[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 26 อยากกลับบ้าน

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 26 อยากกลับบ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 26

อยากกลับบ้าน

 

 

“อุว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”

 

   ถูกหลอกซะแล้ว เซเลนคิดเช่นนั้นและล้มลุกคลุกคลานอยู่ภายในดงดอกไม้และต้นหญ้า มิลาน รวมถึงบัตเลอร์ที่แอบมองผ่านหน้าต่างบนรถม้า รู้สึกประหลาดใจกับการแสดงออกที่ราวกับกำลังอาละวาดของเซเลนที่พวกเขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน

 

“เซเลน เป็นอะไรไป?”

 

  มิลานร้อนลนและกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปหา มือของคุมะฮาจิก็จับไหล่ของมิลานไว้

 

“องค์ชาย ท่านเซเลนกำลังดื่มด่ำอยู่กับความรื่นรมย์ ท่านอย่าได้เข้าไปขัดจังหวะเลยขอรับ”

“นั่น……”

 

  จากคำพูดของคุมะฮาจิ มิลานมองไปยังเซเลนอีกครั้งและพิจารณา

  เซเลนยังคงกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างรุนแรงอยู่กลางดงดอกไม้ และตะโกนอะไรบางอย่าง

   ถึงจะรู้สึกตกใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเซเลน แต่ถ้าทำความเข้าใจแล้วก็จะรู้ได้ว่าเธอกำลังแสดงออกถึงความสุขด้วยภาษากาย มันคือการกระทำที่ปลดปล่อยออกไปตามอารมณ์

 

“นั่นสินะ ผมเองก็ยังต้องทำความเข้าใจเรื่องของเซเลนอีกมาก”

 

  มิลานหัวเราะออกมาเบาๆ ถูกต้องแล้ว เพราะเธอสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้ยาก เธอจึงไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของเธอได้ดีนัก ดังนั้น เธอจึงแสดงออกด้วยการกระทำแทนที่จะใช้คำพูด

 

  วันก่อนตอนที่เขาออกไปยังสถานศึกษาโดยไม่ได้บอกกล่าวก็เหมือนกัน และยังมีตอนที่เขาอุ้มเธอขึ้นมากะทันหันที่วัลเบิร์ต ก็ทำให้เธออารมณ์เสียจึงโดนตบกลับมา

 

“ให้ท่านเซเลนได้อยู่คนเดียวกับสิ่งที่ชอบสักพักดีกว่านะขอรับ”

“อือ ปล่อยให้ระบายออกมาอย่างเต็มที่เลยสินะ มันก็คือเหตุผลที่มาที่นี่อยู่แล้วด้วย”

[“ได้เห็นองค์หญิงมีความสุขขนาดนี้แล้ว บัตเลอร์คนนี้… บัตเลอร์คนนี้ ปลาบปลื้มจนสรรหาคำพูดไม่ได้เลยครับ”]

 

  นอกจากสองคนนั้นแล้ว ยังมีบัตเลอร์ที่แอบดูอยู่จากในรถม้า ยกขาหน้าขึ้นมาปาดน้ำตาแห่งความยินดี ในที่สุดก็มีโอกาสได้เห็นเจ้านายที่โดนคุมขังอยู่ในห้องแคบๆสกปรกๆมาโดยตลอด ได้วิ่งเล่นอย่างอิสระสนุกสนานในทุ่งดอกไม้หลากสีสัน เป็นภาพที่เขาต้องการเห็นมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด

 

“ไอ้บ้าเอ๊ย…”

 

   หลังจากเซเลนกลิ้งไถลและอาละวาดอยู่ในดงดอกไม้เหมือนกับเครื่องตัดหญ้าที่หลุดการควบคุม ในที่สุดก็หมดเรี่ยวแรง ล้มตัวลงนอนอยู่กับที่และหอบหายใจ

 

  ไอ้เจ้าชายผู้ชั่วร้ายนั่น มาหลอกกันได้ สวนแห่งยูริที่ไหนกัน นี่มันทุ่งดอกลิลลี่ชัดๆ เซเลนตัวสั่นเพราะความอัปยศที่ได้รับในครั้งนี้ มือยังคงกำพงหญ้าเอาไว้ สาปแช่งและสบถด้วยคำที่ไม่มีใครฟังออก เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้คาดหวังไว้สูงมากทำให้รู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง

 

   ใจเย็นก่อน ใจเย็นๆสิ เซเลน อาร์คุยล่า ถ้าล้มเจ็ดครั้งก็ต้องลุกขึ้นมาเจ็ดหน เซเลนบอกกับตัวเองแบบนั้นและตั้งสติเพื่อรวบรวมสมาธิทีละน้อยและเริ่มคิดอย่างมีเหตุผล

 

   ในตอนนี้ ถ้าคิดในอีกมุมหนึ่งล่ะก็ แทนที่จะมองหาดินแดนแห่งสาวงาม ก็คิดซะว่าเป็นการท่องเที่ยวชมทิวทัศน์อันสวยงามตระการตา ก็จะเห็นได้ว่า ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม มีพืชพรรณอันสวยงาม ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า มีดอกลิลลี่สีขาวเป็นหลัก สรวงสวรรค์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ งดงามเกินคำบรรยาย พอคิดได้แบบนี้ก็ทำให้จิตใจก็สงบขึ้นมาได้บ้าง มันคือสถานที่ที่ดี เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจของทุกคน หรืออาจจะยกเว้นเซเลน

 

  หลังจากที่เซเลนทำใจได้แล้ว เธอก็กลับไปหามิลานด้วยท่าทีปรกติ เธอปัดเศษหญ้าที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าและเส้นผมของเธอ

 

“มีอะไรเหรอครับ? ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในปราสาท เพราะฉะนั้นจะเล่นสนุกแค่ไหนก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ”

“ไม่ได้เล่นสนุกสักหน่อย”

“หึหึ เซเลน หน้าแดงอยู่นะครับ”

 

   ใบหน้าของเซเลนยังคงแดงอยู่แม้พยายามระงับไฟแห่งความแค้นไปมากแล้ว เนื่องจากผิวกายที่ขาวดุจหิมะ เพียงแค่ทำให้เลือดลมสูบฉีดแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้แก้มเปลี่ยนเป็นสีชมพูได้แล้ว มิลานคิดว่า เพราะเซเลนต้องการถูกปฏิบัติอย่างผู้หญิงคนหนึ่งอยู่เสมอ พอถูกเห็นการแสดงออกที่สมวัยจึงรู้สึกเขินอาย เขายิ้มให้กับเซเลนที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่

 

“อย่ามาเยาะเย้ยนะ!”

