[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 41 ชำระล้าง

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 41 ชำระล้าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 41

ชำระล้าง

 

 

   ฤดูร้อนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นับตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อนนี้ วันเวลาผ่านไปหลายเดือนนับตั้งแต่เซเลนกลายมาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาเต้ แสงแดดอันร้อนแรงที่เป็นจุดเด่นของฤดูกาลแผ่ขยายออกไปกว้างไกล เช่นเดียวกับชื่อเสียงของเซเลน ที่แผ่ขยายจากเฮลิฟาเต้ออกไปยังประเทศอื่นๆ 

 

   แต่ตัวของเซเลนเองนั้น ไม่ถูกกับแสงแดดของฤดูร้อน เธอจึงได้แต่นอนอยู่ในห้องของเธอตลอดวัน โดยที่ในฤดูใบไม้ผลิ เธอจะหลับใหลเพราะอากาศอุ่นสบาย ในฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะเย็นทำให้เหมาะแก่การนอน และในฤดูหนาว เธอจะซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ไม่ออกไปเผชิญกับอากาศที่หนาวเหน็บ จึงสรุปได้ว่า จะเป็นฤดูกาลไหนของปี เธอก็สามารถนอนหลับได้ตลอดเวลาโดยที่ร่างกายไม่ได้เติบโตขึ้นเลย

 

[“องค์หญิง! กระผมมีเรื่องมาแจ้งให้ทราบ!”]

“หืม?”

 

  เซเลนขยี้ตาให้ตื่นเพราะเสียงของบัตเลอร์ที่พูดอยู่ข้างเตียง เหลือบมองหน้าต่างและคาดเดาเวลาจากตำแหน่งดวงอาทิตย์จึงรู้ว่าเป็นช่วงเที่ยงวัน ซึ่งเช้าเกินไปสำหรับการตื่นนอน

  ดูจากบัตเลอร์ที่รีบร้อนมาหาจนหายใจแรง ก็เดาว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้นหรือมีเรื่องสำคัญ เธอจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง

 

“อะไร?”

[“เป็นเรื่องที่ทำให้บัตเลอร์คนนี้ต้องรีบมารายงานทันทีที่การหารือของเจ้าชายมิลานกับองค์ราชาจบลงเลยครับ!”]

 

  เซเลนได้ยินแล้วก็สงสัย เพราะรู้ว่ามิลานไปจัดการกับธุระตั้งแต่เช้า ไม่ได้ไปร่วมฝึกเหมือนทุกที เซเลนจึงไม่ได้ตื่นไปทำอาหารกลางวันไปวางยาเหมือนทุกทีเช่นกัน

 

  เจ้าชายจะไปคุยกับใครหรือไปตายอยู่ที่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับเซเลนอยู่แล้ว แต่บัตเลอร์ดูท่าจะตื่นเต้นอารมณ์ดีจนหูตั้งหางชี้

 

[“อันที่จริง ผู้ที่มาเข้าเฝ้าในวันนี้คือคณะทูตจากอาร์คุยล่าครับ”]

“เหรอ?”

 

 ถึงจะทำให้เซเลนแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก อย่างน้อยก็เป็นบ้านเกิดของเธอในตอนนี้ จึงอยากรู้ข่าวคราวอยู่บ้าง

 

[“สรุปสั้นๆว่า พวกนั้นมาเพื่อพาตัวองค์หญิงเซเลนกลับไป โดยจะคืนสิ่งที่ได้รับจากข้อแลกเปลี่ยนในตอนแรกให้ กระผมพูดได้เต็มปากเลยว่าพวกเขาต้องการสิทธิ์ในการแลกเปลี่ยนสินค้ากับเอลฟ์ครับ”]

“เอ๋!?”

 

  เรื่องนี้ทำให้เซเลนถึงกับตาค้าง เพราะไม่คิดว่าจะได้ออกจากที่นี่ได้อย่างกะทันหันเช่นนี้ แต่บัตเลอร์ก็พูดกับเซเลนต่อด้วยท่าทางเหมือนอยากอวด

 

[“อืม เป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆด้วยสินะครับ แต่หลังจากนั้นต่างหาก ที่กระผมอยากจะให้ท่านได้เห็นกับตา ท่านทราบคำตอบที่ราชาชวานจะพูดกับทูตเหล่านั้นไหมครับ?”]

“ว่า?”

 

  เมื่อเซเลนถาม บัตเลอร์ก็ยืนสองขาและกระแอมเหมือนพยายามเลียนแบบน้ำเสียงของราชาชวาน

 

[“เมื่อมีคนต้องการของที่พวกแกเห็นเป็นขยะ แกก็หลอกขายในราคาแพงแล้วเขี่ยทิ้งอย่างไม่ใยดี พอผ่านไปครึ่งปีก็รู้ตัวว่าสิ่งนั้นคือสมบัติระดับชาติที่ไม่มีสิ่งใดในโลกมีค่าเทียบเท่า ก็คิดจะมาขอซื้อคืนกันง่ายๆ คนที่ยอมคืนก็คงจะมีแต่คนที่โง่กว่าพวกแกเท่านั้น และถ้ามีคนแบบนั้นจริง ข้าก็อยากจะเห็นหน้ามันเหลือเกิน”]

 

  ในตอนนั้น ชวานตอบกลับไปด้วยความฉุนเฉียว มิลานที่อยู่ข้างๆก็พูดถึงเนื้อหาในสัญญาที่เป็นทางการ ในนั้นระบุไว้ว่า ขอมอบเซเลนให้อุทิศตนรับใช้เฮลิฟาเต้ ซึงก็หมายความว่าเรื่องทั้งหมดได้เป็นไปตามสัญญา จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องรับฟังข้อเรียกร้องนี้

  บัตเลอร์ที่แอบดูอยู่ใกล้ๆ ได้ฟังทุกอย่างมาตั้งแต่แรก ก็อยากจะกระโดดออกไปชี้หน้าหัวเราะเยอะใส่คนพวกนั้นจนแทบอดใจไว้ไม่อยู่

 

[“น่าเสียดายที่องค์หญิงไม่ได้ไปเห็นด้วยตนเอง! คนพวกนั้นถูกราชาราชสีห์กับสิงโตหนุ่มไล้ต้อนจนขาสั่นเหมือนลูกกวางแรกเกิด สุดท้ายก็เผ่นแน่บกลับไป”]

“ต่อจากนั้น?”

[“…เรื่องที่เกิดขึ้นก็มีเพียงเท่านี้ครับ”]

“อือ”

 

  หลังฟังเรื่องของบัตเลอร์จบ เซเลนดึงผ้าห่มผืนบางสำหรับฤดูร้อนมาคลุมตัวและเอนกายหลับตาลงนอนต่ออีกครั้ง

 

[“เอ่อ องค์หญิง ไม่มีอะไรจะพูดเลยหรือครับ?”]

“อือ ง่วง”

 

  และเซเลนก็หลับลงในทันที เหลือไว้แต่บัตเลอร์ที่รู้สึกเหมือนตนเองได้พลาดอะไรบางอย่างไป

 

[“อืม หรือกระผมจะทำเรื่องไม่สมควร…”]

 

  การที่เซเลนเมินเฉยกับเรื่องนั้นคือสิ่งที่บัตเลอร์คาดไม่ถึง ผู้ที่เคยทุกข์ทรมานจากการถูกกดขี่ย่อมไม่อยากย้อนกลับไปยังดินแดนแห่งความอยุติธรรมนั้นอีก เขาคิดว่าจะได้ยินคำพูด ‘ไอ้พวกโง่เอ๊ย!’ หรือ ‘สมน้ำหน้า!’ เสียอีก แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น

 

  จากที่เห็น เซเลนไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่นิดเดียว ลงนอนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับถูกปลุกขึ้นมาด้วยเรื่องไร้สาระ บัตเลอร์ยังคงมองหน้าเซเลน คิดถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเธอ และเขาก็เข้าใจได้ในที่สุด

 

[“อา! กระผมได้ทำเรื่องน่าอับอายลงไปแล้ว!”]

