[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 36 ดวล

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 36 ดวล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 36

ดวล

 

 

 

   เบื้องหน้าของมิลานมีเอลฟ์หนุ่มยืนขวางทางอยู่ ในมือของคนผู้นั้นถือแท่งไม้สีขาวราวกับเป็นอาวุธ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีหม้อเก่าๆสภาพยับเยินครอบอยู่บนศีรษะ ทำให้ดูเป็นบุคคลน่าสงสัยยิ่งนัก ถึงจะไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็เข้าใจได้ว่าเขามาเพื่อขัดขวางการช่วยเหลือเซเลน

 

“หมายถึงแกนั่นแหละ โบรคเค่นชาร์ ได้ยินแล้วใช่ไหม ถ้ารักชีวิตก็กลับออกไปซะ”

“โบรคเค่นชาร์? อ่า หมายถึงนักผจญภัยสินะครับ แต่ว่าผมไม่….”

 

   ไม่ใช่นักผจญภัย แต่เป็นเจ้าชาย มิลานกำลังจะพูดออกมา แต่ก็หยุดเอาไว้ก่อน เพราะการอ้างตัวว่าเป็นเจ้าชายแห่งเฮลิฟาเต้กับเอลฟ์ที่เป็นผู้อยู่อาศัยแห่งป่า มันจะส่งผลอะไรก็ไม่อาจทราบได้

 

  และสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ทำในฐานะเจ้าชายลำดับหนึ่ง มิลาน เฮลิฟาเต้ แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีภารกิจตามหาเซเลน จึงได้ออกเดินทางเผชิญอันตรายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ จะเรียกว่านักผจญภัยก็ไม่ผิดนัก

 

“ไม่มีอะไรครับ คุณเอลฟ์ ขออภัยที่บุกรุกเข้ามาในดินแดนของพวกคุณ แต่ผมไม่มีเจตนาทำอันตรายใดๆ”

“งั้นเหรอ พูดเหมือนโบรคเค่นชาร์คนอื่นๆเลยนะ พอรู้ตัวว่าตกอยู่ในอันตรายแล้วก็อ้างแบบนี้กันทุกคน”

“ก็อาจจะจริงครับ แต่เป้าหมายของผมมีเพียงอย่างเดียวคือเด็กคนนั้น เซเลน”

“เซเลน?”

 

  กีเหลือบมองด้านหลังของเขา แต่เซเลนยังไม่หายจากอาการตกใจที่เจ้าชายโผล่ออกมากะทันหัน เธอขยับปากไม่หยุดเหมือนพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มีเสียงออกมา แต่ไม่ว่าจะดูยังไง เธอไม่รู้สึกยินดีที่ได้พบกับชายหนุ่มผมสีทองที่อยู่เบื้องหน้านี้อย่างแน่นอน

 

“(เซเลนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในหมู่มนุษย์เหรอ?)”

 

   หากคำพูดของนักผจญภัยคนนี้เป็นความจริง ก็หมายความว่าเขาเดินทางเข้ามาในป่าสีขาวเพราะต้องการตัวเซเลน โดยที่ไม่สนใจวัตถุดิบที่หาได้ในดินแดนของเอลฟ์เลย พูดง่ายๆว่า การจับตัวเซเลนสำคัญถึงขั้นที่เพิกเฉยกับทรัพยากรอันมีค่าของเอลฟ์ได้

 

“เดินทางมาถึงที่นี่เพื่อเด็กเพียงคนเดียว คงเป็นคนที่สำคัญมากสินะ?”

“ใช่ครับ เธอเป็นคนสำคัญที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้”

“…เข้าใจแล้ว”

 

   คำตอบของมิลานทำให้กีแน่ใจ

   เซเลนเป็นผู้ที่ทำให้มังกรเชื่อฟังเธอได้ ความสามารถเช่นนี้ไม่ว่าจะหาที่ไหนก็ไม่มีอีกแล้ว ผู้ที่ได้ตัวเธอไปย่อมจะทำให้มีอำนาจเหลือล้น การที่นักผจญภัยจะยอมมองข้ามทรัพยากรอื่นๆในป่าสีขาวก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะคุณค่าแตกต่างกันถึงขั้นนั้น

 

 สายตาของกีจับจ้องที่มิลาน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็น เขาเคยเผชิญหน้าและขับไล่นักผจญภัยมาแล้วหลายคน จึงทำให้เขาคาดคะเนความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้โดยที่ยังไม่ต้องประชันดาบกัน นักผจญภัยผมทองคนนี้ดูเป็นคนใจเย็นสุขุม และให้บรรยากาศที่แตกต่างจากนักผจญภัยชั้นปลายแถวที่เคยเจอ

 

“(น่าจะเป็นพวกระดับสูงออกมาลงมือเอง)”

 

  ไม่ใช่โจรกระจอกเหมือนที่ผ่านๆมา เพื่อแย่งชิงเซเลน สมบัติที่ล้ำค่ายิ่งกว่าทุกครั้ง จากดินแดนของเอลฟ์ มนุษย์ต้องใช้ยอดฝีมือที่เก่งกาจกว่าปรกติอยู่แล้ว กีเข้าใจในเหตุผลนี้ดี

 

  การที่ได้รู้จักกับเซเลนทำให้กีตระหนักว่า มนุษย์ก็มีหลายประเภทและไม่ได้เป็นคนเลวทุกคน แต่ถึงอย่างนั้น ภาพรวมของ ‘มนุษย์’ และ ‘นักผจญภัย’  ที่เคยเจอมาถึงตอนนี้ทุกคน เป็นสิ่งน่ารังเกียจที่เข้ามาคุกคามเผ่าพันธุ์เอลฟ์

 

   นักผจญภัยจากวัลเบิร์ตที่ลักลอบเข้ามาในป่าสีขาว ล้วนเป็นคนโลภที่คิดจะกอบโกยทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ความคิดที่ว่า นักผจญภัยกับโจรชั่วคือสิ่งเดียวกัน ได้ฝังรากลึกในความคิดของเอลฟ์ทุกคนไปแล้ว หากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆตกไปอยู่ในมือของนักผจญภัยระดับสูงพวกนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็เดากันได้ไม่ยาก เพราะฉะนั้น จะให้เข้าใกล้เซเลนมากกว่านี้ไม่ได้

 

“เด็กคนนี้ก็เป็นคนสำคัญของทางเราด้วยเหมือนกัน จะส่งตัวให้ง่ายๆก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น กลับไปซะเถอะ ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเราจะดูแลเธอเป็นอย่างดี”

“ดูแลเป็นอย่างดี…เหรอ?”