 

  เซเลนเห็นรอยยิ้มนั้นเป็นการล้อเลียนจึงตะโกนตอบกลับไป มิลานคิดว่าเธอไม่อยากให้พูดถึงด้านที่น่าอาย เขาก็ได้แต่ยักไหล่ พอเซเลนเห็นท่าทีเช่นนั้นก็คิดจะเข้าไปกระโดดต่อยเสยปลายคางสักหมัดแต่ก็อดทนเอาไว้ได้ เพราะจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้เจ้าชายโกรธเอาไว้ก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกิดเหตุการณ์อะไรให้พี่สาวตกอยู่ในอันตราย

 

“จะไปดู ตรงนั้น”

“งั้นเหรอครับ เดี๋ยวพวกผมจะตั้งค่ายพักแรมกันก่อน อย่าไปไกลเกินไปนะครับ”

“เข้าใจแล้ว”

 

  เซเลนฝืนยิ้มและพูดออกไป จากนั้นก็วิ่งไปทางตาน้ำที่อยู่กลางทุ่งดอกไม้ ถึงภายนอกจะดูเหมือนโมโห แต่ก็คงอยากไปชื่นชมดอกไม้โดยเร็วที่สุด เมื่อคิดเช่นนั้น มิลานก็อนุญาตให้เธอทำตามใจชอบได้เท่าที่ต้องการ แต่จริงๆแล้วเซเลนต้องการที่จะถอยห่างออกไปให้เร็วที่สุดเพราะเกรงว่าตนเองจะไม่สามารถนิ่งเฉย อดทนฝืนยิ้มต่อหน้ามิลานได้อีก

 

“คุมะฮาจิ”

“รับทราบ”

 

   เมื่อมิลานพูดออกไปสั้นๆแค่นั้น คุมะฮาจิก็เข้าใจในทันที เขาคาดดาบไว้ที่เอวและเดินตามเซเลนไป ไม่ว่าสถานที่แห่งนี้จะสวยงามและเงียบสงบเพียงใด แต่ดินแดนแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาอาศัยอยู่ได้ และที่นี่ก็อยู่ติดกับป่าสีขาว ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าเอลฟ์ และสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักอีกหลายชนิด ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอันตรายจะมาจากทางไหนและเมื่อไหร่ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา คุมะฮาจิจึงถูกเรียกให้มาเป็นผู้คุ้มกัน

 

   คุมะฮาจิยืนอยู่ตรงนั้น ผสานกับความว่างเปล่าไม่ให้รับรู้ถึงตัวตน รักษาระยะห่างให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้รบกวนช่วงเวลาส่วนตัวของเซเลน แต่ก็ใกล้พอที่จะตอบสนองต่อทุกเหตุการณ์ได้ท้น เซเลนที่ไม่รู้ตัวในเรื่องนั้นเลย ก็ได้เดินผ่านแดนดอกไม้และมาหยุดอยู่ที่บริเวณริมแอ่งของตาน้ำ จากนั้นเธอก็หยิบกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นอยู่แถวนั้นมาวาดเป็นเส้นที่พื้นดิน

 

 “(วาดรูปเล่นอยู่รึ?)”

 

   คุมะฮาจิชำเลืองมองเซเลนที่กำลังวาดรูปเล่นอยู่และยิ้มออกมา แต่จริงๆแล้วเซเลนกำลังหงุดหงิดและพยายามลากทางน้ำจากแอ่งไปยังรังมดที่อยู่ใกล้ๆ

 

“…ไม่ได้เรื่อง”

 

  มีระยะห่างพอสมควรจากแอ่งน้ำถึงรังมด และไม่กี่นาทีต่อมาเซเลนก็รู้ตัวว่ากำลังใช้ความพยายามไปกับเรื่องที่ไม่มีความหมาย เธอจึงปากิ่งไม้ทิ้งไปที่พงหญ้าใกล้ๆ ดังนั้น ความสงบสุขของมดทั้งรังจึงได้ดำเนินต่อไป

 

   เซเลนเอนตัวลงนอนลงบนดอกไม้และผืนหญ้า ถ้าพูดว่าความงดงามงามของธรรมชาติอังยิ่งใหญ่ มันก็ฟังดูดีอยู่หรอก แต่พอเอาเข้าจริงมันก็คือต้นไม้ต้นหญ้าธรรมดานี่เอง และตอนที่นอนอยู่นี่ก็มีกิ้งกือกระสุนและแมลงอะไรสักอย่างที่ไม่รู้จัก ไต่ขึ้นมาตามเสื้อผ้าและใบหน้า ทำให้ระดับความน่ารำคาญขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ยังไงซะที่นอนที่ดีที่สุดก็คือเตียงที่ถูกสร้างมาเพื่อการนั้นโดยเฉพาะอยู่แล้ว 

 

“เฮ้อ…”

 

   เซเลนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามและก้อนเมฆสีขาวและถอนหายใจออกมา เพราะมันตรงข้ามกับภายในใจของเซเลนในตอนนี้ที่มีแต่เมฆหมอกดำมืด ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอยู่กลางนภา มอบความอบอุ่นให้แก่แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ เซเลนที่ร่างกายสีขาวบริสุทธิ์ยิ่งดูโดดเด่นภายใต้แสงอาทิตย์นี้ คุมะฮาจิที่เฝ้าดูอยู่ก็ยังคิดว่าภูติฤดูใบไม้ผลิก็คงจะงดงามประมาณนี้