 

  บัตเลอร์นึกขึ้นได้ว่าตัวเขาเองก็เคยพบกับเรื่องลักษณะนี้มาก่อน เมื่อตอนที่เขายังอ่อนเอ เขาถูกหนูตัวอื่นขับไล่ออกจากถิ่นที่อยู่และแย่งอาหารอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งได้มารับใช้เจ้าหญิงผู้สูงส่ง และมาตอนนี้ก็ได้อาศัยอยู่ในในปราสาทของราชวงศ์ของประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งในทวีป ไม่มีหนูตัวไหนยิ่งใหญ่ได้เท่าบัตเลอร์อีกแล้ว

 

  หลังจากได้รับพรมาช่วงแรกๆเขาเคยคิดจะไปลงทัณฑ์หนูโง่พวกนั้น แต่พอรู้ตัวว่าตนเองเป็นพ่อบ้านหนูผู้มีเกียรติ ก็คิดได้ว่าเอาชนะหนูอ่อนแอพวกนั้นไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา

 

  เซเลนต้องคิดเหมือนกับเขาแน่ ไม่คิดเอาความกับประเทศเล็กๆอย่างอาร์คุยล่า แต่ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสงบใจได้ท่ากับเธอหรือเปล่า

 

[“ยิ่งเข้าใจองค์หญิงมากเท่าใด ก็ยิ่งเห็นความอ่อนด้อยของตนเอง…”]

 

  ในตอนที่บัตเลอร์ยอมละทิ้งความเกลียดชังและหันมายึดมั่นในศักดิ์ศรี ยังต้องใช้เวลาสักพัก แต่เซเลนที่อายุแปดขวบ ซึ่งยังไม่พ้นวัยเด็ก แต่ก็ขัดเกลาจิตใจจนเทียบเท่ากับผู้ใหญ่ได้แล้ว

 

[“องค์หญิงเซเลน ท่านจะสูงส่งได้อีกแค่ไหน”]

 

  ยังเหลือเวลาให้เซเลนได้เติบโตอีกมาก ทั้งที่ตอนนี้เธอก็เป็นเจ้าหญิงที่งดงามที่สุดในประเทศนี้แล้ว และยังมีความสามารถที่มีเพียงหนึ่งเดียวอีก สักวันเจ้าหญิงตัวน้อยจะเติบใหญ่เป็นหญิงสาวผู้งดงาม

 

[“หึหึ เจ้าพวกอาร์คุยล่าตาถั่วเอ๋ย แยกแยะไม่ออกระหว่างเป็ดกับหงส์ก็จงเสียใจไปซะ แล้วยังมีหน้ามาขอองค์หญิงกลับไปอีก”]

 

  บัตเลอร์มองดูเซเลนด้วยความเคารพรัก จินตนาการว่าอาร์คุยล่าจะรู้สึกเสียดายขนาดไหน ดั่งลูกเป็ดในนิทานที่ถูกรังเกียจเพราะความแตกต่าง แท้จริงแล้วเป็นหงส์ที่สง่างาม

 

  มาตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว คิดจะจับหงส์กลับไปแต่ก็หารู้ไม่ว่าสิงโตทั้งฝูงพร้อมที่จะปกป้องหงส์ให้โบยบินได้อย่างอิสระบนท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต บัตเลอร์อยากจะเห็นเหลือเกิน ว่าต่อจากนี้องค์หญิงจะบินได้สูงเพียงใด

 

[“ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว อืม แทบอดใจรอไม่ไหวเลย”]

 

  ความคิดนั้นก็ไม่ผิดนัก เธอไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เพราะถ้าเป็นเซเลนตามปรกติจะต้องรีบลุกจากเตียง วิ่งไปหาคนจากอาร์คุยล่าทั้งชุดนอนเพื่อขอร้องให้พากลับไปขังไว้ที่เดิม แต่ตอนนี้เธอได้ค้นพบสถานที่กบดานใหม่แล้ว และความเป็นอยู่ที่หมู่บ้านเอลฟ์ก็สะดวกสบายกว่าเป็นไหนๆ จึงเปลี่ยนเป้าหมายจากบ้านเกิดไปที่นั่นแทน

 

 

  หลังจากมิลานไล่ทูตจากอาร์คุยล่ากลับไปก็ผ่านไปอีกหลายชั่วโมง วันนี้เขาก็ได้มาร่วมโต๊ะเจรจากับเอลฟ์อีกครั้ง ซึ่งได้กลายมาเป็นหน้าที่ของเขาไปแล้ว แต่ครั้งนี้ต่างออกไป คือ วันนี้เซเลนไม่ได้ปรากฏตัวในที่แห่งนี้ด้วย

 

“ว่าไง คุณเจ้าชาย แล้วเจ้าหญิงแสงจันทร์ล่ะ?”

“เจ้าหญิงแสงจันทร์?”

 

  มิลานสงสัย ตอนที่เขามาถึง กีที่นั่งรอเขาอยู่ได้ถามถึงอะไรบางอย่าง แต่ก็คิดออกทันที่ ว่า ‘เจ้าหญิงแสงจันทร์’ ที่พูดนั้น น่าจะหมายถึงเซเลน

 

“ต้องขออภัยเอลฟ์ทุกท่าน วันนี้เซเลนรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงต้องให้พักผ่อน เธอยังเป็นแค่เด็ก ได้โปรดอย่าถือสา”

“การพักผ่อนก็เป็นเรื่องสำคัญ ให้เธอได้พักนั่นแหละดีแล้ว”

 

  กีหันไปมองเอลฟ์คนอื่นๆ ทุกคนก็พักหน้าเห็นด้วยกับเขา ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ พวกเขาเคยเดินทางมาเจรจาที่เมืองมนุษย์หลายครั้งแล้ว เริ่มเข้าใจวัฒนธรรมของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ถึงไม่มีเซเลนคอยจับตาดูให้ก็ไม่มีปัญหา

 

“แล้ว เจ้าหญิงแสงจันทร์นี่มันอะไรกันครับ?”

“ออ ชื่อเรียกเซเลนที่พวกเอลฟ์ตั้งให้น่ะ ไม่คิดว่าเหมาะกับเธอดีเหรอ?”

 

  กีอธิบายไปว่า เจ้าหญิงผู้งดงามปรากฏตัวเมื่อแสงอาทิตย์หมดลง ดวงจันทร์เริ่มทอแสงบนท้องฟ้าสีน้ำเงิน เอลฟ์คนหนึ่งจึงพูดออกมาว่า ‘เจ้าหญิงแสงจันทร์’ และคำนั้นก็กลายมาเป็นชื่อเรียกเธอ

 

“เจ้าหญิงแสงจันทร์… เหรอ”

 

  มิลานคิดว่าชื่อนี้เหมาะสมกับเด็กสาวอย่างเธอจริงๆ เพราะวินาทีที่เขาได้เห็นเซเลนเป็นครั้งแรก เขายังคิดว่าเป็น ‘ภูติแห่งแสงจันทร์’ กำลังภาวนาต่อดวงจันทร์

 

  จริงๆแล้ว เจ้าหญิงแสงจันทร์( 月光姫 *)คนนี้ ชอบหงุดหงิดโมโหกับเรื่องเล็กๆน้อยๆเป็นประจำ ซึ่งเหมาะกับชื่อ เจ้าหญิงขี้โมโห( 激昂姫 *)จริงๆ ถึงความหมายจะผิดไปหน่อย แต่เซเลนก็ได้รับชื่อเรียกที่เกือบจะตรงมาแล้ว

 

“ถ้าไม่มีใครติดใจเรื่องของเซเลนแล้ว ก็ขอเริ่มเลยนะครับ ผมอยากเสนอให้เอลฟ์ได้ศึกษาความรู้ของมนุษย์ด้วย คิดว่าอย่างไรครับ?”

