[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 46: รุ่งอรุณ [(SS1) END]

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 46: รุ่งอรุณ [(SS1) END] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 46

รุ่งอรุณ [(SS1) END]

 

 

“เจ้าชาย ฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ”

“ครับ คงต้องลากันแค่นี้ครับ”

 

   ดวงอาทิตย์ยังขึ้นไม่พ้นขอบฟ้าแต่มิลานได้มาอยู่ที่ท่าเรือแล้ว และไม่ได้มีเพียงมิลานเท่านั้น ยังมีคุมะฮาจิกับทหารอีกหลายคนล้อมรอบเอนเต้ซึ่งเป็นนักโทษเอาไว้ และไกลออกไปก็ยังมีอาลัวซึ่งเป็นครอบครัวของผู้ตายคอยดูอยู่ห่างๆ

 

  ผ่านมาได้ครึ่งปีจากวันที่เซเลนเสียชีวิต ในที่สุดก็ถึงฤดูใบไม้ผลิ เมื่อคดีความสิ้นสุด เอนเต้ที่ถูกคุมขังอยู่ที่เฮลิฟาเต้มาตลอดก็ถึงเวลาที่ต้องได้รับโทษ คำตัดสินคือ เนรเทศไปยังดินแดนอันห่างไกลนอกทวีป

 

  สถานที่ที่เป็นตัวเลือกมีอยู่มากมาย และเอนแต้ก็ได้ถูกเลือกให้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะเล็กๆด้อยพัฒนาแห่งหนึ่งในประเทศบ้านเกิดของคุมะฮาจิเป็นเวลาหลายปีจนกว่าจะพ้นโทษ คุมะฮาจิจะมีหน้าที่ความคุมความประพฤติอย่างใกล้ชิด และวันนี้คือวันแรกที่เอนเต้จะได้ชดใช้ความผิด

 

“เอาล่ะ เจ้าหญิงเอนเต้ ได้เวลาออกเดินทางแล้วขอรับ”

“ค่ะ…”

 

   เอนเต้ยอมรับคำสั่งแต่โดยดี ไม่แสดงอาการต่อต้านเอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อน ดูสงบเสงี่ยมมากขึ้น สิ่งเดียวที่รู้สึกคือความผิดบาปในใจที่ต้องการชดใช้เท่านั้น

 

  เมื่อเทียบกันแล้ว คำตัดสินโทษของเธอนั้นดูเบาบางเกินไปสำหรับการลอบสังหารบุคคลสำคัญของทวีป นักบุญเซเลน อาร์คุยล่า ผู้เสียสละเพื่อประชาชน มีคนจำนวนมากออกมาเรียกร้องโทษประหารให้กับจำเลย แต่ผู้ที่คัดค้านก็คือเจ้าชายมิลานซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียหายโดยตรง

 

  ถึงจะไม่มีข้อโต้แย้งเรื่องที่เจ้าหญิงเอนเต้เจตนาสังหารเซเลน แต่เธอก็ถูกหลอกใช้เป็นแค่เครื่องมือของผู้สาปแช่งที่มีเป้าหมายเลวร้ายกว่านี้ โดยจะทำให้ทั้งทวีปจมดิ่งสู่ความสิ้นหวัง และคนร้ายผู้นั้นก็ได้ถูกมังกรตัดสินโทษไปก่อนที่มนุษย์จะทำการสอบสวนแล้ว

 

   ยิ่งไปกว่านั้น มิลานยังบอกอีกว่า การที่เจ้าหญิงเอนเต้หึงหวงถึงขั้นต้องการสังหารเซเลน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเขาเอง ทีปล่อยให้เรื่องระหว่างตัวเขากับเจ้าหญิงเอนเต้ค้างคา ไม่ปฏิเสธให้ชัดเจน เพราะมัวแต่เป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนกลายมาเป็นเรื่องยุ่งยากเช่นนี้

 

“เจ้าชายมิลาน ขอบคุณในความเมตตา ระหว่างที่รับโทษฉันจะศึกษาเกี่ยวกับคำสาปให้มากกว่านี้เพื่อที่จะไม่ให้มีใครต้องตกเป็นเหยื่ออีก ถึงจะเล็กน้อยแต่ฉันก็ตั้งใจจะชดใช้เจ้าหญิงเซเลนด้วยวิธีนี้… จะไม่หลงผิดอีกแน่นอนค่ะ”

“ดีแล้วครับ…”

“ตราบใดที่อยู่ในสายตาของข้าน้อย จะไม่ปล่อยเจ้าหญิงเอนเต้ก่อเรื่องอีกแน่ขอรับ”

“ต้องขอโทษที่ต้องให้นายเป็นคนรับหน้าที่นี้ แต่ก็ฝากด้วยล่ะ คุมะฮาจิ”

“วางใจได้ขอรับ”

 

  ทั้งมิลานและคุมะฮาจิปฏิบัติกับเอนเต้เหมือนอาชญากรคนหนึ่ง นั่นก็เพราะพวกเขายังมีบรรดาลูกน้องและคนนอกมองดูพวกเขาอยู่ ซึ่งอันที่จริง พวกเขาไม่ได้ระแวงเธอมากนัก เพราะหลังจากเหตุการณ์แมลงดับแสงสุริยาในครั้งนั้น จิตใจของเอนเต้ก็เป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสาธรรมดา และเอนเต้ตามปรกติไม่มีความอดทนเพียงพอที่จะแสดงละครตบตาได้นานขนาดนี้

 

“อันที่จริง ข้าน้อยก็คิดจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสักครั้งอยู่แล้ว นี่ก็ถือเป็นโอกาสเหมาะพอดี องค์ชาย ระหว่างที่ข้าน้อยไม่อยู่ ท่านก็อย่าละเลยการฝึกล่ะะขอรับ”

“ไม่มีทางหรอก นอกจากนายแล้วก็ยังมีคุณกีที่เป็นคู่ซ้อมเหมาะๆให้อีก”

“เห็นด้วยขอรับ หากได้ประลองกับยอดฝีมืออย่างท่านกี ฝีมือท่านต้องไม่ตกแน่”

 

  หลังจากนี้ก็พวกเขาจะไม่ได้เจอกันอีกนานหลายปี แต่ระยะห่างไม่ใช้ปัญหาสำหรับพวกเขา ความสัมพันธ์ระหว่าทั้งสองไม่ได้เบาบางขนาดนั้น หลังจากมิลานและคุมะฮาจิคุยกันจนจบ เอนเต้ที่กำลังก้าวขึ้นเรื่อก็ได้หันกลับมาหามิลานอีกครั้ง

 

“เจ้าชายมิลานคะ!”