 

  ในขณะที่กีเห็นมิลานเป็นนักผจญภัยผู้ชั่วร้าย ตัวเขาเองที่เป็นเอลฟ์หยาบคาย มีหม้อครอบหัว ควงแท่งไม้เป็นอาวุธ ก็ดูเหมือนโจรป่าไร้อารยธรรมในมุมมองของมิลานที่ถูกเลี้ยงดูในฐานะราชวงศ์

 

   คนเช่นนี้จะปฏิบัติกับหญิงสาวผู้งดงามอย่างไรคงไม่จำเป็นต้องให้บอก และที่พูดว่า ‘พวกเราจะดูแลเธอเป็นอย่างดี’ นั้น ไม่น่ามีความหมายตรงตามคำพูดนั้นแน่ เพราะฉะนั้น ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมให้เอลฟ์ได้แตะต้องเซเลน

 

“เด็กคนนี้เป็นมนุษย์ เป็นคนที่อยู่ในความรับผิดชอบของผม และจริงๆแล้วผมก็คือผู้ปกครองของเธอ”

“คำพูดของโบรคเค่นชาร์เชื่อถือไม่ได้หรอก”

“ต้องเริ่มที่การเชื่อใจกันก่อนสินะ มีอะไรที่ผมพอจะทำให้ได้หรือเปล่า”

“นั่นสินะ…เอาเป็นว่า นี่!”

 

   กีพูดยังไม่ทันจบก็เหวี่ยงไม้ศักดิ์สิทธิ์ออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงแหวกอากาศดังขึ้นและตามด้วยเสียงของแข็งกระทบกันดังตามมาติดๆ

 

“อึก!”

 

  ก่อนทีการโจมตีอย่างกะทันหันของกีจะถูกตัวมิลาน มิลานชักดาบออกมารับการโจมตีนั้นได้ทันหวุดหวิด กีประหลาดใจกับการตอบสนองอันรวดเร็วของอีกฝ่าย เมื่อการโจมตีที่น่าจะปิดฉากได้ในครั้งเดียวถูกป้องกันเอาไว้ได้ กีจึงกระโดดถอยออกมาเพื่อรักษาระยะห่าง

 

“โห! เอาเรื่องเหมือนกันนี่นา!”

“ก่อนหน้านี้ก็ใช้อาวุธคว้างจากมุมอับสายตาแล้วยังจู่โจมทีเผลออีก เอลฟ์เป็นพวกป่าเถื่อนที่ชอบลอบกัดเหมือนอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ”

 

  มิลานเป็นผู้ที่นับถือการกระทำที่ซื่อตรงและมีเกียรติ ย่อมไม่อาจมองว่าการกระทำของกีเป็นเรื่องที่ถูกต้อง มิลานจึงตัดสินว่ากีเป็นคนชั่วร้ายไปแล้ว

 

“ถ้าบอกก่อนมันจะเรียกว่าลอบโจมตีได้เหรอ”

 

   อย่างไรก็ตาม กีไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกตรงไหน และยังพูดตอบไปเช่นนั้นเหมือนเป็นการล้อเลียน

 

“ไอ้พิธีการอะไรนั่นคือที่พวกแกเรียกกว่าวิถีนักรบอะไรนั่นใช่ไหม? ที่ก่อนสู้ต้องตะโกนว่า ข้าชื่อ อะไรสักอย่าง แห่ง ทีไหนสักที่… แบบนั้น บ้าหรือเปล่า คนจะสู้กันแท้ๆ จะแนะนำตัวไปทำไม?”

“ว่าไงนะ!”

“ถ้าแพ้ก็คือตาย ถ้าตายก็คือจบ ขึ้นชื่อว่าสิ่งมีชีวิต ยังไงก็หนีความตายไม่พ้น ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะ แล้วยังจะเรื่องมากให้โอกาสรอดชีวิตมันน้อยลงไปเพื่ออะไร”

 

   มิลานขมวดคิ้ว ทำใจยอมรับวิธีการของกีไม่ได้ ชัยชนะที่มาจากกลโกงแบบนั้นมันขัดต่อแนวคิดเรื่องความยุติธรรมที่เขายึดถือมาตั้งแต่ยังเด็ก การต่อสู้ที่สมเกียรติ จะชนะหรือพ่ายแพ้ก็เป็นไปอย่างขาวสะอาด

 

   ที่นี่คือดินแดนของเอลฟ์กฎของเอลฟ์ ไม่ใช่มนุษย์  จะใช้สามัญสำนึกของมนุษย์ที่นี่ไม่ได้ แต่มิลานก็ตัดสินใจที่จะไม่คล้อยตามคำยั่วยุของกี และพยายามสื่อเจตนาของเขาไปอีกครั้ง

 

“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อโต้คารมกับใคร ขอถามอีกครั้ง ส่งตัวเซเลนมาให้ผมจะได้ไหม?”

“ถ้าบอกว่าไม่ ล่ะ?”

