[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 2 พ่อบ้านหนู

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 2 พ่อบ้านหนู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เซเลเน่ อาคุยล่าร์นั้นมีความทรงจำของชาติก่อนอยู่

ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรที่สำคัญขนาดนั้น ประเทศที่เกิดก็คือญี่ปุ่น คนธรรมดาที่ไม่มีพรสวรรค์ไม่มีอะไรแปลกๆเลย เพศของชาติก่อนก็เป็นผู้ชายอะไรประมาณนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนั่นก็คือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตัวตนที่อยู่ตรงนี้มีเพียงแค่เซเลเน่ อาคุยล่าร์เท่านั้น

ในตอนที่ยังไม่เกิดที่ราชอาณาจักรอาคุยล่าร์ ความทรงจำในฐานะคนญี่ปุ่นของเซเลเน่นั้น ก็คิดไว้ว่าชีวิตใหม่นี้จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ แต่ว่าความเป็นจริงนั้นการที่มีความทรงจำในอดีตถือเป็นสิ่งที่ค่อยข้างเป็นปัญหา ถึงจะด้วยการที่ใช้ชีวิตในร่างผู้หญิงมาถึง8ปีแล้วความรู้สึกแปลกๆกับร่างเนื้อก็หายไปแล้ว แต่ว่าปัญหาก็คือด้านจิตใจ

สำหรับเซเลเน่ที่เกิดมาก็มีความทรงจำในอดีตอยู่แล้วนั้น แม่แท้ๆก็เป็นเหมือนกับ[คุณป้าสายเลือดเดียวกันที่ไม่รู้จัก] สำหรับผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าแม่นั้นเธอเลยสร้างระยะห่างเนื่องจากไม่รู้จะต้องคุยอย่างไรดี แถมการกระทำที่เป็นเรื่องที่ควรสำหรับคนญี่ปุ่นนั้น ที่ต่างโลกแล้ว โดยเฉพาะเด็กมันถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ตอนที่เขารู้ตัวคือตอนหลังจากนั้น

แล้วก็เกี่ยวกับเรื่องการพูด สำหรับเซเลเน่แล้วถือเป็นเรื่องยาก
สำหรับเธอที่เรียนภาษาอังกฤษมาถึงหกปีแล้วยังรู้แค่งูๆปลาๆแล้วภาษาต่างโลกนั้น ก็ไม่ต่างกับให้ไปคุยกับมนุษย์ต่างดาวสักนิด

แถมปกติก็ไม่ค่อยได้สัมผัสผู้คนด้วยโอกาสที่จะฝึกก็เลยไม่มี ความลำบากแปดปีนั้น จนในที่สุดก็ฟังได้ก็จริง แต่การนำคำมารวมกันในหัวแล้วพุดออกจากปากนั้นทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผลสุดท้ายก็เลยเป็นพูดได้แต่แบบเด็กอ่อน

แล้วก็ด้วยเรื่องหลายๆอย่างเซเลเน่ก็ถูกองค์ราชินีทำให้กลายเป็นนักโทษ แต่ว่าสำหรับเซเลเน่นั้นถ้าถามว่าความทรงจำในชาติก่อนเป็นคำสาปหรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ สำหรับเซเลเน่สิ่งที่เหลือจากชาติก่อนนั้นถือว่าเป็นดั่งคำอวยพร

ถ้าเกิดเซเลเน่ไม่มีความทรงจำเป็นเด็กสาวธรรมดาล่ะก็คงไม่อาจจะทนการกักกันเช่นนี้ได้แน่ อาจจะบ้าคลั่งไปก็ได้ แต่สำหรับเซเลเน่ที่ชาติก่อนเป็นฮิคิโคโมริอัจฉริยะแล้ว การถูกกักกันแบบตอนนี้ถือเป็นพื้นที่ที่รู้สึกสบายใจเป็นที่สุด

ถึงจะบอกว่ามันคับแคบสกปรกเกินไปสำหรับชนชั้นสูงก็เถอะ แต่เมื่อเทียบกับห้องแฟลตโกโรโกโสที่ตัวเองในอดีตเคยอยู่แล้วถือว่ากว้างและสะอาดกว่ามาก แค่นอนอย่างเดียวก็มีอาหารสามมื้อมาเสริฟถึงที่ แถมไม่จำเป็นต้องแข่งกับเวลา เดินทางหรือไปทำงานอะไร

นอกจากนั้นบางครั้งพี่สาวผู้งดงามและอ่อนโยนก็มาแสดงความเห็นใจ แล้วก็เอาของพวกหนังสืออย่างนิทานภาพหรือขนมมาให้ ยิ่งกว่านั้นยังเอาหน้าอกนุ่มๆหอมๆนั่นมากอดตัวเองอีก สำหรับเซเลเน่ที่โตมาโดยเครียดแค้นคำว่าคริสมาสอีฟและวาเลนไทน์แล้วนั้นราวกับได้เข้าไปในแดนต้องห้ามเลยทีเดียว

หรือก็คือห้องขังที่เรียกว่านรกได้นี่สำหรับเซเลเน่แล้วก็คือสวรรค์ดีๆนั่นเอง แต่ว่าถึงเซเลเน่จะเป็นฮิคิโคโมริของแท้แค่ไหนพอถูกขังอยู่อยู่มาหลายปีในห้องมืดๆทั้งวันคนเดียวแน่นอนว่าสุดท้ายก็ต้องเบื่อ

การมาของอัลเลนั้นถือว่าเป็นการแอบเข้ามาดังนั้นก็เลยมาสักครั้งในรอบหลายวัน แต่ว่าเซเลเน่นั้นก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอะไร–เซเลเน่ยื่นมือออกไปรับเงาสีดำเล็กๆที่เข้ามาใกล้

"มาสิ บัตเลอร์"
[ขอรับ มาตามที่เรียกแล้วขอรับ องค์หญิง]

ร่างจริงของเงาดำก็คือ หนูหนึ่งตัวที่ขนาดพอๆกับฝ่ามือของเซเลเน่
ทั่วร่างปกคลุมด้วยขนมันเงาสีดำ บริเวณคอถึงท้องมีขนสีขาวงอกออกมา แล้วก็บริเวณหน้าอกนั้นติดริบบิ้นสีแดงราวกับว่ากำลังพ่อบ้านสวมชุดทักซิโด้อยู่ สิ่งนี้คือสิ่งที่เซเลเน่เรียกว่าบัตเลอร์

[ไม่ว่ายังไงก็เป็นเรื่องน่าเศร้านะขอรับ คุณพี่สาวก็เป็นผู้ที่งดงามอยู่หรอก แต่ผู้ที่งามเลิศแบบองค์หญิงกับไม่ได้ออกไปงานเต้นรำเนี่ย…]
"ไม่อยากออก สักหน่อย"

บัตเลอร์พึมพำด้วยความไม่พอใจ แต่เซเลเน่ก็ส่ายหน้าให้โดยไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าอะไร ไม่ใช่ว่าเข้มแข็งอะไร แต่สำหรับเธอที่ไม่ชอบการออกสังคมแล้วย่อมไม่อยากที่จะออกไปในแวดวงสังคมภายนอก

[แต่ว่าองค์หญิง! บัตเลอร์ผู้นี้ยังไงก็รับไม่ได้ขอรับ! คนอ่อนโยนแบบองค์หญิงทำไมถึงต้องโดนกระทำแบบนี้กันขอรับ ผู้ที่ยื่นมือมาหากระผมผู้ที่ถูกเรียกว่าสัตว์น่าขยะแขยงมีแต่ท่านแท้ๆนะขอรับ!]
"ไม่ได้อ่อนโยน สักหน่อย"

เทียบกับบัตเลอร์ที่กำลังหัวร้อนเซเลเน่นั้นก็ยังคงใจเย็นตอบ ความจริงตอนที่ได้พบบัตเลอร์ครั้งแรกมันก็ไม่ได้โรแมนติกอะไร ก็แค่เซเลเน่ช่วยบัตเลอร์ออกมาจากกับดักหนูที่ตั้งอยู่มุมห้องเท่านั้นเอง พอได้เห็นหนูที่กำลังกลัวถูกขังในกับดักแคบๆทรมานๆแล้วก็รู้สึกหัวอกเดียวกันขึ้นมา แถมก็ว่างด้วย ก็เลยแค่คิดไว้ว่าจะแอบเลี้ยงดูสักหน่อย

[องค์หญิงผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาที่ช่วยชีวิตของกระผม แบ่งพลัง และมอบสติปัญญามาให้ อา ถ้ากระผมมีพลังของมังกรล่ะก็คงจะสามารถทำลายคุกพรรค์นี้ได้ง่ายๆแท้ๆ!]

