพราะไม่มีใครสื่อสารกับสัตว์อสูรได้นอกจากเจ้านายของมัน

 

“น่าสนใจดี แล้วจะเปลี่ยนสัตว์ธรรมดาให้เป็นสัตว์อสูรได้ยังไง?”

“ใกล้ชิดกับมันให้มากที่สุด แม้กระทั่งตอนกิน ตอนนอน แบ่งพลังเวทย์ของตนเองให้กับมัน แต่ถ้าทำมากเกินไปมันก็จะมีสติปัญญาและพละกำลังมากเกินที่จะควบคุมได้ แล้วก็จะทำให้พลังเวทย์ของเจ้านายลดน้อยลงอีกด้วย ทางที่ดีไม่ควรทำต่อเนื่องเกินสามเดือน”

“ไม่อยากแบ่งพลังเวทย์ให้สัตว์โง่ๆเลยน้า ไม่อยากใกล้ชิดกับพวกมันด้วย”

“เอาเถอะ เรื่องนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้”

 

  หลังจากพูดคุยนอกเรื่องมามากพอแล้ว เอนเต้เสยผมของเธอและลุกจากเก้าอีกไปยังผู้สาปแช่ง

 

“ฉันไม่ได้เรียกแกมาเพื่อคุยเรื่องฝึกสัตว์นี่หรอกนะ แล้วเรื่องที่ขอไปล่ะ ทำได้ใช่ไหม?”

“หึหึ แน่นอน ไม่มีปัญหา ฉันเตรียม ‘ยาสูตรพิเศษ’ สำหรับอาการปวดหัวขององค์หญิงมาแล้ว”

 

  ผู้สาปแช่งโค้งให้อย่างนอบน้อม เอนเต้ก็พอใจจนยิ้มออกมา เจ้าหญิงคนนี้เป็นลูกค้าที่ดีและรับมือได้ง่ายของผู้สาปแช่ง เธอจะอารมณ์ดีขึ้นมาในทันทีที่มอบสิ่งที่ต้องการให้ คนโง่ที่จ่ายหนักคือลูกค้าชั้นยอดเสมอ

 

“แต่ว่า ฆ่าเด็กตัวเล็กๆเนี่ย อำมหิตจังเลยนะ ถ้าสาปแช่งผู้คนมากเกินไปล่ะก็ ระวังคำสาปจะย้อนเข้าหาตัวเองล่ะ?”

“เงียบไปเลยน่า ถึงจะบอกว่าอำมหิต แต่แกก็ดูสนุกกับมันอยู่ไม่ใช่เหรอไง”

“ว้า ความแตกซะแล้ว หึหึ”

 

  ดวงตาของผู้สาปแช่งเรื่องแสงออกมา ร่างกายปกคลุมไปด้วยพลังเวทย์ที่น่าขยะแขยงในปริมาณที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นหญิงชรา ฉีกปากยิ้มกว้างจนแทบจะถึงหู

 

“งานหลักของผู้สาปแช่งคือการฆ่าอีกฝ่ายด้วยคำสาป แต่ท่านเอนเต้ยังมีความเมตตาอยู่บ้าง ที่ผ่านมาก็ทำแค่ให้เป้าหมายเจ็บป่วยเท่านั้น นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้ฆ่าคน นานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้”

 

   จนถึงตอนนี้ การจ้างวานผู้สาปแช่งของเอนเต้มีแต่ขอให้ทำให้ชนชั้นสูงของประเทศอื่นที่มาข้องแวะกับเธอมีร่างกายอ่อนแอลงเท่านั้น สำหรับเอนเต้ เธอแค่ต้องการให้มีข่าวลือว่าคนที่พยายามเข้าหาจ้าหญิงจะต้องเจ็บป่วยกลับไป

 

  ให้มีเพียงมิลานเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสายตาของเธอได้ เพราะรู้จักกับเขามาตั้งแต่ยังเด็กจึงมั่นใจว่าเขาจะไม่สงสัยในตัวเธอหากไม่มีหลักฐาน แต่ตอนนี้เรื่องที่จะต้องฆ่าคนจริงๆก็ยังมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่

 

   อีกด้านหนึ่ง ผู้สาปแช่งก็รู้สึกไม่พอใจมาตลอด เพราะว่าเธอเป็นถึงผู้ใช้คำสาประดับสูงในวงการ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือที่แท้จริงให้เจ้าหญิงที่อ่อนหัดนี้ได้ประจักษ์ ที่ยอมทำมาตลอดก็เพราะได้ค่าตอบแทนสูงสำหรับคำของ่ายๆ แต่ให้ทำงานที่แม้แต่พวกมือสมัครเล่นก็ทำได้ มันช่างจืดชืดเหลือเกิน

 

   แต่แล้ว ในที่สุดเจ้าหญิงเอนเต้ก็พูดออกมาเองว่า ‘มีเด็กสาวคนหนึ่งที่อยากให้ตายอยู่’ ตอนที่ได้ยินครั้งแรกยังแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว พูดถึงเด็กสาวที่เป็นเป้าหมาย… ชื่อว่าเซเลนสินะ? ฉันได้เจอเธอที่ร้านมาแล้ว”

“ได้เจอเซเลน?”

“เธอบอกว่ามาหาซื้อยาสำหรับคนสำคัญ เด็กสมัยนี้โตเร็วกว่าที่เห็นอีกนะ”

“คนสำคัญ… ยัยเด็กหัวขโมยนี่!”