“…ถึงผมจะตั้งใจจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ให้ถึงที่สุด แต่ถ้าเพื่อเซเลน ก็น่าจะถึงเวลาที่จะต้องใช้ดาบเล่นนี้แล้ว”

“นั่นสินะ แบบนี้เข้าใจง่ายกว่ากันเยอะเลย”

 

   เพียงเท่านี้ ก็ถือว่ายอมรับการต่อสู้อย่างจริงจังกับมิลานแล้ว กียังทำเหมือนไม่ทุกข์ร้อน แต่ในใจรู้สึกระแวง สัญชาตญาณเตือนถึงอันตราย ถ้ามนุษย์คนนี้เป็นนักผจญภัยระดับเดียวกับที่ผ่านๆมาก็คงจะไม่จำเป็นต้องมีการต่อสู้ เพราะจะจบตั้งแต่การโจมตีครั้งนั้นแล้ว

 

   ต่อให้เป็นการต่อสู้ซึ่งๆหน้าตามปรกติ ด้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์อันนี้ก็จะทำลายอาวุธของอีกฝ่ายได้ง่ายๆตั้งแต่การปะทะกันครั้งแรก ทั้งมิลานและดาบเหล็กเล่มนั้นคือสิ่งที่ต้องระวังด้วยกันทั้งคู่

 

“(มนุษย์คนนี้ ต้องเอาจริง…)”

 

  มิลานที่พูดออกไปอย่างมั่นใจ ถึงจะไม่แสดงออก แต่ในใจรู้สึกระแวง สัญชาตญาณเตือนถึงอันตราย นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นการต่อสู้ของเอลฟ์ แม้ภายนอกอาจจะดูเหลาะเหละ แต่การโจมตีเมื่อครู่ทั้งเฉียบคมและรุนแรงมากกว่าทุกๆการต่อสู้ที่เคยเจอ

 

   และยังมีแท่งไม้สีขาวที่มิลานไม่รู้ว่าคืออะไร มันไม่ได้เป็นเพียงกิ่งไม้ที่สุ่มหยิบขึ้นมาอย่างแน่นอน  ถ้าไม่ใช่ดาบเสริมเวทมนตร์ที่ได้รับฝากมาจากพ่อเล่มนี้ ก็คงหักไปกับการโจมตีครั้งนั้นแล้ว

 

“(เอลฟ์คนนี้ เป็นคู่ต่อสู้ที่ประมาทไม่ได้!)”

 

   มิลานและกีมองหน้ากัน การเจรจาไม่เป็นผล ทั้งหมดจะตัดสินกันที่การต่อสู้หลังจากนี้ เอลฟ์และมนุษย์ แตกต่างกันทั้งเผ่าพันธุ์และความเชื่อ แต่ก็มีส่วนที่คล้ายกันมากกว่าที่คิด และทั้งสองมีจุดร่วมอยู่ที่การทุ่มเทฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เหมือนกัน

 

“ขอบอกไว้ก่อน อย่าหวังกำลังเสริมจะดีกว่า ป่านนี้คนของทางนี้คงจัดการพวกแกที่เหลือไปหมดแล้ว”

“พวกเขาเป็นคนที่ผมคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ไม่มีทางแพ้ง่ายๆหรอก ผมไม่ไม่อยากให้มีการฆ่าฟันกัน ถ้ายอมแพ้ก่อนที่จะเกิดการหลั่งเลือดก็จะขอบคุณมาก”

“ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน? ระวังเสียใจภายหลังนะ”

“คำพูดนั้น ขอคืนให้ก็แล้วกัน”

 

  กีและมิลานข่มขู่อีกฝ่ายด้วยคำพูด ไม่มีฝ่ายใดให้น้ำหนักกับคำพูดของอีกฝ่าย เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองมีเหตุผลที่จะยอมแพ้ไม่ได้

 

“(เซเลน รอก่อนนะ จะช่วยออกมาจากพวกเอลฟ์เดี๋ยวนี้แหละ!)”

“(เซเลน จะไม่ยอมให้เธอถูกโบรคเค่าชาร์จับตัวไปหรอก!)”

 

  เหตุผลของทั้งสองคือเซเลน เป็นสิ่งที่พวงเขาตัดสินใจไว้แน่วแน่มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว การต่อสู้ของบุรุษทั้งสอง เจ้าชายของมนุษย์กับหัวหน้าหมู่บ้านของเอลฟ์!

 

“เข้ามาเลย เจ้ามนุษย์! ถ้าตายก็อย่ามาโทษกันล่ะ!”

“ย่อมได้! นักรบของเอลฟ์!”

 

   เสียงปะทะกันระหว่างไม้ศักดิ์สิทธิ์และดาบใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง กีแสดงพรสวรรค์ออกมาอย่างเต็มที่ โจมตีดุเดือดราวกับสัตว์ป่า มิลานใช้ทักษะที่ทุ่มเทฝึกฝนมานานหลายปี การต่อสู้ที่งดงามกับฉากหลังที่เป็นป่าสีขาวกับการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลดั่งสายน้ำของทั้งสองเกิดเป็นเป็นภาพที่สวยงาม แต่ก็เป็นศึกที่ทุ่มเทด้วยชีวิตของพวกเขา

 

   ท่ามกลางบรรยากาศที่อันตรายและน่าหลงใหล เซเลนยืนมองอยู่ห่างๆ ทำความเข้าใจกับสถานการณ์อย่างช้าๆ ตอนที่เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เห็นว่ามิลานกับกีพยายามฆ่ากันแล้ว พวกนั้นทำอะไรกัน เซเลนคิดเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น

 

[“กลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว”]

“อ๊ะ บัตเลอร์”

 

   บัตเลอร์ออกตามหาเซเลนทันทีที่ได้ยินเสียงของเหตุการณ์ผิดปรกติ เขาวิ่งแหวกกองใบไม้บนพื้นเป็นทาง เมื่อเซเลนก้มลงเละยื่นมือออกไป บัตเลอร์ก็ไต่ขึ้นไปอยู่บนไหล่ของเซเลนและหันกลับไปมองที่มิลานกับกีด้วยกัน

 

  เพราะยังไม่ได้ไปไกลมากนัก บัตเลอร์จึงได้ยินการสนทนาทั้งหมดได้จากหูของสัตว์ป่าของเขา เขารู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่การต่อสู้ที่ทั้งสองเดิมพันด้วยชีวิตในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปขัดขวางได้ง่ายๆ

 

[“อืม จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี…”]

“ภาวนา”

[“ภาวนา หรือครับ?”]