เพราะท่าทางแปลกๆของบัตเลอร์ที่กอดขาหน้าร่ายบทกวีอยู่บนฝ่ามือก็ทำให้เซเลเน่ยิ้มออกมา ถึงจะช่วยชีวิตก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้มอบสติปัญญากับพลังให้สักนิด อยู่ๆมันก็เป็นแบบนี้เองเท่านั้น

ราชวงศ์ส่วนใหญ่ในโลกนี้นั้นมีพลังพิเศษที่เรียกว่า[พลังเวท]อยู่
ถึงจะไม่ใช่[เวทมนต์]พวกการโจมตีด้วยลูกไฟหรือสร้างพายุ แต่เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ทำให้แผลรักษาตัวได้เร็วขึ้น เป็นความสามารถที่แตกต่างกับไปตามประเทศ ผนึกประตูที่ขังเซเลเน่ไว้ก็เช่นเดียวกัน

เซเลเน่ที่มีเลือดของเชื้อพระวงศ์นั้น แน่นอนว่ามีความสามารถแบบนั้นอยู่ แต่ว่าเรื่องนั้นแม่แต่เจ้าตัวก็ไม่ล่วงรู้

บัตเลอร์ที่ร่วมกินนอนกับเซเลเน่ แล้วก็ได้รับอาหารจากอาหารที่เหลืออยู่ของเซเลเน่ จนอยู่มาวันหนึ่งก็กลายเป็นหนูที่มีพลังเวทกับความฉลาดไป เพราะฉะนั้นในตอนที่บัตเลอร์อยู่ๆก็พูดออกมานั้นทำเอาเซเลเน่ตกใจจนตัวปลิวเลยทีเดียว

แล้วก็บัตเลอร์ที่มีความฉลาดเหมือนมนุษย์แล้ว สำหรับเซเลเน่ถือเป็นเพื่อที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาแทนได้

ในวันหนึ่ง เขาก็ขอร้องให้เซเลเน่ตั้งชื่อให้ เซเลเน่นั้นมองดูจากรูปร่างสีดำของเขาแล้วมอบนามให้ว่าบัตเลอร์(พ่อบ้าน) ตั้งแต่นั้นมาบัตเลอร์ก็คอยรับใช้อยู่ข้างๆเซเลเน่ และเชื่อฟังคำสั่งประดุจพ่อบ้านจริงๆ

"คำพูดนั้น พอสักที สวรรค์ อยากไป"
[โอ้ นั่นสินะขอรับ! ถ้าอย่างนั้นไม่รีบไม่ได้แล้วสินะขอรับ องค์หญิง เชิญที่ประตูได้เลย]
"อืม"

บัตเลอร์เตรียมพร้อมแล้ว แต่เซเลเน่นั้นไม่ได้ยืนอยู่ที่ประตูเหล็กแต่อย่างใด เธอยืนอยู่หน้าหน้าต่างเล็กๆที่ใช้รับแสงเข้ามา
เธอเขย่งเท้าเต็มที่ ปีนหน้าต่างที่ไม่ค่อยมั่นคงขึ้นไป ก็พบกับจันทร์เต็มดวงส่องประกายสีแสงสีอ่อนๆ

[คืนนี้พระจันทร์สวยจังเลยนะขอรับ จะต้องส่องแสงปกคลุมทางเดินขององค์หญิงอย่างอ่อนโยนแน่นอนขอรับ]

บัตเลอร์กระโดลงจากไหล่ของเซเลเน่ราวกับนักกายกรรม แล้วก็ส่งเสียงร้อง คี๊ เบาๆ หลังจากนั้นก็มีหนูจำนวนมากเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ของเซเลเน่ พวกเขาที่ปกติแล้วจะอาศัยอยู่ในป่านั้นนับถือบัตเลอร์ให้เป็นหัวหน้า

หน่วยคุ้มกับองค์หญิงเซเลเน่ จากที่บัตเลอร์พูดดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น

[พวกนาย ล้างตัวมาดีแล้วสินะ? ห้ามทิ้งขนแม้เพียงเส้นเดียวที่เตียงขององค์หญิงเด็ดขาดนะ!]

บัตเลอร์พูดออกมาด้วยเสียงที่ดูมีภูมิฐาน เหล่าหนูก็ร้องออกมาราวกับแสดงความเคารพ แล้วก็จัดแถวเรียงหนึ่งมุดเข้าไปในเตียงที่เซเลเน่ไว้นอน
ไม่กี่วินาทีต่อมา ผ้าห่มของเซเลเน่ก็นูนขึ้นมา กลายเป็นรูปร่างราวกับว่าเธอกำลังนอนอยู่ในผ้าห่มนั้น ถึงจะอยู่ในระดับแค่วางใจได้ชั่วคราวแต่ก็ถือเป็นการพรางในตอนที่เซเลเน่ไม่อยู่

"งั้น ตัวแทน ฝากด้วย"
[รับทราบขอรับ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้มีช่วงเวลาที่ดีนะขอรับ]

ในห้องนี้นั้นมีทางออกที่เชื่อมกับโลกภายนอกอยู่สองทาง ทางแรกคือประตูเหล็กปิดผนึกแข็งแรง อีกทางหนึ่งก็คือหน้าต่างนี้ ถึงจะเป็นโกดังถูกๆ แต่การลงจากห้องนี้ที่อยู่ชั้นสองนั้นก็สูงในระดับที่ผู้ใหญ่เองยังไม่สามารถที่จะปีนได้ โดยเฉพาะเด็กน้อยเซเลเน่นั้นถ้าไม่มีที่จับล่ะก็ไม่มีทางจะลงไปได้แน่

–ใช่แล้ว ถ้าไม่มีที่จับล่ะก็นะ

"อึ๊บ"

เซเลเน่เอาตัวออกมาจากหน้าต่าง จับเถาไม้เลื้อยที่อยู่ใกล้มือ เถาไม้เลื้อยนั้นค่อยข้างแข็งแรง คนที่ตัวเล็กอย่างเธอแล้วสามารถรับได้หลายคนสบายๆ

สถานที่เซเลเน่อยู่พูดได้ว่าเป็นห้องลับ มีคนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาใกล้ แถมบริเวณรอบๆนี้เองก็ไม่ได้ถูกสนใจมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีแล้ว

ผลของมันก็คือที่กำแพงของห้องที่เซเลเน่อยู่ก็มีเถาไม้เลื่อยงอกปกคลุม ไม่เลื้อยที่พันทันกันหลายชั้นนั้นสำหรับเซเลเน่มันก็ได้กลายเป็นบันไดธรรมชาติไป ราวกับว่าเทพแห่งป่านั้นเห็นใจเด็กน้อยผู้น่าสงสารจึงยื่นมือออกมาช่วยเซเลเน่อย่างไรอย่างนั้น 