 

  เอนเต้โกรธจนเผลอกัดเล็บ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเด็กสาวคนนั้นมีความรู้สึกพิเศษให้มิลาน เมือคิดถึงเรื่องระหว่างการเดินทางของเธอคนนั้นกับมิลาน นั่งเคียงข้างกันอยู่ในรถม้าระหว่างเดินทางกลับเฮลิฟาเต้ และตอนนี้คงเงยหน้าชมดาวสร้างบรรยากาศอยู่ด้วยกัน คิดแล้วอยากจะถ่มน้ำลายใส่

 

   ความจริงแล้ว เซเลนที่กินอิ่มแล้วก็เอาเครื่องนอนห่อตัวแล้วขดอยู่ที่มุมมุมหนึ่งในรถม้าเหมือนดักแด้ ช่วงกลางวันก็นั่งๆนอนๆเหม่อลอยเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียวในรถม้า เรื่องนี้เอนเต้ไม่ได้รับรู้ด้วยเลย

 

“ผู้สาปแช่ง! ฉันขอสั่งให้ลงมือเดี๋ยวนี้เลย! ฆ่าเด็กนั่นเดี๋ยวนี้!”

“ได้ ได้ น้อมรับคำสั่ง”

[“กาฮ่าฮ่า! ฮีสทีเรีย*นี่หว่า ยัยนี่เป็นโรคฮีสทีเรีย*!”]

 

  โคคุมารุถากถางเอนเต้ที่ตะโกนออกมา แต่เอนเต้ไม่มีทางเข้าใจ ผู้สาปแช่งก็นิ่งเงียบรอให้หญิงสาวที่จวนเจียนจะอาละวาดคนนี้สงบลงก่อน และล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมหยิบขวดแก้วออกมา มีบางอย่างสีดำบิดงอพันกันอยู่ในขวดแก้ว เอนเต้เคยใช้บริการผู้สาปแช่งมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยเห็นเธอใช้สิ่งนี้

 

“หา..? น-นี่มันคืออะไร!?”

“สิ่งนี้คือพิษมาร ผลผลิตจากเวทย์มนต์ เป็นของที่เอาไว้รักษา ‘อาการปวดหัว’ ของท่านเอนเต้ไงล่ะ”

 

  ผู้สาปแช่งยื่นขวดไปตรงหน้าเอนเต้ ทำให้เอนเต้กรีดร้องและถอยหนีจนติดผนัง ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเห็นสิ่งที่อยู่ในขวด มันคือตะขาบสีดำขนาดใหญ่ที่เทียบเท่าฝ่ามือของผู้ใหญ่ได้เลย

 

“ม-ไม่ใช่หินธรรมดาเหมือนทุกที…”

“อืม อันนั้นมันคือหินต้องสาป ถ้าอยากให้เป้าหมายอ่อนแอ แค่ใช้เวทย์มนต์กับหินที่เหมาะสมก็พอแล้ว แต่ถ้าต้องการสังหารก็ต้องใช้คำสาปที่ทรงพลังกว่านั้น”

“แมลงน่าเกลียดนี่ก็เกี่ยวกับคำสาปด้วยเหรอ?”

“ถ้าให้พูดถึงก็มีเยอะ อย่างแรกผู้ใช้คำสาปจะต้องรวบรวมแมลงให้มากที่สุด แบ่งพลังเวทย์ให้พวกมันทุกตัว และปิดผนึกทั้งหมดไว้ในไหพร้อมกับส่วนหนึ่งของเป้าหมาย เส้นผมของเซเลน ปล่อยให้แมลงพวกนั้นดูดกลืนพลังเวทย์และกัดกินกันเอง จนเหลือตัวสุดท้ายที่มีพลังและคำสาปรุนแรงที่สุด มันเป็นคำสาปประเภทเดียวกัน แต่ความรุนแรงต่างกันเยอะ”

 

  ผู้สาปแช่งอธิบายอย่างภูมิใจ แต่ยิ่งถามมากเท่าใดเธอก็ยิ่งพูดเรื่องน่ากลัวมากขึ้นทุกครั้ง เอนเต้รู้สึกขนลุกขึ้นมา

 

“แล้ว จะให้ฉันทำอะไรกับไอ้ของน่าขยะแขยงนี่ล่ะ?”

“ทำเหมือนที่เคยทำ”

“อย่างที่เคยทำ… หมายความว่าจะให้ฉันเอาไอ้ตัวนี้ไปวางไว้ใกล้ๆกับเป้าหมายเหมือนกับก้อนหินที่เคยให้ใช้เนี่ยนะ?”

“สมแล้วที่เป็นท่านเอนเต้ผู้ชาญฉลาด เข้าใจได้เร็วอย่างนี้ ช่วยได้เยอะเลย”

 

   เอนเต้หน้าถอดสี แต่ก็พยายามกลับมาทำตัวปรกติได้ วิธีตามปรกติคือ เธอจะเอาหินที่ได้รับจากผู้สาปแช่งไปใส่ไว้ในรถม้าหรือซ่อนไว้กับสัมภาระของเป้าหมาย จากนั้นคำสาปก็จะกระจายออกมากัดกินพลังชีวิตของผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งมันจะจัดการกับเป้าหมายในระหว่างที่พวกเขาเดินทางกลับประเทศของตนเอง

 

   หินต้องสาปก็เหมือนกับอุปกรณ์กักเก็บพลังเวทย์ที่ใส่คำสาปเข้าไปแทน คำสาปจะถูกใช้ไปจนหมดภายในหนึ่งสัปดาห์และมันจะกลับมาเป็นหินธรรมดาที่ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานใดๆได้ การบรรจุคำสาปที่ละเอียดอ่อนโดยผู้ใช้คำสาป ในกรณีนี้มันถูกจัดการโดยผู้สาปแช่ง ที่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญระดับสูง

 

“สายไปแล้ว เซเลนเดินทางออกจากที่นี่ไปแล้ว! เอามาให้ป่านนี้จะทำอะไรได้!”

