[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 45: เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 45: เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 45

เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์

 

 

  คำขึ้นต้นเอาเป็นอะไรดี… กลางฤดูหนาวแบบนี้ มือก็เย็น สมองก็ไม่ค่อยโลดแล่น จะให้มาเขียนอะไรในเวลานี้มันยากจริงๆ

 

  นี่ไม่ใช่แม้แต่ต้นฉบับ เป็นแค่โครงร่างที่จะไม่ถูกเผยแพร่ และผลงานที่เสร็จสิ้นจริงๆก็ต้องมีข้อมูลปกปิดบางส่วนถูกลบไปอยู่ดี เพราะฉะนั้น อยากเขียนอะไรก็จะเขียนไว้เลยก็แล้วกัน

 

   จากนี้ไป จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลน เด็กสาวผู้ที่มีโชคชะตายากที่จะอธิบาย

 

   เอ่อ? ต้องแนะนำตัวด้วยหรือเปล่า? ข้าพเจ้าคือข้าราชการคนหนึ่งที่รับใช้เฮลิฟาเต้ ได้รับคำสั่งโดยตรงจากกษัตริย์ให้จัดทำบันทึกประวัติศาสตร์ บอกเล่าถึงผลงานของเธอที่ฝากไว้ในเฮลิฟาเต้แห่งนี้ให้ผู้คนได้จดจำ ส่วนเรื่องของตัวข้าพเจ้าเองก็เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน

 

   ในตอนนี้…หรืออาจจะรวมถึงในอนาคต ก็ไม่มีใครที่ได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างกว้างขวางได้เท่าเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนอีกแล้ว ทั้งหนังสือ บทเพลง บทละคร เรื่องเล่า และสื่อพิมพ์ทั้งหลายที่พูดถึงเธอก็มีเพิ่มขึ้นทุกวัน

 

   ถึงอย่างนั้น เรื่องราวเหล่านั้นแทบทั้งหมดก็ถูกดัดแปลง แต่งเติม จนทำให้ความจริงถูกบิดเบือน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวที่อาศัยชื่อเสียงของเจ้าหญิงเซเลนเพื่อให้ได้รับความสนใจเท่านั้น ไม่มีคุณค่าในเนื้อหาเลย

 

  แต่ผลงานของข้าพเจ้าจะต่างออกไป เพราะได้รับมอบหมายจากกษัตริย์ให้จัดทำขึ้นมาอย่างเป็นทางการ ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลทุกอย่างที่ยังไม่เปิดเผยต่อคนทั่วไป พูดคุยกับทุกคนที่ใกล้ชิดกับเธอ เห็นด้วยตา ฟังด้วยหู เดินด้วยเท้า และใช้ความสามารถทั้งหมดของข้าพเจ้าเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลให้ถึงความจริง จึงกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่รู้จักเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนดีเท่าข้าพเจ้า

 

   ดังนั้น ท่านผู้อ่านเองก็มั่นใจได้เลยว่าเอกสารประวัติศาสตร์ฉบับนี้จะมีแต่ความจริงที่ไม่มีการแต่งเติมใดๆ

 

  ชาติกำเนิดของเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน ผู้คนจึงได้แต่สันนิษฐานว่าเธอมาจากอาร์คุยล่า ซึ่งก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

 

  ตัวตนของเธอจะถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรกในเอกสารฉบับนี้ ชื่อของเธอคือ เซเลน อาร์คุยล่า คำว่าเจ้าหญิงในชื่อเรียก เจ้าหญิงแสงจันทร์ ของเธอจึงไม่ได้เป็นเพียงฉายา แต่เธอเป็นเจ้าหญิงลำดับสองของประเทศอาร์คุยล่าจริงๆ

 

  เธอเติบโตมากับความยากลำบาก ถูกแม่ผู้ให้กำเนิดปฏิเสธ และถูกขังเอาไว้ในคุกที่มืดมิดตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก เพียงเพราะรูปลักษณ์ที่แตกต่างของเธอ

 

   ถึงอย่างนั้น เจ้าหญิงเซเลนก็ไม่ได้ได้ถูกทอดทิ้งโดยสิ้นเชิง เธอยังได้รับความห่วงใยจากพี่สาวของเธอ เจ้าหญิงลำดับหนึ่ง อาลัว อาร์คุยล่า ดังนั้นจิตใจของเธอจึงเติบโตและเข้มแข็งได้เทียบเท่ากับผู้ใหญ่

 

   ปัจจุบัน ข้อมูลข้างต้นนี้จะยังไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่สู่สาธารณะ ต้องรอให้ทางอาร์คุยล่าอนุญาตก่อน ซึ่งเฮลิฟาเต้ก็กดดันอย่างเต็มที่ด้วยเหตุผลที่ว่า จะไม่ยอมให้ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเธอต้องถูกลืมเลือน การเสียสละเพื่อเจ้าชายมิลานอันเป็นที่รักของเธอจะต้องถูกยกย่อง ความคืบหน้าในการขออนุญาตในตอนนี้… ก็เรียกได้ว่าดีแหละนะ

 

 วันที่เอกสารอย่างเป็นทางการเสร็จสมบูรณ์ จะเป็นวันที่ผู้คนในเฮลิฟาเต้จะได้รู้ถึงภูมิหลังของเจ้าหญิงเซเลนเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าแทบรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว

 

 แต่ก็จะทำให้ความไร้มนุษยธรรมของราชินีอาร์คุยล่าถูกเปิดเผยด้วยเหมือนกัน ทั้งๆที่เป็นผู้ให้กำเนิดบุคคลทางประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ เป็นแค่ราชินีของประเทศเล็กๆแท้ๆ ช่างอวดดีจริงๆ

…อืม ตัดส่วนนี้ออกดีกว่า

 

   ความสำเร็จของเจ้าหญิงเซเลนที่หลงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลังนั้นมีมากมาย ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการที่เธอทำให้เผ่าพันธุ์ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก เอลฟ์ ออกมาสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ ทำให้วัตถุดิบเวทมนตร์หลั่งไหลมาสู่ดินแดนของมนุษย์เป็นจำนวนมาก อุปกรณ์เวทมนตร์ที่เคยมีราคาแพงจนเป็นสินค้าสำหรับชนชั้นสูงจึงเริ่มแพร่หลายจนประชาชนทั่วไปจับต้องได้

