[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 30 หัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์ กี

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 30 หัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์ กี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 30

หัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์ กี

 

 

“อุ… ?”

 

   เซเลนลืมตาตืนขึ้นมา ส่งเสียงเบาๆก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง สัมผัสที่ฝ่ามือทำให้เซเลนเข้าใจได้ว่าเธอกำลังนอนอยู่บนที่นอนยัดไส้ใบไม้

 

   ขยี้ตาที่ยังไม่เปิดเต็มที่ มองไปรอบๆและเอื้อมมือไปจับผนังด้านที่อยู่ใกล้ที่สุด ผนังทำจากไม้แต่มีความหยาบ ไม่เรียบสม่ำเสมอเหมือนบ้านไม้ทั่วไปแต่ก็เป็นอาคารไม้แน่ๆ ผนังแต่ละด้านก็ลาดเอียงไม่เท่ากัน ถูกเจาะเป็นช่องเล็กๆหลายที่เพื่อรับแสงจากภายนอก โครงสร้างของอาคารหลังนี้เละเทะจนอยากไปต่อว่าคนที่ออกแบบ

 

“ที่นี่ ที่ไหน?”

 

  ความทรงจำมีถึงตอนที่ถูกเอลฟ์โจมตี รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว จะว่าไป ตอนนี้บัตเลอร์ตอนนี้เป็นยังไงบ้างนะ

 

[“องค์หญิง! รู้สึกตัวแล้ว!?”]

“อุหวา!?”

 

   เสียงดังๆที่พูดออกมากะทันหัน ทำให้เซเลนตกใจจนสะดุ้งโหยง เมื่อก้มไปดูใกล้ๆข้างเตียงของเซเลนมีลังไม้ใบเล็ก ปูพื้นด้วยฟางและมีบัตเลอร์ทึ่ถูกเถาวัลย์พันไว้ อยู่ในลังนั้น

 

“บัตเลอร์ เป็นยังไงบ้าง?”

[“กระผมสบายดีครับ สภาพที่เห็นนี้เกิดจากความประมาทของกระผมเอง ต้องขออภัยอย่างยิ่ง”]

“ไม่เป็นไร”

 

   เซเลนปลอบบัตเลอร์อย่างสบายๆ เพราะในช่วงเวลานั้นตัวเธอเองไม่สามารถทำอะไรได้เลย ส่วนบัตเลอร์ได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าเป็นมิลานในสถานการณ์เดียวกันมาพูดว่า ‘ขอโทษครับ ผมประมาทเอง’ การตอบรับก็จะเปลี่ยนไปเป็น ‘ไอ้บ้าเอ๊ย!’

 

 เซเลนหยิบบัตเลอร์ออกมาจากลัง และพยายามแกะเถาวัลย์ออก แต่เถาวัลย์มัดแน่นจนแกะไม่ออกและเธอก็ไม่แข็งแรงพอที่จะฉีกเถาวัลย์เหนียวๆนี้ได้ ในขณะที่พยายามอยู่นั้น ประตูของห้องนี้ก็เปิดออก

 

“อ๊ะ ตื่นแล้วเหรอ?”

 

   หญิงสาวชาวเอลฟ์ที่เห็นเมื่อวานเข้ามาในห้องพร้อมกับแสงแดดในยามเช้า แต่งกายด้วยผ้าคลุมสีขาวห่อหุ้มรอบตัว ร่างเล็กบอบบางน่าทะนุถนอม เมื่อได้มาเห็นใกล้ๆ ผู้หญิงคนนี้ควรถูกเรียกว่าเด็กสาว มากกว่าหญิงสาว น้ำเสียงสดใส เป็นคนที่มั่นใจในตนเอง

 

“เอลฟ์?”

“ก็เอลฟ์น่ะสิ เป็นคนที่รับผิดชอบเธอในตอนนี้ ฉันชื่อซานา อายุสิบห้า ของโปรดคือแอปเปิ้ล แล้วเธอล่ะ”

“เซเลน มนุษย์ แปด”

“เซเลนงั้นเหรอ ถึงจะเคยเห็นมนุษย์มาหลายคนแล้วก็เถอะ แต่ตัวเล็กแบบนี้เพิ่งเคยเห็น หนูตัวนั้นเป็นสัตว์ป่าที่เธอเก็บมาเลี้ยงเหรอ? พอดีไม่อยากเจอเรื่องยุ่งยากก็เลยมัดเอาไว้น่ะ”

[“ก็บอกไปแล้วไงว่ากระผมไม่ใช่สัตว์ป่า แล้วก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของใครด้วย! กระผม บัตเลอร์ เป็นพ่อบ้านผู้มีเกียติขององค์หญิงเซเลน”]

 

   บัตเลอร์ยืนด้วยขาหลังที่โผล่ออกมาเล็กน้อยนอกม้วนเถาวัลย์ เดินสองขาด้วยความคล่องแคล่วขึ้นไปอยู่บนไหล่ของเซเลน ยืดตัวตรง เชิดหน้าและตอบออกไป แต่ซานาก็แค่เอียงคอสงสัย

 

[“อืม ดูเหมือนว่ามีแต่องค์หญิงเซเลนเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของกระผม”]

 

   บัตเลอร์กัดฟันเจ็บใจ ก่อนหน้านี้เขาหลีกเลี่ยงการพูดคุยต่อหน้ามนุษย์คนอื่นนอกจากเซเลน ทำให้ทั้งบัตเลอร์และเซเลนไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน จึงเพิ่งจะมารู้เอาป่านนี้ ซานาที่ไม่เข้าใจก็ได้ถามกับเซเลนอีกครั้ง

 

“หนูตัวนั้นเชื่องกับเธอมากเลยนะ ตอนเธอหลับมันก็เป็นห่วงเธออยู่ตลอด”

“บัตเลอร์ เป็นพ่อบ้าน”

“หนูนั่น… บัตเลอร์ไม่ใช่หนูธรรมดาสินะ จริงๆแล้วเขาเป็นอะไรกันแน่?”

“ไม่รู้”

[“ตัวกระผมเองก็ไม่ค่อยทราบเหมือนกัน แต่เป็นเพราะพรที่องค์หญิงมอบให้อย่างแน่นอน”]

 

  แม้แต่ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงทั้งสองคนก็ยังไม่รู้สาเหตุว่าทำไมบัตเลอร์ถึงแข็งแกร่งกว่าหนูทั่วไป แต่ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ก่อนที่การสอบสวนของซานาจะดำเนินต่อไป ท้องของเซเลนก็ส่งเสียงร้องออกมา ทำให้ซานาหัวเราะเบาๆและออกไปนอกห้อง ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับถาดที่ใส่อะไรบางอย่าง

 

“เอาล่ะ เรื่องอื่นเอาไว้ถามที่หลัง เธอหลับมาทั่งวัน ตื่นมาคงหิวสินะ?”

 

  ซานาพูดเช่นนั้นแล้วก็ยื่นถาดไม้ที่ถือมาให้เซเลน ใบไม้ขนาดใหญ่ถูกใช้แทนจานรอง บนนั้นมีชิ้นเนื้อสีขาว ขอบเป็นสีน้ำตาล รูปร่างคล้ายแฮม และผักที่ดูเหมือนนำไปย่าง

 

“นี่คือ?”

“หางของสกิงค์เอาไปย่าง อร่อยนะ”

 

   แล้วไอ้สกิงค์ที่ว่านั่นมันคืออะไร ถึงเซเลนจะสงสัยแต่เมื่อได้กลิ่นของเนื้อและผักย่างก็ไม่สนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆอีกต่อไป เซเลนที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ตอนนี้จึงกลายมาเป็นหนอนจอมหิว*

 

[“ไม่มีอะไรที่เป็นพิษครับ”]

 

  บัตเลอร์ใช้ความสามารถในการดมกลิ่นกับผักและเนื้อที่ไม่รู้ที่มาที่ไป เพื่อยืนยันว่าปลอดภัยสำหรับรับประทาน แต่ก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตราย ถึงจะทำเพราะความรอบคอบ แต่เซเลนก็ไม่ได้ฟังสิ่งที่บัตเลอร์พูดเลย เพราะตอนที่พูด เธอก็ลงมือกินไปแล้ว เซเลนถือคติว่า ถ้าหิวก็กินได้หมด

 

“อร่อย!”