“สิ่งนี้ต้องใช้เวลาเตรียมพร้อมมากกว่าหินต้องสาป แต่ไม่ต้องห่วง โคคุมารุจะเอามันไปส่งให้ถึงที่เอง”

[“เอาจริงเรอะ เฮ้ย…”]

 

  โคคุมารุโวยวายไม่พอใจ แต่เอนเต้เข้าใจว่ามันตอบรับเจ้านายของมันด้วยความภักดี

 

“แล้ว มันจะได้ผลจริงๆใช่ไหม?”

“ที่ผ่านมาเคยมีสินค้าของผู้สาปแช่งผู้นี้ไม่ได้ผลหรือเปล่าล่ะ?”

“…ไม่เคย”

 

  ผู้สาปแช่งยิ้มอย่างมีชัย และหันไปออกคำสั่งกับโคคุมารุ

 

[“บัดโธ่ น่าเบื่อชะมัด…”]

 

  โคคุมารุยังคงบ่นอยู่แต่ก็คว้าขวดแก้วด้วยเท้าของมัน ผู้สาปแช่งจึงเดินไปเปิดหน้าต่างโดยไม่เสียเวลาขออนุญาตจากเอนเต้ และโคคุมารุก็กระพือปีกบินหายไปในความมืด

 

“ให้อีกานั่นจัดการ จะไม่เป็นไรจริงๆเหรอ?”

“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเลย ไม่มีใครเหมาะกับหน้าที่นี้มากไปกว่าโคคุมารุอีกแล้ว กับแค่อีกาตัวหนึ่งที่บินผ่าน ใครล่ะจะสงสัยนกที่อยู่ในสวน? สัตว์อสูรมีประโยชน์กว่าที่คิด จำได้ไหม?”

 

  ผู้สาปแช่งพูดอย่างภูมิใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิดในทิศทางที่โคคุมารุบินออกไป สัตว์อสูรมีประโยชน์มากมายที่ไม่มีใครคาดถึง โดยเฉพาะสัตว์อสูรขนาดเล็ก เช่นนก หนู และแมลงบิน ควรเป็นตัวเลือกแรกๆ ส่วนเรื่องต่อสู้หรือใช้กำลังก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ได้

 

  ความรู้ในการสร้างสัตว์อสูรของทวีปนี้ได้สูญหายไปหมดแล้ว เพราะอะไรน่ะเหรอ สืบเนื่องมาจากเหล่าราชวงศ์หรือผู้มีอำนาจสมัยก่อนที่จะนิยมสัตว์ขนาดใหญ่ที่น่าเกรงขาม เช่นเสือ หรือหมาป่า เจ้าหญิงเอนเต้ก็เช่นกัน หากเป็นนกอินทรีย์ที่สง่างามไม่ใช่อีกาที่ดูสกปรก เธอก็คงจะให้ความสนใจมากกว่านี้ ผู้สาปแช่งก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี

 

  ถึงจะฟังดูเหมือนง่าย แต่การเปลี่ยนสัตว์ร้ายให้เป็นสัตว์อสูรเป็นเรื่องยาก มันต้องใช้พลังเวทย์ปริมาณมากและมีความเสี่ยงสูงหากล้มเหลว ไม่มีใครอยากยอมรับคนที่โง่กว่าและอ่อนแอกว่าตนเองเป็นเจ้านาย จะมีก็แต่กรณีที่มันชื่นชอบเจ้านายคนนี้จากใจเท่านั้น

 

  มันจึงมีความยากลำบากในการควบคุมให้อยู่ใต้บัญชา นั่นคือเหตุผลที่การใช้งานสัตว์อสูรในทวีปนี้ค่อยๆลดน้อยลงจนกระทั่งถูกลืมเลือน จนถึงช่วงเวลาของผู้สาปแช่ง มันก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้จักไปแล้ว ต้องขอบคุณความโง่เขลาของเหล่าราชวงศ์ในอดีต ทำให้ผู้สาปแช่งสามารถครอบครองสิ่งที่มีประโยชน์มหาศาลนี้แต่เพียงผู้เดียว

 

“แมลงนั่นรู้จักกลิ่นของเซเลนแล้ว เพียงแค่พามันไปที่พระราชวังเฮลิฟาเต้ ที่เหลือก็ปล่อยให้มันไปซ่อนตัวอยู่เฉยๆใต้เตียงของเธอและรอเท่านั้น”

“นานแค่ไหน?”

“มันก็ขึ้นอยู่กับความเข็มแข็งของเซเลนกับปริมาณพลังเวทย์ที่เธอมี จากที่สัมผัสพลังเวทย์ตกค้างในเส้นผมของเธอได้ น่าจะออกอาการภายในไม่กี่วันหลังจากที่มันเข้าใกล้เธอได้ และจะตายภายในหนึ่งหรือสองสัปดาห์” 

 “ก็ไม่เลวนะ”

 

  เอนเต้หัวเราะเบาๆ เพราะยิ่งทิ้งช่วงไปนานเท่าใดความสงสัยในการกระทำของทางนี้ก็ลดลงเท่านั้น หรือต่อให้สงสัยก็จะพบเพียงตะขาบธรรมดาตัวหนึ่งที่ใช้เป็นหลักฐานอะไรไม่ได้เลย

 

  ในช่วงทีเซเลนอยู่ในวัลเบิร์ต เธอก็ยอมสละเวลาที่ควรให้กับมิลานไปกับเซเลน เพื่อให้เห็นว่าเธอกับเซเลนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแค่ไหน และหลังจากนี้ก็คิดจะไปร่วมงานศพอีกด้วย

 