 

   เอนเต้ตะโกนเรียกเสียงดังจนทหารที่คุมตัวบางคนตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่มิลานก็ไม่ก็ไม่แสดงอาการใดๆ เขาแค่หันไปมองเธอเท่านั้น ในดวงตาของเอนเต้มีน้ำตาคลอราวกับร้องไห้

 

“สักวัน… เมื่อบาปขอฉันได้รับการชดใช้ กรุณาให้ฉันได้ไปเคารพศพที่สุสานของเจ้าหญิงเซเลนด้วยได้ไหมคะ?”

 

  เอนเต้พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นเทา มิลานเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับ

 

“แน่นอนครับ ผมเชื่อว่าเธอต้องดีใจแน่ เอาไว้ไปด้วยกันนะครับ”

 

  มิลานตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เอนเต้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

“ขอบคุณค่ะ และก็ลาก่อน จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง ชายผู้เป็นที่รักของฉัน…”

 

  เอนเต้พูดด้วยเสียงที่เบาลงเรื่อยๆและหันหลังให้มิลาน ก้าวเดินขึ้นไปบนเรื่ออย่างไม่เกรงกลัวสิ่งที่จะต้องเผชิญ แม้ว่าจะมองจากข้างหลังก็เห็นได้ว่าเอนเต้ยอมรับการลงโทษในครั้งนี้อย่างเต็มใจและเดินหน้าต่อไป

 

  เมื่อสมอเรือถูกถอนขึ้น เรื่อลำใหญ่ที่มีเอนเต้และคุมะฮาจิโดยสารอยู่ก็เคลื่อนตัวออกจากท่า ทิศทางย้อนแสงอาทิตย์ในยามเช้า เรือแล่นออกสู่ทะเลกระทบคลื่นสาดกระเซ็นเป็นประกายระยิบระยับ มิลานและอาลัวมองดูภาพที่เห็นอยู่ที่ท่าเรื่ออันเงียบเหงา

 

“องค์ชายยกโทษให้เจ้าหญิงเอนเต้ได้ง่ายๆเลยนะคะ”

“ที่จริง ผมไม่คิดให้อภัยหรอกครับ”

 

  มิลานตอบออกมาเบาๆ สายตาอันเศร้าสร้อยของเขายังคงมองไปที่เรื่อที่แล่นไกลออกไปจนเห็นเป็นขนาดเล็กเท่าเม็ดถัว

 

   ในใจของมิลาและอาลัวนั้น ไม่สามารถยกโทษให้กับเอนเต้ที่ฆ่าเซเลนผู้เป็นที่รักของพวกเขาได้โดยเด็ดขาด ต่อให้พยายามทำใจสักแค่ไหน ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึก ก็ยังมีความโกรธแค้นอยู่ลึกๆ

 

  เพราะเป็นราชวงศ์ที่ต้องชี้นำประชาชน จะต้องไม่ยอมให้อารมณ์ชั่ววูบมากำหนดการกระทำ หากปล่อยให้ความโกรธแค้นชักนำไปสู้ความรุนแรง ก็จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมต่อเนื่องไม่จบสิ้น

 

“ต่อให้ประหารเจ้าหญิงเอนเต้ไปก็ไม่ทำให้เซเลนฟื้น อีกทั้งความตายจะทำให้ครอบครัวและคนที่ใกล้ชิดกับเธอรู้สึกแบบเดียวกับพวกเรา วันวงแห่งความแค้นนั้น ผมอยากจะหยุดมันเอาไว้ตรงนี้ครับ”

“เข้าใจแล้วค่ะ… เด็กคนนั้นก็คงปรารถนาเช่นนี้เหมือนกัน”

“ครับ เซเลนต้องให้อภัยจากใจจริงได้แน่”

 

  มิลานคิดถึงวันที่เซเลนกับเอนเต้แสดงความสนิทสนมกันเมื่อครั้งที่ไปวัลเบิร์ต  หากเธอรู้ว่าเป็นเรื่องหลอกลวงและเห็นถึงความคิดอันดำมืดของเอนเต้ในตอนนั้น เด็กสาวที่อ่อนโยนก็คงให้อภัยได้ง่ายๆและไม่ติดใจใดๆอีก

 

“เจ้าหญิงอาลัวครับ ผมอยากจะกล่าวคำสาบานเรื่องหนึ่ง ช่วยเป็นพยานให้หน่อยได้ไหมครับ?”

“เรื่องแค่นี้ ไม่มีปัญหาค่ะ”

“…เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ผมจะเป็นราชาที่จะเป็นดั่งดวงตะวัน”

“ดวงตะวัน… เหรอคะ?”