 

   เซเลนหยิบเนื้อแปลกๆที่ไม่เคยเห็นและใส่เข้าปากไปโดยไม่ลังเล เซเลนไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องรสชาติ จะระแวงอาหารจนต้องให้อีกฝ่ายกินให้ดูก่อนก็เสียเวลา การชิมพิสูจน์พิษก็เป็นเรื่องยุ่งยาก

 

  เมื่อเห็นอีกฝ่ายกินอาหารที่นำมาให้อย่างมีความสุขก็ทำให้ซานาดีใจไปด้วย เหมือนให้อาหารกับสัตว์ตัวเล็กๆแล้วเห็นมันกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ว่าใครก็ต้องเผลอยิ้มออกมา เป็นความรู้สึกแบบนั้น

 

“เอ้า กินเร็วไปเดี๋ยวก็ติดคอหรอก เอานี่ไปดื่มด้วย”

 

  ซานาถือกระบอกเล็กๆขึ้นมาและเทของเหลวสีม่วงลงในถ้วยไม้แล้วส่งให้กับเซเลน ของเหลวสีม่วงที่เห็นทำให้เซเลนประหลาดใจเล็กน้อย

 

“ไวน์?”

“จะใช่ได้ยังไงล่ะ เด็กดื่มของแบบนั้นเข้าไปก็เมากลิ้งเลยน่ะสิ น้ำผลไม้น่ะ ไม่ต้องกลัวหรอก”

 

   ซานายื่นน้ำผลไม้สำหรับเด็กให้กับเซเลนเพราะเป็นห่วงว่าจะสำลักอาหาร แต่เด็กสาวสีขาวคนนั้นก็รับไปด้วยท่าทางผิดหวัง เป็นอีกเรื่องที่เธอไม่เข้าใจ

 

“อิ่มแล้ว”

[“ขอบคุณสำหรับอาหาร”]

 

   เซเลนกินอาหารทั้งหมดที่ได้รับมาจนหมด บัตเลอร์ก็ร่วมกินบางส่วนกับเธอในมื้อนี้ด้วย และเมื่อทั้งคู่อิ่มดีแล้ว ก็เหลือเพียงอีกเรื่องเดียวที่เซเลนจะทำหลังจากกระเพาะถูกเติมเต็ม

 

“ราตรีสวัสดิ์”

 

  เซเลนโค้งให้กับซานาหนึ่งครั้งและหันหลังกลับไปหาที่นอนใบไม้ที่เพิ่งลุกออกมาจากตรงนั้น ที่นอนกลิ่นฟางก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ และยังทำให้ผ่อนคลานจนหลับสบายดีอีกด้วย

 

“เดี๋ยวเถอะ!”

 

  ซานาคว้าคอเสือของเซเลนไว้อย่างรวดเร็ว เซเลนหันมามองหน้าซานาเหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“เธอน่ะ! ลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองเป็นนักโทษของที่นี่!? ยังคิดจะนอนต่อเหมือนเป็นเรื่องปรกติอีกเหรอ!”

“นั่นสินะ!”

 

   เซเลนลืมไปแล้วจริงๆว่าถูกควบคุมตัวอยู่ เพราะมีเด็กสาวน่ารักอย่างซานามาบริการ อาหารก็อร่อย เลยเผลอตัวไปซะได้ พฤติกรรมแปลกๆจนซานาอยากจะดุให้สำนึก แต่ก็อดทนเอาไว้

 

   เมื่อวาน คนอื่นๆบอกมาว่า โดนภาพลักษณ์ไร้เดียงสาของเด็กคนนี้หลอกเอา หรือบางทีตอนนี้ก็อาจจะกำลังแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่ ถ้าใช่ ก็เป็นการเสแสร้งที่สมจริงมาก

 

  เมื่อมาคิดดูดีๆแล้ว ท่าทางของเซเลนที่รับประทานอาหารอย่างมีความสุขนั่นก็ทำให้ลดความระวังไปมาก ในตอนนั้น ถ้าเธอจู่โจมโดยการโยนหนูที่ถูกมัดตัวนั้นใส่ ก็อาจจะทำให้ตนเองพลาดท่าจนเสียชีวิตได้

 

“(อาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ แต่ระวังไว้ก่อนก็ดี…)”

 

  ลูกมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าคงจะตั้งใจทำตัวแบบนี้เพื่อให้คิดว่าเป็นเด็กสาวที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หลังจากคิดอย่างรอบคอบ ซานาที่เป็นนักรบของเผ่าเอลฟ์ก็ตัดสินใจไม่แสดงความระแวงออกมามากเกินไป

 

“เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปพบกี อย่าคิดทำอะไรโง่ๆล่ะ”

“กี? คือใคร?”

“หัวหน้าของพวกเรา เป็นผู้นำของหมู่บ้านรอบๆนี้ ถ้าอยู่เฉยๆก็ไม่ถูกฆ่าหรอก ถึงเขาจะเป็นไอ้บ้าแต่ก็ไม่ใช่คนที่ชอบใช้ความรุนแรงอย่างไร้เหตุผล ถึงเขาจะเป็นไอ้บ้าก็เถอะ”

 

  ซานาเก็บถาดอาหารไปวางที่มุมห้องแล้วจับมือเซเลนพาออกไปข้างนอก ต่อจากนี้ต้องไปเจอกับคนใหญ่คนโตที่ชื่อว่ากี บัตเลอร์ที่อยู่บนไหล่ของเซเลนก็ไปด้วยกันแต่ยังถูกมัดไว้เหมือนเดิม

 

[“องค์หญิง ตอนนี้พวกเราไม่มีทางเลือก ยังไงก็ต้องเชื่อฟังไปก่อนครับ”]

 

   บัตเลอร์กระซิบอยู่ข้างหู เซเลนก็พยักหน้าตอบเงียบๆ ถึงอยากจะหนี แต่ตอนนี้ก็อยู่กลางป่าสีขาว ซึ่งไม่รู้วิธีที่จะออกไปจากที่นี่อยู่ดี

 

“เอ๋!”

“มีอะไร? แปลกเหรอ?”

“อือ”

 

  เมื่อออกมาข้างนอกอาคาร เซเลนก็ตกใจกับสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเธอ ห้องที่คิดว่าเป็นกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างลวกๆหรือไม่มีแบบแผนนั้นจริงๆแล้วมันคือโพรงของต้นไม้ขนาดใหญ่ ต้นไม้ที่มีเส้นรอบวงหลายสิบเมตร จนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก ต้นไม้แบบนี้เติบโตอยู่ทุกที่ และเอลฟ์ก็ใช้โพรงของต้นไม้ยักษ์เหล่านั้นเป็นบ้านของพวกเขา เรียกได้ว่าเป็นบ้านต้นไม้อย่างแท้จริง

 

“สำหรับที่นี่ เธอนั่นแหละที่แปลก”

 

   ซานาพูดขณะนำทาง เซเลนมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น ใต้ร่มเงาของต้นไม้ ไปจนถึงบนกิ่งก้านขนาดใหญ่ของต้นไม้ยักษ์ เธอสังเกตเห็นเอลฟ์หลายคนมองมาที่เธอจากระยะไกล บ้างก็อยากรู้อยากเห็น บ้างก็หวาดระแวง

 

  ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีขาวแบบเดียวกับซานา อาจจะเป็นชุดประจำถิ่นของพวกเขา หรืออาจจะเพื่อพรางตัวให้กลมกลืนกับป่าสีขาว

 

[“จ้องกันอยู่ได้ หยาบคายกันจริงๆ องค์หญิงโปรดอย่าใส่ใจกับสายตาพวกนั้นเลยครับ”]

“อือ”

 

  บัตเลอร์เริ่มโมโหที่เจ้าหญิงเซเลนผู้เคารพรัก ถูกปฏิบัติราวกับเป็นสัตว์หายาก แต่เซเลนก็ไม่ได้คิดมากในเรื่องนั้น ไม่สะทกสะท้านกับสายตาของเหล่าเอลฟ์แม้แต่น้อย

 

   เมื่อนานมาแล้ว เธอเคยเข้าไปดูการแสดงสำหรับเด็กที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับฮีโร่ ตามดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้าอยู่บ่อยๆ ยังจำได้ถึงสายตาแปลกๆของกลุ่มผู้ปกครองที่พาบุตรหลานมาในงาน เมื่อเทียบกันแล้ว สายตาของเอลฟ์ที่มองเซเลนในตอนนี้ไม่ทำให้รู้สึกอะไรเลย

 

[“(ช่างเยือกเย็นยิ่งนัก กระผมต้องเอาอย่างบ้างแล้ว)”]

 

   บัตเลอร์ที่ไม่รู้เรื่องนั้น จากที่เขาเห็น เซเลนที่ยังทำตัวตามปรกติโดยไม่ทุกข์ร้อนจากการข่มขู่ทางสายตาจากพวกเอลฟ์ที่ไม่เคยรู้จักกัน แต่ถ้าเกิดหวั่นไหวขึ้นมาก็คือการแสดงความอ่อนแอให้เห็น บัตเลอร์ตั้งสติและพยายามมากขึ้น

 

 ซานาจับมือพาเดินลัดเลาะไปตามต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบ และแล้วก็มาถึงต้นไม้ยักษ์ที่ใหญ่โตกว่ากว่าต้นอื่นๆจนสะดุดตา รากไม้โผล่สูงเหนือดินจนดูเหมือนโขดหิน ซานาปีนขึ้นไปบนนั้นได้อย่างง่ายๆแต่สำหรับเซเลนที่ตัวเล็กกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังปีนเขาลูกเล็กๆ

 

   หลังจากปีนป่ายอยู่บนรากของต้นไม้ยักษ์ ก็มาถึงส่วนของลำต้นที่มีประตูแบบเดียวกับต้นที่เธออยู่มาก่อนหน้านี้ จึงเข้าใจได้ว่านี่คือทางเข้าบ้านของเอลฟ์ที่ชื่อกี

 

“นี่! กี ฉันพาเด็กที่พูดถึงนั่นมาแล้ว!”