   เจ้าชายมิลานที่โศกเศร้าและต้องการที่พึ่งทางใจ ไม่ว่าจะเข้มแข็งขนาดไหนก็ต้องมีช่องว่างในจิตใจเมื่อสูญเสียคนใกล้ตัว จากนั้นฉันก็จะเข้าไปปลอบโยนและให้กำลังใจเพื่อเติมเต็มช่องว่างนั้น ขอโทษด้วยนะเซเลน แต่เธอต้องเป็นบันไดให้ฉันเหยียบขึ้นไปหาจุดหมายของพวกเราแล้วล่ะ

 

“หุหุ แล้วก็ต้องขอบคุณเธอด้วยสินะ เซเลน”

 

   เอนเต้ปลดปล่อยเสียงหัวเราะแห่งความสุขออกมาขณะมองอีกาที่บินออกไปในความมืดเพื่อมอบความตายให้กับเซเลน

 

____________________

* โรคฮิสทีเรีย (Hysteria) อาการทางจิต อารมณ์แปรปรวนและรุนแรง ควบคุมอารมณ์ไม่ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 19 ผู้สาปแช่ง

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 19 ผู้สาปแช่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 19

ผู้สาปแช่ง

 

   ค่ำคืนนี้เป็นคืนจันทร์ดับ เพื่อต่อต้านความมืดโดยไม่มีแสงจันทร์ช่วย กองไฟขนาดใหญ่ถูกจุดขึ้นที่ซุ้มประตูของปราสาทวัลเบิร์ต ทัศนวิสัยของทหารยามที่เข้าเวรก็มีแต่รอบแสงไฟนี้เท่านั้น เขาหาวอย่าเบื่อหน่าย

 

  เหตุการณ์ใหญ่อย่างการรับรองเจ้าชายและคณะทูตจากเฮลิฟาเต้อันยิ่งใหญ่ก็ได้จบลงไปแล้วไม่กี่วันก่อน ทำให้ช่วงเวลานี้เขาว่างเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็ควรเป็นอย่างนั้น เพราะไม่มีใครโง่พอที่จะบุกรุกเข้ามาในปราสาทวัลเบิร์ตซึ่งๆหน้าอยู่แล้ว

 

   ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางความมืด ทหารยามสังเกตเห็นเงาของคนเคลื่อนที่เข้ามาหาอย่าช้าๆในระยะไกล มีเสียงเคาะถนนที่ทำจากหินดังออกมาเป็นระยะ ทหารยามตื่นตัวตามหน้าที่และส่งเสียงทักออกไป

 

“แกตรงนั้นน่ะ! นี่มันเลยเวลาทำการมานานแล้ว ถ้ามีธุระก็กลับมาใหม่พรุ่งนี้”

“งั้นเหรอ แหม แม่เฒ่าคนนี้อุตส่าห์ถ่อสังขารมา ต้อนรับได้แย่จังนะ”

“ท-ท่านหมอ! ขออภัยครับ!”

 

  เมื่อจำเสียงที่แหบแห้งนั้นได้ ทหารยามจึงรีบขอโทษในทันที หญิงชราที่เขาพยายามจะหยุดไว้เมื่อครู่ แม้จะดูเหมือนแม่มดแต่ก็เป็นหมอยาของเจ้าหญิง

 

  แม้เขาจะไม่รู้รายระเอียดมากนัก แต่ก็เคยได้ยินมาว่าเธอเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเก่าแก่จากต่างประเทศ ยาที่ทำโดยหญิงชราคนนี้แม้จะดูไม่น่าไว้วางใจและมีราคาแพงแต่ก็มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมจนเป็นที่ไว้วางใจของบรรดาขุนนานและชนชั้นสูงของวัลเบิร์ต

 

“ทำไมท่านถึงมาเวลานี้ครับ? ถ้าเป็นเรื่องยา ก็น่าจะส่งข่าวมาให้ทางเราไปรับเองก็ได้…”

“ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่ายาสำหรับอาการ ‘ปวดหัว’ ของเจ้าหญิงที่สั่งไว้วันก่อน เตรียมการเรียบร้อยแล้วน่ะสิ ยาตัวนี้ยิ่งได้รับเร็วยิ่งดี ก็เลยมาหาถึงที่เลยนี่ไง”

 

   หลังจากตอบไปแบบนั้น หญิงชราก็หัวเราะและเดินผ่านทหารยามเข้าไป หญิงชราที่มีอีกตำแหน่งคือแพทย์หลวงของวัลเบิร์ต เดินเข้าไปในปราสาทเหมือนเดินเข้าบ้านของตัวเอง ทหารยามไม่โต้ตอบอะไรอีก และให้หญิงชราที่มากับอีกาผ่านไปได้

 

“เฮ้อ อาการปวดหัวของเจ้าหญิงอีกแล้วสินะ ไอ้ที่ปวดหัวมันต้องพวกเราต่างหาก”

 

  หลังจากหญิงชราหายลับไปจากสายตากับความมืด ทหารยามบ่นอยู่คนเดียว เจ้าหญิงเอนเต้มักจะปวดหัวทุกครั้งที่มีคณะทูตจากประเทศอื่นเข้ามาเยี่ยมเยียนเธอ เจ้าหญิงที่มีนิสัยแบบนั้นต้องมารักษามารยาทต่อหน้าตัวแทนจากประเทศอื่น พวกคนรับใช้จึงคิดกันว่าอาการปวดหัวนี้เกิดจากความเครียดจากการทำงานหนัก

 

  ทหารยามกลับเข้าประจำที่ นินทาเจ้าหญิงที่ไม่เคยสนใจผู้ใต้บังคับบัญชาชั้นผู้น้อยที่ต้องลำบากกว่าไม่รู้กี่เท่า

 

“เอาล่ะ ท่านเอนเต้ อาการเป็นยังไงบ้าง?”