 

  และสำหรับชาวเฮลิฟาเต้ เธอยังมีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เธอเสียสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้ององค์ชายศักดิ์สิทธิ์ มิลาน เฮลิฟาเต้

 

 ในช่วงปลายฤดูร้อน คืนสุดท้ายของข้างแรม คืนจันทร์ดับ เจ้าหญิงเซเลนได้รับรู้ถึงสัตว์ประหลาดแห่งคำสาป เวทมนตร์ชั้วร้ายที่ถูกใช้โดยหญิงชราที่เรียกตนเองว่าผู้สาปแช่ง เธอจึงได้ทำการยับยั้งและเอาชนะมันได้สำเร็จแต่ก็แลกมาด้วยชีวิตอันเยาว์วัยของเธอเอง

 

  ชื่อของสัตว์ประหลาดคือ แมลงดับแสงสุริยา ผู้สาปแช่งต้องการใช้มันเพื่อให้ทวีปนี้ตกอยู่ในความวุ่นวายเพื่อสงครามจะได้อุบัติขึ้นอีกครั้ง

 

  ข้อมูลเหล่านี้มาจากคำสารภาพของเจ้าหญิงเอนเต้ วัลเบิร์ต เหยื่อรายแรกของแมลงดับแสงสุริยา เป็นเหตุให้เธอนอนหมดสติอยู่หลายวันจนกระทั่งตื่นขึ้นมาในเวลาเดียวกับการตายของเจ้าหญิงเซเลน เธอได้สารภาพความผิดทั้งหมดกับพ่อแม่ของเธอทั้งน้ำตา

 

  ความเปลี่ยนแปลงของเจ้าหญิงเอาเต้หลังจากนั้น เรียกได้ว่าแปลกประหลาด คนรอบตัวรวมถึงพ่อแม่ของเธอต่างก็สับสน เมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็ได้แต่ร้องไห้ จิตใจของเธอเหมือนถูกย้อนไปเป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสา ไม่มีความเย่อหยิ่งหรือความเกลียดชัง

 

   ในตอนนี้ เจ้าหญิงเอนเต้ได้ถูกส่งตัวมาที่เฮลิฟาเต้ในฐานะนักโทษเพื่อตัดสินความผิด ซึ้งเป็นความต้องการของตัวเธอเอง เธอสารภาพว่า ก่อเหตุเพราะความหึงหวงที่เจ้าหญิงเซเลนใกล้ชิดกับเจ้าชายมิลานผู้เป็นที่รักของเธอ

 

   ถึงการกล่าวอ้างว่าเธอถูกหลอกใช้โดยหญิงชราผู้สาปแช่งจะใช้เป็นเหตุผลในการขอลดหย่อนโทษได้ แต่ความจริงก็ยังเป็นการที่เธอเจตนาก่ออาชญากรรมไม่เปลี่ยน ในตอนนี้ ผลการตัดสินโทษของเจ้าหญิงเอนเต้จะเป็นเช่นไรก็ไม่อาจทราบได้ คดีนี้จะสิ้นสุดภายในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

 

  ในเมื่อมีการกล่าวถึงเจ้าหญิงเอนเต้แล้ว ก็ขอสืบเนื่องไปยังเรื่องราวการตกต่ำของวัลเบิร์ตต่อไป เรื่องนี้ก็จะถูกเล่าขานเป็นประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน ความพิโรธของมังกรแดงผู้ยิ่งใหญ่ ทัณฑ์สวรรค์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ถูกส่งผ่านโดยเผ่าพันธุ์ผู้ปกคลองโลก จุดจบอันน่าเวทนาของผู้สาปแช่งซึ่งเป็นต้นตอของความชั่วร้าย

 

  วันถัดมาหลังจากความตายของเจ้าหญิงเซเลน มังกรสีแดงตัวใหญ่ได้บินมาอยู่เหนือพระราชวังเฮลิฟาเต้ เนื่องจากมังกรรู้ว่าเจ้าหญิงเซเลนกำลังถูกปองร้ายจากใครบางคน และทันทีที่มันเห็นร่างของเจ้าหญิงเซเลนกับมนุษย์ที่โศกเศร้ารายล้อมเธออยู่ มันส่งเสียงคำรามและขยับปีกอย่างแรง บินออกไปรวดเร็วจนเกิดเป็นพายุ

 

   ในอีกไม่กี่วันก็มีรายงานมาถึงเฮลิฟาเต้ เกี่ยวกับมังกรที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันกลางเมืองหลวงของประเทศวัลเบิร์ตและอาละวาดถล่มเมืองหลวงจนย่อยยับ แม้จะเคยมีเหตุการณ์มังกรสร้างความเสียหายในดินแดนของของมนุษย์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยมีกรณีที่มังกรโจมตีด้วยความเป็นศัตรูอย่างเปิดเผยเช่นนี้มาก่อน

 

   ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้เดินทางไปหาข้อมูลเพิ่มเติมที่วัลเบิร์ต สภาพที่เห็นในตอนนั้น ไม่มีคำใดอธิบายให้เข้าใจได้ดีไปกว่า สถานที่แห่งนี้ได้ถูกสวรรค์พิพากษาแล้ว

 

  เนื่องจากวัลเบิร์ตมีช่องว่างระหว่างชนชั้นอยู่มาก ผู้รับเคราะห์ส่วนใหญ่จึงเป็นขุนนางหรือเศรษฐีที่อยู่ในเมืองหลวง ประชาชนทั่วไปจึงค่อนข้างยินดี

…อืม เดี๋ยวตรงนี้ต้องลบออก 

 

   เวทมนตร์ของมังกรยิ่งใหญ่กว่าของมนุษย์อย่างเทียบไม่ติด จึงสามารถตรวจจับเศษเสี้ยวของพลังเวทย์ตกค้างจากแมลงดับแสงสุริยา และค้นหาตัวผู้สาปแช่งได้อย่างแม่นยำราวกับสุนัขดมกลิ่น