แล้วเซเลเน่ก็ออกมาจากหน้าต่าง ปีนกำแพงลงมาโดยใช้ไม้เลื้อย ในตอนแรกนั้นก็ค่อนข้างรู้สึกกลัวแต่ตอนนี้ก็ชินซะแล้ว ใช้เวลาไม่นานเซเลเน่ก็ลงมายืนบนหญ้านุ่มๆ แล้วก็สูดอากาศบริสุทธิ์ของป่าเข้าไปเต็มปอด

เซเลเน่ที่ร่างกายไม่มีเม็ดสีใดๆแล้ว แสงแดดที่เจิดจ้าก็เหมือนกับพิษร้าย แต่ว่าแสงจันทร์อ่อนๆนั้นคุลมร่างของเซเลเน่อย่างอ่อนโยน เซเลเน่นั้นได้กลายเป็นผู้ที่ปกครองในโลกแห่งราตรีที่ราวกับประเทศในเทศนิยายที่มีตนอยู่เพียงคนเดียว

แล้วก็ในตอนที่ก้าวขาออกไปก้าวหนึ่ง ในฝั่งตรงข้ามของหมู่ไม้ก็มีเสียงดนตรีที่จับใจแล้วก็พระราชวังที่ส่องแสงเจิดจ้าจนเห็นได้ในยามค่ำคืน ถึงจะงดงามเป็นปกติอยู่แล้ว แต่วันนี้นั้นเปล่งประกายยิ่งกว่าทุกๆวันอีก ตอนนี้จัดงานปาร์ตี้ต้อนรับใหญ่โตเพื่อต้อนรับองค์ชายที่ว่าอยู่

"องค์ชายศักดิ์สิทธิ์…" (คนแปลเสริม せいおうじ(ที่พูดช่องนี้)=聖王子(องค์ชายศักดิ์สิทธิ์)=性王子(องค์ชายโรคจิต) อ่านเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกันนะครับ เข้าใจแล้วก็อ่านต่อครับ)

กระซิบอย่างนั้น เซเลเน่ก็ทำหน้าราวกับกำลังเคี้ยวแมลง

เรื่องเกี่ยวกับองค์ชายก็ได้ยินมาจากอัลเลหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่เมื่อก่อน ดูเหมือนว่าจะลือกันว่าจะมีคิ้วที่งดงาม เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ แล้วก็ได้ชื่อที่เหมือนเรื่องโกหกว่าองค์ชายแห่งประเทศมหาอำนาจแห่งหนึ่ง หรือว่าเป็นองค์ชายศักดิ์สิทธิ์ผู้อยู่ในลู่ทาง ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะกำลังอยู่ในการเดินทางครั้งใหญ่เพื่อตามหาคู่หูที่เหมาะสมกับตัวเองอยู่

ทุกครั้งที่นึกถึงคำพูดนั้นเซเลเน่ก็รู้สึกโกรธจนกระเพาะไหม้ ถ้ามีสเปคขนาดนั้นต่อให้ไม่หาเองก็สามารถรวบรวมภรรยามาใช้แล้วทิ้งได้ตามใจชอบแล้วแท้ๆ เซเลเน่ที่รู้ดีถึงความรู้สึกของผู้ชายที่ไม่มีใครเอายิ่งกว่าใครในโลกนั้นได้แต่เดาะลิ้นด้วยความเกลียดชัง

"แก ไอ้องค์ชายโรคจิต"

อะไรกันไอ้องค์ชายเสเพล ที่ถูกเรียกว่าองค์ชายศักดิ์สิทธิ์เนี่ยมันก็ไม่เห็นต่างอะไรกับองค์ชายโรคจิต ทั้งๆที่ไม่เคยเจอกันสักครั้ง แต่เซเลเน่ก็ตัดสินเอาเอง แล้วก็เกลียดเอาเองซะแล้ว

"ท่านพี่ จะเป็นไรหรือเปล่า"

จะองค์ชายศักดิ์สิทธิ์หรือองค์ชายโรคจิตก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตนสักนิด เซเลเน่นั้นรู้สึกเป็นห่วงเรื่องของพี่สาว เสด็จพี่ผู้ใสซื่ออ่อนโยนคนนั้น ยอมทำทุกอย่างเพื่อตนอย่างเร่งรีบจนจะถูกเขี้ยวพิษเล่นงานเอาได้ไม่ใช่หรือไงกัน

ถึงอย่างนั้นเรื่องที่ตนทำได้ก็ไม่มี สำหรับเซเลเน่ ทั้งองค์ชาย ทั้งปาร์ตี้เลิศหรู มันก็ไม่ต่างจากเรื่องเล่าในพระราชวังแห่งหนึ่งเลยสักนิด

เซเลเน่ถอนหายใจออกมา เขย่าหัวเพื่อเปลี่ยนความรู้สึกตัวเอง การเคลื่อนไหวข้างนอกของตนเองนั้นมีเวลาแค่จนกว่าจะถึงพลบค่ำที่จะไม่มีใครมาพบเท่านั้น ฉะนั้นก็มาให้ความสำคัญกับการสนุกไปกับความเป็นจริงดีกว่า

เป้าหมายก็คือสถานที่ที่เซเลเน่กับบัตเลอร์เรียกกันว่า[สวรรค์]
เซเลเน่สะบัดความคิดที่อยู่ในหัวทิ้งไป แล้วก็มุ่งเข้าไปข้างในป่าที่รู้จักดี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 2 พ่อบ้านหนู

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 2 พ่อบ้านหนู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เซเลเน่ อาคุยล่าร์นั้นมีความทรงจำของชาติก่อนอยู่

ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรที่สำคัญขนาดนั้น ประเทศที่เกิดก็คือญี่ปุ่น คนธรรมดาที่ไม่มีพรสวรรค์ไม่มีอะไรแปลกๆเลย เพศของชาติก่อนก็เป็นผู้ชายอะไรประมาณนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนั่นก็คือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตัวตนที่อยู่ตรงนี้มีเพียงแค่เซเลเน่ อาคุยล่าร์เท่านั้น

ในตอนที่ยังไม่เกิดที่ราชอาณาจักรอาคุยล่าร์ ความทรงจำในฐานะคนญี่ปุ่นของเซเลเน่นั้น ก็คิดไว้ว่าชีวิตใหม่นี้จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ แต่ว่าความเป็นจริงนั้นการที่มีความทรงจำในอดีตถือเป็นสิ่งที่ค่อยข้างเป็นปัญหา ถึงจะด้วยการที่ใช้ชีวิตในร่างผู้หญิงมาถึง8ปีแล้วความรู้สึกแปลกๆกับร่างเนื้อก็หายไปแล้ว แต่ว่าปัญหาก็คือด้านจิตใจ

สำหรับเซเลเน่ที่เกิดมาก็มีความทรงจำในอดีตอยู่แล้วนั้น แม่แท้ๆก็เป็นเหมือนกับ[คุณป้าสายเลือดเดียวกันที่ไม่รู้จัก] สำหรับผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าแม่นั้นเธอเลยสร้างระยะห่างเนื่องจากไม่รู้จะต้องคุยอย่างไรดี แถมการกระทำที่เป็นเรื่องที่ควรสำหรับคนญี่ปุ่นนั้น ที่ต่างโลกแล้ว โดยเฉพาะเด็กมันถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ตอนที่เขารู้ตัวคือตอนหลังจากนั้น

แล้วก็เกี่ยวกับเรื่องการพูด สำหรับเซเลเน่แล้วถือเป็นเรื่องยาก
สำหรับเธอที่เรียนภาษาอังกฤษมาถึงหกปีแล้วยังรู้แค่งูๆปลาๆแล้วภาษาต่างโลกนั้น ก็ไม่ต่างกับให้ไปคุยกับมนุษย์ต่างดาวสักนิด