 

“สว่างเกินไป”

 

   แสงอาทิตย์ในที่โล่ง จ้าเกินไปจนทำให้เซเลนตาพร่าจนต้องหรี่ตามอง ชุดที่สวมอยู่ก็มีผลของเวทย์มนต์ทำให้สามารถปกป้องเธอจากแสงแดดได้ระดับหนึ่ง แต่ร่างกายของเซเลนก็ไม่ถูกกับแสงแดดอยู่ดี แสงอาทิตย์ที่สว่างไสวเป็นประกาย มักถูกใช้สื่อถึงสุขภาพที่ดีและความหวัง แต่ที่เซเลนเห็น มันคือรังสีอันตราย

 

  ถึงการอาบแดดจะทำให้สุขภาพดี แต่ถ้ามากเกินไปก็ทำให้เจ็บป่วยได้เหมือนกัน เซเลนคิดว่าทำไมเธอถึงต้องมาตกอยู่ใสสภาพนี้ด้วย ทันใดนั้นก็รําลึกถึงช่างเวลาที่อาร์คุยล่าบ้านเกินขึ้นมาได้

 

   ที่ที่คนอื่นเรียกว่านรกนั่นจริงๆแล้วเป็นสวรรค์สำหรับเซเลน การที่ไม่ต้องออกไปไหนก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะยังไงเซเลนก็เป็นคนที่ชอบเก็บตัวอยู่แล้ว อาหารที่ได้รับ ถึงจะมองว่าไม่คู่ควรสำหรับราชวงศ์ แต่ก็ยังดีและมีประโยชน์กว่าข้าวหน้าเนื้อที่กินทุกมื้ออย่างในชีวิตที่แล้ว

 

   ตอนที่แอบออกไปเล่นในสวนก็สนุกดี เนื่องจากที่อาร์คุยล่ามีคนสวนแก่ๆเพียงคนเดียวและเขาจะจัดสวนอย่างชุ่ยๆและมักง่ายทุกครั้ง เซเลนก็ใช้ประโยชน์จากสวนที่รกเป็นป่านั้นปลูกพืชแปลกๆที่ไม่รู้จักมาตลอด

 

  บางทีถ้าไปขอกับราชา ชวาน เขาก็อาจจะให้ทำอะไรได้บ้าง แต่ที่นั่นเป็นประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องมีบุคลากรชั้นยอดอยู่หลายคนรวมถึงคนสวนด้วย ถ้ามือสมัครเล่นแบบเธอไปยุ่มย่ามมันจะดูไม่ดี

 

  ที่แย่ที่สุดก็ตรงที่ไม่สามารถเจอพี่สาวสุดที่รักได้ จากที่เคยได้เจอกันทุกๆสองถึงสามวัน พอมาตอนนี้เธอไม่สามารถพบกับพี่สาวได้เลย

 

   เซเลนที่ใบหน้าหดหู่ยันตัวขึ้นนั่งและหันหลังกลับไปทางเดิม ก็มองเห็นกลุ่มผู้ติดตามกำลังตั้งเต็นท์และก่อเตาแบบง่ายๆ และเหมือนมิลานจะเป็นคนสั่งการอยู่ พวกเขาทำงานด้วยบรรยากาศร่าเริงแข็งขัน

 

“อืม ไม่ไหว”

 

  เซเลนเห็นแล้วก็เอามือกุมขมับ เมื่อคิดว่าตัวเองต้องมาใช้ชีวิตกับนักกีฬาที่แสนจะคึกคักกลุ่มนี้ต่อไปอีกหลายวันก็รู้สึกคลื่นไส้ เธอรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ไปรวมกลุ่มทำกิจกรรมที่ไม่ชอบในระหว่างการทัศนศึกษาของโรงเรียนหรือเทศกาลกีฬาสี

 

“อยากกลับบ้านแล้ว…”

 

   ความคาดหวังถึงสวนแห่งยูริก็ถูกทำลายย่อยยับไปแล้ว แล้วยังต้องมาเข้าค่ายรวมกลุ่มกับพวกที่อยู่ข้างหลังนี่อีก เซเลนมีอาการของคนคิดถึงบ้านขึ้นมาและเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทั้งน้ำตา ถ้ารู้ว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ ตอนนั้นปฏิเสธไปเลยยังจะดีซะกว่า ถึงจะกลับไปอาร์คุยล่าไม่ได้ ก็ขอกลับไปที่ห้องนอนในเฮลิฟาเต้และได้นอนต่อไปอีกสิบห้าชั่วโมงก็พอ

 

  ในตอนนี้ก็มองเห็นมังกรแดงจากระยะไกลบินอยู่บนท้องฟ้าอีกครั้ง ดูเหมือนมันจะใช้เส้นทางเดิมเป็นประจำทุกวัน พอพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าก็บินลงใต้ และพอบ่ายก็บินกลับขึ้นเหนือ

 

“มังกร ก็ดีนะ…”

 

   เซเลนพูดกับตัวเองออกมาเบาๆ ถ้าเป็นมังกรก็จะสามารถโบยบินไปทั่วทั้งทวีปได้ตามต้องการ พอคิดอย่างนี้แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ จริงๆแล้วมังกรนี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ อยากทำอะไรก็ทำได้อย่างอิสระ ความจริงแล้วเซเลนที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่ไม่ต้องทำอะไร รวมถึงตอนนี้ก็ด้วย ก็ถือว่ามีอิสระพอตัวอยู่แล้ว แต่เรื่องนั้นก็ถูกเธอเมินไปโดยสมบูรณ์

 

