[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 43 ความกังวลของมิลาน

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 43 ความกังวลของมิลาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 43

ความกังวลของมิลาน

 

 

   ที่ย่านการค้าบนถนสายหลักในเมืองหลวงของอาณาจักรเฮลิฟาเต้ทุกวันนี้มีผู้คนหนาแน่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะวัตถุดิบเวทมนตร์คุณภาพสูงที่นำเข้ามาจากป่าสีขาวจะมีวางขายที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทำให้บรรดาพ่อค้าชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาหาซื้อสินค้าล้ำค่าชนิดนี้

 

   และด้วยเหตุนั้น เหล่านักแสดงข้างถนน จิตกร นักดนตรี และกวี ต่างก็มาแสดงความสามารถกันอย่างเต็มทีโดยหวังที่จะได้รับการอุปถัมภ์จากพ่อค้าผู้ร่ำรวยเหล่านั้น ทำให้ทุกวันของเมืองหลวงเฮลิฟาเต้เป็นดั่งงานเทศกาล

 

   และบรรดาผู้คนที่เดินทางมายังเฮลิฟาเต้จากต่างประเทศก็ให้ความสนใจในข่าวลือที่ว่า บุคคลที่ยกระดับเศรษฐกิจทั้งประเทศในครั้งนี้ คือเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

 

   เด็กสาวผู้งดงาม ผิวขาวราวกระเบื้อง ผมสีขาวดุจเส้นไหม และดวงตาสีแดงดั่งทัพทิม มักถูกพบเห็นขณะที่เธออยู่ในรถม้าระหว่างการเดินทางไปยังสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาเต้ ว่ากันว่า เธอกำลังปฏิรูประบบการศึกษาของประเทศ จึงได้ไปตรวจสอบความสุจริตของเงินทุนด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆเมื่อมีเวลา

 

   เหล่ากวีที่เคยเห็นความงดงามเธอก็แต่งเป็นบทเพลงไปในทางเดียวกัน ว่า ‘เจ้าหญิงแสงจันทร์ เทพธิดาผู้นำทางมนุษย์และเอลฟ์ให้เจริญรุ่งเรื่องไปด้วยกัน’ เพราะไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของเซเลนเลยสักคน จึงได้ถูกอธิบายสั้นๆด้วยคำว่าว่าเทพธิดา

 

  ทั้งๆที่ตัวจริงเของเซเลนไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าตาแก่ลามกจอมเอาแต่ใจ แต่ไม่จะดีหรือร้าย การที่เธอเป็นคนพูดน้อย ทำให้เวลาที่เธออยู่เงียบๆจะดูเป็นคนสุขุมน่าหลงใหล

 

  เซเลนที่ชีวิตนี้คิดถึงแต่ความต้องการพื้นฐานทั้งสามอย่าง*เท่านั้น และจะออกนอกพระราชวังเฉพาะตอนที่คิดจะไปสถานศึกษา เธอจึงไม่รับรู้ว่าสิ่งที่เธอทำไปนั้นส่งผลอะไรกับประเทศ และไม่สนใจว่าผู้คนคิดอย่างไรกับเธอ

 

   ทุกครั้งที่รถม้าของเซเลนผ่านถนนสายหลัก ผู้คนที่พบเห็นก็จะส่งเสียงลือกันต่างๆนาๆ แต่เธอก็แค่หันไปมองนอกหน้าต่างว่าผู้คนส่งเสียงเอะอะอะไรกันโดยที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ

 

   แต่ท่วงท่าจากการกระทำของเธอนั้น ทำให้เซเลนดูสูงส่งและสง่างามยิ่งขึ้น ทั้งที่ในใจเซเลนคิดถึงแต่หน้าอกที่อยู่ปลายทางเท่านั้น

 

  นอกเหนือจากเรื่องของเซเลนแล้ว ทุกวันนี้เฮลิฟาเต้ได้ยิ่งใหญ่กว่าที่เคย เจริญก้าวหน้าจนประเทศอื่นๆขนานนามว่า ‘ดินแดนที่ได้รับความรักจากพระเจ้า’

 

 ไม่ว่าจะเจิดจ้าสักแค่ไหน ในเมื่อมีแสงก็ย่อมมีเงา ประชาชนที่อยู่ดีมีสุข กองทัพอันแข็งแกร่งที่ปกป้องประชาชนเหล่านั้น กำแพงเมืองที่สูงใหญ่และแน่นหนา ล้วนมีช่องว่างให้แมลงดับแสงสุริยาแทรกผ่านไปได้ทั้งสิ้น

 

  มีคนเดินถนนมากมายภายใต้ท้องฟ้าสว่างไสว ทำให้เกิดเป็นเงาหนาทึบอยู่เต็มพื้นถนน เป็นทางผ่านให้แมลงร้ายได้เข้าถึงพระราชวังเฮลิฟาเต้ได้โดยง่าย มันเข้าไปสอดส่องทั่วปราสาทราวกับเป็นเจ้าของสถานที่ เพื่อค้นหาบุคคลที่ชื่อมิลานตามคำสั่งของผู้สาปแช่ง

 

   แมลงดับแสงสุริยาค้นหาทุกพื้นที่ที่ความมืดจะไปถึง จนในที่สุดก็หยุดลง เป้าหมายที่ต้องฆ่าอยู่ในห้องนี้ แมลงดับแสงสุริยาซ่อนตัวอยู่ในรอยต่อของกำแพงหินอ่อนเฝ้ามองมิลานอยู่เงียบๆ

 

   ในห้องบัลลังก์ มิลานอยู่ต่อหน้าชวานและไอบิสที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ชวานที่ให้บรรยากาศดุดันกว่าปรกติจ้องมองมาที่มิลาน

 

“มิลาน แกตั้งใจจะอยู่ในประเทศนี้อีกนานแค่ไหน?”

 

  มิลานเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกับชวานด้วยน้ำเสียงเหมือนกับจะโต้เถียง

 

“เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับเอลฟ์ที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ผมจำเป็นต้องอยู่ต่อเพื่ออำนวยความสะดวกให้พวกเขาในฐานะเจ้าภาพ…”

“ตอนนี้เอลฟ์ก็ได้คุ้นเคยกับมนุษย์เพียงพอแล้ว ความสัมพันธ์ก็เรียกได้ว่าไว้ใจกันได้ทุกฝ่าย ว่าแต่แกน่ะ ยังไม่ลืมว่าตอนนี้แกควรจะทำอะไรอยู่ใช่ไหม?”

“ยังจำได้ดีครับ!”

 

   มิลานตอบเสียงดังแต่ไร้ความมั่นใจ การเจรจากับเอลฟ์ที่พูดถึงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เขาเข้าใจดีว่าพ่อของเขาพูดถึงเรื่องใด

 

  ออกเดินทางไปทั่วทวีปเพื่อศึกษาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ลึกซึ้ง นั่นคือหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายมา

 

   ด้วยเหตุนั้น มิลานกับคุมะฮาจิที่เป็นคนคุ้มกันก็ได้เดินทางไปยังหลายๆประเทศ จนกระทั่งได้พบกับเซเลนและช่วยเธอออกมาจากคุกที่มืดมิด หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นอีกหลายๆอย่าง จึงพักกำหนดการณ์นั้นเอาไว้และอยู่ในเฮลิฟาเต้จนถึงตอนนี้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นข้ออ้างได้อีกต่อไป มิลานเกิดมาพร้อมกับภาระอันยิ่งใหญ่ ไม่ควรปิดหูปิดตาอยู่แต่ในประเทศของตนเองเพียงที่เดียว

 

“ก่อนหน้านี้ก็ไปวัลเบิร์ตมาได้ กับประเทศอื่นๆก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก”

“…จริงตามนั้นครับ”

 

   ตามที่ชวานพูด การไปเยี่ยมเยียนวัลเบิร์ตที่เป็นปัญหามากที่สุด และถูกเลื่อนออกไปหลายครั้งเพราะการที่เขาไม่ถูกกับเอนเต้ แต่ก็ไปและกลับมาได้อย่างไม่มีปัญหาเพราะการวางตัวของเซเลน

 

   สำหรับประเทศอื่นๆ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากตัวตนของเซเลนได้เช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อใดที่เขาเดินทางไปถึงประเทศนั้นๆ ก็จะถูกเชิญไปร่วมงานเลี้ยง และจะกลายเป็นงานดูตัวให้กับบรรดาลูกสาวของชนชั้นสูงทั้งหลาย แต่ถ้าได้มาอยู่ต่อหน้าเจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน ผู้โด่งดัง ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือชนชั้นสูงที่ไหนก็ไม่อาจเทียบรัศมีได้

 

  หากมีประกาศออกไปว่า เซเลนเป็นคู่หมั่นของเขา ก็จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ไม่พึงประสงค์เหล่านั้นได้ง่ายๆ และจะทำให้มิลานเดินทางไปทั่วทวีปได้โดยไม่มีอุปสรรค ศึกษาเรื่องต่างๆได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องไปข้องเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของมิลานก็สดใสขึ้นมา แต่ชวานที่เห็นเช่นนั้นก็รู้ความในใจ จึงถอนหายในออกมา 

 

“ที่แกไม่อยากออกเดินทางเพราะเรื่องของเซเลนสินะ”

“…ใช่ครับ”

 

   ที่ว่ามานั้นถูกต้องที่สุด มิลานก็ยอมรับในเรื่องนั้น หากมิลานออกเดินทางก็จะเท่ากับว่าต้องทิ้งเซเลนไว้ในเฮลิฟาเต้ เพราะถ้าให้เด็กสาวร่างกายอ่อนแอออกเดินทางไกล ก็จะเกิดอันตรายได้ง่าย ซ้ำยังทำให้การเดินทางยึ่งยากและกินเวลามากขึ้นอย่างเปล่าประโยชน์

 

“ถ้าเป็นเซเลน ฝากไว้กับทางนี้ได้ แต่ว่า ลูกน่ะ ไม่อยากไปเที่ยวรอบโลกกับเซเลนเหรอ?”