แถมปกติก็ไม่ค่อยได้สัมผัสผู้คนด้วยโอกาสที่จะฝึกก็เลยไม่มี ความลำบากแปดปีนั้น จนในที่สุดก็ฟังได้ก็จริง แต่การนำคำมารวมกันในหัวแล้วพุดออกจากปากนั้นทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผลสุดท้ายก็เลยเป็นพูดได้แต่แบบเด็กอ่อน

แล้วก็ด้วยเรื่องหลายๆอย่างเซเลเน่ก็ถูกองค์ราชินีทำให้กลายเป็นนักโทษ แต่ว่าสำหรับเซเลเน่นั้นถ้าถามว่าความทรงจำในชาติก่อนเป็นคำสาปหรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ สำหรับเซเลเน่สิ่งที่เหลือจากชาติก่อนนั้นถือว่าเป็นดั่งคำอวยพร

ถ้าเกิดเซเลเน่ไม่มีความทรงจำเป็นเด็กสาวธรรมดาล่ะก็คงไม่อาจจะทนการกักกันเช่นนี้ได้แน่ อาจจะบ้าคลั่งไปก็ได้ แต่สำหรับเซเลเน่ที่ชาติก่อนเป็นฮิคิโคโมริอัจฉริยะแล้ว การถูกกักกันแบบตอนนี้ถือเป็นพื้นที่ที่รู้สึกสบายใจเป็นที่สุด

ถึงจะบอกว่ามันคับแคบสกปรกเกินไปสำหรับชนชั้นสูงก็เถอะ แต่เมื่อเทียบกับห้องแฟลตโกโรโกโสที่ตัวเองในอดีตเคยอยู่แล้วถือว่ากว้างและสะอาดกว่ามาก แค่นอนอย่างเดียวก็มีอาหารสามมื้อมาเสริฟถึงที่ แถมไม่จำเป็นต้องแข่งกับเวลา เดินทางหรือไปทำงานอะไร

นอกจากนั้นบางครั้งพี่สาวผู้งดงามและอ่อนโยนก็มาแสดงความเห็นใจ แล้วก็เอาของพวกหนังสืออย่างนิทานภาพหรือขนมมาให้ ยิ่งกว่านั้นยังเอาหน้าอกนุ่มๆหอมๆนั่นมากอดตัวเองอีก สำหรับเซเลเน่ที่โตมาโดยเครียดแค้นคำว่าคริสมาสอีฟและวาเลนไทน์แล้วนั้นราวกับได้เข้าไปในแดนต้องห้ามเลยทีเดียว

หรือก็คือห้องขังที่เรียกว่านรกได้นี่สำหรับเซเลเน่แล้วก็คือสวรรค์ดีๆนั่นเอง แต่ว่าถึงเซเลเน่จะเป็นฮิคิโคโมริของแท้แค่ไหนพอถูกขังอยู่อยู่มาหลายปีในห้องมืดๆทั้งวันคนเดียวแน่นอนว่าสุดท้ายก็ต้องเบื่อ

การมาของอัลเลนั้นถือว่าเป็นการแอบเข้ามาดังนั้นก็เลยมาสักครั้งในรอบหลายวัน แต่ว่าเซเลเน่นั้นก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอะไร–เซเลเน่ยื่นมือออกไปรับเงาสีดำเล็กๆที่เข้ามาใกล้

"มาสิ บัตเลอร์"
[ขอรับ มาตามที่เรียกแล้วขอรับ องค์หญิง]

ร่างจริงของเงาดำก็คือ หนูหนึ่งตัวที่ขนาดพอๆกับฝ่ามือของเซเลเน่
ทั่วร่างปกคลุมด้วยขนมันเงาสีดำ บริเวณคอถึงท้องมีขนสีขาวงอกออกมา แล้วก็บริเวณหน้าอกนั้นติดริบบิ้นสีแดงราวกับว่ากำลังพ่อบ้านสวมชุดทักซิโด้อยู่ สิ่งนี้คือสิ่งที่เซเลเน่เรียกว่าบัตเลอร์

[ไม่ว่ายังไงก็เป็นเรื่องน่าเศร้านะขอรับ คุณพี่สาวก็เป็นผู้ที่งดงามอยู่หรอก แต่ผู้ที่งามเลิศแบบองค์หญิงกับไม่ได้ออกไปงานเต้นรำเนี่ย…]
"ไม่อยากออก สักหน่อย"

บัตเลอร์พึมพำด้วยความไม่พอใจ แต่เซเลเน่ก็ส่ายหน้าให้โดยไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าอะไร ไม่ใช่ว่าเข้มแข็งอะไร แต่สำหรับเธอที่ไม่ชอบการออกสังคมแล้วย่อมไม่อยากที่จะออกไปในแวดวงสังคมภายนอก

[แต่ว่าองค์หญิง! บัตเลอร์ผู้นี้ยังไงก็รับไม่ได้ขอรับ! คนอ่อนโยนแบบองค์หญิงทำไมถึงต้องโดนกระทำแบบนี้กันขอรับ ผู้ที่ยื่นมือมาหากระผมผู้ที่ถูกเรียกว่าสัตว์น่าขยะแขยงมีแต่ท่านแท้ๆนะขอรับ!]
"ไม่ได้อ่อนโยน สักหน่อย"

เทียบกับบัตเลอร์ที่กำลังหัวร้อนเซเลเน่นั้นก็ยังคงใจเย็นตอบ ความจริงตอนที่ได้พบบัตเลอร์ครั้งแรกมันก็ไม่ได้โรแมนติกอะไร ก็แค่เซเลเน่ช่วยบัตเลอร์ออกมาจากกับดักหนูที่ตั้งอยู่มุมห้องเท่านั้นเอง พอได้เห็นหนูที่กำลังกลัวถูกขังในกับดักแคบๆทรมานๆแล้วก็รู้สึกหัวอกเดียวกันขึ้นมา แถมก็ว่างด้วย ก็เลยแค่คิดไว้ว่าจะแอบเลี้ยงดูสักหน่อย

[องค์หญิงผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาที่ช่วยชีวิตของกระผม แบ่งพลัง และมอบสติปัญญามาให้ อา ถ้ากระผมมีพลังของมังกรล่ะก็คงจะสามารถทำลายคุกพรรค์นี้ได้ง่ายๆแท้ๆ!]

เพราะท่าทางแปลกๆของบัตเลอร์ที่กอดขาหน้าร่ายบทกวีอยู่บนฝ่ามือก็ทำให้เซเลเน่ยิ้มออกมา ถึงจะช่วยชีวิตก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้มอบสติปัญญากับพลังให้สักนิด อยู่ๆมันก็เป็นแบบนี้เองเท่านั้น

ราชวงศ์ส่วนใหญ่ในโลกนี้นั้นมีพลังพิเศษที่เรียกว่า[พลังเวท]อยู่
ถึงจะไม่ใช่[เวทมนต์]พวกการโจมตีด้วยลูกไฟหรือสร้างพายุ แต่เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ทำให้แผลรักษาตัวได้เร็วขึ้น เป็นความสามารถที่แตกต่างกับไปตามประเทศ ผนึกประตูที่ขังเซเลเน่ไว้ก็เช่นเดียวกัน

เซเลเน่ที่มีเลือดของเชื้อพระวงศ์นั้น แน่นอนว่ามีความสามารถแบบนั้นอยู่ แต่ว่าเรื่องนั้นแม่แต่เจ้าตัวก็ไม่ล่วงรู้

บัตเลอร์ที่ร่วมกินนอนกับเซเลเน่ แล้วก็ได้รับอาหารจากอาหารที่เหลืออยู่ของเซเลเน่ จนอยู่มาวันหนึ่งก็กลายเป็นหนูที่มีพลังเวทกับความฉลาดไป เพราะฉะนั้นในตอนที่บัตเลอร์อยู่ๆก็พูดออกมานั้นทำเอาเซเลเน่ตกใจจนตัวปลิวเลยทีเดียว