  ถ้าขี่มังกรได้ก็อยากจะพาอาลัวออกจากที่นั่นและไปใช้ชีวิดอยู่ด้วยกันในดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักพวกเรา ตามฉากจบที่ดีของความรักต้องห้าม

 

  แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่มีทางหลีกหนีความจริงที่กำลังประสบอยู่ตอนนี้ได้ เซเลนส่ายหัวปฏิเสธความคิดนั้น และเริ่มสังเกตเห็นคุมะฮาจิอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก เมื่อเธอหันไปมองคุมะฮาจิตรงๆ คุมะฮาจิก็เบือนหน้าหนีเพื่อหลบสายตา เพราะคุมะฮาจิถูกไหว้วานให้มาเป็นผู้คุ้มกันเฉพาะกิจ เขาจึงไม่อยากให้เซเลนรู้สึกอึดอัดใจจากความไม่เป็นส่วนตัวที่ต้องถูกจับตามอง

 

   แต่ในความเข้าใจของเซเลน คุมะฮาจิคือชายแก่ที่น่าสงสาร ไม่มีใครสนใจ ถูกกีดกันและแบ่งแยกจนคุมะฮาจิไปรวมกลุ่มกับคนอื่นไม่ได้ ต้องถอยออกมาอยู่ห่างๆ ‘อยากคุยกับเซเลนแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้…’ ต้องคอยรักษาระยะห่างจากผู้อื่น เป็นคนซื่อๆที่คุยกับผู้หญิงไม่เป็น ตัวคนเดียวที่ทั้งชีวิตนี้มีแต่ดาบเท่านั้น เซเลนเข้าใจความเจ็บปวดนั้นดี อย่างไรก็ตาม ที่จริงคุมะฮาจิไม่ใช่ชายแก่และไม่ได้โดดเดี่ยวเลย และที่สำคัญ เขาไม่มีปัญหาหรือรู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆด้วย

 

“เอาเถอะ ก็เพราะเป็น พวกเดียวกัน ”

 

   เซเลนมีความรู้สึกว่า ‘คุมะฮาจินี่น้า! ถ้าฉันไม่อยู่แล้วคงทำอะไรไม่เป็นเลยสินะ!’  และตัดสินใจเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนด้วยความเห็นอกเห็นใจ ทั้งๆที่ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้

 

  แม้ว่ารูปร่างภายนอกในตอนนี้จะเป็นเด็กผู้หญิง แต่ยังไงระหว่างชายแก่ด้วยกันก็น่าจะมีสายสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่สื่อให้เข้าใจกันได้ อย่างน้อย การที่ได้คุยกับคุมะฮาจิก็ดีต่อสภาพจิตใจของเธอมากว่ากลุ่มที่ส่งเสียงเฮฮาพลังงานล้นเหลือตรงนั้น เซเลนคิดอยู่ในใจและลุกขึ้นยืน

 

[“เด็กน้อย เจ้าอยากกลับบ้านใช่ไหม?”]

 

   ทันทีที่ยืนขึ้น เซเลนก็ได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นหู ดังก้องอยู่ในหัว เซเลนมองไปรอบๆด้วยดวงตาสีแดงของเธอ แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครอยู่ที่นี่อีก

 

“ใครน่ะ อยู่ไหน!?”

[“มองขึ้นมาสิ ข้ากำลังคุยอยู่กับเจ้าจากบนนี้”]

 

   เซเลนเงยหน้ามองหาตามที่ถูกบอก ก็เห็นมังกรแดงที่เคยเห็นเป็นประจำ ขยับปีกบินอยู่กับที่ ทำให้ดูเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่กำลังลอยอยู่มากกว่าสิ่งมีชีวิตกำลังบิน เซเลนหันไปทางคุมะฮาจิเพื่อดูว่าเขาได้ยินหรือไม่ แต่เขาก็แค่เงยหน้ามอง กับมีท่าทีระแวดระวังเล็กน้อย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆเป็นพิเศษ

 

[“ข้าทำให้คลื่นของพลังเวทย์ตรงกับพลังเวทย์ของเจ้าเท่านั้น ไม่มีใครอื่นได้ยินเสียงของข้านอกจากเจ้า และสิ่งที่เจ้าจะพูดก็ไม่มีใครได้ยิน อย่าได้วิตกไปเลย แสดงความรู้สึกจากใจออกมาให้เต็มที่เถอะ”]

“อือ”

 

  เซเลนยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆ ก็เพราะในโลกนี้ แม้แต่หนูยังพูดได้ ถ้ามังกรจะพูดได้บ้างมันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่เคยมีมังกรที่ไหนพูดคุยกับเธอมาก่อน เซเลนจึงเอียงคอเพราะรู้สึกสับสนอยู่บ้าง

 

[“เด็กน้อย ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินที่บอกว่าอยากกลับบ้าน นั่นคือความปรารถนาของเจ้าใช่หรือไม่?”]

 

   มังกรพูดด้วยเสียงที่เหมือนอยากจะโอ้อวด ถามเพื่อยืนยันในสิ่งที่เธอพูด แน่นอนว่าถ้าเซเลนกลับได้ก็จะกลับ จะได้ไปกินของว่างอร่อยๆ อาหารร้อนๆ และนอนบนเตียงนุ่มๆที่อุ่นสบาย

 

“ใช่ อยากกลับบ้าน”

[“อย่างงั้นรึ…”]

 

 หลังจากทั้งคู่นิ่งเงียบไปสักพัก มังกรก็พยักหน้า

 

[“ถ้าอย่างงั้น บ้านเกิดของเจ้า ข้าจะพากลับไปเอง”]

“เอ๋…? อ๊ะ เดี๋ยว!?”