 

 ซานาตะโกนเสียงดังและทุบประตูอย่างแรง ไม่มีความเกรงใจแม้อีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้าของหมู่บ้าน และยังทุบประตูอย่างต่อเนื่องจนคิดว่าประตูอาจจะพังได้

 

“หนวกหูน่า! มารยาทน่ะ มีไหม!”

 

   ไม่นานนัก ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรงโดยชายหนุ่มร่างเล็กที่อยู่ด้านใน คาดว่าคนๆนี้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เอลฟ์ที่ชื่อว่ากี ก่อนหน้านี้คิดว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะต้องเป็นชายแก่หรือไม่ก็หญิงชรา แต่จริงๆแล้ว คนที่ชื่อว่ากีนี้ดูเหมือนอายุยังน้อยอยู่

 

   ร่างกายของเขาเพรียวบางยิ่งกว่ามิลาน ประกอบกับผิวสีขาวที่ทำให้ดูสมส่วน แววตาที่แน่วแน่จริงจังตรงข้ามกับรูปลักษณ์ เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มรูปงามที่ออกแนวดุดัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขามีหม้อเหล็กที่บุบบู้บี้ครอบอยู่บนหัว ซึ่งสิ่งนั้นเป็นตัวทำลายบรรยากาศความประทับใจแรกพบจนหมดสิ้น เป็นไอ้บ้าอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ

 

“เธอน่ะเหรอ มนุษย์ตัวเล็กที่ว่า…”

“คุณกี”

“มีอะไร เจ้าตัวเล็ก?”

“อะไร อยู่บนหัว?”

“หืม หมายถึงนี่เหรอ?” 

 

  กีมองมาที่เซเลนตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนต้องการตรวจสอบอะไรบางอย่าง เซเลนไม่สามารถเมินเฉยกับหม้อบนหัวของเขาได้อีกต่อไปจึงเอ่ยปากถามเกี่ยวกับมัน ซึ่งเธอคิดว่าเขาจะโกรธ แต่กีก็ยิ้มอย่างภูมิใจและเคาะหม้อสกปรกบนหัวของเขา

“มงกุฎไง มนุษย์ที่ยิ่งใหญ่จะต้องสวมโลหะไว้บนหัวใช่ไหม? เป็นไง เท่ล่ะสิ?”

“อืม…”

 

  ยิ่งตอบก็ยิ่งมีคำถาม เซเลนจึงตัดบทอย่างง่ายๆด้วยคำพูดที่คลุมเครือเพราะไม่อยากมีปัญหาไปมากกว่านี้ ยังดีที่กีไม่พูดถึง ‘มงกุฎ’ ของเขาไปมากกว่านี้ และเชิญเซเลนเข้าไปข้างในอาคาร

 

  โครงสร้างภายในของโพรงไม้นี้ก็เหมือนกับโพรงของต้นที่เซเลนเคยอยู่ และยังถูกตกแต่งไปด้วยขนนก หน้ากาก และของที่ดูแล้วไม่น่าจะมีความหมาย เช่นช้อนโลหะ ของประดับเหล่านี้อาจเป็นหลักฐานว่าเขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน

 

   กีจัดที่ให้เซเลนนั่งลงบนเบาะรองนั่งที่ยัดไส้ใบไม้ ตัวเขาเองก็นั่งลงกับพื้นข้างหน้าเซเลน โดยที่เซเลนนั่งติดผนัง กีนั่งใกล้ประตู และซานายืนขวางประตู เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามปิดโอกาสหลบหนีของเธอ

 

“เซเลนสินะ เธอน่ะ ไม่ใช่โบรคเค่นชาร์ใช่ไหม?”

“โบรคเค่นชาร์?”

[“เท่าที่ฟังมา กระผมว่า เขาน่าจะหมายถึงนักผจญภัย( 冒険者**)ครับ”]

 

   เมื่อได้ยินสิ่งที่บัตเลอร์คาดเดา ในที่สุดเซเลนก็เข้าใจในหลายๆเรื่อง เธอส่ายหน้าปฏิเสธ ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักผจญภัยในโลกนี้เป็นยังไง เมื่อเซเลนแสดงความสงสัยออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน กีที่เห็นว่าเธอไม่เข้าใจ ก็สรุปออกมาได้คร่าวๆว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักผจญภัยจริงๆ

 

“ผมจะเชื่อว่าเธอไม่ใช่โบรคเค่นชาร์ก็แล้วกัน แต่คนจากดินแดนของเธอ วันเบลสินะ? สร้างความเดือดร้อนให้พวกเรามากเลยนะ ดูเหมือนว่าเธอไม่เกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น…”

“วันเบล?”

[“อันนี้คาดว่าหมายถึงวัลเบิร์ตครับ กระผมเคยได้ยินมาว่าประเทศนั้นมีนักผจญภัยมากมาย”]

 

  นักผจญภัยคือผู้ที่ใช้ชีวิต ‘เสี่ยงตาย’ อย่างแท้จริง เนื่องจากวัลเบิร์ตนั้นแตกต่างกับเฮลิฟาเต้ เพราะมีการแบ่งแยกชนชั้นกันอย่างชัดเจน หากเป็นสามัญชน แม้จะมีความสามารถหรือเป็นคนที่มีพลังเวทย์ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ จะย้ายไปเฮลิฟาเต้เพื่ออนาคตที่ดีกว่าก็ทำได้ยาก เพราะถูกมองว่าเป็นการส่งทรัพยากรให้ศัตรู

 

  บรรดาผู้ที่มีพรสวรรค์แต่กลับถูกมองข้ามจนต้องใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นในวัลเบิร์ตย่อมต้องการสร้างฐานะของตน คนเหล่านั้นจึงมุ่งหน้าสู่ป่าสีขาวที่อุดมไปด้วยวัตถุดิบเวทย์มนต์ที่มีมูลค่าสูง พวกเขาเดิมพันด้วยทรัพย์สินทั้งหมดโดยใช้เป็นต้นทุนสำหรับอุปกรณ์ต้านทานพลังเวทย์ เป็นของที่คล้ายกับชุดที่เซเลนสวมอยู่ และนั่น ทำให้พวกเขาเดินหน้าเข้าไปในป่าอย่างห้าวหาญ แต่ก็ยังล้มเหลว

 

   บัตเลอร์เคยฟังเรื่องพวกนั้นอย่างผ่านๆ ในตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจเพราะในอาร์คุยล่าและเฮลิฟาเต้ อาชีพนักผจญภัยไม่เป็นที่นิยม

 

“ไม่ใช่คนวัลเบิร์ต มาจาก ประเทศอื่น”

“งั้นเหรอ วันเบิร์ด…สินะ ยังมีดินแดนของมนุษย์ที่อื่นอีกเหรอ?”

“ใช่”

“แล้วเธอมาจากที่ไหนล่ะ?”

“เฮลิฟาเต้”

“ฮาลิฮาเต้? อยู่ใกล้ๆป่าสีขาวหรือเปล่า?”

“ไกล เดินทาง หนึ่งสัปดาห์”

 

  กีเอียงคอสงสัยกับคำตอบของเซเลน ถ้าหากดินแดนที่ว่านั่นอยู่ห่างจากป่าสีขาว ทำไมจู่ๆเด็กกับหนูจากที่นั่นถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ ไม่มีทฤษฎีไหนมารองรับเรื่องแบบนี้ได้เลย

 

“คำพูดของเธอไม่สมเหตุสมผลเลยนะ แล้วเธอเข้ามาทำอะไรในป่าสีขาวและเข้ามาได้ยังไง ขนาดโบรคเค่นชาร์ยังไม่เคยเข้ามาได้ลึกขนาดนี้เลย”

“มังกร จับมา”

“มังกร? มังกรพาเธอมาที่นี่เหรอ?”

 

  เซเลนพยักหน้าตอบโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอถูกลักพาตัวมาปล่อยไว้ตรงนั้นเพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเอลฟ์ จากนั้นก็ถูกจับตัวมาที่นี่อีกที หากเธออธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้ก็คงจะดีไม่น้อย แต่เพราะความสามารทางภาษาของเซเลน จึงบอกได้แค่ถูกมังกรจับมา

 

“เด็กคนนี้อาจจะพูดจริงก็ได้ จำรายงานเรื่องที่พวกฉันไปตรวจสอบมาเมื่อวานได้ใช่ไหม?”