“อือ”

 

  เซเลนพูดแล้วก็หรี่ตาประสานมือ เป็นท่าทางของการอธิษฐานทั่วไป บัตเลอร์มองไปที่ใบหน้าของเซเลนจากด้านข้าง เธอไม่ต้องการให้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับผู้ที่หวังดีกับเธอ ภาวนาให้ทั้งสองคนปลอดภัย เพราะเซเลนเป็นเพียงเด็กสาวที่อ่อนแอ จึงทำได้เพียงเท่านี้ เขาที่เห็นเป็นเช่นนั้นได้พูดต่อไป

 

[“ไม่ว่าอย่างไร ทั้งคู่ก็ปรารถนาดีต่อองค์หญิง พวกเราทำได้แค่เป็นสักขีพยานเท่านั้น”]

 

   บัตเลอร์ไม่เหมือนกับเซเลนที่อ่อนแอ เพราะเขามีความสามารถในการต่อสู้สูง ทำให้เขาสามารถเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ของทั้งสองได้ แต่เขาไม่ใช่ผู้ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ในตอนนี้เขาจึงต้องวางตัวเป็นกลาง

 

  ไม่ว่ามิลานหรือกี ก็ต้องการปกป้องเซเลนด้วยกันทั้งนั้น พวกเขาหาทางล้มคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ หากบัตเลอร์เข้าไปแทรกผิดจังหวะ ก็จะทำให้กระแสการต่อสู้เปลี่ยนแปลงกะทันหัน จนอาจจะทำให้หนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัสได้

 

   การที่เซเลนอยู่เฉยๆและภาวนาต่อสวรรค์อยู่ตรงนี้ ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เมื่อการต่อสู้จบลง ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะก็จะอ่อนล้าจนทำให้ใจเย็นลงได้บ้างแล้ว หรือหากไม่เป็นตามที่คาดไว้ เขาก็ก็จะเข้าไปขัดขวางก่อนที่จะมีการปลิดชีพ  บัตเลอร์คิดไว้เช่นนั้น

 

[“ในตอนนี้ กระผมจะทำตัวเป็นกลาง(中立*)ไปก่อน แต่หากจำเป็น กระผมจะเข้าไปขวางไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายแรงเอง โปรดวางใจได้”]

“บัตเลอร์ จะเคี้ยว*”

 

   เพราะหนูเป็นสัตว์ชอบเคี้ยว* เซเลนเล่นมุขตลกฝืดๆออกมาตามประสาคนแก่และแอบหัวเราะเบาๆอยู่คนเดียว โดยที่มิลานและกีกำลังต่อสู้กันอยู่ และบัตเลอร์สังเกตการณ์ทั้งคู่อยู่บนไหล่ของเซเลน เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์อันตราย จึงถือว่าโชคดีที่ไม่มีใครเอะใจกับมุขตลกผิดเวลาของเซเลนแม้แต่คนเดียว

 

  การที่ไม่มีใครเข้าใจมุขของเธอทำให้เซเลนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

 

  ทั้งมิลานและกีต่างก็เป็นคนสำคัญของเซเลน จะเสียคนในคนหนึ่งไปไม่ได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้านาย บัตเลอร์ตั้งใจจับตาดูเพื่อเฝ้าระวังการสูญเสียอย่างเต็มที่ ส่วนเซเลนที่มุขถูกเมินก็กลับมาภาวนาต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

   -เจ้าชาย ตายไปซะ, กี ฆ่ามันให้ได้นะ

 

   ถ้าเซเลนไม่อยู่ อาลัวก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องยอมเชื่อฟัง เพราะเรื่องนี้ เจ้าชายถึงกับให้ผู้ติดตามเข้ามาเสี่ยงชีวิตในป่าสีขาว เพื่อแย่งชิงตัวประกันกลับไป นางฟ้าอาลัวผู้นั้นจะได้ไม่มีโอกาสหลบหนีไปไหน ช่างเป็นผู้ชายที่ยึดติดจนน่ากลัวยิ่งนัก อันตรายเหลือเกิน

 

   จริงๆแล้วผู้ชายที่ยึดติดจนน่ากลัวก็คือเซเลนด้วยเหมือนกัน และการที่เซเลนไม่รู้ตัวในเรื่องนั้นก็ยิ่งอันตรายกว่ากันมาก

 

“พยายามเข้า พยายามเข้า”

 

  จะเป็นพระเจ้าหรือปีศาจก็ไม่สำคัญ เซเลนภาวนากับทุกอย่างที่คิดออก เจ้าชายเป็นผู้บุกรุกที่เข้ามาในป่าสีขาว กีจึงสังหารได้อย่างชอบธรรม และเนื่องจากสถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกล เฉพาะผู้ที่มีพลังเวทย์เท่านั้นที่จะเดินทางเข้ามาได้ ทำให้ยากแก่การตรวจสอบ จึงเป็นที่ที่เหมาะสมกับการฆาตกรรมเจ้าชายที่สุดแล้ว

 

   เจ้าชายที่ออกเดินทางไปยังป่าสีขาวได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ในขณะที่ตนเองและอาลัวย้ายมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเอลฟ์อย่างมีความสุข กีต้องชนะเพื่ออนาคตอันสดใสของทุกๆคน พยายามเข้านะ กี นอกจากนายก็ไม่มีใครทำได้อีกแล้ว กี

 

“ย้าก!”

“ฮึ่ม!”