“หืม เรื่องนี้เหรอ”

 

  หลังจากที่พูดเรื่องของเซเลนเสร็จ ก็เริ่มการเจรจากับกีต่อทันที อันที่จริง ในการเจรจาแลกเปลี่ยน นอกจากเรื่องสินค้าแล้ว ยังเคยมีความคิดในเรื่องของศาสตร์ความรู้ด้วย ให้เอลฟ์และมนุษย์ได้เรียนรู้ศาสตร์ของกันและกัน 

 

“และผมอยากให้เอลฟ์สอนเวทมนตร์ให้พวกเราเป็นการแลกเปลี่ยนกับความรู้และวิทยาการของมนุษย์ครับ”

“อือ พวกมนุษย์เท่าที่เห็น ควบคุมพลังเวทย์ได้แย่มาก เวทมนตร์ก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าได้ฝึกสักหน่อยก็น่าจะมีอีกหลายคนที่ใช้เวทมนตร์ได้”

 

 กีเคยบอกไว้ว่ายังมีมนุษย์อีกหลายคนที่มีพลังเวทย์ติดตัวและสามารถใช้เวทมนตร์ได้ แต่ก็ไม่เคยได้นำมาใช้ประโยชน์เพราะพลังเวทย์ของของพวกเขายังไม่ถูกค้นพบ ส่วนเอลฟ์ เป็นเผ่าพันธุ์ที่คุ้นเคยกับเวทมนตร์ จึงได้ใช้เวทย์มนตร์เสริมพลังให้กับร่างกายที่อ่อนแอและบอบบางกว่ามนุษย์ ให้แข็งแกร่งเทียบเท่าหรือเหนือกว่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  หากมีมนุษย์ที่สามารถทำสิ่งเดียวกันนี้ได้เป็นอย่างน้อย ก็จะต่อยอดให้เกิดประโยชน์ได้อีกมากมาย ดังนั้นจึงอยากให้พวกเขาช่วยฝึกสอนแนะนำ โดยแลกเปลี่ยนกับองค์ความรู้ของมนุษย์ที่เอลฟ์ต้องการ และนั่นก็รวมถึงเทคโนโลยีการแปรรูปโลหะ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเรียนรู้ของพวกเขา

 

“การเพิ่มจำนวนผู้ใช้เวทมนตร์ให้กับประเทศ จะกลายเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดสำหรับพวกผมเลยครับ”

“จะดีเหรอ? มนุษย์ที่ใช้เวทมนตร์ได้จะถือว่าเป็นบุคคลพิเศษใช่ไหม? แล้วฐานะของผู้นำหรือพวกที่มีตำแหน่งใหญ่โตจะไม่สั่นคลอนเอาเหรอ?”

“ความเจริญที่แท้จริงต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ครับ ผู้นำย่อมปรารถนาให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย เท่านี้ก็จะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ท่านพ่อและท่านแม่ของผมก็มีความคิดแบบเดียวกันนี้”

“งั้นเหรอ… ถ้าคิดว่าดีก็ดีแล้ว ก็ขอให้เป็นแบบนั้นจริงก็แล้วกัน”

 

   มิลานกับกีหัวเราะไปด้วยกัน เอลฟ์และมนุษย์คนอื่นๆก็ไม่มีใครคัดค้าน บรรยากาศการพูดคุยเช่นนี้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น

 

   “นักเรียนแลกเปลี่ยนชุดแรกจะเป็นคุณซานากับเอลฟ์อีกสองสามคนสินะครับ ทางผมจะเตรียมพร้อมให้เรียบร้อยได้ภายในฤดูใบไม้ร่วง ไม่ทราบว่าคุณสะดวกไหมครับ?”

“ไม่ไหว ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงก่อนที่สกิงค์จะเริ่มจำศีลจากอากาศหนาว การเดินทางหรือการใช้งานพวกมันจะทำได้ยาก และต้องตุนเสบียงไว้ใช้ในฤดูหนาวในหมู่บ้านด้วย คงต้องขอเลื่อนไปฤดูใบไม้ผลิ”

“เข้าใจแล้วครับ เป็นฤดูใบไม้ผลิปีหน้านะครับ”

 

   การพูดคุยเรื่องของนักเรียนแลกเปลี่ยนดำเนินต่อไปอีกสักพัก ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของสินค้าตามปรกติจนจบการประชุมของวันนี้ 

 

   หลังการประชุม มิลานที่ยืนส่งเอลฟ์ออกจากห้องไปหมดแล้วก็ยิ้มออกมา เขาคิดจะเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวเอลฟ์ในประเทศนี้ด้วย แต่เรื่องนั้นต้องเอาไว้ที่หลัง เพราะยังมีแผนการอีกมากมายรอถูกนำเสนอในที่ประชุม และยังมีที่รอการอนุมัติอีก เขาต้องจัดการเรื่องต่างๆไปพร้อมๆกันจนกว่าจะถึงวันที่ต้อนรับนักเรียนแลกเปลี่ยนจากเอลฟ์ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

 

“จนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลินะครับ”

 

   จากความสำเร็จหนึ่งสู่อีกความสำเร็จ เปิดเส้นทางสู่ความเป็นไปได้ในอนาคตอีกมหาศาล กำเนิดสิ่งใหม่ๆที่ไม่มีใครเคยจินตนาการถึง ทั้งหมดเริ่มจากเซเลนเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้น ต้องดูแลเธอให้ดีกว่านี้ เอาใจใส่เธอให้มากกว่านี้ และมิลานคิดและเดินออกจากห้องกลับไปทำรายงานผลการประชุมของวันนี้

 

 

    ◆ ◇ ◆ ◇ ◆

 

 

“หิว”

[“การเจริญอาหารแสดงถึงการมีสุขภาพที่ดีครับ กระผมคาดว่าที่โรงครัวน่าจะมีการเตรียมอะไรไว้ให้แล้ว”]

 

  ในเวลาที่มิลานประชุมเสร็จจนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เซเลนที่ตื่นมาได้สักพักก็เดินอยู่คนเดียวบนโถงทางเดินที่เริ่มจุดไฟให้แสงสว่างในตอนกลางคืน และบัตเลอร์ก็เกาะอยู่บนไหล่ของเธอจนเป็นเรื่องปรกติ  เนื่องจากกิจวัตรประจําวันของวันนี้เปลี่ยนไปจึงได้กลับไปนอนต่ออีกครั้ง และยังถูกปลุกระหว่างวัน ทำให้กะเวลาตื่นนอนผิดพลาดจนต้องโดดงานโดยอ้างว่ารู้สึกไม่สบาย

 

  ถึงป่านนี้จะเลยเวลาสำหรับอาหารค่ำไปแล้ว แต่เพราะนอนมาทั้งวัน ตื่นมาจึงหิว ถึงได้ออกมาหาอะไรกินที่ห้องครัว

 

  ระหว่างทางก็เห็นเด็กผู้หญิงในชุดสีแดงสดเดินมาแต่ไกล ถึงจะมืดหรือไกลแค่ไหน มารีก็ดูเด่นได้ตลอดเวลาจริงๆ คาดว่าเธอไปเดินเล่นที่สวนของพระราชวังมา และเมื่อเธอเห็นเซเลนก็รีบเข้ามาหาทันที

 

“ได้ยินว่าไม่สบาย ไม่เป็นไรแล้วเหรอ?”

“หายแล้ว หิว มากิน”

“วันนี้ก็ไม่ได้มาทานข้าวด้วยกันนี่นา ก็อยากตามไปด้วยอยู่เหรอ แต่ฉันต้องพามิอาเข้านอน…”

 

  มารีพูดกับเซเลนด้วยความเป็นห่วง เธอกอดสัตว์เลื้อยคลานสีขาวขนาดพอๆกับแมวเอาไว้ มันคือสัตว์เลี้ยงของเธอที่ชื่อว่ามีอา ลูกของสกิงค์ที่ออกจากไข่ในช่วงฤดูร้อนนี้

 

  สกิงค์คู่แรกที่ได้รับมาจากเอลฟ์ได้วางไข่และฟักออกมาเป็นตัว มารีได้รับรับเกียรติให้เลือกมาเป็นสัตว์เลี้ยงส่วนตัวได้หนึ่งตัว เธอสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดแบบเดียวกับลูกแมวที่เธอเคยได้รับมาเมื่อนานมาแล้ว

 

  สกิงค์มีวงจรชีวิตแตกต่างจากม้าตรงที่ ม้าจะออกลูกแค่ปีละครั้ง และครั้งละหนึ่งตัวเท่านั้น แต่สกิงค์พร้อมวางไข่ได้ทุกที่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ ครั้งละสี่ถึงห้าฟอง จึงสามารถแพร่พันธุ์ได้เร็วกว่าม้า

 

  แม้ว่าจะมีขนาดร่างกายใหญ่โต แต่กล้ามเนื้อของสกิงค์ก็มีความยืดหยุ่นสูง เข็งแรง และทนต่อสภาวะขาดแคลนอาหารได้ หากยอมรับเรื่องที่พวกมันจะไม่เคลื่อนไหวตลอดช่วงจำศีลได้ ก็จะใช้งานพวกมันเพื่อการเกษตรได้อย่างดี เพราะยังมีเกษตรกรที่ไม่มีม้าไว้ในครอบครองเนื่องจากราคาที่แพง นี่เป็นหนึ่งในแผนการสำหรับอนาคตที่มิลานคิดเอาไว้

 

“มีอาก็เป็นห่วงเธอเหมือนกันใช่ไหม? เนอะ มีอา”

 

  มารีก้มลงไปคุยกับสกิงค์ที่กอดอยู่ มีอาก็แค่มองกลับไปเท่านั้น แต่ก็รู้สึกเหมือนทั้งคู่สามารถเข้าใจกันได้

 

“นี่ บอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ล้อเล่นนะ ถ้าฉันตั้งใจมองให้ดีๆก็จะรู้ว่ามีอาคิดอะไรอยู่ด้วยนะ”

“เหรอ?”