 

  ซานาที่ยืนอยู่ข้างหลังและเงียบมาตลอดก็ได้พูดเสริมเรื่องที่เซเลนบอก

 

“อือ ที่บอกว่ามังกรลงมาเบื้องล่างสินะ เคยได้ยินอยู่”

“หน่วยลาดตระเวนสองคนที่เข้าไปตรวจสอบได้พบกับเด็กคนนี้ ฉันเองก็ไปดูมาแล้ว มีรอยเท้ามังกรอยู่จริงๆ”

 

  พวกเอลฟ์เข้าใจระบบนิเวศของป่าสีขาวอย่างลึกซึ้ง เพียงแค่เห็นรอยเท้าที่อยู่บนดินก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของสัตว์ชนิดใด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถนั้นด้วยซ้ำ เพราะรอยเท้าขนาดใหญ่ที่พบในจุดเดียวกับที่เจอเซเลน มีสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในโลกเท่านั้นที่มีลักษณะเท้าแบบนี้

 

“มังกรกับมนุษย์เหรอ… ชักจะเหลือเชื่อเข้าไปทุกทีแล้ว”

“ว่าไงนะ? หาว่าพวกฉันดูผิดงั้นเหรอ?”

“ไม่ได้หมายว่าอย่างงั้น แต่นั่นคือมังกรเชียวนะ? มังกรพาเด็กมนุษย์มาไว้ที่นี่? เพื่ออะไรล่ะ?”

“เรื่องนั้น ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

 

  ไม่แปลกเลยที่กีจะสงสัย พวกเอลฟ์ไม่มีความเชื่อในเรื่องพระเจ้าหนึ่งเดียว แต่เชื่อว่าทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนมีเทพเจ้าแต่ละองค์คอยดูแลอยู่หลากหลาย และเผ่าพันธุ์มังกรที่มีพลังมหาศาลคือตัวแทนของเหล่าเทพเจ้าที่มาจุติ จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาและยําเกรง

 

  มังกรลงมาเบื้องล่างภายในป่าสีขาวนี้พร้อมกับนำเด็กมนุษย์มาทิ้งไว้ และยังได้ยินมาว่าหนูที่เธอถืออยู่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษที่ระบุไม่ได้อีกด้วย

 

  เป็นไปได้ว่าเธอผู้นี้มีเวทย์มนต์พิเศษบางอย่าง เช่น เธอบอกว่าถูกมังกรพามา แต่ที่จริงแล้วเธอมีวิธีที่ทำให้สามารถแฝงตัวมากับมังกรเพื่อที่จะได้เข้ามาพบกับเอลฟ์ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง แต่เรื่องแบบนี้ก็เหลือเชื่อไม่แพ้กัน กีส่ายหัวให้กับจินตนาการไร้สาระของเขา

 

“เอายังไงดีล่ะ… ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ เซเลน”

“อือ”

“ถ้าเป็นโบรคเค่นชาร์จริงก็คงไม่ทิ้งสัมภาระแล้วเดินเข้ามาตัวเปล่าคนเดียวหรอก เหตุผลของเธอก็พอจะฟังขึ้น เอาเป็นว่า เธอจะถูกเนรเทศออกจากป่าสีขาวในอีกสองสัปดาห์ หลังจากนั้นจะเอายังไงต่อเธอก็ตัดสินใจเองก็แล้วกัน”

“ทำไม? ต้องสองสัปดาห์?”

“เป็นฤดูกาลที่พวกเราจะเข้าใกล้ดินแดนของมนุษย์ที่สุดน่ะ”

 

   เซเลนยังไม่รู้ว่าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของเอลฟ์ เอลฟ์จะออกหาวัตถุดิบสำหรับอุปโภคและบริโภคในชีวิตประจำวันจากป่า ไม่ใช่จากการเพาะปลูก หากใช้แหล่งเดิมซ้ำๆ สักวันทรัพยากรจะหมดลง ดังนั้นจึงต้องมีกำหนดเวลาสำหรับหมุนเวียนพื้นที่เก็บเกี่ยว 

 

   ในอีกสองสัปดาห์ พวกเขาจะย้ายไปหาทรัพยากรอีกแห่งในป่าส่วนที่ใกล้กับเขตที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่สุด หากไปไกลกว่านั้นก็จะเป็นดินแดนที่เอลฟ์ไม่เคยย่างกราย นี่คือการอะลุ่มอล่วยให้เต็มที่แล้ว

 

  จะตัดสินให้กำจัดเซเลนและบัตเลอร์ตอนนี้เลยก็ทำได้ แต่ในสถานการณ์ที่มีมังกรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จะกระทำการโดยขาดความรอบคอบไม่ได้เด็ดขาด กีเป็นผู้นำของหมู่บ้าน การกระทำของเขาอาจส่งผลร้ายให้กับทั้งหมู่บ้านได้

 

   ทันทีที่กีตัดสินใจได้ก็มีเสียงทุบประตูดังขึ้นถี่และรุนแรงกว่าซานา และเอลฟ์หนุ่มคนหนึงก็ผลักประตูเข้ามาทันที เขารีบร้อนมากจนซานาไม่มีเวลาหยุดเขา

 

“ขออภัย! ท่านกี!”

“อย่าเข้ามาเองจะได้ไหม! ผมกำลังคุยธุระสำคัญอยู่นะ!”

“เกิดเหตุฉุกเฉินครับ! มังกรเข้ามาในป่าอีกครั้ง!”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? ครั้งที่แล้วก็เพิ่งจะเมื่อวานเอง”

 

  กียืนขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งเครียด มังกรที่ปรกติจะออกบินไปทั่วทวีปอยู่ทั้งวัน การที่มันจะลงมาเบื้องล่างที่ป่าสีขาวแห่งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ผิดปรกติ เมื่อวานจึงต้องส่งคนไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วนรวมถึงซานาที่มีฝีมือลำดับสองก็ไปด้วย ในหมู่บ้านนี้เธอเป็นรองแค่กีเท่านั้น และเหตุการณ์ผิดปกติดังกล่าวก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งเป็นสองวันติดต่อกัน

 

“สถานที่ล่ะ?”

“ที่เดียวกับเมื่อวาน เดินไปรอบๆเหมือนหาอะไรบางอย่าง จนถึงตอนนี้ยังไม่ก่อความเสียหายใดๆครับ”

“อืม…”

 

  กีเงยหน้าจับคางครุ่นคิด สักพักก็หันไปทางเซเลนที่ยังนั่งดูอยู่เงียบๆ

 

“เอาล่ะ ฉันกับซานาจะไปตรวจสอบสถานการณ์ที่นั่น และจะพาเจ้าตัวเล็ก… เซเลน ไปด้วย”

“เอ๋? ไม่ใช่แค่ท่านซานะ ท่านกีก็ด้วย?”

 

   กีเป็นผู้หัวหน้าที่ต้องรับผิดชอบหมู่บ้านเอลฟ์ ถ้าไม่ถึงขั้นวิกฤตจริงๆก็ไม่ควรออกนอกหมู่บ้านไปดำเนินการด้วยตนเอง แต่ตอนนี้กีต้องการจะออกไปกับลูกมนุษย์คนนั้น ทั้งเอลฟ์หนุ่มและซานายังคาดไม่ถึงกับการตัดสินใจนี้

 

“ถึงจะยังไม่รู้สาเหตุ แต่เจ้าตัวเล็กคนนี้เกี่ยวข้องกับมังกรแน่นอน แทนที่จะคาดเดาอย่างไร้จุดหมายไปเรื่อยๆอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่พาเธอไปพบกับมังกรโดยตรงซะเลยล่ะ?”

“ช้าก่อน! นี่นายคิดจะสังเวยเด็กคนนี้หรือยังไง?”

“เมื่อกี้เธอพูดออกมาเองว่าถูกมังกรพามา ถ้าเป็นความจริงก็ไม่มีอะไรต้องห่วง ถ้าเป็นเรื่องโกหกก็ตายไปแค่คนเดียว ไม่คิดว่าแบบนี้เข้าท่ากว่าเหรอ?”

 

   ซานาอ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็ไม่ได้พูดออกมา

 

____________________

* ぺこあおむし(Peko Aomushi)/The very hungry caterpillar

ชื่อภาษาไทย หนอนจอมหิว

หนังสือภาพนิทานเพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก

 

**冒険者(โบเค็นฉะ) = นักผจญภัย

สำเนียงเพี้ยนเป็น  ボッケンシャー (บ๊อคเค่นชา) 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 30 หัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์ กี

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 30 หัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์ กี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 30

หัวหน้าหมู่บ้านเอลฟ์ กี

 

 

“อุ… ?”