“นั่นมัน…”

“แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วหนิจ๊ะ”

 

  ไอบิสที่อยู่ข้างๆชวานได้พูดเรื่องที่มิลานตอบได้ยากขึ้นมา ก่อนที่เขาจะตัดสินใจ ชวานก็ขัดจังหวะและหันพูดกับไอบิสก่อน 

 

“พูดอะไรออกมา! นี่ไม่ใช่การท่องเที่ยวนะ! เดินทางไกลกับเด็กอายุแค่นั้นจะมีแต่ปัญหา!”

“สมัยคุณยังหนุ่มๆก็พาฉันไปด้วยหนิคะ ตอนนั้นสนุกมากเลยนะ”

“ไม่ ไม่ มันไม่เหมือนกับกรณีนี้! ตอนนั้นเธออายุสิบสี่ ส่วนข้าก็ยี่สิบสี่ มิลานที่อายุแค่สิบแปดยังเด็กเกินไปที่จะดูแลปกป้องเซเลนที่อายุน้อยกว่ามาก!”

“ตอนที่พาเซเลนมาครั้งแรก คุณบอกให้มิลานรับผิดชอบในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง กษัตริย์ที่ไม่รักษาคำพูดเนี่ย ใช้ไม่ได้นะคะ”

“ก็ตอนนั้น… ฮึ่ม!”

 

   แม้แต่ราชาราชสีห์อย่างชวานก็ยังรู้ว่าตอนไหนที่ไม่ควรเถียงกับภรรยาสุดที่รักของเขา ไอบิสจึงได้คุยกับมิลานต่อโดยปล่อยชวานที่ทำสีหน้าเคร่งเครียดเอาไว้ก่อน

 

“ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน คนสุขภาพดีแข็งแรงก็อาจจะหกล้มหัวฟาดพื้นตายอย่างกะทันหันขึ้นมาสักวันก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่เสียใจภายหลังเถอะจ๊ะ”

“เธอจะคิดง่ายเกินไปแล้ว”

“คุณต่างหาก ที่คิดมากเกินไป”

 

  ขณะที่มิลานยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ชวานกับไอบิสก็เริ่มเถียงกันอีกครั้ง ซึ้งก็ทำให้มิลานยิ่งเกิดความลังเลในในการตัดสินใจ และชวานก็ได้หันกลับมาพูกับมิลานอีกกครั้ง

 

“…จริงอยู่ ที่แกเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ต้องมีความรับผิดชอบ ตอนนี้เถียงกันไปก็เปล่าประโยชน์ มิลาน แกต้องตัดสินใจให้ดีๆล่ะ ว่าอย่างไหนจะเป็นประโยชน์กับแกและเด็กคนนั้นที่สุด”

“ผมเข้าใจดีครับ… เพราะฉะนั้น ผมขอไปคุยกับเซเลนก่อนจะตัดสินใจครับ”

“เอาตามทีแกคิดว่าดีที่สุดเถอะ”

 

   การสนทนาจบลงแค่นั้น มิลานทำความเคารพและออกจากห้องไป เมื่อออกมานอกห้องก็พบกับคุมะฮาจิยืนรออยู่ เพราะตอนที่มิลานถูกชวานเรียกตัว คุมะฮาจิก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเรื่องใด

 

“เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมออกเดินทางจนโดนเอ็ดเอาสินะขอรับ?”

“รู้ดีทุกเรื่องเลยนะ ใช่แล้ว”

 

  เนื่องจากคุมะฮาจิเป็นสหายที่ไว้ใจได้มากที่สุด มิลานจึงพูดถึงเรื่องที่ได้คุยกับพ่อแม่เมื่อสักครู่ให้ฟัง ตอนนี้เขามีตัวเลิอกแค่สองทาง จะให้เซเลนอยู่ที่นี่ ทิ้งไว้ให้คนอื่นดูแล หรือพาออกเดินทางไปด้วยกัน ซึ่งจะกลายเป็นการเดินทางที่ยากลำบาก

 

  คุมะฮาจิเอามือจับคางที่ไว้เครารุงรัง ยืนฟังมิลานพูดจนจบ ไม่มีการพูดล้อเหมือนทุกที เพราะยังไงเขาก็เป็นคนที่จริงจังพอที่จะขอคำปรึกษาเรื่องสำคัญได้

 

“จริงอย่างที่องค์ราชาว่าไว้ขอรับ เดินทางกับเด็กในวัยนี้มีแต่จะลำบากกับการเดินทางไกลติดต่อกันเป็นเวลานาน ถึงจะเป็นการเปิดหูเปิดตาให้ท่านเซเลนได้เรียนรู้โลกกว้าง แต่ถ้าคิดถึงความเสี่ยงทั้งหลาย ก็อาจจะไม่คุ้มค่า”

“…ก็นั่นสิน้า”

“ที่องค์ราชินีพูดไว้อย่างนั้นก็เพราะ ทำแล้วเสียใจภายหลังย่อมดีกว่าเสียใจภายหลังเพราะไม่ได้ลงมือทำ เหมือนกับคำพูดที่ว่า เช้าหน้าสีแดง ตกเย็นกระดูกสีขาว** นั่นแหละขอรับ”

“แล้วนายคิดว่าคำตอบไหนถึงจะถูกต้องที่สุดล่ะ”

“ข้าน้อยคิดว่าคำตอบที่องค์ชายเลือก คือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดขอรับ”

 

  คุมะฮาจิหัวเราะเบาๆและเอื้อมมือไปตบไหล่มิลานที่ยืนงงตาค้าง

 

“ไม่ว่าองค์ชายจะตัดสินใจอย่างไร ข้าน้อยก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ขอรับ เพราะฉะนั้น ทำตามที่ใจท่านปรารถนาเถิด”

 

   คุมะฮาจิเดินจากไปทันที่ที่พูดจบ มิลานเข้าใจสิ่งที่คุมะฮาจิต้องการจะสื่อดี แต่เมื่อคิดถึงอนาคตแล้ว ภายในใจก็ยังมีแต่เพียงความกังวล

 

“ความสุขของเซเลน จะเป็นแบบไหนกัน…”

 

   คำตอบของเธอจะตรงกันหรือเปล่า ความคิดนี้ทำให้หัวใจของมิลานหวั่นไหวเป็นอย่างมาก เป็นช่องว่าที่แมลงดับแสงสุริยาไม่มีทางมองข้าม ภายในปราสาทมีเงามากมายใช้หลบซ่อนได้ดี จึงเข้าประชิดตัวได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น

 

“หืม!?”

 

   ความรู้สึกเหมือนมีลมเย็นพัดใส่แผ่นหลัง ทำให้มิลานถูกกระตุ้นด้วยอาการคล้ายจะเป็นลม อ่อนแรง วิงเวียนศีรษะ จนต้องเอามือยันกำแพงไว้ เมื่อเขาเอามือสัมผัสหน้าผากก็ไม่พบว่าตัวร้อน มองไปรอบๆก็ไม่มีอาการตาลาย ทุกอย่างปรกติเหมือนกับอาการเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น 

 

“คงจะเหนื่อยมากเกินไป…”

 

  ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ได้พบกับเซเลนก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ตั้งแต่การเดินทางไปประเทศข้างเคียงที่น่าอึดอัด มารีไปทะเลาะด้วยจนเป็นเรื่องวุ่นวาย เผชิญหน้ากับมังกร  เหตุการณ์ที่ป่าสีขาว… มีแต่เรื่องให้เหน็ดเหนื่อย เจ็บตัว ติดต่อกันจนแทบจะไม่มีเวลาได้พัก แต่ มันก็เทียบไม่ได้กับทั้งหมดที่เซเลนทำเพื่อเขาเลย

 

   ――ยิ่งใกล้ถึงเวลาที่ต้องออกห่างจากเซเลน ก็ยิ่งทำให้ภายในอกของมิลานเจ็บปวด

 

   ถึงในตอนนี้จะมีสาเหตุจากความรู้สึก แต่อีกไม่นานความเจ็บปวดในหน้าอกของมิลานจะมีสาเหตุมาจากอย่างอื่น แมลงดับแสงสุริยาในร่างกายได้เข้าไปเกาะแน่นกับหัวใจของเขาแล้ว สัตว์ประหลาดที่เพิ่งเกิดมาไม่นาน ได้ใช้พลังงานไปมากจากการเดินทางมาที่เฮลิฟาเต้ ในตอนนี้มันจะอยู่เฉยๆในตัวของมิลาน จนกว่าจะถึงคืนจันทร์ดับ ช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด

 

  มิลานไม่มีทางรู้ตัวเลยว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามาอยู่ในตัวของเขาแล้ว โดยที่จิตใจของเขาก็ยังกังวลกับเรื่องที่จะต้องตัดสินใจต่อจากนี้ ต้องไปพูดคุยกับเซเลนให้เข้าใจ และมิลานก็ไปที่ห้องของเซเลนด้วยก้าวเดินที่เชื่องช้ากว่าทุกครั้ง

 

“…ผมต้องออกเดินทางทั่วทวีปอีกครั้ง”

“เจ้าชาย ไม่อยู่? ฉันด้วย หรือเปล่า?”