“อือ ตอนที่หิวหรือเจออะไรที่ไม่ชอบ ก็บอกได้ว่าอารมณ์ไม่ดี… ประมาณนี้แหละ”

“เข้าใจ”

“ไม่เชื่อล่ะสิ?”

“เชื่อ”

 

    เซเลนยอมรับได้อย่างง่ายๆ เพราะบัตเลอร์เป็นหนูที่พูดได้ แค่จิ้งจกแสดงอารมณ์ได้จึงเป็นเรื่องที่เล็กน้อย แต่มารีก็แปลกใจที่เซเลนเชื่อเธอ จึงมองกลับไปด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

 

“เซเลนคิดได้นอกกรอบสุดๆไปเลย! ก่อนหน้านี้เคยบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ แต่ว่าหนูของเซเลนก็ฉลาดจนเหมือนจะเข้าใจภาษาเลยนี่นา เหมือนที่เขาพูดกันว่า สัตว์เลี้ยงมักเหมือนเจ้าของ สินะ? อยากให้มีอาเป็นแบบนั้นด้วยจัง”

[“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำชมจากท่านมารีเบล”]

 

  บัตเลอร์ที่ถูกพูดถึงก็ค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมบนไหล่ของเซเลน แต่ในสายตาของมารี หนูที่เลียนแบบท่าทางของมนุษย์นั้นดูตลก จนเธอหัวเราะออกมา

 

“งั้นฉันพามีอากลับไปที่โรงเลี้ยงก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้ล่ะ เซเลน”

“บาย”

 

  มารีกอดมีอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งและเดินต่อไปยังโรงเลี้ยงสกิงค์ที่อยู่ในสวนอีกแห่ง ไม่ว่าจะสนิทกันแค่ไหน เจ้าหญิงก็ไม่ควรใช้เวลากับสกิงค์ตลอดทั้งวัน ดังนั้นเธอจึงต้องพามันกลับไปเข้านอนร่วมกับตัวอื่นๆที่โรงเลี้ยง บัตเลอร์มองตามมารีที่เดินจากไปและครุ่นคิดบางอย่าง

 

“บัตเลอร์ มีอะไร?”

[“ไม่มีอะไรครับ กระผมแค่คิดว่าเจ้ามีอาตัวนั้นจะเป็นเหมือนพวกเราได้หรือเปล่า”]

“ยังไง?”

[“กระผมเคยเป็นหนูธรรมดา แต่ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆเปลี่ยนไปหลังจากได้รับใช้องค์หญิง ท่านมารีเบลเป็นคนที่มีพลังเวทย์สูง มีอาก็อาจเกิดกรณีเดียวกันกับกระผมเพราะท่านมารีเบลก็ได้ครับ”]

“อย่างนี้นี่เอง”

[“ก็แค่ความเป็นไปได้ครับ และยังต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะตอนนี้ยังเป็นเพียงเด็กแรกเกิด แต่เมื่อถึงเวลา ผมจะเป็นผู้ฝึกสอนให้เอง ให้รับใช้สหายขององค์หญิงได้อย่างสมศักดิ์ศรี กระผมจะฝึกให้กลายเป็นคนรับใช้ที่ไม่น้อยหน้าใครให้ดูครับ”]

 

  บัตเลอร์พูดถึงเรื่องของอนาคต เท่าที่รู้ สกิงค์จะโตเต็มวัยที่อายุสองปี และในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงนี้ พวกมันก็จะมีขนาดพอๆกับเด็กมนุษย์แล้ว ในเวลานั้นก็จะเป็นช่วงที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุดที่จะเริ่มฝึกสอนมีอา

 

[“องค์หญิง จำคำพูดของกระผมก่อนที่จะออกจากอาร์คุยล่าได้ไหมครับ?”]

“ว่า?”

[“ให้องค์หญิงใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และกลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ซึ่งเป็นการเอาคืนที่เจ็บแสบที่สุดสำหรับคนที่เคยดูถูกท่านเอาไว้”]

“อือ จำได้”

 

  เซเลนรู้สึกคุ้นๆว่าเคยได้ยินอยู่ หรืออาจจะไม่เคยได้ยินก็ได้ จริงๆแล้ว เธอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องที่อาร์คุยล่าปฏิบัติกับเธอ แต่บัตเลอร์ก็ตื้นตันจนพูดต่อไปทั้งน้ำตา 

 

[“ดีใจจริงๆ… กระผมคิดถูกมาตลอด ว่าองค์หญิงแตกต่างจากคนทั่วไป ท่านเป็นดอกไม้ที่ผลิบานได้สวยงามยิ่งกว่าที่กระผมจินตนาการไว้เสียอีก”]

“ตอนนี้ หิว”

[“ฮ่าฮ่า! ถูกต้องแล้วครับ ไม่ต้องพะวงกับอดีต ที่สำคัญคือปัจจุบัน ตราบใดที่บัตเลอร์คนนี้ยังอยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โปรดมั่นใจได้เลยว่าท่านไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”]

 

 แม้เซเลนจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ฝากชื่อไว้ในประวัตศาสตร์ ก็ยังรู้จักประมาณตน ไม่หลงระเริงไปกับชื่อเสียงที่ได้มา ซึ่งบัตเลอร์ก็ชื่นชมในด้านนี้ของเธอเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับเซเลนที่นอนมากเกินไปจนหิวอยู่ตอนนี้ ย่อมเลือกมื้ออาหารมากกว่าชื่อเสียงอยู่แล้ว

 

   บัตเลอร์ยกขาหน้าปาดน้ำตา อนาคตของเซเลน อาร์คุยล่า ต้องสว่างสดในแน่ และคนจากอาร์คุยล่ามาเรียกร้องขอตัวเซเลนคืนในวันนี้ แสดงว่าพวกนั้นต้องรับรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของเธอแล้ว คำสาปที่ทำให้เซเลนมีอดีตที่โชคร้าย ได้ถูกชำระล้างไปแล้ว

 

  ถึงจะยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ผู้คนทั้งหลายกำลังจะได้รับรู้ถึงตัวตนของเซเลน ไม่ใช่เฉพาะในเฮลิฟาเต้ แต่ทั่วทั้งทวีปจะต้องอยากรู้ว่า เซเลนคนนี้ เป็นใคร จากไหน และความสงสัยใคร่รู้ของผู้คนจะทำให้ความจริงที่ปกปิดไว้ได้ถูกเปิดเผย

 

 ฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ จะมีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากเอลฟ์ จะต้องอบรมมีอาให้เป็นคนรับใช้ที่ดี และยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นเส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์ให้เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ก้าวเดินไป ดังถนนที่ปูด้วยทองคำ บัตเลอร์ยิ้มอย่างภูมิใจอยู่บนไหล่ของเซเลน

 

  –แต่บัตเลอร์ก็ไม่ได้สังเกตเห็น บนกิ่งไม้นอกหน้าต่างของทางเดินที่เซเลนได้ผ่านไปนั้น มีอีกาสีดำยิ่งกว่าความมืดจับตาดูพวกเขาอยู่

 

  อีการ้องเสียงแปลกๆก่อนจะกระพือปีกบินขึ้นฟ้า กลมกลืนกับความมืด มุ่งหน้าไปทิศทางหนึ่งอย่างแม่นยำแม้เป็นช่วงเวลากลางคืน

 

 

 

____________________

* สองคำนี้ออกเสียงเหมือนกัน

月光(เก็คโค)=แสงจันทร์

激昂(เก็คโค)=โมโห, เกรี้ยวกราด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 41 ชำระล้าง