 

  เจ้าหญิงผู้งดงามเฝ้าอธิษฐานให้กับบุรุษผู้กล้าหาญทั้งสองในการต่อสู้อันทรงเกียรติ อย่างน้อย หากมีบุคคลอื่นมาพบเห็นก็จะคิดได้เช่นนี้ 

 

____________________

*

中立(ชูวริสึ)=เป็นกลาง

เล่นคำโดยใช้ 中(ชูว)ในคำว่า 中立 เป็น チュ=Chew(ชูว)=เคี้ยว ในภาษาอังกฤษ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 36 ดวล

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 36 ดวล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 36

ดวล

 

 

 

   เบื้องหน้าของมิลานมีเอลฟ์หนุ่มยืนขวางทางอยู่ ในมือของคนผู้นั้นถือแท่งไม้สีขาวราวกับเป็นอาวุธ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีหม้อเก่าๆสภาพยับเยินครอบอยู่บนศีรษะ ทำให้ดูเป็นบุคคลน่าสงสัยยิ่งนัก ถึงจะไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็เข้าใจได้ว่าเขามาเพื่อขัดขวางการช่วยเหลือเซเลน

 

“หมายถึงแกนั่นแหละ โบรคเค่นชาร์ ได้ยินแล้วใช่ไหม ถ้ารักชีวิตก็กลับออกไปซะ”

“โบรคเค่นชาร์? อ่า หมายถึงนักผจญภัยสินะครับ แต่ว่าผมไม่….”

 

   ไม่ใช่นักผจญภัย แต่เป็นเจ้าชาย มิลานกำลังจะพูดออกมา แต่ก็หยุดเอาไว้ก่อน เพราะการอ้างตัวว่าเป็นเจ้าชายแห่งเฮลิฟาเต้กับเอลฟ์ที่เป็นผู้อยู่อาศัยแห่งป่า มันจะส่งผลอะไรก็ไม่อาจทราบได้

 

  และสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ทำในฐานะเจ้าชายลำดับหนึ่ง มิลาน เฮลิฟาเต้ แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีภารกิจตามหาเซเลน จึงได้ออกเดินทางเผชิญอันตรายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ จะเรียกว่านักผจญภัยก็ไม่ผิดนัก

 

“ไม่มีอะไรครับ คุณเอลฟ์ ขออภัยที่บุกรุกเข้ามาในดินแดนของพวกคุณ แต่ผมไม่มีเจตนาทำอันตรายใดๆ”

“งั้นเหรอ พูดเหมือนโบรคเค่นชาร์คนอื่นๆเลยนะ พอรู้ตัวว่าตกอยู่ในอันตรายแล้วก็อ้างแบบนี้กันทุกคน”

“ก็อาจจะจริงครับ แต่เป้าหมายของผมมีเพียงอย่างเดียวคือเด็กคนนั้น เซเลน”

“เซเลน?”

 

  กีเหลือบมองด้านหลังของเขา แต่เซเลนยังไม่หายจากอาการตกใจที่เจ้าชายโผล่ออกมากะทันหัน เธอขยับปากไม่หยุดเหมือนพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มีเสียงออกมา แต่ไม่ว่าจะดูยังไง เธอไม่รู้สึกยินดีที่ได้พบกับชายหนุ่มผมสีทองที่อยู่เบื้องหน้านี้อย่างแน่นอน

 

“(เซเลนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในหมู่มนุษย์เหรอ?)”

 

   หากคำพูดของนักผจญภัยคนนี้เป็นความจริง ก็หมายความว่าเขาเดินทางเข้ามาในป่าสีขาวเพราะต้องการตัวเซเลน โดยที่ไม่สนใจวัตถุดิบที่หาได้ในดินแดนของเอลฟ์เลย พูดง่ายๆว่า การจับตัวเซเลนสำคัญถึงขั้นที่เพิกเฉยกับทรัพยากรอันมีค่าของเอลฟ์ได้

 

“เดินทางมาถึงที่นี่เพื่อเด็กเพียงคนเดียว คงเป็นคนที่สำคัญมากสินะ?”

“ใช่ครับ เธอเป็นคนสำคัญที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้”

“…เข้าใจแล้ว”

 

   คำตอบของมิลานทำให้กีแน่ใจ

   เซเลนเป็นผู้ที่ทำให้มังกรเชื่อฟังเธอได้ ความสามารถเช่นนี้ไม่ว่าจะหาที่ไหนก็ไม่มีอีกแล้ว ผู้ที่ได้ตัวเธอไปย่อมจะทำให้มีอำนาจเหลือล้น การที่นักผจญภัยจะยอมมองข้ามทรัพยากรอื่นๆในป่าสีขาวก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะคุณค่าแตกต่างกันถึงขั้นนั้น

 

 สายตาของกีจับจ้องที่มิลาน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็น เขาเคยเผชิญหน้าและขับไล่นักผจญภัยมาแล้วหลายคน จึงทำให้เขาคาดคะเนความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้โดยที่ยังไม่ต้องประชันดาบกัน นักผจญภัยผมทองคนนี้ดูเป็นคนใจเย็นสุขุม และให้บรรยากาศที่แตกต่างจากนักผจญภัยชั้นปลายแถวที่เคยเจอ

 

“(น่าจะเป็นพวกระดับสูงออกมาลงมือเอง)”

 

  ไม่ใช่โจรกระจอกเหมือนที่ผ่านๆมา เพื่อแย่งชิงเซเลน สมบัติที่ล้ำค่ายิ่งกว่าทุกครั้ง จากดินแดนของเอลฟ์ มนุษย์ต้องใช้ยอดฝีมือที่เก่งกาจกว่าปรกติอยู่แล้ว กีเข้าใจในเหตุผลนี้ดี

 

  การที่ได้รู้จักกับเซเลนทำให้กีตระหนักว่า มนุษย์ก็มีหลายประเภทและไม่ได้เป็นคนเลวทุกคน แต่ถึงอย่างนั้น ภาพรวมของ ‘มนุษย์’ และ ‘นักผจญภัย’  ที่เคยเจอมาถึงตอนนี้ทุกคน เป็นสิ่งน่ารังเกียจที่เข้ามาคุกคามเผ่าพันธุ์เอลฟ์

 

   นักผจญภัยจากวัลเบิร์ตที่ลักลอบเข้ามาในป่าสีขาว ล้วนเป็นคนโลภที่คิดจะกอบโกยทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ความคิดที่ว่า นักผจญภัยกับโจรชั่วคือสิ่งเดียวกัน ได้ฝังรากลึกในความคิดของเอลฟ์ทุกคนไปแล้ว หากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆตกไปอยู่ในมือของนักผจญภัยระดับสูงพวกนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็เดากันได้ไม่ยาก เพราะฉะนั้น จะให้เข้าใกล้เซเลนมากกว่านี้ไม่ได้

 

“เด็กคนนี้ก็เป็นคนสำคัญของทางเราด้วยเหมือนกัน จะส่งตัวให้ง่ายๆก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น กลับไปซะเถอะ ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเราจะดูแลเธอเป็นอย่างดี”

“ดูแลเป็นอย่างดี…เหรอ?”