 

  อาลัวไม่เข้าในความหมายในคำพูดอันคลุมเครือของมิลาน แน่นอนว่ามิลานจริงจังอย่างที่สุด ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น

 

“ตามหลักดาราศาสตร์ แสงของดวงจันทร์ที่ส่องสว่างเป็นผลจากแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ เพื่อที่ชื่อเสียงและความสำเร็จของเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนจะได้ส่องสว่างให้ถึงทุกมุมเมืองทั่วทวีปที่เธอรัก เมื่อผมเป็นราชา ผมจะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ครับ”

 

   มิลานคิดเช่นนั้น ไม่เพียงทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด แต่ต้องทำให้ผู้คนรําลึกและรักษาทุกสิ่งที่เซเลนได้สร้างไว้ให้คงอยู่ตอดไป เพื่อที่เธอจะได้เฝ้ามองจากดวงจันทร์ได้อย่างหมดห่วง แสงที่ส่องอยู่ในเฮลิฟาเต้จะแผ่ขยายไปให้ถึงผู้คนทั้งหมด นำทางไปสู่อนาคตที่สว่างไสว

 

“อาจฟังดูเพ้อเจ้อเหมือนจินตนาการของเด็กน้อย จะหัวเราะก็ได้นะครับ”

“ไม่หรอกค่ะ! เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่น่าชื่นชมต่างหาก ฉันยังต้องเรียนรู้อีกมากและยังไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่เมื่อถึงเวลานั้นได้โปรดให้ฉันได้ช่วยสนับสนุนด้วยนะคะ”

“ขอบคุณครับ เจ้าหญิงอาลัว ได้คนที่มีความสามารถเช่นท่านมาช่วยเหลือก็วางใจได้หลายอย่าง”

“จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ค่ะ ถึงยังไงก็เป็นสิ่งที่เด็กคนนั้นฝากฝังไว้”

“ด้วยกัน กับท่านพี่… สินะครับ”

 

   ด้วยกัน กับท่านพี่ คำพูดสุดท้ายของเซเลนในคืนนั้น แม้ตัวเธอจะจากไปแล้ว แต่ก็ขอให้ร่วมมือกับเจ้าหญิงอาลัว พี่สาวร่วมสายเลือดของเธอ มุ่งมั่นสร้างโลกที่มีแต่ความสุขต่อไป นั่นคือความปรารถนาสุดท้ายของเซเลนตามที่ทุกคนเข้าใจ

 

   จากนั้น มิลานและอาลัวมองไปยังผืนทะเลอันกว้างใหญ่ต่อไปอีกสักพัก และก็เห็นมังกรแดงบินอยู่บนท้องฟ้ามุ่งหน้ามาทางพวกเขาจากทิศทางหนึ่ง มังกรแดงหยุดอยู่กลางอากาศ ก้มหน้ามองมิลานและอาลัวจากบนท้องฟ้าไม่ไกลนัก

 

“ท่านผู้ส่งสารของเซเลน โปรดเฝ้าดูอนาคตของพวกเราให้ดีครับ”

 

  มิลานประกาศเป้าหมายของตนต่อมังกรแดงบนท้องฟ้าที่กำลังมองพวกเขาเหมือนพิจารณาอะไรบางอย่าง และก็มีเศษผ้าร่วงหล่นออกมาจากตัวของมังกรแดงเหมือนเป็นการตอบกลับ ผ้าผืนนั้นปลิวลงมาต่อหน้ามิลาน และมิลานก็คว้าเอาไว้โดยสัญชาตญาณ 

 

“อะไรน่ะ? มีภาพบางอย่างวาดไว้…?”

 

  มีเส้นตรงและเส้นโค้งขีดเขียนอย่างมีรูปแบบอยู่บนผ้า อาลัวที่ดูอยู่ด้วยกันข้างๆเห็นแล้วก็แสดงความตกใจออกมา

 

“นี่มัน…!? ตัวอักษรของเซเลน!”

“ตัวอักษรของเซเลน?”

 

  มิลานเอียงคอสงสัยกับคำที่ไม่คุ้นเคย และอาลัวก็พูดถึงเรื่องที่เธอจำได้ว่าเคยเห็นภาพแปลกๆแบบนี้มาก่อน และยังอธิบายต่ออีกว่า ก่อนที่เซเลนจะถูกขัง เธอได้เคยเขียนหนังสือด้วยตัวอักษรที่ไม่ใช่ภาษาใดๆที่รู้จักเลย คาดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เธอคิดขึ้นมาเองคล้ายกับรหัสลับ และตัวอักษรนั้น ดูคล้ายกับสิ่งที่อยู่ในผ้าผืนนี้มาก ซึ่งหมายความว่าสิ่งนี้ก็น่าจะถูกเขียนโดยคนๆเดียวกัน…

 

“เซเลน…งั้นเหรอ!?”

 

   เมื่อคิดได้แบบนั้น มิลานและอาลัวก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าทันที แต่มังกรแดงก็บินสูงขึ้นไปแล้ว จากนั้นมันก็หันกลับและออกบินไกลออกไปยังทิศเหนือ

 

 

[“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ว่าอยากไปที่ยอดเขามังกร? ทั้งที่ข้ามาส่งเจ้าถึงที่นี่แล้วเนี่ยนะ”]
“อือ”

  บนหลังของมังกร มีเด็กสาวผมสีขาวยาวประบ่า ผิวสีขาวราวไข่มุก ดวงตาสีแดงสะท้อนแสงเป็นประกายดั่งทัพทิม รูปโฉมงดงามดุจเทพธิดา

  ――รูปลักษณ์เช่นนี้ไม่มีใครอื่นนอกจาก เซเลน อาร์คุยล่า

  ในตอนนั้นเซเลนถูกแมลงดับแสงสุริยาทำร้ายสาหัสจนเหมือนหมดลมหายใจ แต่แมลงก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถสังหารเซเลนได้เช่นกัน สาเหตุหนึ่งเพราะการบาดเจ็บอ่อนแอของตัวแมลงเอง และอีกสาเหตุหนึ่งคือบัตเลอร์

  หลังจากที่เซเลนถูกยืนยันว่าเสียชีวิตและนำร่างไปไว้ในโลงศพซึ่งปัจจุบันบรรจุอยู่ในสุสาน บัตเลอร์ก็ยังอยู่ข้างกายเซเลนตลอดเวลา พลังเวทย์ของเขาที่ได้รับมาจากเจ้านายและเก็บสะสมเรื่อยมา ได้ถูกส่งคืนไปที่เจ้าของเดิมเพื่อชดเชยส่วนที่ถูกกัดกิน