 

   มังกรสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่เพื่อแก้แค้นให้กับมนุษย์ที่ทำร้ายเจ้านายของมัน ซึ่งการที่เมืองหลวงของวัลเบิร์ตถูกทำลาย ควรเรียกว่าเพราะถูกลูกหลงจะถูกต้องกว่า เนื่องจากร่างกายอันใหญ่โตของมังกรที่ลงมาค้นหาและไล่ล่าผู้สาปแช่งด้วยพลังทำลายที่รุนแรงนั่นเอง

 

  ไม่ว่าผู้สาปแช่งจะเก่งกาจสักแค่ไหนก็ไม่มีความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้ามังกร ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ขณะที่เธอพยายามหนี พฤติกรรมของหญิงชราไม่ต่างกับคนเสียสติ หลายคนบอกว่า ในวาระสุดท้ายเธอร้องขอความช่วยเหลือแม้กระทั่งกับอีกาที่เธอเลี้ยงไว้

 

   แต่นกกาหรือจะเข้าใจภาษาคน มันบินหนีอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนผู้สาปแช่งก็ถูกมังกรกลืนกินเข้าไป ความทะเยอทะยานของหญิงชราจึงจบลงไปพร้อมกับชีวิตของเธอโดยไม่มีใครเห็นใจ

 

  กลับมาที่เรื่องของเจ้าหญิงเซเลนอีกครั้ง ในคืนนั้น เจ้าหญิงเซเลนไปที่ห้องของเจ้าชายมิลานและใช้ดาบเวทมนตร์แทงใส่สัตว์ประหลาดที่สิงอยู่ในร่างของเจ้าชายมิลาน นี่คือข้อเท็จจริงที่ได้รับการยืนยันจนแน่ชัดแล้ว

 

  เมื่อมีคนรักก็ย่อมมีคนเกลียด การกระทำอันสูงส่งของเจ้าหญิงเซเลนจึงถูกคนบางกลุ่มตีความในแง่ร้ายให้ศักดิ์ศรีของเธอต้องแปดเปื้อน

 

  ข่างลือที่เหยียบย่ำความตั้งใจของเธอที่สุดก็จะเป็น ‘เจ้าหญิงเซเลนตั้งใจสังหารเจ้าชายมิลานเนื่องจากความเกลียดชัง’

 

   ซึ่งหมายความว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหญิงเซเลนกับเจ้าชายมิลานนั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่ตาเห็น เจ้าหญิงเซเลนลงมือสังหารเจ้าชายมิลานที่เธอเกลียดชัง ซึ่งเป็นผลให้แมลงดับแสงสุริยาถูกแทงโดยบังเอิญ

 

 ในฐานะผู้จดบันทึกประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าจะตรวจสอบให้ถึงความจริง เพื่อรักษาเกียรติของเจ้าหญิงเซเลน และจะพิสูจน์ให้เห็นว่าข่าวลือที่ไร้มูลเหตุเช่นนี้ เป็นอะไรไม่ได้มากไปกว่าการใส่ร้าย ข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงข้อกังขาในเรื่องนั้น เพื่อให้เจ้าหญิงเซเลนผู้บริสุทธิ์ต้องไร้มลทิน

 

   อย่างแรก วันสุดท้ายของเจ้าหญิงเซเลนในอาร์คุยล่า เจ้าหญิงเซเลนได้ให้คำสัญญากับเจ้าหญิงอาลัวผู้เป็นพี่สาวว่า ‘จะปกป้อง’ และเจ้าหญิงเซเลนก็ได้ปกป้องผู้ที่ช่วยเธออกจากการคุมขัง เจ้าชายมิลาน เสมอมา ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้จนวาระสุดท้าย

 

   ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่เธอจะแทงมีดลงไปบนร่างของเจ้าชายมิลาน เจ้าหญิงเซเลนได้พูดว่า ‘ลาก่อน’ ซึ่งเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย หรือประกาศว่าเธอได้เตรียมใจยอมรับความตายของเธอแล้ว

 

   จากเรื่องนี้ ทำให้ผู้คนที่ดูหมิ่นเธอตีความคำว่า ‘ลาก่อน’ ที่เธอพูดนั้น หมายถึงการบอกลาชีวิตของเจ้าชายมิลานเอง ดังนั้น ข้าพเจ้าจะแสดงหลังฐานอีกอย่างเพื่อโต้แย้งความคิดนั้น

 

   ซึ่งก็คือ แหวนที่เธอได้รับจากเจ้าหญิงมารีเบลถูกคลายออก

 

  เครื่องรางที่นิยมในหมู่เด็กสาว ‘แลกเปลี่ยนเส้นผมกับอีกฝ่าย พกติดตัวเป็นเครื่องประดับ สัญลักษณ์ของมิตรภาพอันเป็นนิรันดร์’ เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันจากมาจากรุ่นสู่รุ่น

 

  เจ้าหญิงเซเลนได้แลกเปลี่ยนเครื่องรางนี้กับเจ้าหญิงมารีเบลด้วยเช่นกัน ในคืนที่เจ้าหญิงเซเลนสิ้นชีพ เธอได้คลายแหวนออกเป็นกระจุกผมแล้ววางไว้ใต้หมอน แน่นอนว่าเครื่องรางระหว่าผู้หญิงนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าชายมิลานเลย

 

   ในเมื่อไม่ใช่การกระทำที่เป็นการส่งข้อความถึงเจ้าชายมิลาน แล้วจะมีใครได้อีก ซึ้งคำตอบก็คือเจ้าหญิงมารีเบลนั่นเอง

 

   มิตรภาพอันเป็นนิรันดร์คือสิ่งที่สวยงาม แต่ในอีกความหมาย หากมีคนใดคนหนึ่งตายจากไป คนที่เหลือก็จะถูกผูกติดอยู่กับความเศร้าโศกไปตลอดกาลเช่นกัน เจ้าหญิงเซเลนที่พร้อมยอมสละชีวิตแต่ก็ยังคิดถึงเจ้าหญิงมารีเบล เพื่อนสนิทที่เปรียบเสมือนพี่สาวอีกคนของเธอ จึงได้คลายแหวนที่ทำจากเส้นผม ส่งคืนคำสัญญาแห่งมิตรภาพ มีความหมายว่าขอให้ลืมเธอเสีย