แล้วก็บัตเลอร์ที่มีความฉลาดเหมือนมนุษย์แล้ว สำหรับเซเลเน่ถือเป็นเพื่อที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาแทนได้

ในวันหนึ่ง เขาก็ขอร้องให้เซเลเน่ตั้งชื่อให้ เซเลเน่นั้นมองดูจากรูปร่างสีดำของเขาแล้วมอบนามให้ว่าบัตเลอร์(พ่อบ้าน) ตั้งแต่นั้นมาบัตเลอร์ก็คอยรับใช้อยู่ข้างๆเซเลเน่ และเชื่อฟังคำสั่งประดุจพ่อบ้านจริงๆ

"คำพูดนั้น พอสักที สวรรค์ อยากไป"
[โอ้ นั่นสินะขอรับ! ถ้าอย่างนั้นไม่รีบไม่ได้แล้วสินะขอรับ องค์หญิง เชิญที่ประตูได้เลย]
"อืม"

บัตเลอร์เตรียมพร้อมแล้ว แต่เซเลเน่นั้นไม่ได้ยืนอยู่ที่ประตูเหล็กแต่อย่างใด เธอยืนอยู่หน้าหน้าต่างเล็กๆที่ใช้รับแสงเข้ามา
เธอเขย่งเท้าเต็มที่ ปีนหน้าต่างที่ไม่ค่อยมั่นคงขึ้นไป ก็พบกับจันทร์เต็มดวงส่องประกายสีแสงสีอ่อนๆ

[คืนนี้พระจันทร์สวยจังเลยนะขอรับ จะต้องส่องแสงปกคลุมทางเดินขององค์หญิงอย่างอ่อนโยนแน่นอนขอรับ]

บัตเลอร์กระโดลงจากไหล่ของเซเลเน่ราวกับนักกายกรรม แล้วก็ส่งเสียงร้อง คี๊ เบาๆ หลังจากนั้นก็มีหนูจำนวนมากเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ของเซเลเน่ พวกเขาที่ปกติแล้วจะอาศัยอยู่ในป่านั้นนับถือบัตเลอร์ให้เป็นหัวหน้า

หน่วยคุ้มกับองค์หญิงเซเลเน่ จากที่บัตเลอร์พูดดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น

[พวกนาย ล้างตัวมาดีแล้วสินะ? ห้ามทิ้งขนแม้เพียงเส้นเดียวที่เตียงขององค์หญิงเด็ดขาดนะ!]

บัตเลอร์พูดออกมาด้วยเสียงที่ดูมีภูมิฐาน เหล่าหนูก็ร้องออกมาราวกับแสดงความเคารพ แล้วก็จัดแถวเรียงหนึ่งมุดเข้าไปในเตียงที่เซเลเน่ไว้นอน
ไม่กี่วินาทีต่อมา ผ้าห่มของเซเลเน่ก็นูนขึ้นมา กลายเป็นรูปร่างราวกับว่าเธอกำลังนอนอยู่ในผ้าห่มนั้น ถึงจะอยู่ในระดับแค่วางใจได้ชั่วคราวแต่ก็ถือเป็นการพรางในตอนที่เซเลเน่ไม่อยู่

"งั้น ตัวแทน ฝากด้วย"
[รับทราบขอรับ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้มีช่วงเวลาที่ดีนะขอรับ]

ในห้องนี้นั้นมีทางออกที่เชื่อมกับโลกภายนอกอยู่สองทาง ทางแรกคือประตูเหล็กปิดผนึกแข็งแรง อีกทางหนึ่งก็คือหน้าต่างนี้ ถึงจะเป็นโกดังถูกๆ แต่การลงจากห้องนี้ที่อยู่ชั้นสองนั้นก็สูงในระดับที่ผู้ใหญ่เองยังไม่สามารถที่จะปีนได้ โดยเฉพาะเด็กน้อยเซเลเน่นั้นถ้าไม่มีที่จับล่ะก็ไม่มีทางจะลงไปได้แน่

–ใช่แล้ว ถ้าไม่มีที่จับล่ะก็นะ

"อึ๊บ"

เซเลเน่เอาตัวออกมาจากหน้าต่าง จับเถาไม้เลื้อยที่อยู่ใกล้มือ เถาไม้เลื้อยนั้นค่อยข้างแข็งแรง คนที่ตัวเล็กอย่างเธอแล้วสามารถรับได้หลายคนสบายๆ

สถานที่เซเลเน่อยู่พูดได้ว่าเป็นห้องลับ มีคนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาใกล้ แถมบริเวณรอบๆนี้เองก็ไม่ได้ถูกสนใจมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีแล้ว

ผลของมันก็คือที่กำแพงของห้องที่เซเลเน่อยู่ก็มีเถาไม้เลื่อยงอกปกคลุม ไม่เลื้อยที่พันทันกันหลายชั้นนั้นสำหรับเซเลเน่มันก็ได้กลายเป็นบันไดธรรมชาติไป ราวกับว่าเทพแห่งป่านั้นเห็นใจเด็กน้อยผู้น่าสงสารจึงยื่นมือออกมาช่วยเซเลเน่อย่างไรอย่างนั้น 

แล้วเซเลเน่ก็ออกมาจากหน้าต่าง ปีนกำแพงลงมาโดยใช้ไม้เลื้อย ในตอนแรกนั้นก็ค่อนข้างรู้สึกกลัวแต่ตอนนี้ก็ชินซะแล้ว ใช้เวลาไม่นานเซเลเน่ก็ลงมายืนบนหญ้านุ่มๆ แล้วก็สูดอากาศบริสุทธิ์ของป่าเข้าไปเต็มปอด

เซเลเน่ที่ร่างกายไม่มีเม็ดสีใดๆแล้ว แสงแดดที่เจิดจ้าก็เหมือนกับพิษร้าย แต่ว่าแสงจันทร์อ่อนๆนั้นคุลมร่างของเซเลเน่อย่างอ่อนโยน เซเลเน่นั้นได้กลายเป็นผู้ที่ปกครองในโลกแห่งราตรีที่ราวกับประเทศในเทศนิยายที่มีตนอยู่เพียงคนเดียว

แล้วก็ในตอนที่ก้าวขาออกไปก้าวหนึ่ง ในฝั่งตรงข้ามของหมู่ไม้ก็มีเสียงดนตรีที่จับใจแล้วก็พระราชวังที่ส่องแสงเจิดจ้าจนเห็นได้ในยามค่ำคืน ถึงจะงดงามเป็นปกติอยู่แล้ว แต่วันนี้นั้นเปล่งประกายยิ่งกว่าทุกๆวันอีก ตอนนี้จัดงานปาร์ตี้ต้อนรับใหญ่โตเพื่อต้อนรับองค์ชายที่ว่าอยู่

"องค์ชายศักดิ์สิทธิ์…" (คนแปลเสริม せいおうじ(ที่พูดช่องนี้)=聖王子(องค์ชายศักดิ์สิทธิ์)=性王子(องค์ชายโรคจิต) อ่านเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกันนะครับ เข้าใจแล้วก็อ่านต่อครับ)

กระซิบอย่างนั้น เซเลเน่ก็ทำหน้าราวกับกำลังเคี้ยวแมลง

เรื่องเกี่ยวกับองค์ชายก็ได้ยินมาจากอัลเลหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่เมื่อก่อน ดูเหมือนว่าจะลือกันว่าจะมีคิ้วที่งดงาม เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ แล้วก็ได้ชื่อที่เหมือนเรื่องโกหกว่าองค์ชายแห่งประเทศมหาอำนาจแห่งหนึ่ง หรือว่าเป็นองค์ชายศักดิ์สิทธิ์ผู้อยู่ในลู่ทาง ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะกำลังอยู่ในการเดินทางครั้งใหญ่เพื่อตามหาคู่หูที่เหมาะสมกับตัวเองอยู่