  และเพราะอะไรก็ไม่อาจทราบได้ พลังเวทย์ของแมลงดับแสงสุริยาให้ความรู้สึกคล้ายกับตะขาบที่กินเข้าไปเมื่อนานมาแล้ว จึงทำความคุ้นเคยได้ไม่ยากและสร้างสิ่งที่เหมือนภูมิคุ้มกันสำหรับใช้ถ่วงเวลา พลังเวทย์ที่ส่งคืนมาจากบัตเลอร์จึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันไม่ให้แมลงดับแสงสุริยากัดกินถึงชีวิตเซเลน

  ถึงอย่างนั้น ก็เป็นเพียงการซื้อเวลาเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหา หากไม่ได้พลังของซาซาคุเระเข้าช่วย เมื่อใดที่พลังเวทย์หมดลงทั้งเซเลนและบัตเลอร์ก็จะจบชีวิตลงไปพร้อมๆกัน แต่การที่จะทำให้สำเร็จก็ไม่ใช้เรื่องง่าย ซาซาคุเระมีพลังเวทย์มหาศาลที่ปลดปล่อยออกมาได้อย่างรุนแรงแต่ก็ปราศจากความละเอียดอ่อน

  หากพลังเวทย์ระดับมังกรถูกใช้กับเซเลนที่เป็นมนุษย์ซ้ำยังเป็นเด็ก ร่างกายของเซเลนก็จะแหลกสลายไปพร้อมกับแมลง ดังนั้น ซาซาคุเระจึงต้องมาหาเซเลนที่สุสานทุกๆวันเพื่อฝึกฝน และใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการกำจัดแมลงดับแสงสุริยาที่ฝังตัวอยู่ในร่างของเซเลน เหมือนการเอาเศษแก้วที่แตกละเอียดออกจากบาดแผล

  หลังจากพยายามอยู่หลายเดือนจนถึงเมื่อวาน แมลงก็ถูกกำจัดออกจากเซเลนโดยสมบูรณ์ ในคืนของวันนั้นเซเลนได้แง้มฝาโลงและคลานออกมากลางดึกเหมือนฉากในหนังสยองขวัญ

  สุสานของเซเลนถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้คนมาเคารพและไว้อาลัย โลงศพที่อยู่ใจกลางสุสานคือส่วนที่สำคัญที่สุด แต่ก็เป็นแค่เพียงกล่องเปล่า ดังนั้น จงอย่าเศร้าเมื่อเห็นโลงศพของเซเลน เซเลนไม่ได้อยู่ที่นั่น เธอบินสูงอยู่บนท้องฟ้ากับมังกรของเธอ

[“ทำไมถึงไม่อยากกลับบ้านล่ะ? เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าให้ซ่อนมนุษย์ในเมืองของมนุษย์”]
[“สังคมมนุษย์ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้นครับ ท่านมังกรแดง”]

  บนไหล่ของเซเลนมีบัตเลอร์อยู่ สหายที่ไว้ใจได้ และพ่อบ้านผู้ซื้อสัตย์ เขาดูซูบผอมลงไปเล็กน้อยเพราะทำงานหนักมาตลอดในระยะนี้ แต่ในดวงตาของบัตเลอร์นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยกำลังอธิบายถึงสถานการณ์ในปัจจุบันให้กับกับซาซาคุเระผู้ที่ไม่เข้าใจในเรื่องของมนุษย์

[“ในตอนนี้ มนุษย์ทั้งหลายยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยให้กับการเสียชีวิตขององค์หญิง หากองค์หญิงกลับไปแสดงตัวในทันทีก็อาจนำปัญหามาสู่เฮลิฟาเต้ได้”]
[“แล้ว… มันยังไงล่ะ?”]

  ถึงจะทำให้ผู้คนของเฮลิฟาเต้ยินดีที่เซเลนพื้นคืนจากความตาย แต่สำหรับประเทศอื่นที่ไม่รู้จักเธอดีพอก็จะคิดต่างออกไป บางประเทศอาจจะเห็นว่าเป็นการแสดงปาฏิหาริย์หลอกลวงสร้างภาพให้กับเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลน เพื่อใช้เรื่องโกหกนี้รวบรวมศรัทธามาไว้ที่เฮลิฟาเต้

[“องค์หญิงต้องอยากกลับไปให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว แต่องค์หญิงผู้ที่อ่อนโยนย่อมเป็นห่วงประเทศชาติมากกว่าความต้องการของตัวเอง จึงยอมถอยออกมาเพื่อรอเวลาที่เหมาะสม”]
[“หืม… ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่มนุษย์นี่ชอบทำอะไรยุ่งยากกันจัง”]

  ถึงบัตเลอร์จะอธิบายจนละเอียด แต่ซาซาคุเระก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเซเลนคำนึงถึงผู้คนที่ใกล้ชิดกับเธอ จึงต้องจำใจออกห่างจากมนุษย์สักระยะเพื่อรักษาความสงบสุขของผู้คนเหล่านั้น

[“อืม… ทั้งที่อายุยังน้อย แต่ก็เป็นเด็กที่ใส่ใจดีนะ”]

  ในสายตาของซาซาคุเระ เซเลนคือเครื่องมือชิ้นหนึ่ง เหตุผลที่บุกไปสังหารหญิงชราถึงวัลเบิร์ตก็เพราะโกรธที่ของของตนเองถูกคนอื่นทำลาย เป็นความโกรธเพื่อตัวเขาเองเท่านั้น แต่พอได้พูดคุย ได้รู้จักกันมากขึ้น ซาซาคุเระก็เริ่มมองเซเลนในฐานะบุคคลขึ้นมาบ้างแล้ว