 

  เมื่อบอกไปว่าเขาจะต้องออกเดินทางในเร็ววัน ก็ทำให้เซเลนประหลาดใจจนทำตาโตตามที่คาดไว้ และเซเลนก็ได้ถามถึงตัวเธอเอง ทำให้มิลานต้องฝืนทนตอบกลับไป

 

“…ต้องขอโทษด้วย เซเลนอยู่ที่นี่จะสะดวกกว่าในหลายๆเรื่อง”

“เมื่อไหร่ มา?”

“ผมจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอครับ? ผมอาจจะกลับมาทุกๆสองถึงสามเดือน ตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย ไม่สามารถรับประกันอะไรได้ครับ”

 

  ความจริงที่ตอบกลับไปทำให้มิลานเสียงสั่น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแปลกใจ ไม่เคยคิดว่าการทิ้งเซเลนไว้ข้างหลังจะยากเย็นถึงเพียงนี้

 

“เอาสิ!”

“…เอ๋?”

 

   ที่น่าแปลกใจกว่า คือการที่เซเลนมีรอยยิ้มเจิดจ้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น ถึงจะไม่ได้คาดหวังให้เธออ้อนวอนขอติดตามไปด้วย แต่การตอบรับในครั้งนี้ เหนือความคาดหมายจนทำให้มิลานหดหู่เล็กน้อย

 

“ถ้าเซเลนไม่มีข้อโต้แย้งอะไร ก็คงต้องเป็นไปตามนั้น…”

“บ๊ายบาย!”

 

   เซเลนโบกมือลาอย่างร่าเริงให้กับมิลาน และปิดประตูลงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เหลืองเพียงมิลานที่ยืนเหม่อลอยอยู่คนเดียวที่ทางเดิน

 

“แบบนี้แหละ ดีแล้ว แต่ความรู้สึกนี้มันคืออะไร…”

 

   มิลานพูดกับตัวเองที่ในใจรู้สึกว่างเปล่า ถ้าเซเลนต้องการที่จะอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง การเดินทางไกลก็จะทำได้ง่ายกว่ากันมาก ทังหมดนี้ก็สมเหตุสมผลดี แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าหมองขึ้นนิดหน่อย… หรือให้พูดตรงๆก็คือ รู้สึกโศกเศร้าอย่างมากมาย

 

“อืม… ผมคงหวังพึ่งเซเลนมากเกินไปเสียแล้วสิ”

 

   มิลานเคยปฏิเสธสุภาพสตรีที่พยายามเข้ามาเกี่ยวพันกับเขามามากมาย แต่ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ถูกปฏิเสธจากสุภาพสตรีมาก่อน หรือความรู้สึกนี้ที่เขาเรียกกันว่าอกหัก แต่คิดดูแล้วก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กแปดขวบเท่านั้น มิลานหัวเราะให้กับความคิดเพ้อเจ้อของตนเอง

 

“อ่า ต้องไปบอกลามารีด้วย”

 

   ตอนที่เดินจากมาเพื่อไปหามารีเป็นคนต่อไป มิลานได้หันหลังกลับไปมองหลายครั้ง หวังว่าเซเลนจะเปลี่ยนใจออกจากห้องวิ่งตามมาขอให้พาไปด้วย ถึงจะรู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวัง

 

  แต่เธอก็ไม่โผล่มาให้เป็นแม้แต่เงาจนกระทั้งเดินเลี้ยวผ่านหัวมุม ห้องของเซเลนจึงลับสายตาไป

 

 

“อุ… หุหุหุ…”

[“องค์หญิง ท่านทำได้ดีที่สุดแล้ว บัตเลอร์คนนี้เข้าใจความหวังดีของท่านมากกว่าใคร”]

 

  เซเลนนอนคว่ำหน้าลงกับหมอน ตัวสั่นอยู่บนเตียง เป็นภาพที่ทำให้บัตเลอร์ทุกข์ใจยิ่งนัก

 

  ต้องลาจากกับเจ้าชายมิลานผู้เป็นที่รัก เซเลนก็ยังยิ้มส่งได้อย่างสง่างาม ถึงจะมีความสามารถสักแค่ไหนแต่ร่างกายก็ยังเป็นแค่เด็ก การติดตามไปด้วยมีแต่จะไปเป็นภาระให้กับเจ้าชายมิลาน เจ้านายผู้ชาญฉลาดไม่มีทางไม่เข้าใจในเรื่องนี้แน่

 

  ต้องถูกทิ้งไว้โดยผู้มีพระคุณที่ช่วยเธอออกมาจากความโดดเดี่ยว ทันทีที่ประตูปิดลง เซเลนก็วิ่งไปที่เตียง กดหน้าลงกับหมอนและร้องเสียงอู้อี้มาตลอด 

 

   บัตเลอร์ไม่คิดตำหนิเจ้านายที่ทำตัวเช่นนี้ ผู้คนที่มีความรู้สึกก็ต้องมีช่วงเวลาที่อยากร้องไห้ออกมาเหมือนกันทั้งนั้น ปล่อยให้อยู่คนเดียว ให้ระบายออกมาให้เต็มที่ เป็นการดีที่สุด และบัตเลอร์ก็กลับเข้าไปประจำที่ในตะกร้า

 

“(นี่แหละ!)”

 

   เพราะเซเลนไม่อยากให้มิลานที่อาจยังอยู่แถวนี้ได้ยิน จึงต้องตะโกนใส่หมอน และแน่นอนว่าไม่ได้ร้องไห้ แต่หัวเราะสุดเสียงให้กับโอกาสที่ฟ้าประทานมาให้ในครั้งนี้ พยายามไม่กระโดดโลดเต้นให้เกิดเสียงดังจนมีใครได้ยิน

 

   คิดจะกำจัดไอ้เจ้าชายนั้นมาตั้งนาน สุดท้ายมันก็ขอจากไปเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะโชคดีขนาดนี้ ถ้าเจ้าชายไม่อยู่สักคน ก็จะวางแผนหลบหนีได้โดยที่ไม่มีใครจับตามอง หรือจะเตรียมการโจ่งแจ้งแค่ไหนก็ไม่มีใครมาขัดขวาง

 

   อุตส่าห์ทำข้าวกล่องอันตรายไปยัดปากทุกวันก็ยังไม่มีวี่แววไขมันอุดตันสักที มิหนําซ้ำ ร่างกายของมันยังสมส่วนขึ้นทุกวัน ไม่ได้เป็นไอ้แห้งเหมือนที่เจอกันครั้งแรกแล้ว ถ้ามันสร้างภูมิคุ้มกันได้แบบนี้ก็ได้เวลาเปลี่ยนแผนใหม่สักที

 

  ส่วนไอ้เจ้าเล็บฉีก ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เคยโผล่มาอีกเลย ถ้านานๆจะโผล่มาทีก็ยังดี เพราะมีโอกาสสูงที่จะมาตอนที่เจ้าชายไม่อยู่ จะได้พาอาลัวอพยพไปหมู่บ้านเอลฟ์ได้ง่ายๆ

 

   ในตอนนี้ เซเลนเฝ้ารอวันที่ไม่มีเจ้าชายอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

   ◆◇ ◆ ◇ ◆ 

 

 

“แน่ใจแล้วเหรอคะ!?”

“อือ พอพูดออกไปแล้วเซเลนก็ยังดูร่าเริงดี เธอจะมีความสุขกว่าถ้าอยู่ที่นี่ ส่วนผมก็แค่ออกเดินทางไปคนเดียวเหมือนเคย…”

“ท่านพี่ บ้าที่สุด!!”

 

   เมื่อได้พูดถึงเรื่องนี้ให้มารีฟัง มารีก็ได้คว้าตุ๊กตากระต่ายใกล้ๆ ปาใส่หน้ามิลาน และยังใช้หมอนทุบลงบนหัวมิลานสุดแรงซ้ำอยู่หลายครั้ง ถึงจะไม่ทำให้เจ็บแต่มิลานก็ตกใจที่ถูกน้องสาวโจมตีกะทันหันเช่นนี้

 

“ทำอะไรของเธอน่ะ!?”

“ท่านพี่นั่นแหละ คิดจะทำอะไรกันแน่! ทั้งที่ปรกติเป็นคนฉลาดแท้ๆ!”

 

  ยิ่งกว่าตกใจคือสับสน มิลานสังเกตเห็นน้ำตาที่หางตาของมารี มารีในตอนนี้ได้โยนหมอนออกไปและเริ่มทุบตีมิลานด้วยมือทั้งสองของเธอ

 

“ท่านพี่ ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้! เป็นแบบนี้ทุกทีเลย! จะออกเดินทางไปเรียนรู้เรื่องของประเทศอื่นๆ ทั้งที่เรื่องของคนสำคัญที่อยู่ใกล้ตัวยังไม่คิดจะเรียนรู้เนี่ยนะ! บ้า บ้า บ้าที่สุด!”

“เป็นอะไรของเธอ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

“ก็เรื่องของเซเลนยังไงล่ะคะ! ทั้งๆที่เป็นคนช่วยออกมาเอง แต่กลับทิ้งเธอเอาไว้แบบนี้!”

“ไม่ได้ทิ้งสักหน่อย! เธอต้องการอยู่ที่นี่เอง!”

“หนูถึงได้บอกไง ว่าทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้! ทำไมถึงคิดว่านั่นเป็นความต้องการของเธอ!”