ทุกครั้งที่นึกถึงคำพูดนั้นเซเลเน่ก็รู้สึกโกรธจนกระเพาะไหม้ ถ้ามีสเปคขนาดนั้นต่อให้ไม่หาเองก็สามารถรวบรวมภรรยามาใช้แล้วทิ้งได้ตามใจชอบแล้วแท้ๆ เซเลเน่ที่รู้ดีถึงความรู้สึกของผู้ชายที่ไม่มีใครเอายิ่งกว่าใครในโลกนั้นได้แต่เดาะลิ้นด้วยความเกลียดชัง

"แก ไอ้องค์ชายโรคจิต"

อะไรกันไอ้องค์ชายเสเพล ที่ถูกเรียกว่าองค์ชายศักดิ์สิทธิ์เนี่ยมันก็ไม่เห็นต่างอะไรกับองค์ชายโรคจิต ทั้งๆที่ไม่เคยเจอกันสักครั้ง แต่เซเลเน่ก็ตัดสินเอาเอง แล้วก็เกลียดเอาเองซะแล้ว

"ท่านพี่ จะเป็นไรหรือเปล่า"

จะองค์ชายศักดิ์สิทธิ์หรือองค์ชายโรคจิตก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตนสักนิด เซเลเน่นั้นรู้สึกเป็นห่วงเรื่องของพี่สาว เสด็จพี่ผู้ใสซื่ออ่อนโยนคนนั้น ยอมทำทุกอย่างเพื่อตนอย่างเร่งรีบจนจะถูกเขี้ยวพิษเล่นงานเอาได้ไม่ใช่หรือไงกัน

ถึงอย่างนั้นเรื่องที่ตนทำได้ก็ไม่มี สำหรับเซเลเน่ ทั้งองค์ชาย ทั้งปาร์ตี้เลิศหรู มันก็ไม่ต่างจากเรื่องเล่าในพระราชวังแห่งหนึ่งเลยสักนิด

เซเลเน่ถอนหายใจออกมา เขย่าหัวเพื่อเปลี่ยนความรู้สึกตัวเอง การเคลื่อนไหวข้างนอกของตนเองนั้นมีเวลาแค่จนกว่าจะถึงพลบค่ำที่จะไม่มีใครมาพบเท่านั้น ฉะนั้นก็มาให้ความสำคัญกับการสนุกไปกับความเป็นจริงดีกว่า

เป้าหมายก็คือสถานที่ที่เซเลเน่กับบัตเลอร์เรียกกันว่า[สวรรค์]
เซเลเน่สะบัดความคิดที่อยู่ในหัวทิ้งไป แล้วก็มุ่งเข้าไปข้างในป่าที่รู้จักดี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 2 พ่อบ้านหนู

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 2 พ่อบ้านหนู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เซเลเน่ อาคุยล่าร์นั้นมีความทรงจำของชาติก่อนอยู่

ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรที่สำคัญขนาดนั้น ประเทศที่เกิดก็คือญี่ปุ่น คนธรรมดาที่ไม่มีพรสวรรค์ไม่มีอะไรแปลกๆเลย เพศของชาติก่อนก็เป็นผู้ชายอะไรประมาณนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนั่นก็คือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตัวตนที่อยู่ตรงนี้มีเพียงแค่เซเลเน่ อาคุยล่าร์เท่านั้น

ในตอนที่ยังไม่เกิดที่ราชอาณาจักรอาคุยล่าร์ ความทรงจำในฐานะคนญี่ปุ่นของเซเลเน่นั้น ก็คิดไว้ว่าชีวิตใหม่นี้จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ แต่ว่าความเป็นจริงนั้นการที่มีความทรงจำในอดีตถือเป็นสิ่งที่ค่อยข้างเป็นปัญหา ถึงจะด้วยการที่ใช้ชีวิตในร่างผู้หญิงมาถึง8ปีแล้วความรู้สึกแปลกๆกับร่างเนื้อก็หายไปแล้ว แต่ว่าปัญหาก็คือด้านจิตใจ

สำหรับเซเลเน่ที่เกิดมาก็มีความทรงจำในอดีตอยู่แล้วนั้น แม่แท้ๆก็เป็นเหมือนกับ[คุณป้าสายเลือดเดียวกันที่ไม่รู้จัก] สำหรับผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าแม่นั้นเธอเลยสร้างระยะห่างเนื่องจากไม่รู้จะต้องคุยอย่างไรดี แถมการกระทำที่เป็นเรื่องที่ควรสำหรับคนญี่ปุ่นนั้น ที่ต่างโลกแล้ว โดยเฉพาะเด็กมันถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ตอนที่เขารู้ตัวคือตอนหลังจากนั้น

แล้วก็เกี่ยวกับเรื่องการพูด สำหรับเซเลเน่แล้วถือเป็นเรื่องยาก
สำหรับเธอที่เรียนภาษาอังกฤษมาถึงหกปีแล้วยังรู้แค่งูๆปลาๆแล้วภาษาต่างโลกนั้น ก็ไม่ต่างกับให้ไปคุยกับมนุษย์ต่างดาวสักนิด

แถมปกติก็ไม่ค่อยได้สัมผัสผู้คนด้วยโอกาสที่จะฝึกก็เลยไม่มี ความลำบากแปดปีนั้น จนในที่สุดก็ฟังได้ก็จริง แต่การนำคำมารวมกันในหัวแล้วพุดออกจากปากนั้นทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผลสุดท้ายก็เลยเป็นพูดได้แต่แบบเด็กอ่อน

แล้วก็ด้วยเรื่องหลายๆอย่างเซเลเน่ก็ถูกองค์ราชินีทำให้กลายเป็นนักโทษ แต่ว่าสำหรับเซเลเน่นั้นถ้าถามว่าความทรงจำในชาติก่อนเป็นคำสาปหรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ สำหรับเซเลเน่สิ่งที่เหลือจากชาติก่อนนั้นถือว่าเป็นดั่งคำอวยพร

ถ้าเกิดเซเลเน่ไม่มีความทรงจำเป็นเด็กสาวธรรมดาล่ะก็คงไม่อาจจะทนการกักกันเช่นนี้ได้แน่ อาจจะบ้าคลั่งไปก็ได้ แต่สำหรับเซเลเน่ที่ชาติก่อนเป็นฮิคิโคโมริอัจฉริยะแล้ว การถูกกักกันแบบตอนนี้ถือเป็นพื้นที่ที่รู้สึกสบายใจเป็นที่สุด

ถึงจะบอกว่ามันคับแคบสกปรกเกินไปสำหรับชนชั้นสูงก็เถอะ แต่เมื่อเทียบกับห้องแฟลตโกโรโกโสที่ตัวเองในอดีตเคยอยู่แล้วถือว่ากว้างและสะอาดกว่ามาก แค่นอนอย่างเดียวก็มีอาหารสามมื้อมาเสริฟถึงที่ แถมไม่จำเป็นต้องแข่งกับเวลา เดินทางหรือไปทำงานอะไร

นอกจากนั้นบางครั้งพี่สาวผู้งดงามและอ่อนโยนก็มาแสดงความเห็นใจ แล้วก็เอาของพวกหนังสืออย่างนิทานภาพหรือขนมมาให้ ยิ่งกว่านั้นยังเอาหน้าอกนุ่มๆหอมๆนั่นมากอดตัวเองอีก สำหรับเซเลเน่ที่โตมาโดยเครียดแค้นคำว่าคริสมาสอีฟและวาเลนไทน์แล้วนั้นราวกับได้เข้าไปในแดนต้องห้ามเลยทีเดียว

หรือก็คือห้องขังที่เรียกว่านรกได้นี่สำหรับเซเลเน่แล้วก็คือสวรรค์ดีๆนั่นเอง แต่ว่าถึงเซเลเน่จะเป็นฮิคิโคโมริของแท้แค่ไหนพอถูกขังอยู่อยู่มาหลายปีในห้องมืดๆทั้งวันคนเดียวแน่นอนว่าสุดท้ายก็ต้องเบื่อ