 

   ทุกการกระทำของเจ้าหญิงเซเลนล้วนทำเพื่อประโยชน์และความสุขของผู้อื่นทั้งตอนที่ยังมีชีวิตและตอนที่จากไปแล้ว เป็นสิ่งที่สูงส่งและสง่างามยิ่งนัก ผู้ที่หลงเชื่อข่าวลวงที่ลดคุณค่าของเธอ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน

 

  เจ้าหญิงเซเลนผู้ที่นำพาเฮลิฟาเต้…หรือทั้งทวีป ไปสู่ยุคแห่งความรุ่งเรือง ร่างของเธอได้พักผ่อนอย่างสงบในโลงศพ บรรจุไว้ในสุสานนักบุญเซเลน ที่กำลังก่อสร้างอยู่ที่ทุ่งดอกลิลลี่ สถานที่ที่เธอชื่นชอบมากที่สุด

 

   นอกจากนั้น ยังเป็นที่ที่เจ้าหญิงเซเลนได้พบกับเอลฟ์เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังอยู่กึ่งกลางระหว่างดินแดนของเอลฟ์กับดินแดนของมนุษย์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเดินทางมาเยี่ยมชมได้อย่างง่ายดาย เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพระหว่างสองเผ่าพันธุ์

 

   ตัวสุสานในปัจจุบันยังสร้างได้เพียงเค้าโครงเท่านั้น แต่ก็เห็นได้ชัดแล้วว่ามันจะเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามอย่างมาก ที่แห่งนี้เองก็อาจจะถูกจดจำไว้ในฐานะสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ แม้ว่ายังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ แต่เจ้าชายมิลานมีรับสั่งให้เคลื่อนย้ายโลงศพไปยังสุสานแห่งนั้นก่อนฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงนี้ เนื่องจากเป็นสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ เพื่อให้เจ้าหญิงเซเลนได้รับชมดอกไม้ที่บานสะพรั่งก่อนใคร

 

   น่าแปลกที่ศพของเจ้าหญิงเซเลนไม่เกิดการเปลี่ยนสภาพเลย แม้จะเสียชีวิตมานานแล้วแต่ก็ไม่แห้ง ไม่เน่าเปื่อย ดูไม่ต่างจากการนอนหลับและพร้อมจะตื่นได้ทุกเมื่อ บทเพลงของกวีที่เปรียบเจ้าหญิงเซเลนเป็นดั่งเทพธิดาหรือทูตสวรรค์อาจไม่ใช่เรื่องเกินจริงก็เป็นได้

 

   แม้สุสานยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและยังเป็นฤดูหนาว แต่ก็มีผู้คนเดินทางมาไว้ลาลัยอยู่ไม่ขาด หนึ่งในผู้มาเยือนที่ทำให้ผู้คนแตกตื่นกันมากที่สุดคือมังกรแดง มังกรจะมานั่งหมอบเหมือนสุนัขรอคำสั่งอยู่หน้าโลงศพของเจ้าหญิงเซเลนนานนับชั่วโมงก่อนจะบินหายลับไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันในช่วงนี้ 

 

   แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่หลายคนเชื่อว่าเธอสามารถสั่งการมังกรได้ และอันที่จริง เจ้าหญิงเซเลนยังมีตำแหน่งเป็นนักบวชมังกรในดินแดนของเอลฟ์อีกด้วย

 

  …อีกเรื่องที่ยังเป็นปริศนา สัตว์เลี้ยงของเธอ หนูตัวนั้นที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ในโลกศพด้วยหรือเปล่า หนูที่มีขนตามตัวสีดำ ท้องสีขาว ผูกริบบินสีแดงไว้ที่คอ ดูเหมือนเครื่องแบบพ่อบ้าน ว่ากันว่าเป็นหนูที่ฉลาดกว่าปรกติเช่นเดียวกับเจ้านายของมัน

 

 แม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไปแล้ว มันก็ยังวนเวียนอยู่ใกล้กับร่างของเธอไม่เคยห่างแม้เพียงวินาที ถึงจะเคยมีเรื่องเล่าของ ‘สุนัขผู้ซื่อสัตย์’ แต่ก็ยังไม่เคยมี ‘หนูผู้ซื่อสัตย์’ มาก่อน บางทีมันอาจจะยังคอยดูแลรับใช้เจ้าหญิงเซเลนที่กำลังหลับใหลอย่างใกล้ชิดราวกับเป็นเงาของเธอ

 

 การเสียชีวิตของเจ้าหญิงเซเลนเกิดขึ้นรวดเร็วกะทันหัน ทำให้ผู้คนทั่วเฮลิฟาเต้ รวมถึงเอลฟ์ ตกอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ จากเฮลิฟาเต้ที่ถูกเรียกว่า ดินแดนแห่งพร ได้กลายมาเป็น ดินแดนไว้ทุกข์ อย่างรวดเร็ว

 

   อย่างไรก็ตาม ต่อให้เศร้าโศกเพียงใดก็ไม่ทำให้เจ้าหญิงเซเลนฟื้นคืน ถึงตอนนี้จะเป็นฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ แต่สักวันฤดูกาลก็จะผลัดเปลี่ยน ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นก็จะมาถึง

 

  ดั่งดาวตกที่ส่องแสงให้ผู้คนได้อธิษฐาน และมอดดับไปในช่วงเวลาสั้นๆ ชีวิตของเจ้าหญิงเซเลนก็เป็นประกายเจิดจ้าเช่นนั้น

 

   เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องรักษาสิ่งที่เธอสร้างไว้ อนาคตอันสดใสของผู้คน ความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ระหว่ามนุษย์และเอลฟ์จะคงอยู่ตลอดไป แม้ว่าเธอได้หวนคืนสู่ดวงจันทร์อันไกลโพ้นไปแล้ว

แด่เจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน อาร์คุยล่า…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 45: เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 45: เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 45

เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์

 

 

  คำขึ้นต้นเอาเป็นอะไรดี… กลางฤดูหนาวแบบนี้ มือก็เย็น สมองก็ไม่ค่อยโลดแล่น จะให้มาเขียนอะไรในเวลานี้มันยากจริงๆ

 

  นี่ไม่ใช่แม้แต่ต้นฉบับ เป็นแค่โครงร่างที่จะไม่ถูกเผยแพร่ และผลงานที่เสร็จสิ้นจริงๆก็ต้องมีข้อมูลปกปิดบางส่วนถูกลบไปอยู่ดี เพราะฉะนั้น อยากเขียนอะไรก็จะเขียนไว้เลยก็แล้วกัน

 

   จากนี้ไป จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลน เด็กสาวผู้ที่มีโชคชะตายากที่จะอธิบาย

 

   เอ่อ? ต้องแนะนำตัวด้วยหรือเปล่า? ข้าพเจ้าคือข้าราชการคนหนึ่งที่รับใช้เฮลิฟาเต้ ได้รับคำสั่งโดยตรงจากกษัตริย์ให้จัดทำบันทึกประวัติศาสตร์ บอกเล่าถึงผลงานของเธอที่ฝากไว้ในเฮลิฟาเต้แห่งนี้ให้ผู้คนได้จดจำ ส่วนเรื่องของตัวข้าพเจ้าเองก็เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน

 

   ในตอนนี้…หรืออาจจะรวมถึงในอนาคต ก็ไม่มีใครที่ได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างกว้างขวางได้เท่าเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนอีกแล้ว ทั้งหนังสือ บทเพลง บทละคร เรื่องเล่า และสื่อพิมพ์ทั้งหลายที่พูดถึงเธอก็มีเพิ่มขึ้นทุกวัน

 

   ถึงอย่างนั้น เรื่องราวเหล่านั้นแทบทั้งหมดก็ถูกดัดแปลง แต่งเติม จนทำให้ความจริงถูกบิดเบือน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวที่อาศัยชื่อเสียงของเจ้าหญิงเซเลนเพื่อให้ได้รับความสนใจเท่านั้น ไม่มีคุณค่าในเนื้อหาเลย

 

  แต่ผลงานของข้าพเจ้าจะต่างออกไป เพราะได้รับมอบหมายจากกษัตริย์ให้จัดทำขึ้นมาอย่างเป็นทางการ ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลทุกอย่างที่ยังไม่เปิดเผยต่อคนทั่วไป พูดคุยกับทุกคนที่ใกล้ชิดกับเธอ เห็นด้วยตา ฟังด้วยหู เดินด้วยเท้า และใช้ความสามารถทั้งหมดของข้าพเจ้าเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลให้ถึงความจริง จึงกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่รู้จักเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนดีเท่าข้าพเจ้า

 

   ดังนั้น ท่านผู้อ่านเองก็มั่นใจได้เลยว่าเอกสารประวัติศาสตร์ฉบับนี้จะมีแต่ความจริงที่ไม่มีการแต่งเติมใดๆ

 

  ชาติกำเนิดของเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน ผู้คนจึงได้แต่สันนิษฐานว่าเธอมาจากอาร์คุยล่า ซึ่งก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

 

  ตัวตนของเธอจะถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรกในเอกสารฉบับนี้ ชื่อของเธอคือ เซเลน อาร์คุยล่า คำว่าเจ้าหญิงในชื่อเรียก เจ้าหญิงแสงจันทร์ ของเธอจึงไม่ได้เป็นเพียงฉายา แต่เธอเป็นเจ้าหญิงลำดับสองของประเทศอาร์คุยล่าจริงๆ

 

  เธอเติบโตมากับความยากลำบาก ถูกแม่ผู้ให้กำเนิดปฏิเสธ และถูกขังเอาไว้ในคุกที่มืดมิดตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก เพียงเพราะรูปลักษณ์ที่แตกต่างของเธอ

 

   ถึงอย่างนั้น เจ้าหญิงเซเลนก็ไม่ได้ได้ถูกทอดทิ้งโดยสิ้นเชิง เธอยังได้รับความห่วงใยจากพี่สาวของเธอ เจ้าหญิงลำดับหนึ่ง อาลัว อาร์คุยล่า ดังนั้นจิตใจของเธอจึงเติบโตและเข้มแข็งได้เทียบเท่ากับผู้ใหญ่

 

   ปัจจุบัน ข้อมูลข้างต้นนี้จะยังไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่สู่สาธารณะ ต้องรอให้ทางอาร์คุยล่าอนุญาตก่อน ซึ่งเฮลิฟาเต้ก็กดดันอย่างเต็มที่ด้วยเหตุผลที่ว่า จะไม่ยอมให้ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเธอต้องถูกลืมเลือน การเสียสละเพื่อเจ้าชายมิลานอันเป็นที่รักของเธอจะต้องถูกยกย่อง ความคืบหน้าในการขออนุญาตในตอนนี้… ก็เรียกได้ว่าดีแหละนะ

 

 วันที่เอกสารอย่างเป็นทางการเสร็จสมบูรณ์ จะเป็นวันที่ผู้คนในเฮลิฟาเต้จะได้รู้ถึงภูมิหลังของเจ้าหญิงเซเลนเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าแทบรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว

 

 แต่ก็จะทำให้ความไร้มนุษยธรรมของราชินีอาร์คุยล่าถูกเปิดเผยด้วยเหมือนกัน ทั้งๆที่เป็นผู้ให้กำเนิดบุคคลทางประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ เป็นแค่ราชินีของประเทศเล็กๆแท้ๆ ช่างอวดดีจริงๆ

…อืม ตัดส่วนนี้ออกดีกว่า

 

   ความสำเร็จของเจ้าหญิงเซเลนที่หลงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลังนั้นมีมากมาย ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการที่เธอทำให้เผ่าพันธุ์ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก เอลฟ์ ออกมาสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ ทำให้วัตถุดิบเวทมนตร์หลั่งไหลมาสู่ดินแดนของมนุษย์เป็นจำนวนมาก อุปกรณ์เวทมนตร์ที่เคยมีราคาแพงจนเป็นสินค้าสำหรับชนชั้นสูงจึงเริ่มแพร่หลายจนประชาชนทั่วไปจับต้องได้