 

   มารีตะโกนต่อว่าทั้งน้ำตา มิลานทำได้แค่ยืนมองอยู่เฉยๆ

 

“จนป่านนี้แล้ว… ทำไมถึงยังไม่รู้ตัวอีก! เธอถูกแม่แท้ๆจับไปขัง พี่สาวเพียงคนเดียวก็ไปพบไม่ได้ ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอด นี่เห็นเหตุผลที่ท่านพี่ช่วยเธอออกมา แล้วทำไมถึงปล่อยให้เธอต้องโดดเดี่ยวอีกล่ะ!?”

“ไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีท่านพ่อ ท่านแม่ และเธอเองก็ด้วย”

“มันไม่เหมือนกัน! สำหรับเซเลน คนที่ช่วยเธอไว้ คนที่ให้ความสำคัญกับเธอที่สุด ก็มีแต่ท่านพี่เท่านั้น! ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ!?”

“แน่ใจหรือเปล่าว่าไม่ได้คิดไปเอง? เท่าที่ผมเห็น เธอออกจะดีใจด้วยซ้ำ…”

“จะให้เธอร้องไห้ให้ท่านพี่ต้องเห็นห่วงอีกหรือยังไง! หนูไม่เห็นท่าทีของเธอก็จริง แต่ตอนนั้น ท่าทางของเซเลนเป็นปรกติจริงๆหรือเปล่า?”

“ในตอนนั้น…”

 

  มิลานนึกย้อนกลับไป เพราะเหตุเกิดยังไม่นานจึงยังจำได้ดี ในตอนที่พูดกับเซเลน เธอแสดงความดีใจ ร่าเริงอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าทำตัวแปลกไปก็ไม่ผิด เพราะปรกติ เซเลนจะไม่แสดงอารมณ์ให้เห็นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะตัวเขาเอง ถึงในตอนนั้นจะดูเป็นธรรมชาติจนไม่ทันได้คิดอะไร แต่ถ้าเทียบกับพฤติกรรมของเซเลนที่เห็นอยู่ทุกวัน ก็จะเห็นว่าต่างออกไป

 

  มารียังคงมองมาที่มิลาน สัมผัสได้ถึงความโกรธจากสายตา สมัยก่อน ตอนที่เคยทะเลาะกัน มิลานไม่เคยคิดอ่อนข้อให้กับมารี แต่ตอนนี้ มารีเป็นฝ่ายกดดันให้เขาต้องยอมถอย เพราเซเลนก็เป็นน้องสาวคนสำคัญสำหรับเธอด้วยเช่นกัน

 

“ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วสินะคะ ถ้าอย่างนั้นก็ลองคิดดูใหม่ ถึงความรู้สึกของเซเลน”

“…เข้าใจแล้ว”

“จริงๆแล้วก็เป็นเรื่องของท่านพี่เองด้วยไม่ใช่หรือไง? จะไม่ได้เจอกับเซเลนอีกนานมากเลยนะ ไม่เป็นไรจริงๆเหรอ?”

“…เดี๋ยวจะกลับไปคิดให้ดีกว่านี้ครับ”

“ถ้าทำอย่างอย่างที่พูดจริงก็จะดีมากเลยค่ะ”

“ขอโทษด้วยนะ มารี แล้วก็ ขอบคุณมาก”

 

  แม้จะน่าอายที่ต้องให้คนที่เขาเห็นเป็นเด็กมาสั่งสอน แต่มิลานก็โค้งคำนับให้กับมารี นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาก้มหัวให้มารีจากใจจริงขนาดนี้ และมิลานก็กลับห้องไปเพื่อวางแผนอย่างจริงจัง ถึงผลกระทบทั้งหมดหากเขาพาเซเลนไปด้วยกัน

 

  หลังจากที่คิดทบทวนอยู่จนดึก มิลานก็ตัดสินใจให้เซเลนได้อยู่ที่นี่ สิ่งที่มารีพูดมา เขาก็เข้าใจดี ยอมทนทุกข์อยู่คนเดียวเพื่อไม่ให้ใครต้องลำบาก เซเลนมีนิสัยแบบนั้นอยู่แล้ว แต่การพาเซเลนไปด้วยในครั้งนี้จะทำให้มีปัญหามากกว่าจริงๆ

 

  เนื่องจากเซเลนจะนอนตลอดช่วงกลางวันและตื่นมาตอนเย็น เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็น่าจะยังตื่นอยู่ มิลานจึงมาหาเซเลนที่ห้องของเธอ เมื่อมาถึง เขาก็เคาะประตู ในคราวนี้ เขาจะบอกกับเธอให้ละเอียด พูดกับเธอให้เข้าใจ 

 

“อยู่นี่!”

 

 เซเลนเปิดประตูให้หลังจากที่เขาเคาะประตูได้ไม่นาน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งผิดจากปรกติ เธอมักจะเคลื่อนไหวเชื่องช้าไม่ต่างกับช่วงกลางวัน ไม่ค่อยได้เห็นเธอทำอะไรคล่องแคล่วว่องไวมากนัก

 

“(ถ้าได้คิดสักนิดก็รู้แล้วว่าเธอแปลกไป)”

 

   เซเลนที่แสดงความร่าเริงออกมาชัดเจนขนาดนี้ ไม่ใช่เซเลนตามปรกติ นี่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ

 

“เซเลน…”

“อะไร?”

 

  มิลานมองดูรอยยิ้มของเซเลน เซเลนไม่เหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน เพราะเธอไม่ได้รับความรักจากแม่ของเธอ ในตอนนี้ เซเลนสดใสร่าเริงสมวัย รอยยิ้มบนใบหน้างดงามดุจเทพธิดา แต่เขาจะต้องออกห่างจากเจ้าหญิงผู้นี้และออกเดินทางไกลที่ต้องใช้เวลานาน เพราะฉะนั้น เรื่องที่ต้องพูด ก็มีแต่ต้องพูดออกไปตอนนี้

 

“ออกเดินทางไปด้วยกันกับผมเถอะครับ”

“………ห๊ะ?”

 

  คำพูดที่ออกมาจากปาก ตรงข้ามกับที่วางแผนเอาไว้ แม้กระทั้งตัวมิลานเองยังแปลกใจ แต่ก็ไม่คิดจะหลอกตัวเองอีกแล้ว

 

   เพียงแค่นั้น ความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ในใจของเขาก็เหมือนได้รับการปลดปล่อยออกมาจนหมด และตระหนักขึ้นมาอีกครั้งว่า ก่อนที่จะเป็นเจ้าชาย เขาคือผู้ชายคนหนึ่ง

 

    เซเลนยังตกตะลึงไม่หาย แต่มิลานตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อตรงกับความรู้สึกของตนเองให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะได้พูดออกไปว่า อยากใกล้ชิดกับเธอ อยากให้เธอมาอยู่เคียงข้างนับจากนี้และตลอดไป

 

“ท่านพ่อก็คงรู้สึกแบบเดียวกันนี้ ในตอนที่ชวนท่านแม่ออกเดินทาง”

 

   มิลานหัวเราะออกมา เมื่อคิดดูแล้วมันก็น่าอายอยู่ดี

 

“แต่เดินช้า ไปด้วย แล้วลำบาก!”

 

   เมื่อเห็นเซเลนพูดย้ำถึงปัญหากับการที่พาเธอไปด้วย เธอต้องรู้สึกผิดที่ตนเองจะไปเป็นภาระอยู่แน่ ก็ทำให้มิลานมีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องเธอมากยิ่งขึ้น

 

“เดินเร็วก็ไม่ได้ดีกว่าเสมอไป ต่อให้เดินช้าหรือลำบากสักแค่ไหน แต่ก็ยังได้เดินอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้น ไปด้วยกันกับผมนะครับ”

 

   เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหันจนไม่มีเวลาเตรียมใจ จึงยังบอกความรู้สึกของเขาออกไปได้ไม่หมด แต่ก็เพียงพอสำหรับตอนนี้แล้ว  มิลานเดินจากไปพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำทันทีที่พูดจบ เหลือไว้เพียงเซเลนที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยืนตัวแข็งอยู่หน้าประตูที่ยังเปิดอยู่

 

[“ยินดีด้วยครับ! องค์หญิง! สวรรค์เห็นในความดีของท่านแล้ว!”]