การมาของอัลเลนั้นถือว่าเป็นการแอบเข้ามาดังนั้นก็เลยมาสักครั้งในรอบหลายวัน แต่ว่าเซเลเน่นั้นก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอะไร–เซเลเน่ยื่นมือออกไปรับเงาสีดำเล็กๆที่เข้ามาใกล้

"มาสิ บัตเลอร์"
[ขอรับ มาตามที่เรียกแล้วขอรับ องค์หญิง]

ร่างจริงของเงาดำก็คือ หนูหนึ่งตัวที่ขนาดพอๆกับฝ่ามือของเซเลเน่
ทั่วร่างปกคลุมด้วยขนมันเงาสีดำ บริเวณคอถึงท้องมีขนสีขาวงอกออกมา แล้วก็บริเวณหน้าอกนั้นติดริบบิ้นสีแดงราวกับว่ากำลังพ่อบ้านสวมชุดทักซิโด้อยู่ สิ่งนี้คือสิ่งที่เซเลเน่เรียกว่าบัตเลอร์

[ไม่ว่ายังไงก็เป็นเรื่องน่าเศร้านะขอรับ คุณพี่สาวก็เป็นผู้ที่งดงามอยู่หรอก แต่ผู้ที่งามเลิศแบบองค์หญิงกับไม่ได้ออกไปงานเต้นรำเนี่ย…]
"ไม่อยากออก สักหน่อย"

บัตเลอร์พึมพำด้วยความไม่พอใจ แต่เซเลเน่ก็ส่ายหน้าให้โดยไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าอะไร ไม่ใช่ว่าเข้มแข็งอะไร แต่สำหรับเธอที่ไม่ชอบการออกสังคมแล้วย่อมไม่อยากที่จะออกไปในแวดวงสังคมภายนอก

[แต่ว่าองค์หญิง! บัตเลอร์ผู้นี้ยังไงก็รับไม่ได้ขอรับ! คนอ่อนโยนแบบองค์หญิงทำไมถึงต้องโดนกระทำแบบนี้กันขอรับ ผู้ที่ยื่นมือมาหากระผมผู้ที่ถูกเรียกว่าสัตว์น่าขยะแขยงมีแต่ท่านแท้ๆนะขอรับ!]
"ไม่ได้อ่อนโยน สักหน่อย"

เทียบกับบัตเลอร์ที่กำลังหัวร้อนเซเลเน่นั้นก็ยังคงใจเย็นตอบ ความจริงตอนที่ได้พบบัตเลอร์ครั้งแรกมันก็ไม่ได้โรแมนติกอะไร ก็แค่เซเลเน่ช่วยบัตเลอร์ออกมาจากกับดักหนูที่ตั้งอยู่มุมห้องเท่านั้นเอง พอได้เห็นหนูที่กำลังกลัวถูกขังในกับดักแคบๆทรมานๆแล้วก็รู้สึกหัวอกเดียวกันขึ้นมา แถมก็ว่างด้วย ก็เลยแค่คิดไว้ว่าจะแอบเลี้ยงดูสักหน่อย

[องค์หญิงผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาที่ช่วยชีวิตของกระผม แบ่งพลัง และมอบสติปัญญามาให้ อา ถ้ากระผมมีพลังของมังกรล่ะก็คงจะสามารถทำลายคุกพรรค์นี้ได้ง่ายๆแท้ๆ!]

เพราะท่าทางแปลกๆของบัตเลอร์ที่กอดขาหน้าร่ายบทกวีอยู่บนฝ่ามือก็ทำให้เซเลเน่ยิ้มออกมา ถึงจะช่วยชีวิตก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้มอบสติปัญญากับพลังให้สักนิด อยู่ๆมันก็เป็นแบบนี้เองเท่านั้น

ราชวงศ์ส่วนใหญ่ในโลกนี้นั้นมีพลังพิเศษที่เรียกว่า[พลังเวท]อยู่
ถึงจะไม่ใช่[เวทมนต์]พวกการโจมตีด้วยลูกไฟหรือสร้างพายุ แต่เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ทำให้แผลรักษาตัวได้เร็วขึ้น เป็นความสามารถที่แตกต่างกับไปตามประเทศ ผนึกประตูที่ขังเซเลเน่ไว้ก็เช่นเดียวกัน

เซเลเน่ที่มีเลือดของเชื้อพระวงศ์นั้น แน่นอนว่ามีความสามารถแบบนั้นอยู่ แต่ว่าเรื่องนั้นแม่แต่เจ้าตัวก็ไม่ล่วงรู้

บัตเลอร์ที่ร่วมกินนอนกับเซเลเน่ แล้วก็ได้รับอาหารจากอาหารที่เหลืออยู่ของเซเลเน่ จนอยู่มาวันหนึ่งก็กลายเป็นหนูที่มีพลังเวทกับความฉลาดไป เพราะฉะนั้นในตอนที่บัตเลอร์อยู่ๆก็พูดออกมานั้นทำเอาเซเลเน่ตกใจจนตัวปลิวเลยทีเดียว

แล้วก็บัตเลอร์ที่มีความฉลาดเหมือนมนุษย์แล้ว สำหรับเซเลเน่ถือเป็นเพื่อที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาแทนได้

ในวันหนึ่ง เขาก็ขอร้องให้เซเลเน่ตั้งชื่อให้ เซเลเน่นั้นมองดูจากรูปร่างสีดำของเขาแล้วมอบนามให้ว่าบัตเลอร์(พ่อบ้าน) ตั้งแต่นั้นมาบัตเลอร์ก็คอยรับใช้อยู่ข้างๆเซเลเน่ และเชื่อฟังคำสั่งประดุจพ่อบ้านจริงๆ

"คำพูดนั้น พอสักที สวรรค์ อยากไป"
[โอ้ นั่นสินะขอรับ! ถ้าอย่างนั้นไม่รีบไม่ได้แล้วสินะขอรับ องค์หญิง เชิญที่ประตูได้เลย]
"อืม"

บัตเลอร์เตรียมพร้อมแล้ว แต่เซเลเน่นั้นไม่ได้ยืนอยู่ที่ประตูเหล็กแต่อย่างใด เธอยืนอยู่หน้าหน้าต่างเล็กๆที่ใช้รับแสงเข้ามา
เธอเขย่งเท้าเต็มที่ ปีนหน้าต่างที่ไม่ค่อยมั่นคงขึ้นไป ก็พบกับจันทร์เต็มดวงส่องประกายสีแสงสีอ่อนๆ

[คืนนี้พระจันทร์สวยจังเลยนะขอรับ จะต้องส่องแสงปกคลุมทางเดินขององค์หญิงอย่างอ่อนโยนแน่นอนขอรับ]

บัตเลอร์กระโดลงจากไหล่ของเซเลเน่ราวกับนักกายกรรม แล้วก็ส่งเสียงร้อง คี๊ เบาๆ หลังจากนั้นก็มีหนูจำนวนมากเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ของเซเลเน่ พวกเขาที่ปกติแล้วจะอาศัยอยู่ในป่านั้นนับถือบัตเลอร์ให้เป็นหัวหน้า

หน่วยคุ้มกับองค์หญิงเซเลเน่ จากที่บัตเลอร์พูดดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น

[พวกนาย ล้างตัวมาดีแล้วสินะ? ห้ามทิ้งขนแม้เพียงเส้นเดียวที่เตียงขององค์หญิงเด็ดขาดนะ!]