“แพ้ราบคาบ(完敗*)” 
[“คัมไป(乾杯*) เหรอ…”] 

  ซาซาคุเระนับถือเซเลนที่ร่วมยินดีให้กับอนาคตที่มั่งคงของเพื่อนร่วมชาติ เธอที่ยังเยาว์วัยแต่ก็ตัดสินใจยอมละทิ้งความสุขของตนเพื่อประโยชน์ของผู้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอ นั้นหมายความว่าเธอมีคุณสมบัติของผู้นำเช่นเดียวกับจ่าฝูงอยู่ในตัวแล้ว

  แต่เซเลนก็ไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้น เธอไม่ได้ฟังการสนทนาระหว่างบัตเลอร์กับซาซาคุเระเลยด้วยซ้ำ เซเลนแค่ตะโกนออกมาเพราะรู้สึกว่าคราวนี้เธอแพ้ยับเยินเท่านั้น

  เป็นความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ในศึกชี้ชะตาระหว่าเซเลนกับมิลานในคืนนั้น ทันทีที่เธอคิดว่าเอาชนะได้แล้ว ก็ถูกสวนกลับด้วยกับดักจนสถานการณ์พลิกหมดทางแก้ไข

  ก่อนหน้านี้ก็คิดไว้แล้วว่าไอ้เจ้าชายนั่นมันเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบผิดมนุษย์อย่างกับสัตว์ประหลาด ใครจะไปคิดว่าข้างในตัวมันจะมีสัตว์ประหลาดดำมืดอยู่จริงๆ

  จะว่าไป ทางนี้เองก็แอบเลี้ยงพ่อบ้านหนูพูดได้เอาไว้ ทางนั้นเป็นถึงเจ้าชายของประเทศมหาอำนาจ คนระดับนั้นจะแอบเลี้ยงสัตว์ประหลาดเอาไว้ใช้งานสักตัวสองตัวบ้างก็ไม่แปลก

  ต้องขอบคุณบัตเลอร์กับซาซาคุเระ ถึงรอดชีวิตมาอยู่ตรงนี้ได้ แต่ก็รอดมาได้อย่างฉิวเฉียดจริงๆ และพอตื่นขึ้นมา ทุกอย่างก็สายเกินแก้ไปไกลแล้ว

  หลังจากขอให้ซาซาคุเระไล่ตามเจ้าชายไป เซเลนก็เห็นเพื่อนสนิทของเธอ เจ้าหญิงเอนเต้ กับเพื่อนร่วมชะตา คุมะฮาจิ ถูกควบคุมตัวขึ้นเรือเพื่อส่งไปที่ไหนก็ไม่รู้

“สายเกินไป…”

  เซเลนพึมพำออกมาเบาๆด้วนท่าทางผิดหวัง เจ้าชายเริ่มกำจัดคนที่หมดประโยชน์กับคนที่เขาเห็นว่าเป็นตัวเกะกะแล้ว

“แกนะแก…”

 

   อันที่จริงก็อยากจะลงไปตรงนั้นเดี๋ยวนี้ อย่างน้อยก็เพื่อพาอาลัวมาด้วยกัน แต่อีกฝ่ายเป็นถึงผู้ใช้งานสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว ยิ่งเจอเหตุการณ์อย่างคราวที่แล้วเข้าไปก็ยิ่งทำให้ระวังตัวมากขึ้น กับดักในคราวนี้ต้องร้ายแรงกว่าเดิมแน่นอน

 

  ถึงอยากจะไปขอความช่วยเหลือจากเอลฟ์ แต่พวกนั้นก็ดูเหมือนจะเข้าร่วมกับเฮลิฟาเต้ไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจถูกซื้อตัวไปหมดแล้วก็ได้ เรียกง่ายๆว่า ตอนนี้เหลือตัวคนเดียวไม่มีใครให้พึ่งพาได้เลย ประมาทเกินไปที่จะเคลื่อนไหวในเวลานี้ เซเลนยอมรับว่าต้องการพลังที่แข็งแกร่งในการช่วยอาลัวออกมา 

 

  ―― พลังของมังกรนี่แหละ

 

  เจ้าชายมิลานเหนือกว่าทุกด้าน ขนาดใช้เล่ห์เหลี่ยมก็ยังเอาชนะไม่ได้ แต่ก็จะกลับมาเอาคืนแน่นอน นั่นคือเหตุผลที่เซเลนเขียนข้อความลงบนผ้าผืนนั้นและส่งลงไปให้ เหมือนโยนถุงมือเพื่อท้าดวล

 

 

“เด็กคนนั้น ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย…”

 

   น้ำตาแห่งความตื้นตันไหลออกมาจากดวงตาของอาลัวขณะที่เธอพูด โดยยังคงมองไปยังมังกรที่บินอยู่บนท้องฟ้าอันแจ่มใส

 

   เป็นไปไม่ได้ที่คนตายจะฟื้นคืน สามัญสำนึกที่ไม่ว่าใครก็ทราบกันดี แต่เซเลนคนนี้ก็เคยทำเรื่องที่คนทั่วไปเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จมาแล้ว

มิลานและอาลัวมองดูท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มเป็นสีฟ้า ความหม่นหมองที่อยู่ในจิตใจก็จางหายไปเช่นเดียวกัน

 

“แล้ว สิ่งที่เขียนไว้บนผ้าคืออะไรหรือครับ? ถ้าเซเลนเป็นคนเขียน ผมเชื่อว่ามันจะต้องมีความหมายบางอย่าง”

“อันที่จริง… ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คงมีแต่เซเลนเท่านั้นที่เข้าใจ”

“งั้นเหรอครับ…”

 

  เมื่อไม่สามารถอ่านข้อความนี้ได้ก็ทำให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานว่ามันถูกเขียนโดยเซเลนตั้งแต่แรก แต่มันก็ได้มอบความหวังไว้ให้พวกเขา

 

  ――บนผ้ามีตัวอักษรฮิรางานะเขียนไว้ว่า

 

“あいるびーばっく!” (I’ll Be Back!)