“แค่เห็นก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอ แย่ที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาเลยยังไงล่ะ”

 

  หญิงชราได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องของเอนเต้ได้ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ตรวจอาการ’ เธอยิ้มเยาะเย้ยเมื่อเห็นหน้าของเอนเต้ที่นั่งอารมณ์เสียอยู่บนเก้าอี้

 

[“ประกาย สีทอง ขอสักอันสิ?”]

“ใจเย็นๆสิ โคคุมารุ ฉันกำลังคุยกับเจ้าหญิงอยู่ ไม่เห็นเหรอ”

 

  หญิงชราดุอีกาที่เรียกว่าโคคุมารุ มันตื่นเต้นที่เห็นการแต่งตัวและเครื่องประดับอันแวววาวของเอนเต้จนแสดงสัญชาตญาณออกมา เอนเต้ก็เคยให้หญิงชราเข้าพบในรูปแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ค่อยอยากต้อนรับหญิงชราและอีกาสกปรกเข้ามาในห้องที่หรูหราของเธอ

 

“นี่ ผู้สาปแช่ง เลิกเอาอีกาส่งเสียงน่ารำคาญมาด้วยไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ได้ ไม่ได้ นี่มันคู่หูคนสำคัญในงานของฉัน ถ้าอยากให้ราบรื่นก็ต้องให้มันเข้ามาด้วย”

 

   หญิงชรา หรือคนที่ถูกเรียกว่าผู้สาปแช่ง โต้ตอบข้อเรียกร้องของเอนเต้ ในงานสายนี้เธอใช้ชื่อว่าผู้สาปแช่ง ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเธอ ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเธอมีแค่ว่า เป็นผู้สืบทอดของตระกูลเก่าแก่ที่มาจากประเทศอื่นเมื่อนานมาแล้ว และความสามารถทางเวทย์มนต์ของเธอคือการ ‘สาปแช่งบั่นทอนชีวิตผู้อื่น’

 

“มันเคยมียุคสมัยของพวกเรา โรคระบาด ความอดอยาก สงคราม… โลกที่มีแต่ความอาฆาต แต่ลองดูตอนนี้สิ โลกที่สงบสุขทำให้ต้องเอาชีวิตรอดด้วยการผันตัวมาเป็นหมอยากระจอกๆ ต้องของคุณท่านมาก องค์หญิง ที่มอบงานนี้ให้กับฉัน”

 

  ผู้สาปแช่งพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่รู้สึกว่าขอบคุณอยู่จริงๆ แต่เอนเต้ก็ไม่ได้สนใจและถามต่อในเรื่องที่เธอยังสงสัย

 

“เรืองไร้สาระเอาไว้ที่หลัง แล้วที่บอกว่าไอ้นั่นน่ะ โคคุมารุสินะ… หาคู่หูที่เป็นคน ไม่ดีกว่าสัตว์โง่ๆนี่เหรอ?”

“ไม่ใช่สัตว์โง่ๆ สัตว์ที่ได้รับเวทย์มนต์เข้าไปจนเป็น ‘สัตว์อสูร’ ต่างหาก แตกต่างจากสัตว์ธรรมดาตรงที่มันมีสติปัญญาและพละกำลังที่เหนือกว่า อีกทั้งยังเข้าใจภาษามนุษย์และยังสื่อสารกันได้อีก”

“ได้ยินแต่เสียงร้องน่ารำคาญเองนะ”

“สัตว์อสูรสื่อสารกับเจ้านายที่ทำสัญญาด้วยเท่านั้น คนทั่วไปไม่สามารถจับใจความได้หรอก”

“นั่นไงล่ะ สื่อสารได้แค่คนคนเดียวมันจะมีประโยชน์อะไร”

“ไม่เลย ไม่เลย มันมีประโยชน์กว่าที่ท่านคิด แบบนี้ไง…”

[“ไอ้โง่ ไอ้โง่”]

“อีกานั่น เป็นอะไรของมันอีกล่ะ”

“มันบอกว่า เจ้าหญิงผู้รอบรู้ งดงาม และสูงส่ง”

 

  เมื่อผู้สาปแช่งบอกไปเช่นนั้น เอนเต้ก็หัวเราะด้วยเสียงเรียบๆออกมา

 

“โห ฉลาดกว่าอีกาทั่วไปจริงๆด้วย แบบนี้ก็ดีนะ”

“ก็ตามนั่นแหละ”

 

   ผู้สาปแช่งหลีกเลี่ยงการโต้เถียงที่ยืดยาวด้วยคำตอบแค่นั้น ใช่แล้ว แทนที่จะหลีกเลี่ยงผู้คนและคุยกันลับๆอยู่อย่างนี้ เธอสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ทุกเรื่องและทุกที่ ไม่ต้องกังวลว่าความลับจะรั่วไหล เพราะไม่มีใครสื่อสารกับสัตว์อสูรได้นอกจากเจ้านายของมัน

 

“น่าสนใจดี แล้วจะเปลี่ยนสัตว์ธรรมดาให้เป็นสัตว์อสูรได้ยังไง?”

“ใกล้ชิดกับมันให้มากที่สุด แม้กระทั่งตอนกิน ตอนนอน แบ่งพลังเวทย์ของตนเองให้กับมัน แต่ถ้าทำมากเกินไปมันก็จะมีสติปัญญาและพละกำลังมากเกินที่จะควบคุมได้ แล้วก็จะทำให้พลังเวทย์ของเจ้านายลดน้อยลงอีกด้วย ทางที่ดีไม่ควรทำต่อเนื่องเกินสามเดือน”

“ไม่อยากแบ่งพลังเวทย์ให้สัตว์โง่ๆเลยน้า ไม่อยากใกล้ชิดกับพวกมันด้วย”

“เอาเถอะ เรื่องนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้”

 

  หลังจากพูดคุยนอกเรื่องมามากพอแล้ว เอนเต้เสยผมของเธอและลุกจากเก้าอีกไปยังผู้สาปแช่ง

 

“ฉันไม่ได้เรียกแกมาเพื่อคุยเรื่องฝึกสัตว์นี่หรอกนะ แล้วเรื่องที่ขอไปล่ะ ทำได้ใช่ไหม?”