 

   ทันทีที่มันพูดจบ มังกรแดงก็พุ่งดิ่งลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงแหวกอากาศดังสนั่น พื้นดินสั่นสะเทือน และสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ก็ลงมาอยู่ต่อหน้าเซเลน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 26 อยากกลับบ้าน

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 26 อยากกลับบ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 26

อยากกลับบ้าน

 

 

“อุว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”

 

   ถูกหลอกซะแล้ว เซเลนคิดเช่นนั้นและล้มลุกคลุกคลานอยู่ภายในดงดอกไม้และต้นหญ้า มิลาน รวมถึงบัตเลอร์ที่แอบมองผ่านหน้าต่างบนรถม้า รู้สึกประหลาดใจกับการแสดงออกที่ราวกับกำลังอาละวาดของเซเลนที่พวกเขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน

 

“เซเลน เป็นอะไรไป?”

 

  มิลานร้อนลนและกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปหา มือของคุมะฮาจิก็จับไหล่ของมิลานไว้

 

“องค์ชาย ท่านเซเลนกำลังดื่มด่ำอยู่กับความรื่นรมย์ ท่านอย่าได้เข้าไปขัดจังหวะเลยขอรับ”

“นั่น……”

 

  จากคำพูดของคุมะฮาจิ มิลานมองไปยังเซเลนอีกครั้งและพิจารณา

  เซเลนยังคงกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างรุนแรงอยู่กลางดงดอกไม้ และตะโกนอะไรบางอย่าง

   ถึงจะรู้สึกตกใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเซเลน แต่ถ้าทำความเข้าใจแล้วก็จะรู้ได้ว่าเธอกำลังแสดงออกถึงความสุขด้วยภาษากาย มันคือการกระทำที่ปลดปล่อยออกไปตามอารมณ์

 

“นั่นสินะ ผมเองก็ยังต้องทำความเข้าใจเรื่องของเซเลนอีกมาก”

 

  มิลานหัวเราะออกมาเบาๆ ถูกต้องแล้ว เพราะเธอสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้ยาก เธอจึงไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของเธอได้ดีนัก ดังนั้น เธอจึงแสดงออกด้วยการกระทำแทนที่จะใช้คำพูด

 

  วันก่อนตอนที่เขาออกไปยังสถานศึกษาโดยไม่ได้บอกกล่าวก็เหมือนกัน และยังมีตอนที่เขาอุ้มเธอขึ้นมากะทันหันที่วัลเบิร์ต ก็ทำให้เธออารมณ์เสียจึงโดนตบกลับมา

 

“ให้ท่านเซเลนได้อยู่คนเดียวกับสิ่งที่ชอบสักพักดีกว่านะขอรับ”

“อือ ปล่อยให้ระบายออกมาอย่างเต็มที่เลยสินะ มันก็คือเหตุผลที่มาที่นี่อยู่แล้วด้วย”

[“ได้เห็นองค์หญิงมีความสุขขนาดนี้แล้ว บัตเลอร์คนนี้… บัตเลอร์คนนี้ ปลาบปลื้มจนสรรหาคำพูดไม่ได้เลยครับ”]

 

  นอกจากสองคนนั้นแล้ว ยังมีบัตเลอร์ที่แอบดูอยู่จากในรถม้า ยกขาหน้าขึ้นมาปาดน้ำตาแห่งความยินดี ในที่สุดก็มีโอกาสได้เห็นเจ้านายที่โดนคุมขังอยู่ในห้องแคบๆสกปรกๆมาโดยตลอด ได้วิ่งเล่นอย่างอิสระสนุกสนานในทุ่งดอกไม้หลากสีสัน เป็นภาพที่เขาต้องการเห็นมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด

 

“ไอ้บ้าเอ๊ย…”

 

   หลังจากเซเลนกลิ้งไถลและอาละวาดอยู่ในดงดอกไม้เหมือนกับเครื่องตัดหญ้าที่หลุดการควบคุม ในที่สุดก็หมดเรี่ยวแรง ล้มตัวลงนอนอยู่กับที่และหอบหายใจ

 

  ไอ้เจ้าชายผู้ชั่วร้ายนั่น มาหลอกกันได้ สวนแห่งยูริที่ไหนกัน นี่มันทุ่งดอกลิลลี่ชัดๆ เซเลนตัวสั่นเพราะความอัปยศที่ได้รับในครั้งนี้ มือยังคงกำพงหญ้าเอาไว้ สาปแช่งและสบถด้วยคำที่ไม่มีใครฟังออก เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้คาดหวังไว้สูงมากทำให้รู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง

 

   ใจเย็นก่อน ใจเย็นๆสิ เซเลน อาร์คุยล่า ถ้าล้มเจ็ดครั้งก็ต้องลุกขึ้นมาเจ็ดหน เซเลนบอกกับตัวเองแบบนั้นและตั้งสติเพื่อรวบรวมสมาธิทีละน้อยและเริ่มคิดอย่างมีเหตุผล

 

   ในตอนนี้ ถ้าคิดในอีกมุมหนึ่งล่ะก็ แทนที่จะมองหาดินแดนแห่งสาวงาม ก็คิดซะว่าเป็นการท่องเที่ยวชมทิวทัศน์อันสวยงามตระการตา ก็จะเห็นได้ว่า ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม มีพืชพรรณอันสวยงาม ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า มีดอกลิลลี่สีขาวเป็นหลัก สรวงสวรรค์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ งดงามเกินคำบรรยาย พอคิดได้แบบนี้ก็ทำให้จิตใจก็สงบขึ้นมาได้บ้าง มันคือสถานที่ที่ดี เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจของทุกคน หรืออาจจะยกเว้นเซเลน

 

  หลังจากที่เซเลนทำใจได้แล้ว เธอก็กลับไปหามิลานด้วยท่าทีปรกติ เธอปัดเศษหญ้าที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าและเส้นผมของเธอ

 

“มีอะไรเหรอครับ? ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในปราสาท เพราะฉะนั้นจะเล่นสนุกแค่ไหนก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ”

“ไม่ได้เล่นสนุกสักหน่อย”

“หึหึ เซเลน หน้าแดงอยู่นะครับ”

 

   ใบหน้าของเซเลนยังคงแดงอยู่แม้พยายามระงับไฟแห่งความแค้นไปมากแล้ว เนื่องจากผิวกายที่ขาวดุจหิมะ เพียงแค่ทำให้เลือดลมสูบฉีดแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้แก้มเปลี่ยนเป็นสีชมพูได้แล้ว มิลานคิดว่า เพราะเซเลนต้องการถูกปฏิบัติอย่างผู้หญิงคนหนึ่งอยู่เสมอ พอถูกเห็นการแสดงออกที่สมวัยจึงรู้สึกเขินอาย เขายิ้มให้กับเซเลนที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่

 

“อย่ามาเยาะเย้ยนะ!”