 

   แล้วฉันจะกลับมา เซเลนพูดประโยคเด็ดจากหนังดังกับตัวเองขณะเกาะอยู่บนหลังของซาซาคุเระที่บินตัดสายลมมุ่งหน้าสู่ยอดเขามังกร

 

  ตั้งแต่ถูกลักพาตัวมาจากอาร์คุยล่าจนมาอยู่ที่เฮลิฟาเต้ ก็ค่อยๆขยายอิทธิพล ได้รู้จักกับเอลฟ์ จนกระทั่งมีโอกาสแทงดาบใส่เจ้าชายได้

 

  ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องไปขยายอิทธิพลต่อที่ยอดเขามังกร ผูกมิตรมังกรไปเรื่อยๆ และจะกลับไปพร้อมกับพลังอันเหนือชั้นเพื่อเอาชนะเจ้าชายและช่วยอาลัวออกมาให้ได้ จากนั้นก็จะสร้างสวนแห่งยูริของแท้ เพื่อเซเลนโดยเซเลน ให้ดู 

 

[“องค์หญิง หนทางข้างหน้าจะยากลำบากกว่าที่เคย แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บัตเลอร์คนนี้จะอยู่เคียงข้างรับใช้องค์หญิงไปชั่วชีวิต”]

“อือ! จะพยายาม!”

[“ใช่แล้วครับ! ไม่มีบททดสอบใดที่องค์หญิงไม่สามารถผ่านมันไปได้ ไม่มีอุปสรรค์ใดที่องค์หญิงไม่สามารถก้าวข้ามได้ ไม่ว่าจะหนักหนาสักแค่ไหน บัตเลอร์คนนี้จะทำให้มันเป็นเรื่องง่ายเอง ฝากให้กระผมจัดการได้เลยครับ!”]

 

   เซเลนใช้นิ้วลูบหัวบัตเลอร์ที่อยู่บนไหล่เบาๆ บัตเลอร์หลับตา แสดงท่าทางพอใจอย่างมาก

 

   เจ้าชายมิลานเอ๋ย เพลิดเพลินกับชัยชนะในครั้งนี้ให้ดีๆล่ะ อย่าดูถูกเซเลน อาร์คุยล่าคนนี้จะดีกว่า จะคลานขึ้นมาจากก้นบึ้งของนรก ฉุดขาให้ร่วงหล่นลงไปด้วยกันอีกครั้งให้ได้ ล้างคอรอไว้ได้เลย

 

“ท่านพี่ รอก่อนนะ!”

 

  เซเลนหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง แต่ก็มาไกลเกินกว่าจะมองเห็นอาลัวกับมิลานแล้ว  จากนั้นจึงหันกลับไปมองข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นเพื่อสลัดความกังวลทิ้งไป

 

  และร่างของมังกรแดงก็หายลับไปพร้อมกับเซเลนในท้องฟ้ายามรุ่งสาง

 

 

  เมื่อดวงตะวันทอแสง ดวงจันทร์จะจางหาย แต่เพียงแค่มนุษย์มองไม่เห็นก็ไม่ได้หมายความว่าดวงจันทร์จะหายไปจริงๆ ไม่มีราตรีที่ไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับไม่มีดวงตะวันที่ไม่เคยตกดิน เมื่อใดที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดวงจันทร์จะกลับมาส่องสว่างอีกครั้ง

 

   ตำนานของราชาแห่งดวงตะวัน มิลาน เฮลิฟาเต้ เคียงคู่กับ เจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน อาร์คุยล่า กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เพียงแต่ในตอนนี้ยังไม่มีใครรับรู้เท่านั้น

 

____________________

* ออกเสียงเหมือนกัน

完敗(Kanpai)=แพ้หลุดลุ่ย, แพ้ราบคาบ, แพ้ยับเยิน

乾杯(Kanpai)=ดื่ม, ชนแก้ว (ในงานเลี้ยงฉลอง)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 46 รุ่งอรุณ [(SS1) END]

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 46 รุ่งอรุณ [(SS1) END] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 46

 

รุ่งอรุณ [(SS1) END]

 

 

 

 

 

“เจ้าชาย ฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ”

 

“ครับ คงต้องลากันแค่นี้ครับ”

 

 

 

ดวงอาทิตย์ยังขึ้นไม่พ้นขอบฟ้าแต่มิลานได้มาอยู่ที่ท่าเรือแล้ว และไม่ได้มีเพียงมิลานเท่านั้น ยังมีคุมะฮาจิกับทหารอีกหลายคนล้อมรอบเอนเต้ซึ่งเป็นนักโทษเอาไว้ และไกลออกไปก็ยังมีอาลัวซึ่งเป็นครอบครัวของผู้ตายคอยดูอยู่ห่างๆ

 

 

 

ผ่านมาได้ครึ่งปีจากวันที่เซเลนเสียชีวิต ในที่สุดก็ถึงฤดูใบไม้ผลิ เมื่อคดีความสิ้นสุด เอนเต้ที่ถูกคุมขังอยู่ที่เฮลิฟาเต้มาตลอดก็ถึงเวลาที่ต้องได้รับโทษ คำตัดสินคือ เนรเทศไปยังดินแดนอันห่างไกลนอกทวีป

 

 

 

สถานที่ที่เป็นตัวเลือกมีอยู่มากมาย และเอนแต้ก็ได้ถูกเลือกให้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะเล็กๆด้อยพัฒนาแห่งหนึ่งในประเทศบ้านเกิดของคุมะฮาจิเป็นเวลาหลายปีจนกว่าจะพ้นโทษ คุมะฮาจิจะมีหน้าที่ความคุมความประพฤติอย่างใกล้ชิด และวันนี้คือวันแรกที่เอนเต้จะได้ชดใช้ความผิด

 

 