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 41 ชำระล้าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 41

ชำระล้าง

 

 

   ฤดูร้อนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นับตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อนนี้ วันเวลาผ่านไปหลายเดือนนับตั้งแต่เซเลนกลายมาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาเต้ แสงแดดอันร้อนแรงที่เป็นจุดเด่นของฤดูกาลแผ่ขยายออกไปกว้างไกล เช่นเดียวกับชื่อเสียงของเซเลน ที่แผ่ขยายจากเฮลิฟาเต้ออกไปยังประเทศอื่นๆ 

 

   แต่ตัวของเซเลนเองนั้น ไม่ถูกกับแสงแดดของฤดูร้อน เธอจึงได้แต่นอนอยู่ในห้องของเธอตลอดวัน โดยที่ในฤดูใบไม้ผลิ เธอจะหลับใหลเพราะอากาศอุ่นสบาย ในฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะเย็นทำให้เหมาะแก่การนอน และในฤดูหนาว เธอจะซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ไม่ออกไปเผชิญกับอากาศที่หนาวเหน็บ จึงสรุปได้ว่า จะเป็นฤดูกาลไหนของปี เธอก็สามารถนอนหลับได้ตลอดเวลาโดยที่ร่างกายไม่ได้เติบโตขึ้นเลย

 

[“องค์หญิง! กระผมมีเรื่องมาแจ้งให้ทราบ!”]

“หืม?”

 

  เซเลนขยี้ตาให้ตื่นเพราะเสียงของบัตเลอร์ที่พูดอยู่ข้างเตียง เหลือบมองหน้าต่างและคาดเดาเวลาจากตำแหน่งดวงอาทิตย์จึงรู้ว่าเป็นช่วงเที่ยงวัน ซึ่งเช้าเกินไปสำหรับการตื่นนอน

  ดูจากบัตเลอร์ที่รีบร้อนมาหาจนหายใจแรง ก็เดาว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้นหรือมีเรื่องสำคัญ เธอจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง

 

“อะไร?”

[“เป็นเรื่องที่ทำให้บัตเลอร์คนนี้ต้องรีบมารายงานทันทีที่การหารือของเจ้าชายมิลานกับองค์ราชาจบลงเลยครับ!”]

 

  เซเลนได้ยินแล้วก็สงสัย เพราะรู้ว่ามิลานไปจัดการกับธุระตั้งแต่เช้า ไม่ได้ไปร่วมฝึกเหมือนทุกที เซเลนจึงไม่ได้ตื่นไปทำอาหารกลางวันไปวางยาเหมือนทุกทีเช่นกัน

 

  เจ้าชายจะไปคุยกับใครหรือไปตายอยู่ที่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับเซเลนอยู่แล้ว แต่บัตเลอร์ดูท่าจะตื่นเต้นอารมณ์ดีจนหูตั้งหางชี้

 

[“อันที่จริง ผู้ที่มาเข้าเฝ้าในวันนี้คือคณะทูตจากอาร์คุยล่าครับ”]

“เหรอ?”

 

 ถึงจะทำให้เซเลนแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก อย่างน้อยก็เป็นบ้านเกิดของเธอในตอนนี้ จึงอยากรู้ข่าวคราวอยู่บ้าง

 

[“สรุปสั้นๆว่า พวกนั้นมาเพื่อพาตัวองค์หญิงเซเลนกลับไป โดยจะคืนสิ่งที่ได้รับจากข้อแลกเปลี่ยนในตอนแรกให้ กระผมพูดได้เต็มปากเลยว่าพวกเขาต้องการสิทธิ์ในการแลกเปลี่ยนสินค้ากับเอลฟ์ครับ”]

“เอ๋!?”

 

  เรื่องนี้ทำให้เซเลนถึงกับตาค้าง เพราะไม่คิดว่าจะได้ออกจากที่นี่ได้อย่างกะทันหันเช่นนี้ แต่บัตเลอร์ก็พูดกับเซเลนต่อด้วยท่าทางเหมือนอยากอวด

 

[“อืม เป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆด้วยสินะครับ แต่หลังจากนั้นต่างหาก ที่กระผมอยากจะให้ท่านได้เห็นกับตา ท่านทราบคำตอบที่ราชาชวานจะพูดกับทูตเหล่านั้นไหมครับ?”]

“ว่า?”

 

  เมื่อเซเลนถาม บัตเลอร์ก็ยืนสองขาและกระแอมเหมือนพยายามเลียนแบบน้ำเสียงของราชาชวาน

 

[“เมื่อมีคนต้องการของที่พวกแกเห็นเป็นขยะ แกก็หลอกขายในราคาแพงแล้วเขี่ยทิ้งอย่างไม่ใยดี พอผ่านไปครึ่งปีก็รู้ตัวว่าสิ่งนั้นคือสมบัติระดับชาติที่ไม่มีสิ่งใดในโลกมีค่าเทียบเท่า ก็คิดจะมาขอซื้อคืนกันง่ายๆ คนที่ยอมคืนก็คงจะมีแต่คนที่โง่กว่าพวกแกเท่านั้น และถ้ามีคนแบบนั้นจริง ข้าก็อยากจะเห็นหน้ามันเหลือเกิน”]

 

  ในตอนนั้น ชวานตอบกลับไปด้วยความฉุนเฉียว มิลานที่อยู่ข้างๆก็พูดถึงเนื้อหาในสัญญาที่เป็นทางการ ในนั้นระบุไว้ว่า ขอมอบเซเลนให้อุทิศตนรับใช้เฮลิฟาเต้ ซึงก็หมายความว่าเรื่องทั้งหมดได้เป็นไปตามสัญญา จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องรับฟังข้อเรียกร้องนี้

  บัตเลอร์ที่แอบดูอยู่ใกล้ๆ ได้ฟังทุกอย่างมาตั้งแต่แรก ก็อยากจะกระโดดออกไปชี้หน้าหัวเราะเยอะใส่คนพวกนั้นจนแทบอดใจไว้ไม่อยู่

 

[“น่าเสียดายที่องค์หญิงไม่ได้ไปเห็นด้วยตนเอง! คนพวกนั้นถูกราชาราชสีห์กับสิงโตหนุ่มไล้ต้อนจนขาสั่นเหมือนลูกกวางแรกเกิด สุดท้ายก็เผ่นแน่บกลับไป”]

“ต่อจากนั้น?”

[“…เรื่องที่เกิดขึ้นก็มีเพียงเท่านี้ครับ”]

“อือ”

 

  หลังฟังเรื่องของบัตเลอร์จบ เซเลนดึงผ้าห่มผืนบางสำหรับฤดูร้อนมาคลุมตัวและเอนกายหลับตาลงนอนต่ออีกครั้ง

 

[“เอ่อ องค์หญิง ไม่มีอะไรจะพูดเลยหรือครับ?”]

“อือ ง่วง”

 

  และเซเลนก็หลับลงในทันที เหลือไว้แต่บัตเลอร์ที่รู้สึกเหมือนตนเองได้พลาดอะไรบางอย่างไป

 

[“อืม หรือกระผมจะทำเรื่องไม่สมควร…”]

 

  การที่เซเลนเมินเฉยกับเรื่องนั้นคือสิ่งที่บัตเลอร์คาดไม่ถึง ผู้ที่เคยทุกข์ทรมานจากการถูกกดขี่ย่อมไม่อยากย้อนกลับไปยังดินแดนแห่งความอยุติธรรมนั้นอีก เขาคิดว่าจะได้ยินคำพูด ‘ไอ้พวกโง่เอ๊ย!’ หรือ ‘สมน้ำหน้า!’ เสียอีก แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น

 

  จากที่เห็น เซเลนไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่นิดเดียว ลงนอนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับถูกปลุกขึ้นมาด้วยเรื่องไร้สาระ บัตเลอร์ยังคงมองหน้าเซเลน คิดถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเธอ และเขาก็เข้าใจได้ในที่สุด

 

[“อา! กระผมได้ทำเรื่องน่าอับอายลงไปแล้ว!”]