 

   เซเลนลืมตาตืนขึ้นมา ส่งเสียงเบาๆก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง สัมผัสที่ฝ่ามือทำให้เซเลนเข้าใจได้ว่าเธอกำลังนอนอยู่บนที่นอนยัดไส้ใบไม้

 

   ขยี้ตาที่ยังไม่เปิดเต็มที่ มองไปรอบๆและเอื้อมมือไปจับผนังด้านที่อยู่ใกล้ที่สุด ผนังทำจากไม้แต่มีความหยาบ ไม่เรียบสม่ำเสมอเหมือนบ้านไม้ทั่วไปแต่ก็เป็นอาคารไม้แน่ๆ ผนังแต่ละด้านก็ลาดเอียงไม่เท่ากัน ถูกเจาะเป็นช่องเล็กๆหลายที่เพื่อรับแสงจากภายนอก โครงสร้างของอาคารหลังนี้เละเทะจนอยากไปต่อว่าคนที่ออกแบบ

 

“ที่นี่ ที่ไหน?”

 

  ความทรงจำมีถึงตอนที่ถูกเอลฟ์โจมตี รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว จะว่าไป ตอนนี้บัตเลอร์ตอนนี้เป็นยังไงบ้างนะ

 

[“องค์หญิง! รู้สึกตัวแล้ว!?”]

“อุหวา!?”

 

   เสียงดังๆที่พูดออกมากะทันหัน ทำให้เซเลนตกใจจนสะดุ้งโหยง เมื่อก้มไปดูใกล้ๆข้างเตียงของเซเลนมีลังไม้ใบเล็ก ปูพื้นด้วยฟางและมีบัตเลอร์ทึ่ถูกเถาวัลย์พันไว้ อยู่ในลังนั้น

 

“บัตเลอร์ เป็นยังไงบ้าง?”

[“กระผมสบายดีครับ สภาพที่เห็นนี้เกิดจากความประมาทของกระผมเอง ต้องขออภัยอย่างยิ่ง”]

“ไม่เป็นไร”

 

   เซเลนปลอบบัตเลอร์อย่างสบายๆ เพราะในช่วงเวลานั้นตัวเธอเองไม่สามารถทำอะไรได้เลย ส่วนบัตเลอร์ได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าเป็นมิลานในสถานการณ์เดียวกันมาพูดว่า ‘ขอโทษครับ ผมประมาทเอง’ การตอบรับก็จะเปลี่ยนไปเป็น ‘ไอ้บ้าเอ๊ย!’

 

 เซเลนหยิบบัตเลอร์ออกมาจากลัง และพยายามแกะเถาวัลย์ออก แต่เถาวัลย์มัดแน่นจนแกะไม่ออกและเธอก็ไม่แข็งแรงพอที่จะฉีกเถาวัลย์เหนียวๆนี้ได้ ในขณะที่พยายามอยู่นั้น ประตูของห้องนี้ก็เปิดออก

 

“อ๊ะ ตื่นแล้วเหรอ?”

 

   หญิงสาวชาวเอลฟ์ที่เห็นเมื่อวานเข้ามาในห้องพร้อมกับแสงแดดในยามเช้า แต่งกายด้วยผ้าคลุมสีขาวห่อหุ้มรอบตัว ร่างเล็กบอบบางน่าทะนุถนอม เมื่อได้มาเห็นใกล้ๆ ผู้หญิงคนนี้ควรถูกเรียกว่าเด็กสาว มากกว่าหญิงสาว น้ำเสียงสดใส เป็นคนที่มั่นใจในตนเอง

 

“เอลฟ์?”

“ก็เอลฟ์น่ะสิ เป็นคนที่รับผิดชอบเธอในตอนนี้ ฉันชื่อซานา อายุสิบห้า ของโปรดคือแอปเปิ้ล แล้วเธอล่ะ”

“เซเลน มนุษย์ แปด”

“เซเลนงั้นเหรอ ถึงจะเคยเห็นมนุษย์มาหลายคนแล้วก็เถอะ แต่ตัวเล็กแบบนี้เพิ่งเคยเห็น หนูตัวนั้นเป็นสัตว์ป่าที่เธอเก็บมาเลี้ยงเหรอ? พอดีไม่อยากเจอเรื่องยุ่งยากก็เลยมัดเอาไว้น่ะ”

[“ก็บอกไปแล้วไงว่ากระผมไม่ใช่สัตว์ป่า แล้วก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของใครด้วย! กระผม บัตเลอร์ เป็นพ่อบ้านผู้มีเกียติขององค์หญิงเซเลน”]

 

   บัตเลอร์ยืนด้วยขาหลังที่โผล่ออกมาเล็กน้อยนอกม้วนเถาวัลย์ เดินสองขาด้วยความคล่องแคล่วขึ้นไปอยู่บนไหล่ของเซเลน ยืดตัวตรง เชิดหน้าและตอบออกไป แต่ซานาก็แค่เอียงคอสงสัย

 

[“อืม ดูเหมือนว่ามีแต่องค์หญิงเซเลนเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของกระผม”]

 

   บัตเลอร์กัดฟันเจ็บใจ ก่อนหน้านี้เขาหลีกเลี่ยงการพูดคุยต่อหน้ามนุษย์คนอื่นนอกจากเซเลน ทำให้ทั้งบัตเลอร์และเซเลนไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน จึงเพิ่งจะมารู้เอาป่านนี้ ซานาที่ไม่เข้าใจก็ได้ถามกับเซเลนอีกครั้ง

 

“หนูตัวนั้นเชื่องกับเธอมากเลยนะ ตอนเธอหลับมันก็เป็นห่วงเธออยู่ตลอด”

“บัตเลอร์ เป็นพ่อบ้าน”

“หนูนั่น… บัตเลอร์ไม่ใช่หนูธรรมดาสินะ จริงๆแล้วเขาเป็นอะไรกันแน่?”

“ไม่รู้”

[“ตัวกระผมเองก็ไม่ค่อยทราบเหมือนกัน แต่เป็นเพราะพรที่องค์หญิงมอบให้อย่างแน่นอน”]

 

  แม้แต่ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงทั้งสองคนก็ยังไม่รู้สาเหตุว่าทำไมบัตเลอร์ถึงแข็งแกร่งกว่าหนูทั่วไป แต่ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ก่อนที่การสอบสวนของซานาจะดำเนินต่อไป ท้องของเซเลนก็ส่งเสียงร้องออกมา ทำให้ซานาหัวเราะเบาๆและออกไปนอกห้อง ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับถาดที่ใส่อะไรบางอย่าง

 

“เอาล่ะ เรื่องอื่นเอาไว้ถามที่หลัง เธอหลับมาทั่งวัน ตื่นมาคงหิวสินะ?”

 

  ซานาพูดเช่นนั้นแล้วก็ยื่นถาดไม้ที่ถือมาให้เซเลน ใบไม้ขนาดใหญ่ถูกใช้แทนจานรอง บนนั้นมีชิ้นเนื้อสีขาว ขอบเป็นสีน้ำตาล รูปร่างคล้ายแฮม และผักที่ดูเหมือนนำไปย่าง

 

“นี่คือ?”

“หางของสกิงค์เอาไปย่าง อร่อยนะ”

 

   แล้วไอ้สกิงค์ที่ว่านั่นมันคืออะไร ถึงเซเลนจะสงสัยแต่เมื่อได้กลิ่นของเนื้อและผักย่างก็ไม่สนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆอีกต่อไป เซเลนที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ตอนนี้จึงกลายมาเป็นหนอนจอมหิว*

 

[“ไม่มีอะไรที่เป็นพิษครับ”]

 

  บัตเลอร์ใช้ความสามารถในการดมกลิ่นกับผักและเนื้อที่ไม่รู้ที่มาที่ไป เพื่อยืนยันว่าปลอดภัยสำหรับรับประทาน แต่ก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตราย ถึงจะทำเพราะความรอบคอบ แต่เซเลนก็ไม่ได้ฟังสิ่งที่บัตเลอร์พูดเลย เพราะตอนที่พูด เธอก็ลงมือกินไปแล้ว เซเลนถือคติว่า ถ้าหิวก็กินได้หมด

 

“อร่อย!”