 

“เอาล่ะ เจ้าหญิงเอนเต้ ได้เวลาออกเดินทางแล้วขอรับ”

 

“ค่ะ…”

 

 

 

เอนเต้ยอมรับคำสั่งแต่โดยดี ไม่แสดงอาการต่อต้านเอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อน ดูสงบเสงี่ยมมากขึ้น สิ่งเดียวที่รู้สึกคือความผิดบาปในใจที่ต้องการชดใช้เท่านั้น

 

 

 

เมื่อเทียบกันแล้ว คำตัดสินโทษของเธอนั้นดูเบาบางเกินไปสำหรับการลอบสังหารบุคคลสำคัญของทวีป นักบุญเซเลน อาร์คุยล่า ผู้เสียสละเพื่อประชาชน มีคนจำนวนมากออกมาเรียกร้องโทษประหารให้กับจำเลย แต่ผู้ที่คัดค้านก็คือเจ้าชายมิลานซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียหายโดยตรง

 

 

 

ถึงจะไม่มีข้อโต้แย้งเรื่องที่เจ้าหญิงเอนเต้เจตนาสังหารเซเลน แต่เธอก็ถูกหลอกใช้เป็นแค่เครื่องมือของผู้สาปแช่งที่มีเป้าหมายเลวร้ายกว่านี้ โดยจะทำให้ทั้งทวีปจมดิ่งสู่ความสิ้นหวัง และคนร้ายผู้นั้นก็ได้ถูกมังกรตัดสินโทษไปก่อนที่มนุษย์จะทำการสอบสวนแล้ว

 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น มิลานยังบอกอีกว่า การที่เจ้าหญิงเอนเต้หึงหวงถึงขั้นต้องการสังหารเซเลน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเขาเอง ทีปล่อยให้เรื่องระหว่างตัวเขากับเจ้าหญิงเอนเต้ค้างคา ไม่ปฏิเสธให้ชัดเจน เพราะมัวแต่เป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนกลายมาเป็นเรื่องยุ่งยากเช่นนี้

 

 

 

“เจ้าชายมิลาน ขอบคุณในความเมตตา ระหว่างที่รับโทษฉันจะศึกษาเกี่ยวกับคำสาปให้มากกว่านี้เพื่อที่จะไม่ให้มีใครต้องตกเป็นเหยื่ออีก ถึงจะเล็กน้อยแต่ฉันก็ตั้งใจจะชดใช้เจ้าหญิงเซเลนด้วยวิธีนี้… จะไม่หลงผิดอีกแน่นอนค่ะ”

 

“ดีแล้วครับ…”

 

“ตราบใดที่อยู่ในสายตาของข้าน้อย จะไม่ปล่อยเจ้าหญิงเอนเต้ก่อเรื่องอีกแน่ขอรับ”

 

“ต้องขอโทษที่ต้องให้นายเป็นคนรับหน้าที่นี้ แต่ก็ฝากด้วยล่ะ คุมะฮาจิ”

 

“วางใจได้ขอรับ”

 

 

 

ทั้งมิลานและคุมะฮาจิปฏิบัติกับเอนเต้เหมือนอาชญากรคนหนึ่ง นั่นก็เพราะพวกเขายังมีบรรดาลูกน้องและคนนอกมองดูพวกเขาอยู่ ซึ่งอันที่จริง พวกเขาไม่ได้ระแวงเธอมากนัก เพราะหลังจากเหตุการณ์แมลงดับแสงสุริยาในครั้งนั้น จิตใจของเอนเต้ก็เป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสาธรรมดา และเอนเต้ตามปรกติไม่มีความอดทนเพียงพอที่จะแสดงละครตบตาได้นานขนาดนี้

 

 

 

“อันที่จริง ข้าน้อยก็คิดจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสักครั้งอยู่แล้ว นี่ก็ถือเป็นโอกาสเหมาะพอดี องค์ชาย ระหว่างที่ข้าน้อยไม่อยู่ ท่านก็อย่าละเลยการฝึกล่ะะขอรับ”

 

“ไม่มีทางหรอก นอกจากนายแล้วก็ยังมีคุณกีที่เป็นคู่ซ้อมเหมาะๆให้อีก”

 

“เห็นด้วยขอรับ หากได้ประลองกับยอดฝีมืออย่างท่านกี ฝีมือท่านต้องไม่ตกแน่”

 

 

 

หลังจากนี้ก็พวกเขาจะไม่ได้เจอกันอีกนานหลายปี แต่ระยะห่างไม่ใช้ปัญหาสำหรับพวกเขา ความสัมพันธ์ระหว่าทั้งสองไม่ได้เบาบางขนาดนั้น หลังจากมิลานและคุมะฮาจิคุยกันจนจบ เอนเต้ที่กำลังก้าวขึ้นเรื่อก็ได้หันกลับมาหามิลานอีกครั้ง

 

 

 

“เจ้าชายมิลานคะ!”

 

 

 

เอนเต้ตะโกนเรียกเสียงดังจนทหารที่คุมตัวบางคนตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่มิลานก็ไม่ก็ไม่แสดงอาการใดๆ เขาแค่หันไปมองเธอเท่านั้น ในดวงตาของเอนเต้มีน้ำตาคลอราวกับร้องไห้

 

 

 

“สักวัน… เมื่อบาปขอฉันได้รับการชดใช้ กรุณาให้ฉันได้ไปเคารพศพที่สุสานของเจ้าหญิงเซเลนด้วยได้ไหมคะ?”