 

  และสำหรับชาวเฮลิฟาเต้ เธอยังมีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เธอเสียสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้ององค์ชายศักดิ์สิทธิ์ มิลาน เฮลิฟาเต้

 

 ในช่วงปลายฤดูร้อน คืนสุดท้ายของข้างแรม คืนจันทร์ดับ เจ้าหญิงเซเลนได้รับรู้ถึงสัตว์ประหลาดแห่งคำสาป เวทมนตร์ชั้วร้ายที่ถูกใช้โดยหญิงชราที่เรียกตนเองว่าผู้สาปแช่ง เธอจึงได้ทำการยับยั้งและเอาชนะมันได้สำเร็จแต่ก็แลกมาด้วยชีวิตอันเยาว์วัยของเธอเอง

 

  ชื่อของสัตว์ประหลาดคือ แมลงดับแสงสุริยา ผู้สาปแช่งต้องการใช้มันเพื่อให้ทวีปนี้ตกอยู่ในความวุ่นวายเพื่อสงครามจะได้อุบัติขึ้นอีกครั้ง

 

  ข้อมูลเหล่านี้มาจากคำสารภาพของเจ้าหญิงเอนเต้ วัลเบิร์ต เหยื่อรายแรกของแมลงดับแสงสุริยา เป็นเหตุให้เธอนอนหมดสติอยู่หลายวันจนกระทั่งตื่นขึ้นมาในเวลาเดียวกับการตายของเจ้าหญิงเซเลน เธอได้สารภาพความผิดทั้งหมดกับพ่อแม่ของเธอทั้งน้ำตา

 

  ความเปลี่ยนแปลงของเจ้าหญิงเอาเต้หลังจากนั้น เรียกได้ว่าแปลกประหลาด คนรอบตัวรวมถึงพ่อแม่ของเธอต่างก็สับสน เมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็ได้แต่ร้องไห้ จิตใจของเธอเหมือนถูกย้อนไปเป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสา ไม่มีความเย่อหยิ่งหรือความเกลียดชัง

 

   ในตอนนี้ เจ้าหญิงเอนเต้ได้ถูกส่งตัวมาที่เฮลิฟาเต้ในฐานะนักโทษเพื่อตัดสินความผิด ซึ้งเป็นความต้องการของตัวเธอเอง เธอสารภาพว่า ก่อเหตุเพราะความหึงหวงที่เจ้าหญิงเซเลนใกล้ชิดกับเจ้าชายมิลานผู้เป็นที่รักของเธอ

 

   ถึงการกล่าวอ้างว่าเธอถูกหลอกใช้โดยหญิงชราผู้สาปแช่งจะใช้เป็นเหตุผลในการขอลดหย่อนโทษได้ แต่ความจริงก็ยังเป็นการที่เธอเจตนาก่ออาชญากรรมไม่เปลี่ยน ในตอนนี้ ผลการตัดสินโทษของเจ้าหญิงเอนเต้จะเป็นเช่นไรก็ไม่อาจทราบได้ คดีนี้จะสิ้นสุดภายในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

 

  ในเมื่อมีการกล่าวถึงเจ้าหญิงเอนเต้แล้ว ก็ขอสืบเนื่องไปยังเรื่องราวการตกต่ำของวัลเบิร์ตต่อไป เรื่องนี้ก็จะถูกเล่าขานเป็นประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน ความพิโรธของมังกรแดงผู้ยิ่งใหญ่ ทัณฑ์สวรรค์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ถูกส่งผ่านโดยเผ่าพันธุ์ผู้ปกคลองโลก จุดจบอันน่าเวทนาของผู้สาปแช่งซึ่งเป็นต้นตอของความชั่วร้าย

 

  วันถัดมาหลังจากความตายของเจ้าหญิงเซเลน มังกรสีแดงตัวใหญ่ได้บินมาอยู่เหนือพระราชวังเฮลิฟาเต้ เนื่องจากมังกรรู้ว่าเจ้าหญิงเซเลนกำลังถูกปองร้ายจากใครบางคน และทันทีที่มันเห็นร่างของเจ้าหญิงเซเลนกับมนุษย์ที่โศกเศร้ารายล้อมเธออยู่ มันส่งเสียงคำรามและขยับปีกอย่างแรง บินออกไปรวดเร็วจนเกิดเป็นพายุ

 

   ในอีกไม่กี่วันก็มีรายงานมาถึงเฮลิฟาเต้ เกี่ยวกับมังกรที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันกลางเมืองหลวงของประเทศวัลเบิร์ตและอาละวาดถล่มเมืองหลวงจนย่อยยับ แม้จะเคยมีเหตุการณ์มังกรสร้างความเสียหายในดินแดนของของมนุษย์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยมีกรณีที่มังกรโจมตีด้วยความเป็นศัตรูอย่างเปิดเผยเช่นนี้มาก่อน

 

   ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้เดินทางไปหาข้อมูลเพิ่มเติมที่วัลเบิร์ต สภาพที่เห็นในตอนนั้น ไม่มีคำใดอธิบายให้เข้าใจได้ดีไปกว่า สถานที่แห่งนี้ได้ถูกสวรรค์พิพากษาแล้ว

 

  เนื่องจากวัลเบิร์ตมีช่องว่างระหว่างชนชั้นอยู่มาก ผู้รับเคราะห์ส่วนใหญ่จึงเป็นขุนนางหรือเศรษฐีที่อยู่ในเมืองหลวง ประชาชนทั่วไปจึงค่อนข้างยินดี

…อืม เดี๋ยวตรงนี้ต้องลบออก 

 

   เวทมนตร์ของมังกรยิ่งใหญ่กว่าของมนุษย์อย่างเทียบไม่ติด จึงสามารถตรวจจับเศษเสี้ยวของพลังเวทย์ตกค้างจากแมลงดับแสงสุริยา และค้นหาตัวผู้สาปแช่งได้อย่างแม่นยำราวกับสุนัขดมกลิ่น