 

  บัตเลอร์นึกขึ้นได้ว่าตัวเขาเองก็เคยพบกับเรื่องลักษณะนี้มาก่อน เมื่อตอนที่เขายังอ่อนเอ เขาถูกหนูตัวอื่นขับไล่ออกจากถิ่นที่อยู่และแย่งอาหารอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งได้มารับใช้เจ้าหญิงผู้สูงส่ง และมาตอนนี้ก็ได้อาศัยอยู่ในในปราสาทของราชวงศ์ของประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งในทวีป ไม่มีหนูตัวไหนยิ่งใหญ่ได้เท่าบัตเลอร์อีกแล้ว

 

  หลังจากได้รับพรมาช่วงแรกๆเขาเคยคิดจะไปลงทัณฑ์หนูโง่พวกนั้น แต่พอรู้ตัวว่าตนเองเป็นพ่อบ้านหนูผู้มีเกียรติ ก็คิดได้ว่าเอาชนะหนูอ่อนแอพวกนั้นไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา

 

  เซเลนต้องคิดเหมือนกับเขาแน่ ไม่คิดเอาความกับประเทศเล็กๆอย่างอาร์คุยล่า แต่ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสงบใจได้ท่ากับเธอหรือเปล่า

 

[“ยิ่งเข้าใจองค์หญิงมากเท่าใด ก็ยิ่งเห็นความอ่อนด้อยของตนเอง…”]

 

  ในตอนที่บัตเลอร์ยอมละทิ้งความเกลียดชังและหันมายึดมั่นในศักดิ์ศรี ยังต้องใช้เวลาสักพัก แต่เซเลนที่อายุแปดขวบ ซึ่งยังไม่พ้นวัยเด็ก แต่ก็ขัดเกลาจิตใจจนเทียบเท่ากับผู้ใหญ่ได้แล้ว

 

[“องค์หญิงเซเลน ท่านจะสูงส่งได้อีกแค่ไหน”]

 

  ยังเหลือเวลาให้เซเลนได้เติบโตอีกมาก ทั้งที่ตอนนี้เธอก็เป็นเจ้าหญิงที่งดงามที่สุดในประเทศนี้แล้ว และยังมีความสามารถที่มีเพียงหนึ่งเดียวอีก สักวันเจ้าหญิงตัวน้อยจะเติบใหญ่เป็นหญิงสาวผู้งดงาม

 

[“หึหึ เจ้าพวกอาร์คุยล่าตาถั่วเอ๋ย แยกแยะไม่ออกระหว่างเป็ดกับหงส์ก็จงเสียใจไปซะ แล้วยังมีหน้ามาขอองค์หญิงกลับไปอีก”]

 

  บัตเลอร์มองดูเซเลนด้วยความเคารพรัก จินตนาการว่าอาร์คุยล่าจะรู้สึกเสียดายขนาดไหน ดั่งลูกเป็ดในนิทานที่ถูกรังเกียจเพราะความแตกต่าง แท้จริงแล้วเป็นหงส์ที่สง่างาม

 

  มาตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว คิดจะจับหงส์กลับไปแต่ก็หารู้ไม่ว่าสิงโตทั้งฝูงพร้อมที่จะปกป้องหงส์ให้โบยบินได้อย่างอิสระบนท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต บัตเลอร์อยากจะเห็นเหลือเกิน ว่าต่อจากนี้องค์หญิงจะบินได้สูงเพียงใด

 

[“ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว อืม แทบอดใจรอไม่ไหวเลย”]

 

  ความคิดนั้นก็ไม่ผิดนัก เธอไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เพราะถ้าเป็นเซเลนตามปรกติจะต้องรีบลุกจากเตียง วิ่งไปหาคนจากอาร์คุยล่าทั้งชุดนอนเพื่อขอร้องให้พากลับไปขังไว้ที่เดิม แต่ตอนนี้เธอได้ค้นพบสถานที่กบดานใหม่แล้ว และความเป็นอยู่ที่หมู่บ้านเอลฟ์ก็สะดวกสบายกว่าเป็นไหนๆ จึงเปลี่ยนเป้าหมายจากบ้านเกิดไปที่นั่นแทน

 

 

  หลังจากมิลานไล่ทูตจากอาร์คุยล่ากลับไปก็ผ่านไปอีกหลายชั่วโมง วันนี้เขาก็ได้มาร่วมโต๊ะเจรจากับเอลฟ์อีกครั้ง ซึ่งได้กลายมาเป็นหน้าที่ของเขาไปแล้ว แต่ครั้งนี้ต่างออกไป คือ วันนี้เซเลนไม่ได้ปรากฏตัวในที่แห่งนี้ด้วย

 

“ว่าไง คุณเจ้าชาย แล้วเจ้าหญิงแสงจันทร์ล่ะ?”

“เจ้าหญิงแสงจันทร์?”

 

  มิลานสงสัย ตอนที่เขามาถึง กีที่นั่งรอเขาอยู่ได้ถามถึงอะไรบางอย่าง แต่ก็คิดออกทันที่ ว่า ‘เจ้าหญิงแสงจันทร์’ ที่พูดนั้น น่าจะหมายถึงเซเลน

 

“ต้องขออภัยเอลฟ์ทุกท่าน วันนี้เซเลนรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงต้องให้พักผ่อน เธอยังเป็นแค่เด็ก ได้โปรดอย่าถือสา”

“การพักผ่อนก็เป็นเรื่องสำคัญ ให้เธอได้พักนั่นแหละดีแล้ว”

 

  กีหันไปมองเอลฟ์คนอื่นๆ ทุกคนก็พักหน้าเห็นด้วยกับเขา ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ พวกเขาเคยเดินทางมาเจรจาที่เมืองมนุษย์หลายครั้งแล้ว เริ่มเข้าใจวัฒนธรรมของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ถึงไม่มีเซเลนคอยจับตาดูให้ก็ไม่มีปัญหา

 

“แล้ว เจ้าหญิงแสงจันทร์นี่มันอะไรกันครับ?”

“ออ ชื่อเรียกเซเลนที่พวกเอลฟ์ตั้งให้น่ะ ไม่คิดว่าเหมาะกับเธอดีเหรอ?”

 

  กีอธิบายไปว่า เจ้าหญิงผู้งดงามปรากฏตัวเมื่อแสงอาทิตย์หมดลง ดวงจันทร์เริ่มทอแสงบนท้องฟ้าสีน้ำเงิน เอลฟ์คนหนึ่งจึงพูดออกมาว่า ‘เจ้าหญิงแสงจันทร์’ และคำนั้นก็กลายมาเป็นชื่อเรียกเธอ

 

“เจ้าหญิงแสงจันทร์… เหรอ”

 

  มิลานคิดว่าชื่อนี้เหมาะสมกับเด็กสาวอย่างเธอจริงๆ เพราะวินาทีที่เขาได้เห็นเซเลนเป็นครั้งแรก เขายังคิดว่าเป็น ‘ภูติแห่งแสงจันทร์’ กำลังภาวนาต่อดวงจันทร์

 

  จริงๆแล้ว เจ้าหญิงแสงจันทร์( 月光姫 *)คนนี้ ชอบหงุดหงิดโมโหกับเรื่องเล็กๆน้อยๆเป็นประจำ ซึ่งเหมาะกับชื่อ เจ้าหญิงขี้โมโห( 激昂姫 *)จริงๆ ถึงความหมายจะผิดไปหน่อย แต่เซเลนก็ได้รับชื่อเรียกที่เกือบจะตรงมาแล้ว

 

“ถ้าไม่มีใครติดใจเรื่องของเซเลนแล้ว ก็ขอเริ่มเลยนะครับ ผมอยากเสนอให้เอลฟ์ได้ศึกษาความรู้ของมนุษย์ด้วย คิดว่าอย่างไรครับ?”