 

  บัตเลอร์กระโดดออกมาจากตะกร้าเข้าไปหาเซเลน ยินดีกับเซเลนราวกับเป็นเรื่องของตัวเขาเอง จริงอยู่ ที่การพาเซเลนไปด้วยจะทำให้การเดินทางของเจ้าชายจะต้องยุ่งยากขึ้น แต่เจ้าชายก็ยังให้ความสำคัญกับเซเลนมากกว่า ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับบัตเลอร์

 

“…………ฮ่วย”

 

   สติของเซเลนใกล้เคียงกับนักมวยที่ใกล้ถูกน็อค และอุทานออกมาเป็นสำเนียงคันไซโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

____________________________________

 

* ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์มี 3 อย่างคือ กิน นอน สืบพันธุ์

 

** 朝には紅顔ありて 夕には白骨となれる身なり

เช้าหน้าสีแดง ตกเย็นกระดูกสีขาว

สุภาษิต พูดถึงความไม่แน่นอนของชีวิต

หมายถึง ตื่นเช้ามามีเลือดฝาด(หน้าแดง)สุขภาพดี แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันจนตายเหลือแต่กระดูกก่อนหมดวัน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 43 ความกังวลของมิลาน

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 43 ความกังวลของมิลาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 43

ความกังวลของมิลาน

 

 

   ที่ย่านการค้าบนถนสายหลักในเมืองหลวงของอาณาจักรเฮลิฟาเต้ทุกวันนี้มีผู้คนหนาแน่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะวัตถุดิบเวทมนตร์คุณภาพสูงที่นำเข้ามาจากป่าสีขาวจะมีวางขายที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทำให้บรรดาพ่อค้าชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาหาซื้อสินค้าล้ำค่าชนิดนี้

 

   และด้วยเหตุนั้น เหล่านักแสดงข้างถนน จิตกร นักดนตรี และกวี ต่างก็มาแสดงความสามารถกันอย่างเต็มทีโดยหวังที่จะได้รับการอุปถัมภ์จากพ่อค้าผู้ร่ำรวยเหล่านั้น ทำให้ทุกวันของเมืองหลวงเฮลิฟาเต้เป็นดั่งงานเทศกาล

 

   และบรรดาผู้คนที่เดินทางมายังเฮลิฟาเต้จากต่างประเทศก็ให้ความสนใจในข่าวลือที่ว่า บุคคลที่ยกระดับเศรษฐกิจทั้งประเทศในครั้งนี้ คือเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

 

   เด็กสาวผู้งดงาม ผิวขาวราวกระเบื้อง ผมสีขาวดุจเส้นไหม และดวงตาสีแดงดั่งทัพทิม มักถูกพบเห็นขณะที่เธออยู่ในรถม้าระหว่างการเดินทางไปยังสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาเต้ ว่ากันว่า เธอกำลังปฏิรูประบบการศึกษาของประเทศ จึงได้ไปตรวจสอบความสุจริตของเงินทุนด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆเมื่อมีเวลา

 

   เหล่ากวีที่เคยเห็นความงดงามเธอก็แต่งเป็นบทเพลงไปในทางเดียวกัน ว่า ‘เจ้าหญิงแสงจันทร์ เทพธิดาผู้นำทางมนุษย์และเอลฟ์ให้เจริญรุ่งเรื่องไปด้วยกัน’ เพราะไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของเซเลนเลยสักคน จึงได้ถูกอธิบายสั้นๆด้วยคำว่าว่าเทพธิดา

 

  ทั้งๆที่ตัวจริงเของเซเลนไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าตาแก่ลามกจอมเอาแต่ใจ แต่ไม่จะดีหรือร้าย การที่เธอเป็นคนพูดน้อย ทำให้เวลาที่เธออยู่เงียบๆจะดูเป็นคนสุขุมน่าหลงใหล

 

  เซเลนที่ชีวิตนี้คิดถึงแต่ความต้องการพื้นฐานทั้งสามอย่าง*เท่านั้น และจะออกนอกพระราชวังเฉพาะตอนที่คิดจะไปสถานศึกษา เธอจึงไม่รับรู้ว่าสิ่งที่เธอทำไปนั้นส่งผลอะไรกับประเทศ และไม่สนใจว่าผู้คนคิดอย่างไรกับเธอ

 

   ทุกครั้งที่รถม้าของเซเลนผ่านถนนสายหลัก ผู้คนที่พบเห็นก็จะส่งเสียงลือกันต่างๆนาๆ แต่เธอก็แค่หันไปมองนอกหน้าต่างว่าผู้คนส่งเสียงเอะอะอะไรกันโดยที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ

 

   แต่ท่วงท่าจากการกระทำของเธอนั้น ทำให้เซเลนดูสูงส่งและสง่างามยิ่งขึ้น ทั้งที่ในใจเซเลนคิดถึงแต่หน้าอกที่อยู่ปลายทางเท่านั้น

 

  นอกเหนือจากเรื่องของเซเลนแล้ว ทุกวันนี้เฮลิฟาเต้ได้ยิ่งใหญ่กว่าที่เคย เจริญก้าวหน้าจนประเทศอื่นๆขนานนามว่า ‘ดินแดนที่ได้รับความรักจากพระเจ้า’

 

 ไม่ว่าจะเจิดจ้าสักแค่ไหน ในเมื่อมีแสงก็ย่อมมีเงา ประชาชนที่อยู่ดีมีสุข กองทัพอันแข็งแกร่งที่ปกป้องประชาชนเหล่านั้น กำแพงเมืองที่สูงใหญ่และแน่นหนา ล้วนมีช่องว่างให้แมลงดับแสงสุริยาแทรกผ่านไปได้ทั้งสิ้น

 

  มีคนเดินถนนมากมายภายใต้ท้องฟ้าสว่างไสว ทำให้เกิดเป็นเงาหนาทึบอยู่เต็มพื้นถนน เป็นทางผ่านให้แมลงร้ายได้เข้าถึงพระราชวังเฮลิฟาเต้ได้โดยง่าย มันเข้าไปสอดส่องทั่วปราสาทราวกับเป็นเจ้าของสถานที่ เพื่อค้นหาบุคคลที่ชื่อมิลานตามคำสั่งของผู้สาปแช่ง

 

   แมลงดับแสงสุริยาค้นหาทุกพื้นที่ที่ความมืดจะไปถึง จนในที่สุดก็หยุดลง เป้าหมายที่ต้องฆ่าอยู่ในห้องนี้ แมลงดับแสงสุริยาซ่อนตัวอยู่ในรอยต่อของกำแพงหินอ่อนเฝ้ามองมิลานอยู่เงียบๆ

 

   ในห้องบัลลังก์ มิลานอยู่ต่อหน้าชวานและไอบิสที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ชวานที่ให้บรรยากาศดุดันกว่าปรกติจ้องมองมาที่มิลาน

 

“มิลาน แกตั้งใจจะอยู่ในประเทศนี้อีกนานแค่ไหน?”

 

  มิลานเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกับชวานด้วยน้ำเสียงเหมือนกับจะโต้เถียง

 

“เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับเอลฟ์ที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ผมจำเป็นต้องอยู่ต่อเพื่ออำนวยความสะดวกให้พวกเขาในฐานะเจ้าภาพ…”

“ตอนนี้เอลฟ์ก็ได้คุ้นเคยกับมนุษย์เพียงพอแล้ว ความสัมพันธ์ก็เรียกได้ว่าไว้ใจกันได้ทุกฝ่าย ว่าแต่แกน่ะ ยังไม่ลืมว่าตอนนี้แกควรจะทำอะไรอยู่ใช่ไหม?”

“ยังจำได้ดีครับ!”

 

   มิลานตอบเสียงดังแต่ไร้ความมั่นใจ การเจรจากับเอลฟ์ที่พูดถึงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เขาเข้าใจดีว่าพ่อของเขาพูดถึงเรื่องใด

 

  ออกเดินทางไปทั่วทวีปเพื่อศึกษาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ลึกซึ้ง นั่นคือหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายมา

 

   ด้วยเหตุนั้น มิลานกับคุมะฮาจิที่เป็นคนคุ้มกันก็ได้เดินทางไปยังหลายๆประเทศ จนกระทั่งได้พบกับเซเลนและช่วยเธอออกมาจากคุกที่มืดมิด หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นอีกหลายๆอย่าง จึงพักกำหนดการณ์นั้นเอาไว้และอยู่ในเฮลิฟาเต้จนถึงตอนนี้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นข้ออ้างได้อีกต่อไป มิลานเกิดมาพร้อมกับภาระอันยิ่งใหญ่ ไม่ควรปิดหูปิดตาอยู่แต่ในประเทศของตนเองเพียงที่เดียว

 

“ก่อนหน้านี้ก็ไปวัลเบิร์ตมาได้ กับประเทศอื่นๆก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก”

“…จริงตามนั้นครับ”

 

   ตามที่ชวานพูด การไปเยี่ยมเยียนวัลเบิร์ตที่เป็นปัญหามากที่สุด และถูกเลื่อนออกไปหลายครั้งเพราะการที่เขาไม่ถูกกับเอนเต้ แต่ก็ไปและกลับมาได้อย่างไม่มีปัญหาเพราะการวางตัวของเซเลน

 

   สำหรับประเทศอื่นๆ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากตัวตนของเซเลนได้เช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อใดที่เขาเดินทางไปถึงประเทศนั้นๆ ก็จะถูกเชิญไปร่วมงานเลี้ยง และจะกลายเป็นงานดูตัวให้กับบรรดาลูกสาวของชนชั้นสูงทั้งหลาย แต่ถ้าได้มาอยู่ต่อหน้าเจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน ผู้โด่งดัง ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือชนชั้นสูงที่ไหนก็ไม่อาจเทียบรัศมีได้

 

  หากมีประกาศออกไปว่า เซเลนเป็นคู่หมั่นของเขา ก็จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ไม่พึงประสงค์เหล่านั้นได้ง่ายๆ และจะทำให้มิลานเดินทางไปทั่วทวีปได้โดยไม่มีอุปสรรค ศึกษาเรื่องต่างๆได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องไปข้องเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของมิลานก็สดใสขึ้นมา แต่ชวานที่เห็นเช่นนั้นก็รู้ความในใจ จึงถอนหายในออกมา 

 

“ที่แกไม่อยากออกเดินทางเพราะเรื่องของเซเลนสินะ”

“…ใช่ครับ”

 

   ที่ว่ามานั้นถูกต้องที่สุด มิลานก็ยอมรับในเรื่องนั้น หากมิลานออกเดินทางก็จะเท่ากับว่าต้องทิ้งเซเลนไว้ในเฮลิฟาเต้ เพราะถ้าให้เด็กสาวร่างกายอ่อนแอออกเดินทางไกล ก็จะเกิดอันตรายได้ง่าย ซ้ำยังทำให้การเดินทางยึ่งยากและกินเวลามากขึ้นอย่างเปล่าประโยชน์

 

“ถ้าเป็นเซเลน ฝากไว้กับทางนี้ได้ แต่ว่า ลูกน่ะ ไม่อยากไปเที่ยวรอบโลกกับเซเลนเหรอ?”