 

   เซเลนหยิบเนื้อแปลกๆที่ไม่เคยเห็นและใส่เข้าปากไปโดยไม่ลังเล เซเลนไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องรสชาติ จะระแวงอาหารจนต้องให้อีกฝ่ายกินให้ดูก่อนก็เสียเวลา การชิมพิสูจน์พิษก็เป็นเรื่องยุ่งยาก

 

  เมื่อเห็นอีกฝ่ายกินอาหารที่นำมาให้อย่างมีความสุขก็ทำให้ซานาดีใจไปด้วย เหมือนให้อาหารกับสัตว์ตัวเล็กๆแล้วเห็นมันกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ว่าใครก็ต้องเผลอยิ้มออกมา เป็นความรู้สึกแบบนั้น

 

“เอ้า กินเร็วไปเดี๋ยวก็ติดคอหรอก เอานี่ไปดื่มด้วย”

 

  ซานาถือกระบอกเล็กๆขึ้นมาและเทของเหลวสีม่วงลงในถ้วยไม้แล้วส่งให้กับเซเลน ของเหลวสีม่วงที่เห็นทำให้เซเลนประหลาดใจเล็กน้อย

 

“ไวน์?”

“จะใช่ได้ยังไงล่ะ เด็กดื่มของแบบนั้นเข้าไปก็เมากลิ้งเลยน่ะสิ น้ำผลไม้น่ะ ไม่ต้องกลัวหรอก”

 

   ซานายื่นน้ำผลไม้สำหรับเด็กให้กับเซเลนเพราะเป็นห่วงว่าจะสำลักอาหาร แต่เด็กสาวสีขาวคนนั้นก็รับไปด้วยท่าทางผิดหวัง เป็นอีกเรื่องที่เธอไม่เข้าใจ

 

“อิ่มแล้ว”

[“ขอบคุณสำหรับอาหาร”]

 

   เซเลนกินอาหารทั้งหมดที่ได้รับมาจนหมด บัตเลอร์ก็ร่วมกินบางส่วนกับเธอในมื้อนี้ด้วย และเมื่อทั้งคู่อิ่มดีแล้ว ก็เหลือเพียงอีกเรื่องเดียวที่เซเลนจะทำหลังจากกระเพาะถูกเติมเต็ม

 

“ราตรีสวัสดิ์”

 

  เซเลนโค้งให้กับซานาหนึ่งครั้งและหันหลังกลับไปหาที่นอนใบไม้ที่เพิ่งลุกออกมาจากตรงนั้น ที่นอนกลิ่นฟางก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ และยังทำให้ผ่อนคลานจนหลับสบายดีอีกด้วย

 

“เดี๋ยวเถอะ!”

 

  ซานาคว้าคอเสือของเซเลนไว้อย่างรวดเร็ว เซเลนหันมามองหน้าซานาเหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“เธอน่ะ! ลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองเป็นนักโทษของที่นี่!? ยังคิดจะนอนต่อเหมือนเป็นเรื่องปรกติอีกเหรอ!”

“นั่นสินะ!”

 

   เซเลนลืมไปแล้วจริงๆว่าถูกควบคุมตัวอยู่ เพราะมีเด็กสาวน่ารักอย่างซานามาบริการ อาหารก็อร่อย เลยเผลอตัวไปซะได้ พฤติกรรมแปลกๆจนซานาอยากจะดุให้สำนึก แต่ก็อดทนเอาไว้

 

   เมื่อวาน คนอื่นๆบอกมาว่า โดนภาพลักษณ์ไร้เดียงสาของเด็กคนนี้หลอกเอา หรือบางทีตอนนี้ก็อาจจะกำลังแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่ ถ้าใช่ ก็เป็นการเสแสร้งที่สมจริงมาก

 

  เมื่อมาคิดดูดีๆแล้ว ท่าทางของเซเลนที่รับประทานอาหารอย่างมีความสุขนั่นก็ทำให้ลดความระวังไปมาก ในตอนนั้น ถ้าเธอจู่โจมโดยการโยนหนูที่ถูกมัดตัวนั้นใส่ ก็อาจจะทำให้ตนเองพลาดท่าจนเสียชีวิตได้

 

“(อาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ แต่ระวังไว้ก่อนก็ดี…)”

 

  ลูกมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าคงจะตั้งใจทำตัวแบบนี้เพื่อให้คิดว่าเป็นเด็กสาวที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หลังจากคิดอย่างรอบคอบ ซานาที่เป็นนักรบของเผ่าเอลฟ์ก็ตัดสินใจไม่แสดงความระแวงออกมามากเกินไป

 

“เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปพบกี อย่าคิดทำอะไรโง่ๆล่ะ”

“กี? คือใคร?”

“หัวหน้าของพวกเรา เป็นผู้นำของหมู่บ้านรอบๆนี้ ถ้าอยู่เฉยๆก็ไม่ถูกฆ่าหรอก ถึงเขาจะเป็นไอ้บ้าแต่ก็ไม่ใช่คนที่ชอบใช้ความรุนแรงอย่างไร้เหตุผล ถึงเขาจะเป็นไอ้บ้าก็เถอะ”

 

  ซานาเก็บถาดอาหารไปวางที่มุมห้องแล้วจับมือเซเลนพาออกไปข้างนอก ต่อจากนี้ต้องไปเจอกับคนใหญ่คนโตที่ชื่อว่ากี บัตเลอร์ที่อยู่บนไหล่ของเซเลนก็ไปด้วยกันแต่ยังถูกมัดไว้เหมือนเดิม

 

[“องค์หญิง ตอนนี้พวกเราไม่มีทางเลือก ยังไงก็ต้องเชื่อฟังไปก่อนครับ”]

 

   บัตเลอร์กระซิบอยู่ข้างหู เซเลนก็พยักหน้าตอบเงียบๆ ถึงอยากจะหนี แต่ตอนนี้ก็อยู่กลางป่าสีขาว ซึ่งไม่รู้วิธีที่จะออกไปจากที่นี่อยู่ดี

 

“เอ๋!”

“มีอะไร? แปลกเหรอ?”

“อือ”

 

  เมื่อออกมาข้างนอกอาคาร เซเลนก็ตกใจกับสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเธอ ห้องที่คิดว่าเป็นกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างลวกๆหรือไม่มีแบบแผนนั้นจริงๆแล้วมันคือโพรงของต้นไม้ขนาดใหญ่ ต้นไม้ที่มีเส้นรอบวงหลายสิบเมตร จนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก ต้นไม้แบบนี้เติบโตอยู่ทุกที่ และเอลฟ์ก็ใช้โพรงของต้นไม้ยักษ์เหล่านั้นเป็นบ้านของพวกเขา เรียกได้ว่าเป็นบ้านต้นไม้อย่างแท้จริง

 

“สำหรับที่นี่ เธอนั่นแหละที่แปลก”

 

   ซานาพูดขณะนำทาง เซเลนมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น ใต้ร่มเงาของต้นไม้ ไปจนถึงบนกิ่งก้านขนาดใหญ่ของต้นไม้ยักษ์ เธอสังเกตเห็นเอลฟ์หลายคนมองมาที่เธอจากระยะไกล บ้างก็อยากรู้อยากเห็น บ้างก็หวาดระแวง

 

  ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีขาวแบบเดียวกับซานา อาจจะเป็นชุดประจำถิ่นของพวกเขา หรืออาจจะเพื่อพรางตัวให้กลมกลืนกับป่าสีขาว

 

[“จ้องกันอยู่ได้ หยาบคายกันจริงๆ องค์หญิงโปรดอย่าใส่ใจกับสายตาพวกนั้นเลยครับ”]

“อือ”

 

  บัตเลอร์เริ่มโมโหที่เจ้าหญิงเซเลนผู้เคารพรัก ถูกปฏิบัติราวกับเป็นสัตว์หายาก แต่เซเลนก็ไม่ได้คิดมากในเรื่องนั้น ไม่สะทกสะท้านกับสายตาของเหล่าเอลฟ์แม้แต่น้อย

 

   เมื่อนานมาแล้ว เธอเคยเข้าไปดูการแสดงสำหรับเด็กที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับฮีโร่ ตามดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้าอยู่บ่อยๆ ยังจำได้ถึงสายตาแปลกๆของกลุ่มผู้ปกครองที่พาบุตรหลานมาในงาน เมื่อเทียบกันแล้ว สายตาของเอลฟ์ที่มองเซเลนในตอนนี้ไม่ทำให้รู้สึกอะไรเลย

 

[“(ช่างเยือกเย็นยิ่งนัก กระผมต้องเอาอย่างบ้างแล้ว)”]

 

   บัตเลอร์ที่ไม่รู้เรื่องนั้น จากที่เขาเห็น เซเลนที่ยังทำตัวตามปรกติโดยไม่ทุกข์ร้อนจากการข่มขู่ทางสายตาจากพวกเอลฟ์ที่ไม่เคยรู้จักกัน แต่ถ้าเกิดหวั่นไหวขึ้นมาก็คือการแสดงความอ่อนแอให้เห็น บัตเลอร์ตั้งสติและพยายามมากขึ้น

 

 ซานาจับมือพาเดินลัดเลาะไปตามต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบ และแล้วก็มาถึงต้นไม้ยักษ์ที่ใหญ่โตกว่ากว่าต้นอื่นๆจนสะดุดตา รากไม้โผล่สูงเหนือดินจนดูเหมือนโขดหิน ซานาปีนขึ้นไปบนนั้นได้อย่างง่ายๆแต่สำหรับเซเลนที่ตัวเล็กกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังปีนเขาลูกเล็กๆ

 

   หลังจากปีนป่ายอยู่บนรากของต้นไม้ยักษ์ ก็มาถึงส่วนของลำต้นที่มีประตูแบบเดียวกับต้นที่เธออยู่มาก่อนหน้านี้ จึงเข้าใจได้ว่านี่คือทางเข้าบ้านของเอลฟ์ที่ชื่อกี

 

“นี่! กี ฉันพาเด็กที่พูดถึงนั่นมาแล้ว!”