 

  ในขณะที่กีเห็นมิลานเป็นนักผจญภัยผู้ชั่วร้าย ตัวเขาเองที่เป็นเอลฟ์หยาบคาย มีหม้อครอบหัว ควงแท่งไม้เป็นอาวุธ ก็ดูเหมือนโจรป่าไร้อารยธรรมในมุมมองของมิลานที่ถูกเลี้ยงดูในฐานะราชวงศ์

 

   คนเช่นนี้จะปฏิบัติกับหญิงสาวผู้งดงามอย่างไรคงไม่จำเป็นต้องให้บอก และที่พูดว่า ‘พวกเราจะดูแลเธอเป็นอย่างดี’ นั้น ไม่น่ามีความหมายตรงตามคำพูดนั้นแน่ เพราะฉะนั้น ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมให้เอลฟ์ได้แตะต้องเซเลน

 

“เด็กคนนี้เป็นมนุษย์ เป็นคนที่อยู่ในความรับผิดชอบของผม และจริงๆแล้วผมก็คือผู้ปกครองของเธอ”

“คำพูดของโบรคเค่นชาร์เชื่อถือไม่ได้หรอก”

“ต้องเริ่มที่การเชื่อใจกันก่อนสินะ มีอะไรที่ผมพอจะทำให้ได้หรือเปล่า”

“นั่นสินะ…เอาเป็นว่า นี่!”

 

   กีพูดยังไม่ทันจบก็เหวี่ยงไม้ศักดิ์สิทธิ์ออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงแหวกอากาศดังขึ้นและตามด้วยเสียงของแข็งกระทบกันดังตามมาติดๆ

 

“อึก!”

 

  ก่อนทีการโจมตีอย่างกะทันหันของกีจะถูกตัวมิลาน มิลานชักดาบออกมารับการโจมตีนั้นได้ทันหวุดหวิด กีประหลาดใจกับการตอบสนองอันรวดเร็วของอีกฝ่าย เมื่อการโจมตีที่น่าจะปิดฉากได้ในครั้งเดียวถูกป้องกันเอาไว้ได้ กีจึงกระโดดถอยออกมาเพื่อรักษาระยะห่าง

 

“โห! เอาเรื่องเหมือนกันนี่นา!”

“ก่อนหน้านี้ก็ใช้อาวุธคว้างจากมุมอับสายตาแล้วยังจู่โจมทีเผลออีก เอลฟ์เป็นพวกป่าเถื่อนที่ชอบลอบกัดเหมือนอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ”

 

  มิลานเป็นผู้ที่นับถือการกระทำที่ซื่อตรงและมีเกียรติ ย่อมไม่อาจมองว่าการกระทำของกีเป็นเรื่องที่ถูกต้อง มิลานจึงตัดสินว่ากีเป็นคนชั่วร้ายไปแล้ว

 

“ถ้าบอกก่อนมันจะเรียกว่าลอบโจมตีได้เหรอ”

 

   อย่างไรก็ตาม กีไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกตรงไหน และยังพูดตอบไปเช่นนั้นเหมือนเป็นการล้อเลียน

 

“ไอ้พิธีการอะไรนั่นคือที่พวกแกเรียกกว่าวิถีนักรบอะไรนั่นใช่ไหม? ที่ก่อนสู้ต้องตะโกนว่า ข้าชื่อ อะไรสักอย่าง แห่ง ทีไหนสักที่… แบบนั้น บ้าหรือเปล่า คนจะสู้กันแท้ๆ จะแนะนำตัวไปทำไม?”

“ว่าไงนะ!”

“ถ้าแพ้ก็คือตาย ถ้าตายก็คือจบ ขึ้นชื่อว่าสิ่งมีชีวิต ยังไงก็หนีความตายไม่พ้น ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะ แล้วยังจะเรื่องมากให้โอกาสรอดชีวิตมันน้อยลงไปเพื่ออะไร”

 

   มิลานขมวดคิ้ว ทำใจยอมรับวิธีการของกีไม่ได้ ชัยชนะที่มาจากกลโกงแบบนั้นมันขัดต่อแนวคิดเรื่องความยุติธรรมที่เขายึดถือมาตั้งแต่ยังเด็ก การต่อสู้ที่สมเกียรติ จะชนะหรือพ่ายแพ้ก็เป็นไปอย่างขาวสะอาด

 

   ที่นี่คือดินแดนของเอลฟ์กฎของเอลฟ์ ไม่ใช่มนุษย์  จะใช้สามัญสำนึกของมนุษย์ที่นี่ไม่ได้ แต่มิลานก็ตัดสินใจที่จะไม่คล้อยตามคำยั่วยุของกี และพยายามสื่อเจตนาของเขาไปอีกครั้ง

 

“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อโต้คารมกับใคร ขอถามอีกครั้ง ส่งตัวเซเลนมาให้ผมจะได้ไหม?”

“ถ้าบอกว่าไม่ ล่ะ?”