“หืม เรื่องนี้เหรอ”

 

  หลังจากที่พูดเรื่องของเซเลนเสร็จ ก็เริ่มการเจรจากับกีต่อทันที อันที่จริง ในการเจรจาแลกเปลี่ยน นอกจากเรื่องสินค้าแล้ว ยังเคยมีความคิดในเรื่องของศาสตร์ความรู้ด้วย ให้เอลฟ์และมนุษย์ได้เรียนรู้ศาสตร์ของกันและกัน 

 

“และผมอยากให้เอลฟ์สอนเวทมนตร์ให้พวกเราเป็นการแลกเปลี่ยนกับความรู้และวิทยาการของมนุษย์ครับ”

“อือ พวกมนุษย์เท่าที่เห็น ควบคุมพลังเวทย์ได้แย่มาก เวทมนตร์ก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าได้ฝึกสักหน่อยก็น่าจะมีอีกหลายคนที่ใช้เวทมนตร์ได้”

 

 กีเคยบอกไว้ว่ายังมีมนุษย์อีกหลายคนที่มีพลังเวทย์ติดตัวและสามารถใช้เวทมนตร์ได้ แต่ก็ไม่เคยได้นำมาใช้ประโยชน์เพราะพลังเวทย์ของของพวกเขายังไม่ถูกค้นพบ ส่วนเอลฟ์ เป็นเผ่าพันธุ์ที่คุ้นเคยกับเวทมนตร์ จึงได้ใช้เวทย์มนตร์เสริมพลังให้กับร่างกายที่อ่อนแอและบอบบางกว่ามนุษย์ ให้แข็งแกร่งเทียบเท่าหรือเหนือกว่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  หากมีมนุษย์ที่สามารถทำสิ่งเดียวกันนี้ได้เป็นอย่างน้อย ก็จะต่อยอดให้เกิดประโยชน์ได้อีกมากมาย ดังนั้นจึงอยากให้พวกเขาช่วยฝึกสอนแนะนำ โดยแลกเปลี่ยนกับองค์ความรู้ของมนุษย์ที่เอลฟ์ต้องการ และนั่นก็รวมถึงเทคโนโลยีการแปรรูปโลหะ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเรียนรู้ของพวกเขา

 

“การเพิ่มจำนวนผู้ใช้เวทมนตร์ให้กับประเทศ จะกลายเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดสำหรับพวกผมเลยครับ”

“จะดีเหรอ? มนุษย์ที่ใช้เวทมนตร์ได้จะถือว่าเป็นบุคคลพิเศษใช่ไหม? แล้วฐานะของผู้นำหรือพวกที่มีตำแหน่งใหญ่โตจะไม่สั่นคลอนเอาเหรอ?”

“ความเจริญที่แท้จริงต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ครับ ผู้นำย่อมปรารถนาให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย เท่านี้ก็จะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ท่านพ่อและท่านแม่ของผมก็มีความคิดแบบเดียวกันนี้”

“งั้นเหรอ… ถ้าคิดว่าดีก็ดีแล้ว ก็ขอให้เป็นแบบนั้นจริงก็แล้วกัน”

 

   มิลานกับกีหัวเราะไปด้วยกัน เอลฟ์และมนุษย์คนอื่นๆก็ไม่มีใครคัดค้าน บรรยากาศการพูดคุยเช่นนี้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น

 

   “นักเรียนแลกเปลี่ยนชุดแรกจะเป็นคุณซานากับเอลฟ์อีกสองสามคนสินะครับ ทางผมจะเตรียมพร้อมให้เรียบร้อยได้ภายในฤดูใบไม้ร่วง ไม่ทราบว่าคุณสะดวกไหมครับ?”

“ไม่ไหว ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงก่อนที่สกิงค์จะเริ่มจำศีลจากอากาศหนาว การเดินทางหรือการใช้งานพวกมันจะทำได้ยาก และต้องตุนเสบียงไว้ใช้ในฤดูหนาวในหมู่บ้านด้วย คงต้องขอเลื่อนไปฤดูใบไม้ผลิ”

“เข้าใจแล้วครับ เป็นฤดูใบไม้ผลิปีหน้านะครับ”

 

   การพูดคุยเรื่องของนักเรียนแลกเปลี่ยนดำเนินต่อไปอีกสักพัก ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของสินค้าตามปรกติจนจบการประชุมของวันนี้ 

 

   หลังการประชุม มิลานที่ยืนส่งเอลฟ์ออกจากห้องไปหมดแล้วก็ยิ้มออกมา เขาคิดจะเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวเอลฟ์ในประเทศนี้ด้วย แต่เรื่องนั้นต้องเอาไว้ที่หลัง เพราะยังมีแผนการอีกมากมายรอถูกนำเสนอในที่ประชุม และยังมีที่รอการอนุมัติอีก เขาต้องจัดการเรื่องต่างๆไปพร้อมๆกันจนกว่าจะถึงวันที่ต้อนรับนักเรียนแลกเปลี่ยนจากเอลฟ์ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

 

“จนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลินะครับ”

 

   จากความสำเร็จหนึ่งสู่อีกความสำเร็จ เปิดเส้นทางสู่ความเป็นไปได้ในอนาคตอีกมหาศาล กำเนิดสิ่งใหม่ๆที่ไม่มีใครเคยจินตนาการถึง ทั้งหมดเริ่มจากเซเลนเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้น ต้องดูแลเธอให้ดีกว่านี้ เอาใจใส่เธอให้มากกว่านี้ และมิลานคิดและเดินออกจากห้องกลับไปทำรายงานผลการประชุมของวันนี้

 

 

    ◆ ◇ ◆ ◇ ◆

 

 

“หิว”

[“การเจริญอาหารแสดงถึงการมีสุขภาพที่ดีครับ กระผมคาดว่าที่โรงครัวน่าจะมีการเตรียมอะไรไว้ให้แล้ว”]

 

  ในเวลาที่มิลานประชุมเสร็จจนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เซเลนที่ตื่นมาได้สักพักก็เดินอยู่คนเดียวบนโถงทางเดินที่เริ่มจุดไฟให้แสงสว่างในตอนกลางคืน และบัตเลอร์ก็เกาะอยู่บนไหล่ของเธอจนเป็นเรื่องปรกติ  เนื่องจากกิจวัตรประจําวันของวันนี้เปลี่ยนไปจึงได้กลับไปนอนต่ออีกครั้ง และยังถูกปลุกระหว่างวัน ทำให้กะเวลาตื่นนอนผิดพลาดจนต้องโดดงานโดยอ้างว่ารู้สึกไม่สบาย

 

  ถึงป่านนี้จะเลยเวลาสำหรับอาหารค่ำไปแล้ว แต่เพราะนอนมาทั้งวัน ตื่นมาจึงหิว ถึงได้ออกมาหาอะไรกินที่ห้องครัว

 

  ระหว่างทางก็เห็นเด็กผู้หญิงในชุดสีแดงสดเดินมาแต่ไกล ถึงจะมืดหรือไกลแค่ไหน มารีก็ดูเด่นได้ตลอดเวลาจริงๆ คาดว่าเธอไปเดินเล่นที่สวนของพระราชวังมา และเมื่อเธอเห็นเซเลนก็รีบเข้ามาหาทันที

 

“ได้ยินว่าไม่สบาย ไม่เป็นไรแล้วเหรอ?”

“หายแล้ว หิว มากิน”

“วันนี้ก็ไม่ได้มาทานข้าวด้วยกันนี่นา ก็อยากตามไปด้วยอยู่เหรอ แต่ฉันต้องพามิอาเข้านอน…”

 

  มารีพูดกับเซเลนด้วยความเป็นห่วง เธอกอดสัตว์เลื้อยคลานสีขาวขนาดพอๆกับแมวเอาไว้ มันคือสัตว์เลี้ยงของเธอที่ชื่อว่ามีอา ลูกของสกิงค์ที่ออกจากไข่ในช่วงฤดูร้อนนี้

 

  สกิงค์คู่แรกที่ได้รับมาจากเอลฟ์ได้วางไข่และฟักออกมาเป็นตัว มารีได้รับรับเกียรติให้เลือกมาเป็นสัตว์เลี้ยงส่วนตัวได้หนึ่งตัว เธอสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดแบบเดียวกับลูกแมวที่เธอเคยได้รับมาเมื่อนานมาแล้ว

 

  สกิงค์มีวงจรชีวิตแตกต่างจากม้าตรงที่ ม้าจะออกลูกแค่ปีละครั้ง และครั้งละหนึ่งตัวเท่านั้น แต่สกิงค์พร้อมวางไข่ได้ทุกที่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ ครั้งละสี่ถึงห้าฟอง จึงสามารถแพร่พันธุ์ได้เร็วกว่าม้า

 

  แม้ว่าจะมีขนาดร่างกายใหญ่โต แต่กล้ามเนื้อของสกิงค์ก็มีความยืดหยุ่นสูง เข็งแรง และทนต่อสภาวะขาดแคลนอาหารได้ หากยอมรับเรื่องที่พวกมันจะไม่เคลื่อนไหวตลอดช่วงจำศีลได้ ก็จะใช้งานพวกมันเพื่อการเกษตรได้อย่างดี เพราะยังมีเกษตรกรที่ไม่มีม้าไว้ในครอบครองเนื่องจากราคาที่แพง นี่เป็นหนึ่งในแผนการสำหรับอนาคตที่มิลานคิดเอาไว้

 

“มีอาก็เป็นห่วงเธอเหมือนกันใช่ไหม? เนอะ มีอา”

 

  มารีก้มลงไปคุยกับสกิงค์ที่กอดอยู่ มีอาก็แค่มองกลับไปเท่านั้น แต่ก็รู้สึกเหมือนทั้งคู่สามารถเข้าใจกันได้

 

“นี่ บอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ล้อเล่นนะ ถ้าฉันตั้งใจมองให้ดีๆก็จะรู้ว่ามีอาคิดอะไรอยู่ด้วยนะ”

“เหรอ?”