“หึหึ แน่นอน ไม่มีปัญหา ฉันเตรียม ‘ยาสูตรพิเศษ’ สำหรับอาการปวดหัวขององค์หญิงมาแล้ว”

 

  ผู้สาปแช่งโค้งให้อย่างนอบน้อม เอนเต้ก็พอใจจนยิ้มออกมา เจ้าหญิงคนนี้เป็นลูกค้าที่ดีและรับมือได้ง่ายของผู้สาปแช่ง เธอจะอารมณ์ดีขึ้นมาในทันทีที่มอบสิ่งที่ต้องการให้ คนโง่ที่จ่ายหนักคือลูกค้าชั้นยอดเสมอ

 

“แต่ว่า ฆ่าเด็กตัวเล็กๆเนี่ย อำมหิตจังเลยนะ ถ้าสาปแช่งผู้คนมากเกินไปล่ะก็ ระวังคำสาปจะย้อนเข้าหาตัวเองล่ะ?”

“เงียบไปเลยน่า ถึงจะบอกว่าอำมหิต แต่แกก็ดูสนุกกับมันอยู่ไม่ใช่เหรอไง”

“ว้า ความแตกซะแล้ว หึหึ”

 

  ดวงตาของผู้สาปแช่งเรื่องแสงออกมา ร่างกายปกคลุมไปด้วยพลังเวทย์ที่น่าขยะแขยงในปริมาณที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นหญิงชรา ฉีกปากยิ้มกว้างจนแทบจะถึงหู

 

“งานหลักของผู้สาปแช่งคือการฆ่าอีกฝ่ายด้วยคำสาป แต่ท่านเอนเต้ยังมีความเมตตาอยู่บ้าง ที่ผ่านมาก็ทำแค่ให้เป้าหมายเจ็บป่วยเท่านั้น นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้ฆ่าคน นานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้”

 

   จนถึงตอนนี้ การจ้างวานผู้สาปแช่งของเอนเต้มีแต่ขอให้ทำให้ชนชั้นสูงของประเทศอื่นที่มาข้องแวะกับเธอมีร่างกายอ่อนแอลงเท่านั้น สำหรับเอนเต้ เธอแค่ต้องการให้มีข่าวลือว่าคนที่พยายามเข้าหาจ้าหญิงจะต้องเจ็บป่วยกลับไป

 

  ให้มีเพียงมิลานเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสายตาของเธอได้ เพราะรู้จักกับเขามาตั้งแต่ยังเด็กจึงมั่นใจว่าเขาจะไม่สงสัยในตัวเธอหากไม่มีหลักฐาน แต่ตอนนี้เรื่องที่จะต้องฆ่าคนจริงๆก็ยังมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่

 

   อีกด้านหนึ่ง ผู้สาปแช่งก็รู้สึกไม่พอใจมาตลอด เพราะว่าเธอเป็นถึงผู้ใช้คำสาประดับสูงในวงการ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือที่แท้จริงให้เจ้าหญิงที่อ่อนหัดนี้ได้ประจักษ์ ที่ยอมทำมาตลอดก็เพราะได้ค่าตอบแทนสูงสำหรับคำของ่ายๆ แต่ให้ทำงานที่แม้แต่พวกมือสมัครเล่นก็ทำได้ มันช่างจืดชืดเหลือเกิน

 

   แต่แล้ว ในที่สุดเจ้าหญิงเอนเต้ก็พูดออกมาเองว่า ‘มีเด็กสาวคนหนึ่งที่อยากให้ตายอยู่’ ตอนที่ได้ยินครั้งแรกยังแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว พูดถึงเด็กสาวที่เป็นเป้าหมาย… ชื่อว่าเซเลนสินะ? ฉันได้เจอเธอที่ร้านมาแล้ว”

“ได้เจอเซเลน?”

“เธอบอกว่ามาหาซื้อยาสำหรับคนสำคัญ เด็กสมัยนี้โตเร็วกว่าที่เห็นอีกนะ”

“คนสำคัญ… ยัยเด็กหัวขโมยนี่!”

 

  เอนเต้โกรธจนเผลอกัดเล็บ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเด็กสาวคนนั้นมีความรู้สึกพิเศษให้มิลาน เมือคิดถึงเรื่องระหว่างการเดินทางของเธอคนนั้นกับมิลาน นั่งเคียงข้างกันอยู่ในรถม้าระหว่างเดินทางกลับเฮลิฟาเต้ และตอนนี้คงเงยหน้าชมดาวสร้างบรรยากาศอยู่ด้วยกัน คิดแล้วอยากจะถ่มน้ำลายใส่

 

   ความจริงแล้ว เซเลนที่กินอิ่มแล้วก็เอาเครื่องนอนห่อตัวแล้วขดอยู่ที่มุมมุมหนึ่งในรถม้าเหมือนดักแด้ ช่วงกลางวันก็นั่งๆนอนๆเหม่อลอยเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียวในรถม้า เรื่องนี้เอนเต้ไม่ได้รับรู้ด้วยเลย

 

“ผู้สาปแช่ง! ฉันขอสั่งให้ลงมือเดี๋ยวนี้เลย! ฆ่าเด็กนั่นเดี๋ยวนี้!”