“…ถึงผมจะตั้งใจจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ให้ถึงที่สุด แต่ถ้าเพื่อเซเลน ก็น่าจะถึงเวลาที่จะต้องใช้ดาบเล่นนี้แล้ว”

“นั่นสินะ แบบนี้เข้าใจง่ายกว่ากันเยอะเลย”

 

   เพียงเท่านี้ ก็ถือว่ายอมรับการต่อสู้อย่างจริงจังกับมิลานแล้ว กียังทำเหมือนไม่ทุกข์ร้อน แต่ในใจรู้สึกระแวง สัญชาตญาณเตือนถึงอันตราย ถ้ามนุษย์คนนี้เป็นนักผจญภัยระดับเดียวกับที่ผ่านๆมาก็คงจะไม่จำเป็นต้องมีการต่อสู้ เพราะจะจบตั้งแต่การโจมตีครั้งนั้นแล้ว

 

   ต่อให้เป็นการต่อสู้ซึ่งๆหน้าตามปรกติ ด้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์อันนี้ก็จะทำลายอาวุธของอีกฝ่ายได้ง่ายๆตั้งแต่การปะทะกันครั้งแรก ทั้งมิลานและดาบเหล็กเล่มนั้นคือสิ่งที่ต้องระวังด้วยกันทั้งคู่

 

“(มนุษย์คนนี้ ต้องเอาจริง…)”

 

  มิลานที่พูดออกไปอย่างมั่นใจ ถึงจะไม่แสดงออก แต่ในใจรู้สึกระแวง สัญชาตญาณเตือนถึงอันตราย นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นการต่อสู้ของเอลฟ์ แม้ภายนอกอาจจะดูเหลาะเหละ แต่การโจมตีเมื่อครู่ทั้งเฉียบคมและรุนแรงมากกว่าทุกๆการต่อสู้ที่เคยเจอ

 

   และยังมีแท่งไม้สีขาวที่มิลานไม่รู้ว่าคืออะไร มันไม่ได้เป็นเพียงกิ่งไม้ที่สุ่มหยิบขึ้นมาอย่างแน่นอน  ถ้าไม่ใช่ดาบเสริมเวทมนตร์ที่ได้รับฝากมาจากพ่อเล่มนี้ ก็คงหักไปกับการโจมตีครั้งนั้นแล้ว

 

“(เอลฟ์คนนี้ เป็นคู่ต่อสู้ที่ประมาทไม่ได้!)”

 

   มิลานและกีมองหน้ากัน การเจรจาไม่เป็นผล ทั้งหมดจะตัดสินกันที่การต่อสู้หลังจากนี้ เอลฟ์และมนุษย์ แตกต่างกันทั้งเผ่าพันธุ์และความเชื่อ แต่ก็มีส่วนที่คล้ายกันมากกว่าที่คิด และทั้งสองมีจุดร่วมอยู่ที่การทุ่มเทฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เหมือนกัน

 

“ขอบอกไว้ก่อน อย่าหวังกำลังเสริมจะดีกว่า ป่านนี้คนของทางนี้คงจัดการพวกแกที่เหลือไปหมดแล้ว”

“พวกเขาเป็นคนที่ผมคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ไม่มีทางแพ้ง่ายๆหรอก ผมไม่ไม่อยากให้มีการฆ่าฟันกัน ถ้ายอมแพ้ก่อนที่จะเกิดการหลั่งเลือดก็จะขอบคุณมาก”

“ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน? ระวังเสียใจภายหลังนะ”

“คำพูดนั้น ขอคืนให้ก็แล้วกัน”

 

  กีและมิลานข่มขู่อีกฝ่ายด้วยคำพูด ไม่มีฝ่ายใดให้น้ำหนักกับคำพูดของอีกฝ่าย เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองมีเหตุผลที่จะยอมแพ้ไม่ได้

 

“(เซเลน รอก่อนนะ จะช่วยออกมาจากพวกเอลฟ์เดี๋ยวนี้แหละ!)”

“(เซเลน จะไม่ยอมให้เธอถูกโบรคเค่าชาร์จับตัวไปหรอก!)”

 

  เหตุผลของทั้งสองคือเซเลน เป็นสิ่งที่พวงเขาตัดสินใจไว้แน่วแน่มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว การต่อสู้ของบุรุษทั้งสอง เจ้าชายของมนุษย์กับหัวหน้าหมู่บ้านของเอลฟ์!

 

“เข้ามาเลย เจ้ามนุษย์! ถ้าตายก็อย่ามาโทษกันล่ะ!”

“ย่อมได้! นักรบของเอลฟ์!”

 

   เสียงปะทะกันระหว่างไม้ศักดิ์สิทธิ์และดาบใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง กีแสดงพรสวรรค์ออกมาอย่างเต็มที่ โจมตีดุเดือดราวกับสัตว์ป่า มิลานใช้ทักษะที่ทุ่มเทฝึกฝนมานานหลายปี การต่อสู้ที่งดงามกับฉากหลังที่เป็นป่าสีขาวกับการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลดั่งสายน้ำของทั้งสองเกิดเป็นเป็นภาพที่สวยงาม แต่ก็เป็นศึกที่ทุ่มเทด้วยชีวิตของพวกเขา

 

   ท่ามกลางบรรยากาศที่อันตรายและน่าหลงใหล เซเลนยืนมองอยู่ห่างๆ ทำความเข้าใจกับสถานการณ์อย่างช้าๆ ตอนที่เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เห็นว่ามิลานกับกีพยายามฆ่ากันแล้ว พวกนั้นทำอะไรกัน เซเลนคิดเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น

 

[“กลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว”]

“อ๊ะ บัตเลอร์”

 

   บัตเลอร์ออกตามหาเซเลนทันทีที่ได้ยินเสียงของเหตุการณ์ผิดปรกติ เขาวิ่งแหวกกองใบไม้บนพื้นเป็นทาง เมื่อเซเลนก้มลงเละยื่นมือออกไป บัตเลอร์ก็ไต่ขึ้นไปอยู่บนไหล่ของเซเลนและหันกลับไปมองที่มิลานกับกีด้วยกัน

 

  เพราะยังไม่ได้ไปไกลมากนัก บัตเลอร์จึงได้ยินการสนทนาทั้งหมดได้จากหูของสัตว์ป่าของเขา เขารู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่การต่อสู้ที่ทั้งสองเดิมพันด้วยชีวิตในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปขัดขวางได้ง่ายๆ

 

[“อืม จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี…”]

“ภาวนา”

[“ภาวนา หรือครับ?”]