 

   มังกรสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่เพื่อแก้แค้นให้กับมนุษย์ที่ทำร้ายเจ้านายของมัน ซึ่งการที่เมืองหลวงของวัลเบิร์ตถูกทำลาย ควรเรียกว่าเพราะถูกลูกหลงจะถูกต้องกว่า เนื่องจากร่างกายอันใหญ่โตของมังกรที่ลงมาค้นหาและไล่ล่าผู้สาปแช่งด้วยพลังทำลายที่รุนแรงนั่นเอง

 

  ไม่ว่าผู้สาปแช่งจะเก่งกาจสักแค่ไหนก็ไม่มีความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้ามังกร ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ขณะที่เธอพยายามหนี พฤติกรรมของหญิงชราไม่ต่างกับคนเสียสติ หลายคนบอกว่า ในวาระสุดท้ายเธอร้องขอความช่วยเหลือแม้กระทั่งกับอีกาที่เธอเลี้ยงไว้

 

   แต่นกกาหรือจะเข้าใจภาษาคน มันบินหนีอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนผู้สาปแช่งก็ถูกมังกรกลืนกินเข้าไป ความทะเยอทะยานของหญิงชราจึงจบลงไปพร้อมกับชีวิตของเธอโดยไม่มีใครเห็นใจ

 

  กลับมาที่เรื่องของเจ้าหญิงเซเลนอีกครั้ง ในคืนนั้น เจ้าหญิงเซเลนไปที่ห้องของเจ้าชายมิลานและใช้ดาบเวทมนตร์แทงใส่สัตว์ประหลาดที่สิงอยู่ในร่างของเจ้าชายมิลาน นี่คือข้อเท็จจริงที่ได้รับการยืนยันจนแน่ชัดแล้ว

 

  เมื่อมีคนรักก็ย่อมมีคนเกลียด การกระทำอันสูงส่งของเจ้าหญิงเซเลนจึงถูกคนบางกลุ่มตีความในแง่ร้ายให้ศักดิ์ศรีของเธอต้องแปดเปื้อน

 

  ข่างลือที่เหยียบย่ำความตั้งใจของเธอที่สุดก็จะเป็น ‘เจ้าหญิงเซเลนตั้งใจสังหารเจ้าชายมิลานเนื่องจากความเกลียดชัง’

 

   ซึ่งหมายความว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหญิงเซเลนกับเจ้าชายมิลานนั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่ตาเห็น เจ้าหญิงเซเลนลงมือสังหารเจ้าชายมิลานที่เธอเกลียดชัง ซึ่งเป็นผลให้แมลงดับแสงสุริยาถูกแทงโดยบังเอิญ

 

 ในฐานะผู้จดบันทึกประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าจะตรวจสอบให้ถึงความจริง เพื่อรักษาเกียรติของเจ้าหญิงเซเลน และจะพิสูจน์ให้เห็นว่าข่าวลือที่ไร้มูลเหตุเช่นนี้ เป็นอะไรไม่ได้มากไปกว่าการใส่ร้าย ข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงข้อกังขาในเรื่องนั้น เพื่อให้เจ้าหญิงเซเลนผู้บริสุทธิ์ต้องไร้มลทิน

 

   อย่างแรก วันสุดท้ายของเจ้าหญิงเซเลนในอาร์คุยล่า เจ้าหญิงเซเลนได้ให้คำสัญญากับเจ้าหญิงอาลัวผู้เป็นพี่สาวว่า ‘จะปกป้อง’ และเจ้าหญิงเซเลนก็ได้ปกป้องผู้ที่ช่วยเธออกจากการคุมขัง เจ้าชายมิลาน เสมอมา ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้จนวาระสุดท้าย

 

   ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่เธอจะแทงมีดลงไปบนร่างของเจ้าชายมิลาน เจ้าหญิงเซเลนได้พูดว่า ‘ลาก่อน’ ซึ่งเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย หรือประกาศว่าเธอได้เตรียมใจยอมรับความตายของเธอแล้ว

 

   จากเรื่องนี้ ทำให้ผู้คนที่ดูหมิ่นเธอตีความคำว่า ‘ลาก่อน’ ที่เธอพูดนั้น หมายถึงการบอกลาชีวิตของเจ้าชายมิลานเอง ดังนั้น ข้าพเจ้าจะแสดงหลังฐานอีกอย่างเพื่อโต้แย้งความคิดนั้น

 

   ซึ่งก็คือ แหวนที่เธอได้รับจากเจ้าหญิงมารีเบลถูกคลายออก

 

  เครื่องรางที่นิยมในหมู่เด็กสาว ‘แลกเปลี่ยนเส้นผมกับอีกฝ่าย พกติดตัวเป็นเครื่องประดับ สัญลักษณ์ของมิตรภาพอันเป็นนิรันดร์’ เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันจากมาจากรุ่นสู่รุ่น

 

  เจ้าหญิงเซเลนได้แลกเปลี่ยนเครื่องรางนี้กับเจ้าหญิงมารีเบลด้วยเช่นกัน ในคืนที่เจ้าหญิงเซเลนสิ้นชีพ เธอได้คลายแหวนออกเป็นกระจุกผมแล้ววางไว้ใต้หมอน แน่นอนว่าเครื่องรางระหว่าผู้หญิงนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าชายมิลานเลย

 

   ในเมื่อไม่ใช่การกระทำที่เป็นการส่งข้อความถึงเจ้าชายมิลาน แล้วจะมีใครได้อีก ซึ้งคำตอบก็คือเจ้าหญิงมารีเบลนั่นเอง

 

   มิตรภาพอันเป็นนิรันดร์คือสิ่งที่สวยงาม แต่ในอีกความหมาย หากมีคนใดคนหนึ่งตายจากไป คนที่เหลือก็จะถูกผูกติดอยู่กับความเศร้าโศกไปตลอดกาลเช่นกัน เจ้าหญิงเซเลนที่พร้อมยอมสละชีวิตแต่ก็ยังคิดถึงเจ้าหญิงมารีเบล เพื่อนสนิทที่เปรียบเสมือนพี่สาวอีกคนของเธอ จึงได้คลายแหวนที่ทำจากเส้นผม ส่งคืนคำสัญญาแห่งมิตรภาพ มีความหมายว่าขอให้ลืมเธอเสีย