 

  เซเลนเห็นรอยยิ้มนั้นเป็นการล้อเลียนจึงตะโกนตอบกลับไป มิลานคิดว่าเธอไม่อยากให้พูดถึงด้านที่น่าอาย เขาก็ได้แต่ยักไหล่ พอเซเลนเห็นท่าทีเช่นนั้นก็คิดจะเข้าไปกระโดดต่อยเสยปลายคางสักหมัดแต่ก็อดทนเอาไว้ได้ เพราะจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้เจ้าชายโกรธเอาไว้ก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกิดเหตุการณ์อะไรให้พี่สาวตกอยู่ในอันตราย

 

“จะไปดู ตรงนั้น”

“งั้นเหรอครับ เดี๋ยวพวกผมจะตั้งค่ายพักแรมกันก่อน อย่าไปไกลเกินไปนะครับ”

“เข้าใจแล้ว”

 

  เซเลนฝืนยิ้มและพูดออกไป จากนั้นก็วิ่งไปทางตาน้ำที่อยู่กลางทุ่งดอกไม้ ถึงภายนอกจะดูเหมือนโมโห แต่ก็คงอยากไปชื่นชมดอกไม้โดยเร็วที่สุด เมื่อคิดเช่นนั้น มิลานก็อนุญาตให้เธอทำตามใจชอบได้เท่าที่ต้องการ แต่จริงๆแล้วเซเลนต้องการที่จะถอยห่างออกไปให้เร็วที่สุดเพราะเกรงว่าตนเองจะไม่สามารถนิ่งเฉย อดทนฝืนยิ้มต่อหน้ามิลานได้อีก

 

“คุมะฮาจิ”

“รับทราบ”

 

   เมื่อมิลานพูดออกไปสั้นๆแค่นั้น คุมะฮาจิก็เข้าใจในทันที เขาคาดดาบไว้ที่เอวและเดินตามเซเลนไป ไม่ว่าสถานที่แห่งนี้จะสวยงามและเงียบสงบเพียงใด แต่ดินแดนแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาอาศัยอยู่ได้ และที่นี่ก็อยู่ติดกับป่าสีขาว ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าเอลฟ์ และสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักอีกหลายชนิด ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอันตรายจะมาจากทางไหนและเมื่อไหร่ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา คุมะฮาจิจึงถูกเรียกให้มาเป็นผู้คุ้มกัน

 

   คุมะฮาจิยืนอยู่ตรงนั้น ผสานกับความว่างเปล่าไม่ให้รับรู้ถึงตัวตน รักษาระยะห่างให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้รบกวนช่วงเวลาส่วนตัวของเซเลน แต่ก็ใกล้พอที่จะตอบสนองต่อทุกเหตุการณ์ได้ท้น เซเลนที่ไม่รู้ตัวในเรื่องนั้นเลย ก็ได้เดินผ่านแดนดอกไม้และมาหยุดอยู่ที่บริเวณริมแอ่งของตาน้ำ จากนั้นเธอก็หยิบกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นอยู่แถวนั้นมาวาดเป็นเส้นที่พื้นดิน

 

 “(วาดรูปเล่นอยู่รึ?)”

 

   คุมะฮาจิชำเลืองมองเซเลนที่กำลังวาดรูปเล่นอยู่และยิ้มออกมา แต่จริงๆแล้วเซเลนกำลังหงุดหงิดและพยายามลากทางน้ำจากแอ่งไปยังรังมดที่อยู่ใกล้ๆ

 

“…ไม่ได้เรื่อง”

 

  มีระยะห่างพอสมควรจากแอ่งน้ำถึงรังมด และไม่กี่นาทีต่อมาเซเลนก็รู้ตัวว่ากำลังใช้ความพยายามไปกับเรื่องที่ไม่มีความหมาย เธอจึงปากิ่งไม้ทิ้งไปที่พงหญ้าใกล้ๆ ดังนั้น ความสงบสุขของมดทั้งรังจึงได้ดำเนินต่อไป

 

   เซเลนเอนตัวลงนอนลงบนดอกไม้และผืนหญ้า ถ้าพูดว่าความงดงามงามของธรรมชาติอังยิ่งใหญ่ มันก็ฟังดูดีอยู่หรอก แต่พอเอาเข้าจริงมันก็คือต้นไม้ต้นหญ้าธรรมดานี่เอง และตอนที่นอนอยู่นี่ก็มีกิ้งกือกระสุนและแมลงอะไรสักอย่างที่ไม่รู้จัก ไต่ขึ้นมาตามเสื้อผ้าและใบหน้า ทำให้ระดับความน่ารำคาญขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ยังไงซะที่นอนที่ดีที่สุดก็คือเตียงที่ถูกสร้างมาเพื่อการนั้นโดยเฉพาะอยู่แล้ว 

 

“เฮ้อ…”

 

   เซเลนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามและก้อนเมฆสีขาวและถอนหายใจออกมา เพราะมันตรงข้ามกับภายในใจของเซเลนในตอนนี้ที่มีแต่เมฆหมอกดำมืด ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอยู่กลางนภา มอบความอบอุ่นให้แก่แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ เซเลนที่ร่างกายสีขาวบริสุทธิ์ยิ่งดูโดดเด่นภายใต้แสงอาทิตย์นี้ คุมะฮาจิที่เฝ้าดูอยู่ก็ยังคิดว่าภูติฤดูใบไม้ผลิก็คงจะงดงามประมาณนี้