 

 ซานาตะโกนเสียงดังและทุบประตูอย่างแรง ไม่มีความเกรงใจแม้อีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้าของหมู่บ้าน และยังทุบประตูอย่างต่อเนื่องจนคิดว่าประตูอาจจะพังได้

 

“หนวกหูน่า! มารยาทน่ะ มีไหม!”

 

   ไม่นานนัก ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรงโดยชายหนุ่มร่างเล็กที่อยู่ด้านใน คาดว่าคนๆนี้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เอลฟ์ที่ชื่อว่ากี ก่อนหน้านี้คิดว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะต้องเป็นชายแก่หรือไม่ก็หญิงชรา แต่จริงๆแล้ว คนที่ชื่อว่ากีนี้ดูเหมือนอายุยังน้อยอยู่

 

   ร่างกายของเขาเพรียวบางยิ่งกว่ามิลาน ประกอบกับผิวสีขาวที่ทำให้ดูสมส่วน แววตาที่แน่วแน่จริงจังตรงข้ามกับรูปลักษณ์ เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มรูปงามที่ออกแนวดุดัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขามีหม้อเหล็กที่บุบบู้บี้ครอบอยู่บนหัว ซึ่งสิ่งนั้นเป็นตัวทำลายบรรยากาศความประทับใจแรกพบจนหมดสิ้น เป็นไอ้บ้าอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ

 

“เธอน่ะเหรอ มนุษย์ตัวเล็กที่ว่า…”

“คุณกี”

“มีอะไร เจ้าตัวเล็ก?”

“อะไร อยู่บนหัว?”

“หืม หมายถึงนี่เหรอ?” 

 

  กีมองมาที่เซเลนตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนต้องการตรวจสอบอะไรบางอย่าง เซเลนไม่สามารถเมินเฉยกับหม้อบนหัวของเขาได้อีกต่อไปจึงเอ่ยปากถามเกี่ยวกับมัน ซึ่งเธอคิดว่าเขาจะโกรธ แต่กีก็ยิ้มอย่างภูมิใจและเคาะหม้อสกปรกบนหัวของเขา

“มงกุฎไง มนุษย์ที่ยิ่งใหญ่จะต้องสวมโลหะไว้บนหัวใช่ไหม? เป็นไง เท่ล่ะสิ?”

“อืม…”

 

  ยิ่งตอบก็ยิ่งมีคำถาม เซเลนจึงตัดบทอย่างง่ายๆด้วยคำพูดที่คลุมเครือเพราะไม่อยากมีปัญหาไปมากกว่านี้ ยังดีที่กีไม่พูดถึง ‘มงกุฎ’ ของเขาไปมากกว่านี้ และเชิญเซเลนเข้าไปข้างในอาคาร

 

  โครงสร้างภายในของโพรงไม้นี้ก็เหมือนกับโพรงของต้นที่เซเลนเคยอยู่ และยังถูกตกแต่งไปด้วยขนนก หน้ากาก และของที่ดูแล้วไม่น่าจะมีความหมาย เช่นช้อนโลหะ ของประดับเหล่านี้อาจเป็นหลักฐานว่าเขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน

 

   กีจัดที่ให้เซเลนนั่งลงบนเบาะรองนั่งที่ยัดไส้ใบไม้ ตัวเขาเองก็นั่งลงกับพื้นข้างหน้าเซเลน โดยที่เซเลนนั่งติดผนัง กีนั่งใกล้ประตู และซานายืนขวางประตู เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามปิดโอกาสหลบหนีของเธอ

 

“เซเลนสินะ เธอน่ะ ไม่ใช่โบรคเค่นชาร์ใช่ไหม?”

“โบรคเค่นชาร์?”

[“เท่าที่ฟังมา กระผมว่า เขาน่าจะหมายถึงนักผจญภัย( 冒険者**)ครับ”]

 

   เมื่อได้ยินสิ่งที่บัตเลอร์คาดเดา ในที่สุดเซเลนก็เข้าใจในหลายๆเรื่อง เธอส่ายหน้าปฏิเสธ ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักผจญภัยในโลกนี้เป็นยังไง เมื่อเซเลนแสดงความสงสัยออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน กีที่เห็นว่าเธอไม่เข้าใจ ก็สรุปออกมาได้คร่าวๆว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักผจญภัยจริงๆ

 

“ผมจะเชื่อว่าเธอไม่ใช่โบรคเค่นชาร์ก็แล้วกัน แต่คนจากดินแดนของเธอ วันเบลสินะ? สร้างความเดือดร้อนให้พวกเรามากเลยนะ ดูเหมือนว่าเธอไม่เกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น…”

“วันเบล?”

[“อันนี้คาดว่าหมายถึงวัลเบิร์ตครับ กระผมเคยได้ยินมาว่าประเทศนั้นมีนักผจญภัยมากมาย”]

 

  นักผจญภัยคือผู้ที่ใช้ชีวิต ‘เสี่ยงตาย’ อย่างแท้จริง เนื่องจากวัลเบิร์ตนั้นแตกต่างกับเฮลิฟาเต้ เพราะมีการแบ่งแยกชนชั้นกันอย่างชัดเจน หากเป็นสามัญชน แม้จะมีความสามารถหรือเป็นคนที่มีพลังเวทย์ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ จะย้ายไปเฮลิฟาเต้เพื่ออนาคตที่ดีกว่าก็ทำได้ยาก เพราะถูกมองว่าเป็นการส่งทรัพยากรให้ศัตรู

 

  บรรดาผู้ที่มีพรสวรรค์แต่กลับถูกมองข้ามจนต้องใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นในวัลเบิร์ตย่อมต้องการสร้างฐานะของตน คนเหล่านั้นจึงมุ่งหน้าสู่ป่าสีขาวที่อุดมไปด้วยวัตถุดิบเวทย์มนต์ที่มีมูลค่าสูง พวกเขาเดิมพันด้วยทรัพย์สินทั้งหมดโดยใช้เป็นต้นทุนสำหรับอุปกรณ์ต้านทานพลังเวทย์ เป็นของที่คล้ายกับชุดที่เซเลนสวมอยู่ และนั่น ทำให้พวกเขาเดินหน้าเข้าไปในป่าอย่างห้าวหาญ แต่ก็ยังล้มเหลว

 

   บัตเลอร์เคยฟังเรื่องพวกนั้นอย่างผ่านๆ ในตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจเพราะในอาร์คุยล่าและเฮลิฟาเต้ อาชีพนักผจญภัยไม่เป็นที่นิยม

 

“ไม่ใช่คนวัลเบิร์ต มาจาก ประเทศอื่น”

“งั้นเหรอ วันเบิร์ด…สินะ ยังมีดินแดนของมนุษย์ที่อื่นอีกเหรอ?”

“ใช่”

“แล้วเธอมาจากที่ไหนล่ะ?”

“เฮลิฟาเต้”

“ฮาลิฮาเต้? อยู่ใกล้ๆป่าสีขาวหรือเปล่า?”

“ไกล เดินทาง หนึ่งสัปดาห์”

 

  กีเอียงคอสงสัยกับคำตอบของเซเลน ถ้าหากดินแดนที่ว่านั่นอยู่ห่างจากป่าสีขาว ทำไมจู่ๆเด็กกับหนูจากที่นั่นถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ ไม่มีทฤษฎีไหนมารองรับเรื่องแบบนี้ได้เลย

 

“คำพูดของเธอไม่สมเหตุสมผลเลยนะ แล้วเธอเข้ามาทำอะไรในป่าสีขาวและเข้ามาได้ยังไง ขนาดโบรคเค่นชาร์ยังไม่เคยเข้ามาได้ลึกขนาดนี้เลย”

“มังกร จับมา”

“มังกร? มังกรพาเธอมาที่นี่เหรอ?”