“อือ ตอนที่หิวหรือเจออะไรที่ไม่ชอบ ก็บอกได้ว่าอารมณ์ไม่ดี… ประมาณนี้แหละ”

“เข้าใจ”

“ไม่เชื่อล่ะสิ?”

“เชื่อ”

 

    เซเลนยอมรับได้อย่างง่ายๆ เพราะบัตเลอร์เป็นหนูที่พูดได้ แค่จิ้งจกแสดงอารมณ์ได้จึงเป็นเรื่องที่เล็กน้อย แต่มารีก็แปลกใจที่เซเลนเชื่อเธอ จึงมองกลับไปด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

 

“เซเลนคิดได้นอกกรอบสุดๆไปเลย! ก่อนหน้านี้เคยบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ แต่ว่าหนูของเซเลนก็ฉลาดจนเหมือนจะเข้าใจภาษาเลยนี่นา เหมือนที่เขาพูดกันว่า สัตว์เลี้ยงมักเหมือนเจ้าของ สินะ? อยากให้มีอาเป็นแบบนั้นด้วยจัง”

[“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำชมจากท่านมารีเบล”]

 

  บัตเลอร์ที่ถูกพูดถึงก็ค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมบนไหล่ของเซเลน แต่ในสายตาของมารี หนูที่เลียนแบบท่าทางของมนุษย์นั้นดูตลก จนเธอหัวเราะออกมา

 

“งั้นฉันพามีอากลับไปที่โรงเลี้ยงก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้ล่ะ เซเลน”

“บาย”

 

  มารีกอดมีอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งและเดินต่อไปยังโรงเลี้ยงสกิงค์ที่อยู่ในสวนอีกแห่ง ไม่ว่าจะสนิทกันแค่ไหน เจ้าหญิงก็ไม่ควรใช้เวลากับสกิงค์ตลอดทั้งวัน ดังนั้นเธอจึงต้องพามันกลับไปเข้านอนร่วมกับตัวอื่นๆที่โรงเลี้ยง บัตเลอร์มองตามมารีที่เดินจากไปและครุ่นคิดบางอย่าง

 

“บัตเลอร์ มีอะไร?”

[“ไม่มีอะไรครับ กระผมแค่คิดว่าเจ้ามีอาตัวนั้นจะเป็นเหมือนพวกเราได้หรือเปล่า”]

“ยังไง?”

[“กระผมเคยเป็นหนูธรรมดา แต่ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆเปลี่ยนไปหลังจากได้รับใช้องค์หญิง ท่านมารีเบลเป็นคนที่มีพลังเวทย์สูง มีอาก็อาจเกิดกรณีเดียวกันกับกระผมเพราะท่านมารีเบลก็ได้ครับ”]

“อย่างนี้นี่เอง”

[“ก็แค่ความเป็นไปได้ครับ และยังต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะตอนนี้ยังเป็นเพียงเด็กแรกเกิด แต่เมื่อถึงเวลา ผมจะเป็นผู้ฝึกสอนให้เอง ให้รับใช้สหายขององค์หญิงได้อย่างสมศักดิ์ศรี กระผมจะฝึกให้กลายเป็นคนรับใช้ที่ไม่น้อยหน้าใครให้ดูครับ”]

 

  บัตเลอร์พูดถึงเรื่องของอนาคต เท่าที่รู้ สกิงค์จะโตเต็มวัยที่อายุสองปี และในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงนี้ พวกมันก็จะมีขนาดพอๆกับเด็กมนุษย์แล้ว ในเวลานั้นก็จะเป็นช่วงที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุดที่จะเริ่มฝึกสอนมีอา

 

[“องค์หญิง จำคำพูดของกระผมก่อนที่จะออกจากอาร์คุยล่าได้ไหมครับ?”]

“ว่า?”

[“ให้องค์หญิงใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และกลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ซึ่งเป็นการเอาคืนที่เจ็บแสบที่สุดสำหรับคนที่เคยดูถูกท่านเอาไว้”]

“อือ จำได้”

 

  เซเลนรู้สึกคุ้นๆว่าเคยได้ยินอยู่ หรืออาจจะไม่เคยได้ยินก็ได้ จริงๆแล้ว เธอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องที่อาร์คุยล่าปฏิบัติกับเธอ แต่บัตเลอร์ก็ตื้นตันจนพูดต่อไปทั้งน้ำตา 

 

[“ดีใจจริงๆ… กระผมคิดถูกมาตลอด ว่าองค์หญิงแตกต่างจากคนทั่วไป ท่านเป็นดอกไม้ที่ผลิบานได้สวยงามยิ่งกว่าที่กระผมจินตนาการไว้เสียอีก”]

“ตอนนี้ หิว”

[“ฮ่าฮ่า! ถูกต้องแล้วครับ ไม่ต้องพะวงกับอดีต ที่สำคัญคือปัจจุบัน ตราบใดที่บัตเลอร์คนนี้ยังอยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โปรดมั่นใจได้เลยว่าท่านไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”]

 

 แม้เซเลนจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ฝากชื่อไว้ในประวัตศาสตร์ ก็ยังรู้จักประมาณตน ไม่หลงระเริงไปกับชื่อเสียงที่ได้มา ซึ่งบัตเลอร์ก็ชื่นชมในด้านนี้ของเธอเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับเซเลนที่นอนมากเกินไปจนหิวอยู่ตอนนี้ ย่อมเลือกมื้ออาหารมากกว่าชื่อเสียงอยู่แล้ว

 

   บัตเลอร์ยกขาหน้าปาดน้ำตา อนาคตของเซเลน อาร์คุยล่า ต้องสว่างสดในแน่ และคนจากอาร์คุยล่ามาเรียกร้องขอตัวเซเลนคืนในวันนี้ แสดงว่าพวกนั้นต้องรับรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของเธอแล้ว คำสาปที่ทำให้เซเลนมีอดีตที่โชคร้าย ได้ถูกชำระล้างไปแล้ว

 

  ถึงจะยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ผู้คนทั้งหลายกำลังจะได้รับรู้ถึงตัวตนของเซเลน ไม่ใช่เฉพาะในเฮลิฟาเต้ แต่ทั่วทั้งทวีปจะต้องอยากรู้ว่า เซเลนคนนี้ เป็นใคร จากไหน และความสงสัยใคร่รู้ของผู้คนจะทำให้ความจริงที่ปกปิดไว้ได้ถูกเปิดเผย

 

 ฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ จะมีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากเอลฟ์ จะต้องอบรมมีอาให้เป็นคนรับใช้ที่ดี และยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นเส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์ให้เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ก้าวเดินไป ดังถนนที่ปูด้วยทองคำ บัตเลอร์ยิ้มอย่างภูมิใจอยู่บนไหล่ของเซเลน

 

  –แต่บัตเลอร์ก็ไม่ได้สังเกตเห็น บนกิ่งไม้นอกหน้าต่างของทางเดินที่เซเลนได้ผ่านไปนั้น มีอีกาสีดำยิ่งกว่าความมืดจับตาดูพวกเขาอยู่

 

  อีการ้องเสียงแปลกๆก่อนจะกระพือปีกบินขึ้นฟ้า กลมกลืนกับความมืด มุ่งหน้าไปทิศทางหนึ่งอย่างแม่นยำแม้เป็นช่วงเวลากลางคืน

 

 

 

____________________

* สองคำนี้ออกเสียงเหมือนกัน

月光(เก็คโค)=แสงจันทร์

激昂(เก็คโค)=โมโห, เกรี้ยวกราด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+