 

“สว่างเกินไป”

 

   แสงอาทิตย์ในที่โล่ง จ้าเกินไปจนทำให้เซเลนตาพร่าจนต้องหรี่ตามอง ชุดที่สวมอยู่ก็มีผลของเวทย์มนต์ทำให้สามารถปกป้องเธอจากแสงแดดได้ระดับหนึ่ง แต่ร่างกายของเซเลนก็ไม่ถูกกับแสงแดดอยู่ดี แสงอาทิตย์ที่สว่างไสวเป็นประกาย มักถูกใช้สื่อถึงสุขภาพที่ดีและความหวัง แต่ที่เซเลนเห็น มันคือรังสีอันตราย

 

  ถึงการอาบแดดจะทำให้สุขภาพดี แต่ถ้ามากเกินไปก็ทำให้เจ็บป่วยได้เหมือนกัน เซเลนคิดว่าทำไมเธอถึงต้องมาตกอยู่ใสสภาพนี้ด้วย ทันใดนั้นก็รําลึกถึงช่างเวลาที่อาร์คุยล่าบ้านเกินขึ้นมาได้

 

   ที่ที่คนอื่นเรียกว่านรกนั่นจริงๆแล้วเป็นสวรรค์สำหรับเซเลน การที่ไม่ต้องออกไปไหนก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะยังไงเซเลนก็เป็นคนที่ชอบเก็บตัวอยู่แล้ว อาหารที่ได้รับ ถึงจะมองว่าไม่คู่ควรสำหรับราชวงศ์ แต่ก็ยังดีและมีประโยชน์กว่าข้าวหน้าเนื้อที่กินทุกมื้ออย่างในชีวิตที่แล้ว

 

   ตอนที่แอบออกไปเล่นในสวนก็สนุกดี เนื่องจากที่อาร์คุยล่ามีคนสวนแก่ๆเพียงคนเดียวและเขาจะจัดสวนอย่างชุ่ยๆและมักง่ายทุกครั้ง เซเลนก็ใช้ประโยชน์จากสวนที่รกเป็นป่านั้นปลูกพืชแปลกๆที่ไม่รู้จักมาตลอด

 

  บางทีถ้าไปขอกับราชา ชวาน เขาก็อาจจะให้ทำอะไรได้บ้าง แต่ที่นั่นเป็นประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องมีบุคลากรชั้นยอดอยู่หลายคนรวมถึงคนสวนด้วย ถ้ามือสมัครเล่นแบบเธอไปยุ่มย่ามมันจะดูไม่ดี

 

  ที่แย่ที่สุดก็ตรงที่ไม่สามารถเจอพี่สาวสุดที่รักได้ จากที่เคยได้เจอกันทุกๆสองถึงสามวัน พอมาตอนนี้เธอไม่สามารถพบกับพี่สาวได้เลย

 

   เซเลนที่ใบหน้าหดหู่ยันตัวขึ้นนั่งและหันหลังกลับไปทางเดิม ก็มองเห็นกลุ่มผู้ติดตามกำลังตั้งเต็นท์และก่อเตาแบบง่ายๆ และเหมือนมิลานจะเป็นคนสั่งการอยู่ พวกเขาทำงานด้วยบรรยากาศร่าเริงแข็งขัน

 

“อืม ไม่ไหว”

 

  เซเลนเห็นแล้วก็เอามือกุมขมับ เมื่อคิดว่าตัวเองต้องมาใช้ชีวิตกับนักกีฬาที่แสนจะคึกคักกลุ่มนี้ต่อไปอีกหลายวันก็รู้สึกคลื่นไส้ เธอรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ไปรวมกลุ่มทำกิจกรรมที่ไม่ชอบในระหว่างการทัศนศึกษาของโรงเรียนหรือเทศกาลกีฬาสี

 

“อยากกลับบ้านแล้ว…”

 

   ความคาดหวังถึงสวนแห่งยูริก็ถูกทำลายย่อยยับไปแล้ว แล้วยังต้องมาเข้าค่ายรวมกลุ่มกับพวกที่อยู่ข้างหลังนี่อีก เซเลนมีอาการของคนคิดถึงบ้านขึ้นมาและเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทั้งน้ำตา ถ้ารู้ว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ ตอนนั้นปฏิเสธไปเลยยังจะดีซะกว่า ถึงจะกลับไปอาร์คุยล่าไม่ได้ ก็ขอกลับไปที่ห้องนอนในเฮลิฟาเต้และได้นอนต่อไปอีกสิบห้าชั่วโมงก็พอ

 

  ในตอนนี้ก็มองเห็นมังกรแดงจากระยะไกลบินอยู่บนท้องฟ้าอีกครั้ง ดูเหมือนมันจะใช้เส้นทางเดิมเป็นประจำทุกวัน พอพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าก็บินลงใต้ และพอบ่ายก็บินกลับขึ้นเหนือ

 

“มังกร ก็ดีนะ…”

 

   เซเลนพูดกับตัวเองออกมาเบาๆ ถ้าเป็นมังกรก็จะสามารถโบยบินไปทั่วทั้งทวีปได้ตามต้องการ พอคิดอย่างนี้แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ จริงๆแล้วมังกรนี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ อยากทำอะไรก็ทำได้อย่างอิสระ ความจริงแล้วเซเลนที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่ไม่ต้องทำอะไร รวมถึงตอนนี้ก็ด้วย ก็ถือว่ามีอิสระพอตัวอยู่แล้ว แต่เรื่องนั้นก็ถูกเธอเมินไปโดยสมบูรณ์

 