บัตเลอร์พูดออกมาด้วยเสียงที่ดูมีภูมิฐาน เหล่าหนูก็ร้องออกมาราวกับแสดงความเคารพ แล้วก็จัดแถวเรียงหนึ่งมุดเข้าไปในเตียงที่เซเลเน่ไว้นอน
ไม่กี่วินาทีต่อมา ผ้าห่มของเซเลเน่ก็นูนขึ้นมา กลายเป็นรูปร่างราวกับว่าเธอกำลังนอนอยู่ในผ้าห่มนั้น ถึงจะอยู่ในระดับแค่วางใจได้ชั่วคราวแต่ก็ถือเป็นการพรางในตอนที่เซเลเน่ไม่อยู่

"งั้น ตัวแทน ฝากด้วย"
[รับทราบขอรับ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้มีช่วงเวลาที่ดีนะขอรับ]

ในห้องนี้นั้นมีทางออกที่เชื่อมกับโลกภายนอกอยู่สองทาง ทางแรกคือประตูเหล็กปิดผนึกแข็งแรง อีกทางหนึ่งก็คือหน้าต่างนี้ ถึงจะเป็นโกดังถูกๆ แต่การลงจากห้องนี้ที่อยู่ชั้นสองนั้นก็สูงในระดับที่ผู้ใหญ่เองยังไม่สามารถที่จะปีนได้ โดยเฉพาะเด็กน้อยเซเลเน่นั้นถ้าไม่มีที่จับล่ะก็ไม่มีทางจะลงไปได้แน่

–ใช่แล้ว ถ้าไม่มีที่จับล่ะก็นะ

"อึ๊บ"

เซเลเน่เอาตัวออกมาจากหน้าต่าง จับเถาไม้เลื้อยที่อยู่ใกล้มือ เถาไม้เลื้อยนั้นค่อยข้างแข็งแรง คนที่ตัวเล็กอย่างเธอแล้วสามารถรับได้หลายคนสบายๆ

สถานที่เซเลเน่อยู่พูดได้ว่าเป็นห้องลับ มีคนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาใกล้ แถมบริเวณรอบๆนี้เองก็ไม่ได้ถูกสนใจมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีแล้ว

ผลของมันก็คือที่กำแพงของห้องที่เซเลเน่อยู่ก็มีเถาไม้เลื่อยงอกปกคลุม ไม่เลื้อยที่พันทันกันหลายชั้นนั้นสำหรับเซเลเน่มันก็ได้กลายเป็นบันไดธรรมชาติไป ราวกับว่าเทพแห่งป่านั้นเห็นใจเด็กน้อยผู้น่าสงสารจึงยื่นมือออกมาช่วยเซเลเน่อย่างไรอย่างนั้น 

แล้วเซเลเน่ก็ออกมาจากหน้าต่าง ปีนกำแพงลงมาโดยใช้ไม้เลื้อย ในตอนแรกนั้นก็ค่อนข้างรู้สึกกลัวแต่ตอนนี้ก็ชินซะแล้ว ใช้เวลาไม่นานเซเลเน่ก็ลงมายืนบนหญ้านุ่มๆ แล้วก็สูดอากาศบริสุทธิ์ของป่าเข้าไปเต็มปอด

เซเลเน่ที่ร่างกายไม่มีเม็ดสีใดๆแล้ว แสงแดดที่เจิดจ้าก็เหมือนกับพิษร้าย แต่ว่าแสงจันทร์อ่อนๆนั้นคุลมร่างของเซเลเน่อย่างอ่อนโยน เซเลเน่นั้นได้กลายเป็นผู้ที่ปกครองในโลกแห่งราตรีที่ราวกับประเทศในเทศนิยายที่มีตนอยู่เพียงคนเดียว

แล้วก็ในตอนที่ก้าวขาออกไปก้าวหนึ่ง ในฝั่งตรงข้ามของหมู่ไม้ก็มีเสียงดนตรีที่จับใจแล้วก็พระราชวังที่ส่องแสงเจิดจ้าจนเห็นได้ในยามค่ำคืน ถึงจะงดงามเป็นปกติอยู่แล้ว แต่วันนี้นั้นเปล่งประกายยิ่งกว่าทุกๆวันอีก ตอนนี้จัดงานปาร์ตี้ต้อนรับใหญ่โตเพื่อต้อนรับองค์ชายที่ว่าอยู่

"องค์ชายศักดิ์สิทธิ์…" (คนแปลเสริม せいおうじ(ที่พูดช่องนี้)=聖王子(องค์ชายศักดิ์สิทธิ์)=性王子(องค์ชายโรคจิต) อ่านเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกันนะครับ เข้าใจแล้วก็อ่านต่อครับ)

กระซิบอย่างนั้น เซเลเน่ก็ทำหน้าราวกับกำลังเคี้ยวแมลง

เรื่องเกี่ยวกับองค์ชายก็ได้ยินมาจากอัลเลหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่เมื่อก่อน ดูเหมือนว่าจะลือกันว่าจะมีคิ้วที่งดงาม เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ แล้วก็ได้ชื่อที่เหมือนเรื่องโกหกว่าองค์ชายแห่งประเทศมหาอำนาจแห่งหนึ่ง หรือว่าเป็นองค์ชายศักดิ์สิทธิ์ผู้อยู่ในลู่ทาง ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะกำลังอยู่ในการเดินทางครั้งใหญ่เพื่อตามหาคู่หูที่เหมาะสมกับตัวเองอยู่

ทุกครั้งที่นึกถึงคำพูดนั้นเซเลเน่ก็รู้สึกโกรธจนกระเพาะไหม้ ถ้ามีสเปคขนาดนั้นต่อให้ไม่หาเองก็สามารถรวบรวมภรรยามาใช้แล้วทิ้งได้ตามใจชอบแล้วแท้ๆ เซเลเน่ที่รู้ดีถึงความรู้สึกของผู้ชายที่ไม่มีใครเอายิ่งกว่าใครในโลกนั้นได้แต่เดาะลิ้นด้วยความเกลียดชัง

"แก ไอ้องค์ชายโรคจิต"

อะไรกันไอ้องค์ชายเสเพล ที่ถูกเรียกว่าองค์ชายศักดิ์สิทธิ์เนี่ยมันก็ไม่เห็นต่างอะไรกับองค์ชายโรคจิต ทั้งๆที่ไม่เคยเจอกันสักครั้ง แต่เซเลเน่ก็ตัดสินเอาเอง แล้วก็เกลียดเอาเองซะแล้ว

"ท่านพี่ จะเป็นไรหรือเปล่า"

จะองค์ชายศักดิ์สิทธิ์หรือองค์ชายโรคจิตก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตนสักนิด เซเลเน่นั้นรู้สึกเป็นห่วงเรื่องของพี่สาว เสด็จพี่ผู้ใสซื่ออ่อนโยนคนนั้น ยอมทำทุกอย่างเพื่อตนอย่างเร่งรีบจนจะถูกเขี้ยวพิษเล่นงานเอาได้ไม่ใช่หรือไงกัน

ถึงอย่างนั้นเรื่องที่ตนทำได้ก็ไม่มี สำหรับเซเลเน่ ทั้งองค์ชาย ทั้งปาร์ตี้เลิศหรู มันก็ไม่ต่างจากเรื่องเล่าในพระราชวังแห่งหนึ่งเลยสักนิด

เซเลเน่ถอนหายใจออกมา เขย่าหัวเพื่อเปลี่ยนความรู้สึกตัวเอง การเคลื่อนไหวข้างนอกของตนเองนั้นมีเวลาแค่จนกว่าจะถึงพลบค่ำที่จะไม่มีใครมาพบเท่านั้น ฉะนั้นก็มาให้ความสำคัญกับการสนุกไปกับความเป็นจริงดีกว่า

เป้าหมายก็คือสถานที่ที่เซเลเน่กับบัตเลอร์เรียกกันว่า[สวรรค์]
เซเลเน่สะบัดความคิดที่อยู่ในหัวทิ้งไป แล้วก็มุ่งเข้าไปข้างในป่าที่รู้จักดี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+