“นั่นมัน…”

“แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วหนิจ๊ะ”

 

  ไอบิสที่อยู่ข้างๆชวานได้พูดเรื่องที่มิลานตอบได้ยากขึ้นมา ก่อนที่เขาจะตัดสินใจ ชวานก็ขัดจังหวะและหันพูดกับไอบิสก่อน 

 

“พูดอะไรออกมา! นี่ไม่ใช่การท่องเที่ยวนะ! เดินทางไกลกับเด็กอายุแค่นั้นจะมีแต่ปัญหา!”

“สมัยคุณยังหนุ่มๆก็พาฉันไปด้วยหนิคะ ตอนนั้นสนุกมากเลยนะ”

“ไม่ ไม่ มันไม่เหมือนกับกรณีนี้! ตอนนั้นเธออายุสิบสี่ ส่วนข้าก็ยี่สิบสี่ มิลานที่อายุแค่สิบแปดยังเด็กเกินไปที่จะดูแลปกป้องเซเลนที่อายุน้อยกว่ามาก!”

“ตอนที่พาเซเลนมาครั้งแรก คุณบอกให้มิลานรับผิดชอบในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง กษัตริย์ที่ไม่รักษาคำพูดเนี่ย ใช้ไม่ได้นะคะ”

“ก็ตอนนั้น… ฮึ่ม!”

 

   แม้แต่ราชาราชสีห์อย่างชวานก็ยังรู้ว่าตอนไหนที่ไม่ควรเถียงกับภรรยาสุดที่รักของเขา ไอบิสจึงได้คุยกับมิลานต่อโดยปล่อยชวานที่ทำสีหน้าเคร่งเครียดเอาไว้ก่อน

 

“ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน คนสุขภาพดีแข็งแรงก็อาจจะหกล้มหัวฟาดพื้นตายอย่างกะทันหันขึ้นมาสักวันก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่เสียใจภายหลังเถอะจ๊ะ”

“เธอจะคิดง่ายเกินไปแล้ว”

“คุณต่างหาก ที่คิดมากเกินไป”

 

  ขณะที่มิลานยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ชวานกับไอบิสก็เริ่มเถียงกันอีกครั้ง ซึ้งก็ทำให้มิลานยิ่งเกิดความลังเลในในการตัดสินใจ และชวานก็ได้หันกลับมาพูกับมิลานอีกกครั้ง

 

“…จริงอยู่ ที่แกเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ต้องมีความรับผิดชอบ ตอนนี้เถียงกันไปก็เปล่าประโยชน์ มิลาน แกต้องตัดสินใจให้ดีๆล่ะ ว่าอย่างไหนจะเป็นประโยชน์กับแกและเด็กคนนั้นที่สุด”

“ผมเข้าใจดีครับ… เพราะฉะนั้น ผมขอไปคุยกับเซเลนก่อนจะตัดสินใจครับ”

“เอาตามทีแกคิดว่าดีที่สุดเถอะ”

 

   การสนทนาจบลงแค่นั้น มิลานทำความเคารพและออกจากห้องไป เมื่อออกมานอกห้องก็พบกับคุมะฮาจิยืนรออยู่ เพราะตอนที่มิลานถูกชวานเรียกตัว คุมะฮาจิก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเรื่องใด

 

“เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมออกเดินทางจนโดนเอ็ดเอาสินะขอรับ?”

“รู้ดีทุกเรื่องเลยนะ ใช่แล้ว”

 

  เนื่องจากคุมะฮาจิเป็นสหายที่ไว้ใจได้มากที่สุด มิลานจึงพูดถึงเรื่องที่ได้คุยกับพ่อแม่เมื่อสักครู่ให้ฟัง ตอนนี้เขามีตัวเลิอกแค่สองทาง จะให้เซเลนอยู่ที่นี่ ทิ้งไว้ให้คนอื่นดูแล หรือพาออกเดินทางไปด้วยกัน ซึ่งจะกลายเป็นการเดินทางที่ยากลำบาก

 

  คุมะฮาจิเอามือจับคางที่ไว้เครารุงรัง ยืนฟังมิลานพูดจนจบ ไม่มีการพูดล้อเหมือนทุกที เพราะยังไงเขาก็เป็นคนที่จริงจังพอที่จะขอคำปรึกษาเรื่องสำคัญได้

 

“จริงอย่างที่องค์ราชาว่าไว้ขอรับ เดินทางกับเด็กในวัยนี้มีแต่จะลำบากกับการเดินทางไกลติดต่อกันเป็นเวลานาน ถึงจะเป็นการเปิดหูเปิดตาให้ท่านเซเลนได้เรียนรู้โลกกว้าง แต่ถ้าคิดถึงความเสี่ยงทั้งหลาย ก็อาจจะไม่คุ้มค่า”

“…ก็นั่นสิน้า”

“ที่องค์ราชินีพูดไว้อย่างนั้นก็เพราะ ทำแล้วเสียใจภายหลังย่อมดีกว่าเสียใจภายหลังเพราะไม่ได้ลงมือทำ เหมือนกับคำพูดที่ว่า เช้าหน้าสีแดง ตกเย็นกระดูกสีขาว** นั่นแหละขอรับ”

“แล้วนายคิดว่าคำตอบไหนถึงจะถูกต้องที่สุดล่ะ”

“ข้าน้อยคิดว่าคำตอบที่องค์ชายเลือก คือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดขอรับ”

 

  คุมะฮาจิหัวเราะเบาๆและเอื้อมมือไปตบไหล่มิลานที่ยืนงงตาค้าง

 

“ไม่ว่าองค์ชายจะตัดสินใจอย่างไร ข้าน้อยก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ขอรับ เพราะฉะนั้น ทำตามที่ใจท่านปรารถนาเถิด”

 

   คุมะฮาจิเดินจากไปทันที่ที่พูดจบ มิลานเข้าใจสิ่งที่คุมะฮาจิต้องการจะสื่อดี แต่เมื่อคิดถึงอนาคตแล้ว ภายในใจก็ยังมีแต่เพียงความกังวล

 

“ความสุขของเซเลน จะเป็นแบบไหนกัน…”

 

   คำตอบของเธอจะตรงกันหรือเปล่า ความคิดนี้ทำให้หัวใจของมิลานหวั่นไหวเป็นอย่างมาก เป็นช่องว่าที่แมลงดับแสงสุริยาไม่มีทางมองข้าม ภายในปราสาทมีเงามากมายใช้หลบซ่อนได้ดี จึงเข้าประชิดตัวได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น

 

“หืม!?”

 

   ความรู้สึกเหมือนมีลมเย็นพัดใส่แผ่นหลัง ทำให้มิลานถูกกระตุ้นด้วยอาการคล้ายจะเป็นลม อ่อนแรง วิงเวียนศีรษะ จนต้องเอามือยันกำแพงไว้ เมื่อเขาเอามือสัมผัสหน้าผากก็ไม่พบว่าตัวร้อน มองไปรอบๆก็ไม่มีอาการตาลาย ทุกอย่างปรกติเหมือนกับอาการเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น 

 

“คงจะเหนื่อยมากเกินไป…”

 

  ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ได้พบกับเซเลนก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ตั้งแต่การเดินทางไปประเทศข้างเคียงที่น่าอึดอัด มารีไปทะเลาะด้วยจนเป็นเรื่องวุ่นวาย เผชิญหน้ากับมังกร  เหตุการณ์ที่ป่าสีขาว… มีแต่เรื่องให้เหน็ดเหนื่อย เจ็บตัว ติดต่อกันจนแทบจะไม่มีเวลาได้พัก แต่ มันก็เทียบไม่ได้กับทั้งหมดที่เซเลนทำเพื่อเขาเลย

 

   ――ยิ่งใกล้ถึงเวลาที่ต้องออกห่างจากเซเลน ก็ยิ่งทำให้ภายในอกของมิลานเจ็บปวด

 

   ถึงในตอนนี้จะมีสาเหตุจากความรู้สึก แต่อีกไม่นานความเจ็บปวดในหน้าอกของมิลานจะมีสาเหตุมาจากอย่างอื่น แมลงดับแสงสุริยาในร่างกายได้เข้าไปเกาะแน่นกับหัวใจของเขาแล้ว สัตว์ประหลาดที่เพิ่งเกิดมาไม่นาน ได้ใช้พลังงานไปมากจากการเดินทางมาที่เฮลิฟาเต้ ในตอนนี้มันจะอยู่เฉยๆในตัวของมิลาน จนกว่าจะถึงคืนจันทร์ดับ ช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด

 

  มิลานไม่มีทางรู้ตัวเลยว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามาอยู่ในตัวของเขาแล้ว โดยที่จิตใจของเขาก็ยังกังวลกับเรื่องที่จะต้องตัดสินใจต่อจากนี้ ต้องไปพูดคุยกับเซเลนให้เข้าใจ และมิลานก็ไปที่ห้องของเซเลนด้วยก้าวเดินที่เชื่องช้ากว่าทุกครั้ง

 

“…ผมต้องออกเดินทางทั่วทวีปอีกครั้ง”

“เจ้าชาย ไม่อยู่? ฉันด้วย หรือเปล่า?”