“ได้ ได้ น้อมรับคำสั่ง”

[“กาฮ่าฮ่า! ฮีสทีเรีย*นี่หว่า ยัยนี่เป็นโรคฮีสทีเรีย*!”]

 

  โคคุมารุถากถางเอนเต้ที่ตะโกนออกมา แต่เอนเต้ไม่มีทางเข้าใจ ผู้สาปแช่งก็นิ่งเงียบรอให้หญิงสาวที่จวนเจียนจะอาละวาดคนนี้สงบลงก่อน และล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมหยิบขวดแก้วออกมา มีบางอย่างสีดำบิดงอพันกันอยู่ในขวดแก้ว เอนเต้เคยใช้บริการผู้สาปแช่งมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยเห็นเธอใช้สิ่งนี้

 

“หา..? น-นี่มันคืออะไร!?”

“สิ่งนี้คือพิษมาร ผลผลิตจากเวทย์มนต์ เป็นของที่เอาไว้รักษา ‘อาการปวดหัว’ ของท่านเอนเต้ไงล่ะ”

 

  ผู้สาปแช่งยื่นขวดไปตรงหน้าเอนเต้ ทำให้เอนเต้กรีดร้องและถอยหนีจนติดผนัง ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเห็นสิ่งที่อยู่ในขวด มันคือตะขาบสีดำขนาดใหญ่ที่เทียบเท่าฝ่ามือของผู้ใหญ่ได้เลย

 

“ม-ไม่ใช่หินธรรมดาเหมือนทุกที…”

“อืม อันนั้นมันคือหินต้องสาป ถ้าอยากให้เป้าหมายอ่อนแอ แค่ใช้เวทย์มนต์กับหินที่เหมาะสมก็พอแล้ว แต่ถ้าต้องการสังหารก็ต้องใช้คำสาปที่ทรงพลังกว่านั้น”

“แมลงน่าเกลียดนี่ก็เกี่ยวกับคำสาปด้วยเหรอ?”

“ถ้าให้พูดถึงก็มีเยอะ อย่างแรกผู้ใช้คำสาปจะต้องรวบรวมแมลงให้มากที่สุด แบ่งพลังเวทย์ให้พวกมันทุกตัว และปิดผนึกทั้งหมดไว้ในไหพร้อมกับส่วนหนึ่งของเป้าหมาย เส้นผมของเซเลน ปล่อยให้แมลงพวกนั้นดูดกลืนพลังเวทย์และกัดกินกันเอง จนเหลือตัวสุดท้ายที่มีพลังและคำสาปรุนแรงที่สุด มันเป็นคำสาปประเภทเดียวกัน แต่ความรุนแรงต่างกันเยอะ”

 

  ผู้สาปแช่งอธิบายอย่างภูมิใจ แต่ยิ่งถามมากเท่าใดเธอก็ยิ่งพูดเรื่องน่ากลัวมากขึ้นทุกครั้ง เอนเต้รู้สึกขนลุกขึ้นมา

 

“แล้ว จะให้ฉันทำอะไรกับไอ้ของน่าขยะแขยงนี่ล่ะ?”

“ทำเหมือนที่เคยทำ”

“อย่างที่เคยทำ… หมายความว่าจะให้ฉันเอาไอ้ตัวนี้ไปวางไว้ใกล้ๆกับเป้าหมายเหมือนกับก้อนหินที่เคยให้ใช้เนี่ยนะ?”

“สมแล้วที่เป็นท่านเอนเต้ผู้ชาญฉลาด เข้าใจได้เร็วอย่างนี้ ช่วยได้เยอะเลย”

 

   เอนเต้หน้าถอดสี แต่ก็พยายามกลับมาทำตัวปรกติได้ วิธีตามปรกติคือ เธอจะเอาหินที่ได้รับจากผู้สาปแช่งไปใส่ไว้ในรถม้าหรือซ่อนไว้กับสัมภาระของเป้าหมาย จากนั้นคำสาปก็จะกระจายออกมากัดกินพลังชีวิตของผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งมันจะจัดการกับเป้าหมายในระหว่างที่พวกเขาเดินทางกลับประเทศของตนเอง

 

   หินต้องสาปก็เหมือนกับอุปกรณ์กักเก็บพลังเวทย์ที่ใส่คำสาปเข้าไปแทน คำสาปจะถูกใช้ไปจนหมดภายในหนึ่งสัปดาห์และมันจะกลับมาเป็นหินธรรมดาที่ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานใดๆได้ การบรรจุคำสาปที่ละเอียดอ่อนโดยผู้ใช้คำสาป ในกรณีนี้มันถูกจัดการโดยผู้สาปแช่ง ที่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญระดับสูง

 

“สายไปแล้ว เซเลนเดินทางออกจากที่นี่ไปแล้ว! เอามาให้ป่านนี้จะทำอะไรได้!”

“สิ่งนี้ต้องใช้เวลาเตรียมพร้อมมากกว่าหินต้องสาป แต่ไม่ต้องห่วง โคคุมารุจะเอามันไปส่งให้ถึงที่เอง”

[“เอาจริงเรอะ เฮ้ย…”]

 

  โคคุมารุโวยวายไม่พอใจ แต่เอนเต้เข้าใจว่ามันตอบรับเจ้านายของมันด้วยความภักดี

 

“แล้ว มันจะได้ผลจริงๆใช่ไหม?”

“ที่ผ่านมาเคยมีสินค้าของผู้สาปแช่งผู้นี้ไม่ได้ผลหรือเปล่าล่ะ?”