  ถ้าขี่มังกรได้ก็อยากจะพาอาลัวออกจากที่นั่นและไปใช้ชีวิดอยู่ด้วยกันในดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักพวกเรา ตามฉากจบที่ดีของความรักต้องห้าม

 

  แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่มีทางหลีกหนีความจริงที่กำลังประสบอยู่ตอนนี้ได้ เซเลนส่ายหัวปฏิเสธความคิดนั้น และเริ่มสังเกตเห็นคุมะฮาจิอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก เมื่อเธอหันไปมองคุมะฮาจิตรงๆ คุมะฮาจิก็เบือนหน้าหนีเพื่อหลบสายตา เพราะคุมะฮาจิถูกไหว้วานให้มาเป็นผู้คุ้มกันเฉพาะกิจ เขาจึงไม่อยากให้เซเลนรู้สึกอึดอัดใจจากความไม่เป็นส่วนตัวที่ต้องถูกจับตามอง

 

   แต่ในความเข้าใจของเซเลน คุมะฮาจิคือชายแก่ที่น่าสงสาร ไม่มีใครสนใจ ถูกกีดกันและแบ่งแยกจนคุมะฮาจิไปรวมกลุ่มกับคนอื่นไม่ได้ ต้องถอยออกมาอยู่ห่างๆ ‘อยากคุยกับเซเลนแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้…’ ต้องคอยรักษาระยะห่างจากผู้อื่น เป็นคนซื่อๆที่คุยกับผู้หญิงไม่เป็น ตัวคนเดียวที่ทั้งชีวิตนี้มีแต่ดาบเท่านั้น เซเลนเข้าใจความเจ็บปวดนั้นดี อย่างไรก็ตาม ที่จริงคุมะฮาจิไม่ใช่ชายแก่และไม่ได้โดดเดี่ยวเลย และที่สำคัญ เขาไม่มีปัญหาหรือรู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆด้วย

 

“เอาเถอะ ก็เพราะเป็น พวกเดียวกัน ”

 

   เซเลนมีความรู้สึกว่า ‘คุมะฮาจินี่น้า! ถ้าฉันไม่อยู่แล้วคงทำอะไรไม่เป็นเลยสินะ!’  และตัดสินใจเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนด้วยความเห็นอกเห็นใจ ทั้งๆที่ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้

 

  แม้ว่ารูปร่างภายนอกในตอนนี้จะเป็นเด็กผู้หญิง แต่ยังไงระหว่างชายแก่ด้วยกันก็น่าจะมีสายสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่สื่อให้เข้าใจกันได้ อย่างน้อย การที่ได้คุยกับคุมะฮาจิก็ดีต่อสภาพจิตใจของเธอมากว่ากลุ่มที่ส่งเสียงเฮฮาพลังงานล้นเหลือตรงนั้น เซเลนคิดอยู่ในใจและลุกขึ้นยืน

 

[“เด็กน้อย เจ้าอยากกลับบ้านใช่ไหม?”]

 

   ทันทีที่ยืนขึ้น เซเลนก็ได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นหู ดังก้องอยู่ในหัว เซเลนมองไปรอบๆด้วยดวงตาสีแดงของเธอ แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครอยู่ที่นี่อีก

 

“ใครน่ะ อยู่ไหน!?”

[“มองขึ้นมาสิ ข้ากำลังคุยอยู่กับเจ้าจากบนนี้”]

 

   เซเลนเงยหน้ามองหาตามที่ถูกบอก ก็เห็นมังกรแดงที่เคยเห็นเป็นประจำ ขยับปีกบินอยู่กับที่ ทำให้ดูเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่กำลังลอยอยู่มากกว่าสิ่งมีชีวิตกำลังบิน เซเลนหันไปทางคุมะฮาจิเพื่อดูว่าเขาได้ยินหรือไม่ แต่เขาก็แค่เงยหน้ามอง กับมีท่าทีระแวดระวังเล็กน้อย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆเป็นพิเศษ

 

[“ข้าทำให้คลื่นของพลังเวทย์ตรงกับพลังเวทย์ของเจ้าเท่านั้น ไม่มีใครอื่นได้ยินเสียงของข้านอกจากเจ้า และสิ่งที่เจ้าจะพูดก็ไม่มีใครได้ยิน อย่าได้วิตกไปเลย แสดงความรู้สึกจากใจออกมาให้เต็มที่เถอะ”]

“อือ”

 

  เซเลนยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆ ก็เพราะในโลกนี้ แม้แต่หนูยังพูดได้ ถ้ามังกรจะพูดได้บ้างมันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่เคยมีมังกรที่ไหนพูดคุยกับเธอมาก่อน เซเลนจึงเอียงคอเพราะรู้สึกสับสนอยู่บ้าง

 

[“เด็กน้อย ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินที่บอกว่าอยากกลับบ้าน นั่นคือความปรารถนาของเจ้าใช่หรือไม่?”]

 

   มังกรพูดด้วยเสียงที่เหมือนอยากจะโอ้อวด ถามเพื่อยืนยันในสิ่งที่เธอพูด แน่นอนว่าถ้าเซเลนกลับได้ก็จะกลับ จะได้ไปกินของว่างอร่อยๆ อาหารร้อนๆ และนอนบนเตียงนุ่มๆที่อุ่นสบาย

 

“ใช่ อยากกลับบ้าน”

[“อย่างงั้นรึ…”]

 

 หลังจากทั้งคู่นิ่งเงียบไปสักพัก มังกรก็พยักหน้า

 

[“ถ้าอย่างงั้น บ้านเกิดของเจ้า ข้าจะพากลับไปเอง”]

“เอ๋…? อ๊ะ เดี๋ยว!?”

 

   ทันทีที่มันพูดจบ มังกรแดงก็พุ่งดิ่งลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงแหวกอากาศดังสนั่น พื้นดินสั่นสะเทือน และสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ก็ลงมาอยู่ต่อหน้าเซเลน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+