 

  เมื่อบอกไปว่าเขาจะต้องออกเดินทางในเร็ววัน ก็ทำให้เซเลนประหลาดใจจนทำตาโตตามที่คาดไว้ และเซเลนก็ได้ถามถึงตัวเธอเอง ทำให้มิลานต้องฝืนทนตอบกลับไป

 

“…ต้องขอโทษด้วย เซเลนอยู่ที่นี่จะสะดวกกว่าในหลายๆเรื่อง”

“เมื่อไหร่ มา?”

“ผมจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอครับ? ผมอาจจะกลับมาทุกๆสองถึงสามเดือน ตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย ไม่สามารถรับประกันอะไรได้ครับ”

 

  ความจริงที่ตอบกลับไปทำให้มิลานเสียงสั่น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแปลกใจ ไม่เคยคิดว่าการทิ้งเซเลนไว้ข้างหลังจะยากเย็นถึงเพียงนี้

 

“เอาสิ!”

“…เอ๋?”

 

   ที่น่าแปลกใจกว่า คือการที่เซเลนมีรอยยิ้มเจิดจ้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น ถึงจะไม่ได้คาดหวังให้เธออ้อนวอนขอติดตามไปด้วย แต่การตอบรับในครั้งนี้ เหนือความคาดหมายจนทำให้มิลานหดหู่เล็กน้อย

 

“ถ้าเซเลนไม่มีข้อโต้แย้งอะไร ก็คงต้องเป็นไปตามนั้น…”

“บ๊ายบาย!”

 

   เซเลนโบกมือลาอย่างร่าเริงให้กับมิลาน และปิดประตูลงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เหลืองเพียงมิลานที่ยืนเหม่อลอยอยู่คนเดียวที่ทางเดิน

 

“แบบนี้แหละ ดีแล้ว แต่ความรู้สึกนี้มันคืออะไร…”

 

   มิลานพูดกับตัวเองที่ในใจรู้สึกว่างเปล่า ถ้าเซเลนต้องการที่จะอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง การเดินทางไกลก็จะทำได้ง่ายกว่ากันมาก ทังหมดนี้ก็สมเหตุสมผลดี แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าหมองขึ้นนิดหน่อย… หรือให้พูดตรงๆก็คือ รู้สึกโศกเศร้าอย่างมากมาย

 

“อืม… ผมคงหวังพึ่งเซเลนมากเกินไปเสียแล้วสิ”

 

   มิลานเคยปฏิเสธสุภาพสตรีที่พยายามเข้ามาเกี่ยวพันกับเขามามากมาย แต่ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ถูกปฏิเสธจากสุภาพสตรีมาก่อน หรือความรู้สึกนี้ที่เขาเรียกกันว่าอกหัก แต่คิดดูแล้วก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กแปดขวบเท่านั้น มิลานหัวเราะให้กับความคิดเพ้อเจ้อของตนเอง

 

“อ่า ต้องไปบอกลามารีด้วย”

 

   ตอนที่เดินจากมาเพื่อไปหามารีเป็นคนต่อไป มิลานได้หันหลังกลับไปมองหลายครั้ง หวังว่าเซเลนจะเปลี่ยนใจออกจากห้องวิ่งตามมาขอให้พาไปด้วย ถึงจะรู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวัง

 

  แต่เธอก็ไม่โผล่มาให้เป็นแม้แต่เงาจนกระทั้งเดินเลี้ยวผ่านหัวมุม ห้องของเซเลนจึงลับสายตาไป

 

 

“อุ… หุหุหุ…”

[“องค์หญิง ท่านทำได้ดีที่สุดแล้ว บัตเลอร์คนนี้เข้าใจความหวังดีของท่านมากกว่าใคร”]

 

  เซเลนนอนคว่ำหน้าลงกับหมอน ตัวสั่นอยู่บนเตียง เป็นภาพที่ทำให้บัตเลอร์ทุกข์ใจยิ่งนัก

 

  ต้องลาจากกับเจ้าชายมิลานผู้เป็นที่รัก เซเลนก็ยังยิ้มส่งได้อย่างสง่างาม ถึงจะมีความสามารถสักแค่ไหนแต่ร่างกายก็ยังเป็นแค่เด็ก การติดตามไปด้วยมีแต่จะไปเป็นภาระให้กับเจ้าชายมิลาน เจ้านายผู้ชาญฉลาดไม่มีทางไม่เข้าใจในเรื่องนี้แน่

 

  ต้องถูกทิ้งไว้โดยผู้มีพระคุณที่ช่วยเธอออกมาจากความโดดเดี่ยว ทันทีที่ประตูปิดลง เซเลนก็วิ่งไปที่เตียง กดหน้าลงกับหมอนและร้องเสียงอู้อี้มาตลอด 

 

   บัตเลอร์ไม่คิดตำหนิเจ้านายที่ทำตัวเช่นนี้ ผู้คนที่มีความรู้สึกก็ต้องมีช่วงเวลาที่อยากร้องไห้ออกมาเหมือนกันทั้งนั้น ปล่อยให้อยู่คนเดียว ให้ระบายออกมาให้เต็มที่ เป็นการดีที่สุด และบัตเลอร์ก็กลับเข้าไปประจำที่ในตะกร้า

 

“(นี่แหละ!)”

 

   เพราะเซเลนไม่อยากให้มิลานที่อาจยังอยู่แถวนี้ได้ยิน จึงต้องตะโกนใส่หมอน และแน่นอนว่าไม่ได้ร้องไห้ แต่หัวเราะสุดเสียงให้กับโอกาสที่ฟ้าประทานมาให้ในครั้งนี้ พยายามไม่กระโดดโลดเต้นให้เกิดเสียงดังจนมีใครได้ยิน

 

   คิดจะกำจัดไอ้เจ้าชายนั้นมาตั้งนาน สุดท้ายมันก็ขอจากไปเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะโชคดีขนาดนี้ ถ้าเจ้าชายไม่อยู่สักคน ก็จะวางแผนหลบหนีได้โดยที่ไม่มีใครจับตามอง หรือจะเตรียมการโจ่งแจ้งแค่ไหนก็ไม่มีใครมาขัดขวาง

 

   อุตส่าห์ทำข้าวกล่องอันตรายไปยัดปากทุกวันก็ยังไม่มีวี่แววไขมันอุดตันสักที มิหนําซ้ำ ร่างกายของมันยังสมส่วนขึ้นทุกวัน ไม่ได้เป็นไอ้แห้งเหมือนที่เจอกันครั้งแรกแล้ว ถ้ามันสร้างภูมิคุ้มกันได้แบบนี้ก็ได้เวลาเปลี่ยนแผนใหม่สักที

 

  ส่วนไอ้เจ้าเล็บฉีก ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เคยโผล่มาอีกเลย ถ้านานๆจะโผล่มาทีก็ยังดี เพราะมีโอกาสสูงที่จะมาตอนที่เจ้าชายไม่อยู่ จะได้พาอาลัวอพยพไปหมู่บ้านเอลฟ์ได้ง่ายๆ

 

   ในตอนนี้ เซเลนเฝ้ารอวันที่ไม่มีเจ้าชายอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

   ◆◇ ◆ ◇ ◆ 

 

 

“แน่ใจแล้วเหรอคะ!?”

“อือ พอพูดออกไปแล้วเซเลนก็ยังดูร่าเริงดี เธอจะมีความสุขกว่าถ้าอยู่ที่นี่ ส่วนผมก็แค่ออกเดินทางไปคนเดียวเหมือนเคย…”

“ท่านพี่ บ้าที่สุด!!”

 

   เมื่อได้พูดถึงเรื่องนี้ให้มารีฟัง มารีก็ได้คว้าตุ๊กตากระต่ายใกล้ๆ ปาใส่หน้ามิลาน และยังใช้หมอนทุบลงบนหัวมิลานสุดแรงซ้ำอยู่หลายครั้ง ถึงจะไม่ทำให้เจ็บแต่มิลานก็ตกใจที่ถูกน้องสาวโจมตีกะทันหันเช่นนี้

 

“ทำอะไรของเธอน่ะ!?”

“ท่านพี่นั่นแหละ คิดจะทำอะไรกันแน่! ทั้งที่ปรกติเป็นคนฉลาดแท้ๆ!”

 

  ยิ่งกว่าตกใจคือสับสน มิลานสังเกตเห็นน้ำตาที่หางตาของมารี มารีในตอนนี้ได้โยนหมอนออกไปและเริ่มทุบตีมิลานด้วยมือทั้งสองของเธอ

 

“ท่านพี่ ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้! เป็นแบบนี้ทุกทีเลย! จะออกเดินทางไปเรียนรู้เรื่องของประเทศอื่นๆ ทั้งที่เรื่องของคนสำคัญที่อยู่ใกล้ตัวยังไม่คิดจะเรียนรู้เนี่ยนะ! บ้า บ้า บ้าที่สุด!”

“เป็นอะไรของเธอ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

“ก็เรื่องของเซเลนยังไงล่ะคะ! ทั้งๆที่เป็นคนช่วยออกมาเอง แต่กลับทิ้งเธอเอาไว้แบบนี้!”

“ไม่ได้ทิ้งสักหน่อย! เธอต้องการอยู่ที่นี่เอง!”

“หนูถึงได้บอกไง ว่าทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้! ทำไมถึงคิดว่านั่นเป็นความต้องการของเธอ!”