“…ไม่เคย”

 

  ผู้สาปแช่งยิ้มอย่างมีชัย และหันไปออกคำสั่งกับโคคุมารุ

 

[“บัดโธ่ น่าเบื่อชะมัด…”]

 

  โคคุมารุยังคงบ่นอยู่แต่ก็คว้าขวดแก้วด้วยเท้าของมัน ผู้สาปแช่งจึงเดินไปเปิดหน้าต่างโดยไม่เสียเวลาขออนุญาตจากเอนเต้ และโคคุมารุก็กระพือปีกบินหายไปในความมืด

 

“ให้อีกานั่นจัดการ จะไม่เป็นไรจริงๆเหรอ?”

“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเลย ไม่มีใครเหมาะกับหน้าที่นี้มากไปกว่าโคคุมารุอีกแล้ว กับแค่อีกาตัวหนึ่งที่บินผ่าน ใครล่ะจะสงสัยนกที่อยู่ในสวน? สัตว์อสูรมีประโยชน์กว่าที่คิด จำได้ไหม?”

 

  ผู้สาปแช่งพูดอย่างภูมิใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิดในทิศทางที่โคคุมารุบินออกไป สัตว์อสูรมีประโยชน์มากมายที่ไม่มีใครคาดถึง โดยเฉพาะสัตว์อสูรขนาดเล็ก เช่นนก หนู และแมลงบิน ควรเป็นตัวเลือกแรกๆ ส่วนเรื่องต่อสู้หรือใช้กำลังก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ได้

 

  ความรู้ในการสร้างสัตว์อสูรของทวีปนี้ได้สูญหายไปหมดแล้ว เพราะอะไรน่ะเหรอ สืบเนื่องมาจากเหล่าราชวงศ์หรือผู้มีอำนาจสมัยก่อนที่จะนิยมสัตว์ขนาดใหญ่ที่น่าเกรงขาม เช่นเสือ หรือหมาป่า เจ้าหญิงเอนเต้ก็เช่นกัน หากเป็นนกอินทรีย์ที่สง่างามไม่ใช่อีกาที่ดูสกปรก เธอก็คงจะให้ความสนใจมากกว่านี้ ผู้สาปแช่งก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี

 

  ถึงจะฟังดูเหมือนง่าย แต่การเปลี่ยนสัตว์ร้ายให้เป็นสัตว์อสูรเป็นเรื่องยาก มันต้องใช้พลังเวทย์ปริมาณมากและมีความเสี่ยงสูงหากล้มเหลว ไม่มีใครอยากยอมรับคนที่โง่กว่าและอ่อนแอกว่าตนเองเป็นเจ้านาย จะมีก็แต่กรณีที่มันชื่นชอบเจ้านายคนนี้จากใจเท่านั้น

 

  มันจึงมีความยากลำบากในการควบคุมให้อยู่ใต้บัญชา นั่นคือเหตุผลที่การใช้งานสัตว์อสูรในทวีปนี้ค่อยๆลดน้อยลงจนกระทั่งถูกลืมเลือน จนถึงช่วงเวลาของผู้สาปแช่ง มันก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้จักไปแล้ว ต้องขอบคุณความโง่เขลาของเหล่าราชวงศ์ในอดีต ทำให้ผู้สาปแช่งสามารถครอบครองสิ่งที่มีประโยชน์มหาศาลนี้แต่เพียงผู้เดียว

 

“แมลงนั่นรู้จักกลิ่นของเซเลนแล้ว เพียงแค่พามันไปที่พระราชวังเฮลิฟาเต้ ที่เหลือก็ปล่อยให้มันไปซ่อนตัวอยู่เฉยๆใต้เตียงของเธอและรอเท่านั้น”

“นานแค่ไหน?”

“มันก็ขึ้นอยู่กับความเข็มแข็งของเซเลนกับปริมาณพลังเวทย์ที่เธอมี จากที่สัมผัสพลังเวทย์ตกค้างในเส้นผมของเธอได้ น่าจะออกอาการภายในไม่กี่วันหลังจากที่มันเข้าใกล้เธอได้ และจะตายภายในหนึ่งหรือสองสัปดาห์” 

 “ก็ไม่เลวนะ”

 

  เอนเต้หัวเราะเบาๆ เพราะยิ่งทิ้งช่วงไปนานเท่าใดความสงสัยในการกระทำของทางนี้ก็ลดลงเท่านั้น หรือต่อให้สงสัยก็จะพบเพียงตะขาบธรรมดาตัวหนึ่งที่ใช้เป็นหลักฐานอะไรไม่ได้เลย

 

  ในช่วงทีเซเลนอยู่ในวัลเบิร์ต เธอก็ยอมสละเวลาที่ควรให้กับมิลานไปกับเซเลน เพื่อให้เห็นว่าเธอกับเซเลนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแค่ไหน และหลังจากนี้ก็คิดจะไปร่วมงานศพอีกด้วย

 

   เจ้าชายมิลานที่โศกเศร้าและต้องการที่พึ่งทางใจ ไม่ว่าจะเข้มแข็งขนาดไหนก็ต้องมีช่องว่างในจิตใจเมื่อสูญเสียคนใกล้ตัว จากนั้นฉันก็จะเข้าไปปลอบโยนและให้กำลังใจเพื่อเติมเต็มช่องว่างนั้น ขอโทษด้วยนะเซเลน แต่เธอต้องเป็นบันไดให้ฉันเหยียบขึ้นไปหาจุดหมายของพวกเราแล้วล่ะ

 

“หุหุ แล้วก็ต้องขอบคุณเธอด้วยสินะ เซเลน”

 

   เอนเต้ปลดปล่อยเสียงหัวเราะแห่งความสุขออกมาขณะมองอีกาที่บินออกไปในความมืดเพื่อมอบความตายให้กับเซเลน

 

____________________

* โรคฮิสทีเรีย (Hysteria) อาการทางจิต อารมณ์แปรปรวนและรุนแรง ควบคุมอารมณ์ไม่ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+