 

   ทุกการกระทำของเจ้าหญิงเซเลนล้วนทำเพื่อประโยชน์และความสุขของผู้อื่นทั้งตอนที่ยังมีชีวิตและตอนที่จากไปแล้ว เป็นสิ่งที่สูงส่งและสง่างามยิ่งนัก ผู้ที่หลงเชื่อข่าวลวงที่ลดคุณค่าของเธอ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน

 

  เจ้าหญิงเซเลนผู้ที่นำพาเฮลิฟาเต้…หรือทั้งทวีป ไปสู่ยุคแห่งความรุ่งเรือง ร่างของเธอได้พักผ่อนอย่างสงบในโลงศพ บรรจุไว้ในสุสานนักบุญเซเลน ที่กำลังก่อสร้างอยู่ที่ทุ่งดอกลิลลี่ สถานที่ที่เธอชื่นชอบมากที่สุด

 

   นอกจากนั้น ยังเป็นที่ที่เจ้าหญิงเซเลนได้พบกับเอลฟ์เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังอยู่กึ่งกลางระหว่างดินแดนของเอลฟ์กับดินแดนของมนุษย์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเดินทางมาเยี่ยมชมได้อย่างง่ายดาย เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพระหว่างสองเผ่าพันธุ์

 

   ตัวสุสานในปัจจุบันยังสร้างได้เพียงเค้าโครงเท่านั้น แต่ก็เห็นได้ชัดแล้วว่ามันจะเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามอย่างมาก ที่แห่งนี้เองก็อาจจะถูกจดจำไว้ในฐานะสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ แม้ว่ายังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ แต่เจ้าชายมิลานมีรับสั่งให้เคลื่อนย้ายโลงศพไปยังสุสานแห่งนั้นก่อนฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงนี้ เนื่องจากเป็นสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ เพื่อให้เจ้าหญิงเซเลนได้รับชมดอกไม้ที่บานสะพรั่งก่อนใคร

 

   น่าแปลกที่ศพของเจ้าหญิงเซเลนไม่เกิดการเปลี่ยนสภาพเลย แม้จะเสียชีวิตมานานแล้วแต่ก็ไม่แห้ง ไม่เน่าเปื่อย ดูไม่ต่างจากการนอนหลับและพร้อมจะตื่นได้ทุกเมื่อ บทเพลงของกวีที่เปรียบเจ้าหญิงเซเลนเป็นดั่งเทพธิดาหรือทูตสวรรค์อาจไม่ใช่เรื่องเกินจริงก็เป็นได้

 

   แม้สุสานยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและยังเป็นฤดูหนาว แต่ก็มีผู้คนเดินทางมาไว้ลาลัยอยู่ไม่ขาด หนึ่งในผู้มาเยือนที่ทำให้ผู้คนแตกตื่นกันมากที่สุดคือมังกรแดง มังกรจะมานั่งหมอบเหมือนสุนัขรอคำสั่งอยู่หน้าโลงศพของเจ้าหญิงเซเลนนานนับชั่วโมงก่อนจะบินหายลับไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันในช่วงนี้ 

 

   แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่หลายคนเชื่อว่าเธอสามารถสั่งการมังกรได้ และอันที่จริง เจ้าหญิงเซเลนยังมีตำแหน่งเป็นนักบวชมังกรในดินแดนของเอลฟ์อีกด้วย

 

  …อีกเรื่องที่ยังเป็นปริศนา สัตว์เลี้ยงของเธอ หนูตัวนั้นที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ในโลกศพด้วยหรือเปล่า หนูที่มีขนตามตัวสีดำ ท้องสีขาว ผูกริบบินสีแดงไว้ที่คอ ดูเหมือนเครื่องแบบพ่อบ้าน ว่ากันว่าเป็นหนูที่ฉลาดกว่าปรกติเช่นเดียวกับเจ้านายของมัน

 

 แม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไปแล้ว มันก็ยังวนเวียนอยู่ใกล้กับร่างของเธอไม่เคยห่างแม้เพียงวินาที ถึงจะเคยมีเรื่องเล่าของ ‘สุนัขผู้ซื่อสัตย์’ แต่ก็ยังไม่เคยมี ‘หนูผู้ซื่อสัตย์’ มาก่อน บางทีมันอาจจะยังคอยดูแลรับใช้เจ้าหญิงเซเลนที่กำลังหลับใหลอย่างใกล้ชิดราวกับเป็นเงาของเธอ

 

 การเสียชีวิตของเจ้าหญิงเซเลนเกิดขึ้นรวดเร็วกะทันหัน ทำให้ผู้คนทั่วเฮลิฟาเต้ รวมถึงเอลฟ์ ตกอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ จากเฮลิฟาเต้ที่ถูกเรียกว่า ดินแดนแห่งพร ได้กลายมาเป็น ดินแดนไว้ทุกข์ อย่างรวดเร็ว

 

   อย่างไรก็ตาม ต่อให้เศร้าโศกเพียงใดก็ไม่ทำให้เจ้าหญิงเซเลนฟื้นคืน ถึงตอนนี้จะเป็นฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ แต่สักวันฤดูกาลก็จะผลัดเปลี่ยน ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นก็จะมาถึง

 

  ดั่งดาวตกที่ส่องแสงให้ผู้คนได้อธิษฐาน และมอดดับไปในช่วงเวลาสั้นๆ ชีวิตของเจ้าหญิงเซเลนก็เป็นประกายเจิดจ้าเช่นนั้น

 

   เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องรักษาสิ่งที่เธอสร้างไว้ อนาคตอันสดใสของผู้คน ความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ระหว่ามนุษย์และเอลฟ์จะคงอยู่ตลอดไป แม้ว่าเธอได้หวนคืนสู่ดวงจันทร์อันไกลโพ้นไปแล้ว

แด่เจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน อาร์คุยล่า…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+