 

   มารีตะโกนต่อว่าทั้งน้ำตา มิลานทำได้แค่ยืนมองอยู่เฉยๆ

 

“จนป่านนี้แล้ว… ทำไมถึงยังไม่รู้ตัวอีก! เธอถูกแม่แท้ๆจับไปขัง พี่สาวเพียงคนเดียวก็ไปพบไม่ได้ ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอด นี่เห็นเหตุผลที่ท่านพี่ช่วยเธอออกมา แล้วทำไมถึงปล่อยให้เธอต้องโดดเดี่ยวอีกล่ะ!?”

“ไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีท่านพ่อ ท่านแม่ และเธอเองก็ด้วย”

“มันไม่เหมือนกัน! สำหรับเซเลน คนที่ช่วยเธอไว้ คนที่ให้ความสำคัญกับเธอที่สุด ก็มีแต่ท่านพี่เท่านั้น! ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ!?”

“แน่ใจหรือเปล่าว่าไม่ได้คิดไปเอง? เท่าที่ผมเห็น เธอออกจะดีใจด้วยซ้ำ…”

“จะให้เธอร้องไห้ให้ท่านพี่ต้องเห็นห่วงอีกหรือยังไง! หนูไม่เห็นท่าทีของเธอก็จริง แต่ตอนนั้น ท่าทางของเซเลนเป็นปรกติจริงๆหรือเปล่า?”

“ในตอนนั้น…”

 

  มิลานนึกย้อนกลับไป เพราะเหตุเกิดยังไม่นานจึงยังจำได้ดี ในตอนที่พูดกับเซเลน เธอแสดงความดีใจ ร่าเริงอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าทำตัวแปลกไปก็ไม่ผิด เพราะปรกติ เซเลนจะไม่แสดงอารมณ์ให้เห็นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะตัวเขาเอง ถึงในตอนนั้นจะดูเป็นธรรมชาติจนไม่ทันได้คิดอะไร แต่ถ้าเทียบกับพฤติกรรมของเซเลนที่เห็นอยู่ทุกวัน ก็จะเห็นว่าต่างออกไป

 

  มารียังคงมองมาที่มิลาน สัมผัสได้ถึงความโกรธจากสายตา สมัยก่อน ตอนที่เคยทะเลาะกัน มิลานไม่เคยคิดอ่อนข้อให้กับมารี แต่ตอนนี้ มารีเป็นฝ่ายกดดันให้เขาต้องยอมถอย เพราเซเลนก็เป็นน้องสาวคนสำคัญสำหรับเธอด้วยเช่นกัน

 

“ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วสินะคะ ถ้าอย่างนั้นก็ลองคิดดูใหม่ ถึงความรู้สึกของเซเลน”

“…เข้าใจแล้ว”

“จริงๆแล้วก็เป็นเรื่องของท่านพี่เองด้วยไม่ใช่หรือไง? จะไม่ได้เจอกับเซเลนอีกนานมากเลยนะ ไม่เป็นไรจริงๆเหรอ?”

“…เดี๋ยวจะกลับไปคิดให้ดีกว่านี้ครับ”

“ถ้าทำอย่างอย่างที่พูดจริงก็จะดีมากเลยค่ะ”

“ขอโทษด้วยนะ มารี แล้วก็ ขอบคุณมาก”

 

  แม้จะน่าอายที่ต้องให้คนที่เขาเห็นเป็นเด็กมาสั่งสอน แต่มิลานก็โค้งคำนับให้กับมารี นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาก้มหัวให้มารีจากใจจริงขนาดนี้ และมิลานก็กลับห้องไปเพื่อวางแผนอย่างจริงจัง ถึงผลกระทบทั้งหมดหากเขาพาเซเลนไปด้วยกัน

 

  หลังจากที่คิดทบทวนอยู่จนดึก มิลานก็ตัดสินใจให้เซเลนได้อยู่ที่นี่ สิ่งที่มารีพูดมา เขาก็เข้าใจดี ยอมทนทุกข์อยู่คนเดียวเพื่อไม่ให้ใครต้องลำบาก เซเลนมีนิสัยแบบนั้นอยู่แล้ว แต่การพาเซเลนไปด้วยในครั้งนี้จะทำให้มีปัญหามากกว่าจริงๆ

 

  เนื่องจากเซเลนจะนอนตลอดช่วงกลางวันและตื่นมาตอนเย็น เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็น่าจะยังตื่นอยู่ มิลานจึงมาหาเซเลนที่ห้องของเธอ เมื่อมาถึง เขาก็เคาะประตู ในคราวนี้ เขาจะบอกกับเธอให้ละเอียด พูดกับเธอให้เข้าใจ 

 

“อยู่นี่!”

 

 เซเลนเปิดประตูให้หลังจากที่เขาเคาะประตูได้ไม่นาน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งผิดจากปรกติ เธอมักจะเคลื่อนไหวเชื่องช้าไม่ต่างกับช่วงกลางวัน ไม่ค่อยได้เห็นเธอทำอะไรคล่องแคล่วว่องไวมากนัก

 

“(ถ้าได้คิดสักนิดก็รู้แล้วว่าเธอแปลกไป)”

 

   เซเลนที่แสดงความร่าเริงออกมาชัดเจนขนาดนี้ ไม่ใช่เซเลนตามปรกติ นี่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ

 

“เซเลน…”

“อะไร?”

 

  มิลานมองดูรอยยิ้มของเซเลน เซเลนไม่เหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน เพราะเธอไม่ได้รับความรักจากแม่ของเธอ ในตอนนี้ เซเลนสดใสร่าเริงสมวัย รอยยิ้มบนใบหน้างดงามดุจเทพธิดา แต่เขาจะต้องออกห่างจากเจ้าหญิงผู้นี้และออกเดินทางไกลที่ต้องใช้เวลานาน เพราะฉะนั้น เรื่องที่ต้องพูด ก็มีแต่ต้องพูดออกไปตอนนี้

 

“ออกเดินทางไปด้วยกันกับผมเถอะครับ”

“………ห๊ะ?”

 

  คำพูดที่ออกมาจากปาก ตรงข้ามกับที่วางแผนเอาไว้ แม้กระทั้งตัวมิลานเองยังแปลกใจ แต่ก็ไม่คิดจะหลอกตัวเองอีกแล้ว

 

   เพียงแค่นั้น ความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ในใจของเขาก็เหมือนได้รับการปลดปล่อยออกมาจนหมด และตระหนักขึ้นมาอีกครั้งว่า ก่อนที่จะเป็นเจ้าชาย เขาคือผู้ชายคนหนึ่ง

 

    เซเลนยังตกตะลึงไม่หาย แต่มิลานตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อตรงกับความรู้สึกของตนเองให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะได้พูดออกไปว่า อยากใกล้ชิดกับเธอ อยากให้เธอมาอยู่เคียงข้างนับจากนี้และตลอดไป

 

“ท่านพ่อก็คงรู้สึกแบบเดียวกันนี้ ในตอนที่ชวนท่านแม่ออกเดินทาง”

 

   มิลานหัวเราะออกมา เมื่อคิดดูแล้วมันก็น่าอายอยู่ดี

 

“แต่เดินช้า ไปด้วย แล้วลำบาก!”

 

   เมื่อเห็นเซเลนพูดย้ำถึงปัญหากับการที่พาเธอไปด้วย เธอต้องรู้สึกผิดที่ตนเองจะไปเป็นภาระอยู่แน่ ก็ทำให้มิลานมีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องเธอมากยิ่งขึ้น

 

“เดินเร็วก็ไม่ได้ดีกว่าเสมอไป ต่อให้เดินช้าหรือลำบากสักแค่ไหน แต่ก็ยังได้เดินอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้น ไปด้วยกันกับผมนะครับ”

 

   เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหันจนไม่มีเวลาเตรียมใจ จึงยังบอกความรู้สึกของเขาออกไปได้ไม่หมด แต่ก็เพียงพอสำหรับตอนนี้แล้ว  มิลานเดินจากไปพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำทันทีที่พูดจบ เหลือไว้เพียงเซเลนที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยืนตัวแข็งอยู่หน้าประตูที่ยังเปิดอยู่

 

[“ยินดีด้วยครับ! องค์หญิง! สวรรค์เห็นในความดีของท่านแล้ว!”]

 

  บัตเลอร์กระโดดออกมาจากตะกร้าเข้าไปหาเซเลน ยินดีกับเซเลนราวกับเป็นเรื่องของตัวเขาเอง จริงอยู่ ที่การพาเซเลนไปด้วยจะทำให้การเดินทางของเจ้าชายจะต้องยุ่งยากขึ้น แต่เจ้าชายก็ยังให้ความสำคัญกับเซเลนมากกว่า ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับบัตเลอร์

 

“…………ฮ่วย”

 

   สติของเซเลนใกล้เคียงกับนักมวยที่ใกล้ถูกน็อค และอุทานออกมาเป็นสำเนียงคันไซโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

____________________________________

 

* ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์มี 3 อย่างคือ กิน นอน สืบพันธุ์

 

** 朝には紅顔ありて 夕には白骨となれる身なり

เช้าหน้าสีแดง ตกเย็นกระดูกสีขาว

สุภาษิต พูดถึงความไม่แน่นอนของชีวิต

หมายถึง ตื่นเช้ามามีเลือดฝาด(หน้าแดง)สุขภาพดี แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันจนตายเหลือแต่กระดูกก่อนหมดวัน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+