 

  เซเลนพยักหน้าตอบโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอถูกลักพาตัวมาปล่อยไว้ตรงนั้นเพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเอลฟ์ จากนั้นก็ถูกจับตัวมาที่นี่อีกที หากเธออธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้ก็คงจะดีไม่น้อย แต่เพราะความสามารทางภาษาของเซเลน จึงบอกได้แค่ถูกมังกรจับมา

 

“เด็กคนนี้อาจจะพูดจริงก็ได้ จำรายงานเรื่องที่พวกฉันไปตรวจสอบมาเมื่อวานได้ใช่ไหม?”

 

  ซานาที่ยืนอยู่ข้างหลังและเงียบมาตลอดก็ได้พูดเสริมเรื่องที่เซเลนบอก

 

“อือ ที่บอกว่ามังกรลงมาเบื้องล่างสินะ เคยได้ยินอยู่”

“หน่วยลาดตระเวนสองคนที่เข้าไปตรวจสอบได้พบกับเด็กคนนี้ ฉันเองก็ไปดูมาแล้ว มีรอยเท้ามังกรอยู่จริงๆ”

 

  พวกเอลฟ์เข้าใจระบบนิเวศของป่าสีขาวอย่างลึกซึ้ง เพียงแค่เห็นรอยเท้าที่อยู่บนดินก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของสัตว์ชนิดใด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถนั้นด้วยซ้ำ เพราะรอยเท้าขนาดใหญ่ที่พบในจุดเดียวกับที่เจอเซเลน มีสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในโลกเท่านั้นที่มีลักษณะเท้าแบบนี้

 

“มังกรกับมนุษย์เหรอ… ชักจะเหลือเชื่อเข้าไปทุกทีแล้ว”

“ว่าไงนะ? หาว่าพวกฉันดูผิดงั้นเหรอ?”

“ไม่ได้หมายว่าอย่างงั้น แต่นั่นคือมังกรเชียวนะ? มังกรพาเด็กมนุษย์มาไว้ที่นี่? เพื่ออะไรล่ะ?”

“เรื่องนั้น ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

 

  ไม่แปลกเลยที่กีจะสงสัย พวกเอลฟ์ไม่มีความเชื่อในเรื่องพระเจ้าหนึ่งเดียว แต่เชื่อว่าทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนมีเทพเจ้าแต่ละองค์คอยดูแลอยู่หลากหลาย และเผ่าพันธุ์มังกรที่มีพลังมหาศาลคือตัวแทนของเหล่าเทพเจ้าที่มาจุติ จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาและยําเกรง

 

  มังกรลงมาเบื้องล่างภายในป่าสีขาวนี้พร้อมกับนำเด็กมนุษย์มาทิ้งไว้ และยังได้ยินมาว่าหนูที่เธอถืออยู่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษที่ระบุไม่ได้อีกด้วย

 

  เป็นไปได้ว่าเธอผู้นี้มีเวทย์มนต์พิเศษบางอย่าง เช่น เธอบอกว่าถูกมังกรพามา แต่ที่จริงแล้วเธอมีวิธีที่ทำให้สามารถแฝงตัวมากับมังกรเพื่อที่จะได้เข้ามาพบกับเอลฟ์ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง แต่เรื่องแบบนี้ก็เหลือเชื่อไม่แพ้กัน กีส่ายหัวให้กับจินตนาการไร้สาระของเขา

 

“เอายังไงดีล่ะ… ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ เซเลน”

“อือ”

“ถ้าเป็นโบรคเค่นชาร์จริงก็คงไม่ทิ้งสัมภาระแล้วเดินเข้ามาตัวเปล่าคนเดียวหรอก เหตุผลของเธอก็พอจะฟังขึ้น เอาเป็นว่า เธอจะถูกเนรเทศออกจากป่าสีขาวในอีกสองสัปดาห์ หลังจากนั้นจะเอายังไงต่อเธอก็ตัดสินใจเองก็แล้วกัน”

“ทำไม? ต้องสองสัปดาห์?”

“เป็นฤดูกาลที่พวกเราจะเข้าใกล้ดินแดนของมนุษย์ที่สุดน่ะ”

 

   เซเลนยังไม่รู้ว่าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของเอลฟ์ เอลฟ์จะออกหาวัตถุดิบสำหรับอุปโภคและบริโภคในชีวิตประจำวันจากป่า ไม่ใช่จากการเพาะปลูก หากใช้แหล่งเดิมซ้ำๆ สักวันทรัพยากรจะหมดลง ดังนั้นจึงต้องมีกำหนดเวลาสำหรับหมุนเวียนพื้นที่เก็บเกี่ยว 

 

   ในอีกสองสัปดาห์ พวกเขาจะย้ายไปหาทรัพยากรอีกแห่งในป่าส่วนที่ใกล้กับเขตที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่สุด หากไปไกลกว่านั้นก็จะเป็นดินแดนที่เอลฟ์ไม่เคยย่างกราย นี่คือการอะลุ่มอล่วยให้เต็มที่แล้ว

 

  จะตัดสินให้กำจัดเซเลนและบัตเลอร์ตอนนี้เลยก็ทำได้ แต่ในสถานการณ์ที่มีมังกรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จะกระทำการโดยขาดความรอบคอบไม่ได้เด็ดขาด กีเป็นผู้นำของหมู่บ้าน การกระทำของเขาอาจส่งผลร้ายให้กับทั้งหมู่บ้านได้

 

   ทันทีที่กีตัดสินใจได้ก็มีเสียงทุบประตูดังขึ้นถี่และรุนแรงกว่าซานา และเอลฟ์หนุ่มคนหนึงก็ผลักประตูเข้ามาทันที เขารีบร้อนมากจนซานาไม่มีเวลาหยุดเขา

 

“ขออภัย! ท่านกี!”

“อย่าเข้ามาเองจะได้ไหม! ผมกำลังคุยธุระสำคัญอยู่นะ!”

“เกิดเหตุฉุกเฉินครับ! มังกรเข้ามาในป่าอีกครั้ง!”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? ครั้งที่แล้วก็เพิ่งจะเมื่อวานเอง”

 

  กียืนขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งเครียด มังกรที่ปรกติจะออกบินไปทั่วทวีปอยู่ทั้งวัน การที่มันจะลงมาเบื้องล่างที่ป่าสีขาวแห่งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ผิดปรกติ เมื่อวานจึงต้องส่งคนไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วนรวมถึงซานาที่มีฝีมือลำดับสองก็ไปด้วย ในหมู่บ้านนี้เธอเป็นรองแค่กีเท่านั้น และเหตุการณ์ผิดปกติดังกล่าวก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งเป็นสองวันติดต่อกัน

 

“สถานที่ล่ะ?”

“ที่เดียวกับเมื่อวาน เดินไปรอบๆเหมือนหาอะไรบางอย่าง จนถึงตอนนี้ยังไม่ก่อความเสียหายใดๆครับ”

“อืม…”

 

  กีเงยหน้าจับคางครุ่นคิด สักพักก็หันไปทางเซเลนที่ยังนั่งดูอยู่เงียบๆ

 

“เอาล่ะ ฉันกับซานาจะไปตรวจสอบสถานการณ์ที่นั่น และจะพาเจ้าตัวเล็ก… เซเลน ไปด้วย”

“เอ๋? ไม่ใช่แค่ท่านซานะ ท่านกีก็ด้วย?”

 

   กีเป็นผู้หัวหน้าที่ต้องรับผิดชอบหมู่บ้านเอลฟ์ ถ้าไม่ถึงขั้นวิกฤตจริงๆก็ไม่ควรออกนอกหมู่บ้านไปดำเนินการด้วยตนเอง แต่ตอนนี้กีต้องการจะออกไปกับลูกมนุษย์คนนั้น ทั้งเอลฟ์หนุ่มและซานายังคาดไม่ถึงกับการตัดสินใจนี้

 

“ถึงจะยังไม่รู้สาเหตุ แต่เจ้าตัวเล็กคนนี้เกี่ยวข้องกับมังกรแน่นอน แทนที่จะคาดเดาอย่างไร้จุดหมายไปเรื่อยๆอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่พาเธอไปพบกับมังกรโดยตรงซะเลยล่ะ?”

“ช้าก่อน! นี่นายคิดจะสังเวยเด็กคนนี้หรือยังไง?”

“เมื่อกี้เธอพูดออกมาเองว่าถูกมังกรพามา ถ้าเป็นความจริงก็ไม่มีอะไรต้องห่วง ถ้าเป็นเรื่องโกหกก็ตายไปแค่คนเดียว ไม่คิดว่าแบบนี้เข้าท่ากว่าเหรอ?”

 

   ซานาอ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็ไม่ได้พูดออกมา

 

____________________

* ぺこあおむし(Peko Aomushi)/The very hungry caterpillar

ชื่อภาษาไทย หนอนจอมหิว

หนังสือภาพนิทานเพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก

 

**冒険者(โบเค็นฉะ) = นักผจญภัย

สำเนียงเพี้ยนเป็น  ボッケンシャー (บ๊อคเค่นชา) 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+