“อือ”

 

  เซเลนพูดแล้วก็หรี่ตาประสานมือ เป็นท่าทางของการอธิษฐานทั่วไป บัตเลอร์มองไปที่ใบหน้าของเซเลนจากด้านข้าง เธอไม่ต้องการให้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับผู้ที่หวังดีกับเธอ ภาวนาให้ทั้งสองคนปลอดภัย เพราะเซเลนเป็นเพียงเด็กสาวที่อ่อนแอ จึงทำได้เพียงเท่านี้ เขาที่เห็นเป็นเช่นนั้นได้พูดต่อไป

 

[“ไม่ว่าอย่างไร ทั้งคู่ก็ปรารถนาดีต่อองค์หญิง พวกเราทำได้แค่เป็นสักขีพยานเท่านั้น”]

 

   บัตเลอร์ไม่เหมือนกับเซเลนที่อ่อนแอ เพราะเขามีความสามารถในการต่อสู้สูง ทำให้เขาสามารถเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ของทั้งสองได้ แต่เขาไม่ใช่ผู้ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ในตอนนี้เขาจึงต้องวางตัวเป็นกลาง

 

  ไม่ว่ามิลานหรือกี ก็ต้องการปกป้องเซเลนด้วยกันทั้งนั้น พวกเขาหาทางล้มคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ หากบัตเลอร์เข้าไปแทรกผิดจังหวะ ก็จะทำให้กระแสการต่อสู้เปลี่ยนแปลงกะทันหัน จนอาจจะทำให้หนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัสได้

 

   การที่เซเลนอยู่เฉยๆและภาวนาต่อสวรรค์อยู่ตรงนี้ ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เมื่อการต่อสู้จบลง ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะก็จะอ่อนล้าจนทำให้ใจเย็นลงได้บ้างแล้ว หรือหากไม่เป็นตามที่คาดไว้ เขาก็ก็จะเข้าไปขัดขวางก่อนที่จะมีการปลิดชีพ  บัตเลอร์คิดไว้เช่นนั้น

 

[“ในตอนนี้ กระผมจะทำตัวเป็นกลาง(中立*)ไปก่อน แต่หากจำเป็น กระผมจะเข้าไปขวางไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายแรงเอง โปรดวางใจได้”]

“บัตเลอร์ จะเคี้ยว*”

 

   เพราะหนูเป็นสัตว์ชอบเคี้ยว* เซเลนเล่นมุขตลกฝืดๆออกมาตามประสาคนแก่และแอบหัวเราะเบาๆอยู่คนเดียว โดยที่มิลานและกีกำลังต่อสู้กันอยู่ และบัตเลอร์สังเกตการณ์ทั้งคู่อยู่บนไหล่ของเซเลน เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์อันตราย จึงถือว่าโชคดีที่ไม่มีใครเอะใจกับมุขตลกผิดเวลาของเซเลนแม้แต่คนเดียว

 

  การที่ไม่มีใครเข้าใจมุขของเธอทำให้เซเลนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

 

  ทั้งมิลานและกีต่างก็เป็นคนสำคัญของเซเลน จะเสียคนในคนหนึ่งไปไม่ได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้านาย บัตเลอร์ตั้งใจจับตาดูเพื่อเฝ้าระวังการสูญเสียอย่างเต็มที่ ส่วนเซเลนที่มุขถูกเมินก็กลับมาภาวนาต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

   -เจ้าชาย ตายไปซะ, กี ฆ่ามันให้ได้นะ

 

   ถ้าเซเลนไม่อยู่ อาลัวก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องยอมเชื่อฟัง เพราะเรื่องนี้ เจ้าชายถึงกับให้ผู้ติดตามเข้ามาเสี่ยงชีวิตในป่าสีขาว เพื่อแย่งชิงตัวประกันกลับไป นางฟ้าอาลัวผู้นั้นจะได้ไม่มีโอกาสหลบหนีไปไหน ช่างเป็นผู้ชายที่ยึดติดจนน่ากลัวยิ่งนัก อันตรายเหลือเกิน

 

   จริงๆแล้วผู้ชายที่ยึดติดจนน่ากลัวก็คือเซเลนด้วยเหมือนกัน และการที่เซเลนไม่รู้ตัวในเรื่องนั้นก็ยิ่งอันตรายกว่ากันมาก

 

“พยายามเข้า พยายามเข้า”

 

  จะเป็นพระเจ้าหรือปีศาจก็ไม่สำคัญ เซเลนภาวนากับทุกอย่างที่คิดออก เจ้าชายเป็นผู้บุกรุกที่เข้ามาในป่าสีขาว กีจึงสังหารได้อย่างชอบธรรม และเนื่องจากสถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกล เฉพาะผู้ที่มีพลังเวทย์เท่านั้นที่จะเดินทางเข้ามาได้ ทำให้ยากแก่การตรวจสอบ จึงเป็นที่ที่เหมาะสมกับการฆาตกรรมเจ้าชายที่สุดแล้ว

 

   เจ้าชายที่ออกเดินทางไปยังป่าสีขาวได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ในขณะที่ตนเองและอาลัวย้ายมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเอลฟ์อย่างมีความสุข กีต้องชนะเพื่ออนาคตอันสดใสของทุกๆคน พยายามเข้านะ กี นอกจากนายก็ไม่มีใครทำได้อีกแล้ว กี

 

“ย้าก!”

“ฮึ่ม!”

 

  เจ้าหญิงผู้งดงามเฝ้าอธิษฐานให้กับบุรุษผู้กล้าหาญทั้งสองในการต่อสู้อันทรงเกียรติ อย่างน้อย หากมีบุคคลอื่นมาพบเห็นก็จะคิดได้เช่นนี้ 

 

____________________

*

中立(ชูวริสึ)=เป็นกลาง

เล่นคำโดยใช้ 中(ชูว)ในคำว่า 中立 เป็น チュ=Chew(ชูว)=เคี้ยว ในภาษาอังกฤษ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+