 

 

 

เอนเต้พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นเทา มิลานเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับ

 

 

 

“แน่นอนครับ ผมเชื่อว่าเธอต้องดีใจแน่ เอาไว้ไปด้วยกันนะครับ”

 

 

 

มิลานตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เอนเต้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

 

 

“ขอบคุณค่ะ และก็ลาก่อน จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง ชายผู้เป็นที่รักของฉัน…”

 

 

 

เอนเต้พูดด้วยเสียงที่เบาลงเรื่อยๆและหันหลังให้มิลาน ก้าวเดินขึ้นไปบนเรื่ออย่างไม่เกรงกลัวสิ่งที่จะต้องเผชิญ แม้ว่าจะมองจากข้างหลังก็เห็นได้ว่าเอนเต้ยอมรับการลงโทษในครั้งนี้อย่างเต็มใจและเดินหน้าต่อไป

 

 

 

เมื่อสมอเรือถูกถอนขึ้น เรื่อลำใหญ่ที่มีเอนเต้และคุมะฮาจิโดยสารอยู่ก็เคลื่อนตัวออกจากท่า ทิศทางย้อนแสงอาทิตย์ในยามเช้า เรือแล่นออกสู่ทะเลกระทบคลื่นสาดกระเซ็นเป็นประกายระยิบระยับ มิลานและอาลัวมองดูภาพที่เห็นอยู่ที่ท่าเรื่ออันเงียบเหงา

 

 

 

“องค์ชายยกโทษให้เจ้าหญิงเอนเต้ได้ง่ายๆเลยนะคะ”

 

“ที่จริง ผมไม่คิดให้อภัยหรอกครับ”

 

 

 

มิลานตอบออกมาเบาๆ สายตาอันเศร้าสร้อยของเขายังคงมองไปที่เรื่อที่แล่นไกลออกไปจนเห็นเป็นขนาดเล็กเท่าเม็ดถัว

 

 

 

ในใจของมิลาและอาลัวนั้น ไม่สามารถยกโทษให้กับเอนเต้ที่ฆ่าเซเลนผู้เป็นที่รักของพวกเขาได้โดยเด็ดขาด ต่อให้พยายามทำใจสักแค่ไหน ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึก ก็ยังมีความโกรธแค้นอยู่ลึกๆ

 

 

 

เพราะเป็นราชวงศ์ที่ต้องชี้นำประชาชน จะต้องไม่ยอมให้อารมณ์ชั่ววูบมากำหนดการกระทำ หากปล่อยให้ความโกรธแค้นชักนำไปสู้ความรุนแรง ก็จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมต่อเนื่องไม่จบสิ้น

 

 

 

“ต่อให้ประหารเจ้าหญิงเอนเต้ไปก็ไม่ทำให้เซเลนฟื้น อีกทั้งความตายจะทำให้ครอบครัวและคนที่ใกล้ชิดกับเธอรู้สึกแบบเดียวกับพวกเรา วันวงแห่งความแค้นนั้น ผมอยากจะหยุดมันเอาไว้ตรงนี้ครับ”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ… เด็กคนนั้นก็คงปรารถนาเช่นนี้เหมือนกัน”

 

“ครับ เซเลนต้องให้อภัยจากใจจริงได้แน่”

 

 

 

มิลานคิดถึงวันที่เซเลนกับเอนเต้แสดงความสนิทสนมกันเมื่อครั้งที่ไปวัลเบิร์ต  หากเธอรู้ว่าเป็นเรื่องหลอกลวงและเห็นถึงความคิดอันดำมืดของเอนเต้ในตอนนั้น เด็กสาวที่อ่อนโยนก็คงให้อภัยได้ง่ายๆและไม่ติดใจใดๆอีก

 

 

 

“เจ้าหญิงอาลัวครับ ผมอยากจะกล่าวคำสาบานเรื่องหนึ่ง ช่วยเป็นพยานให้หน่อยได้ไหมครับ?”

 

“เรื่องแค่นี้ ไม่มีปัญหาค่ะ”

 

“…เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ผมจะเป็นราชาที่จะเป็นดั่งดวงตะวัน”

 

“ดวงตะวัน… เหรอคะ?”

 

 

 

อาลัวไม่เข้าในความหมายในคำพูดอันคลุมเครือของมิลาน แน่นอนว่ามิลานจริงจังอย่างที่สุด ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น

 

 

 

“ตามหลักดาราศาสตร์ แสงของดวงจันทร์ที่ส่องสว่างเป็นผลจากแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ เพื่อที่ชื่อเสียงและความสำเร็จของเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนจะได้ส่องสว่างให้ถึงทุกมุมเมืองทั่วทวีปที่เธอรัก เมื่อผมเป็นราชา ผมจะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ครับ”

 

 

 

มิลานคิดเช่นนั้น ไม่เพียงทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด แต่ต้องทำให้ผู้คนรําลึกและรักษาทุกสิ่งที่เซเลนได้สร้างไว้ให้คงอยู่ตอดไป เพื่อที่เธอจะได้เฝ้ามองจากดวงจันทร์ได้อย่างหมดห่วง แสงที่ส่องอยู่ในเฮลิฟาเต้จะแผ่ขยายไปให้ถึงผู้คนทั้งหมด นำทางไปสู่อนาคตที่สว่างไสว

 

 

 

“อาจฟังดูเพ้อเจ้อเหมือนจินตนาการของเด็กน้อย จะหัวเราะก็ได้นะครับ”

 

“ไม่หรอกค่ะ! เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่น่าชื่นชมต่างหาก ฉันยังต้องเรียนรู้อีกมากและยังไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่เมื่อถึงเวลานั้นได้โปรดให้ฉันได้ช่วยสนับสนุนด้วยนะคะ”

 

“ขอบคุณครับ เจ้าหญิงอาลัว ได้คนที่มีความสามารถเช่นท่านมาช่วยเหลือก็วางใจได้หลายอย่าง”

 

“จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ค่ะ ถึงยังไงก็เป็นสิ่งที่เด็กคนนั้นฝากฝังไว้”

 

“ด้วยกัน กับท่านพี่… สินะครับ”

 

 

 

ด้วยกัน กับท่านพี่ คำพูดสุดท้ายของเซเลนในคืนนั้น แม้ตัวเธอจะจากไปแล้ว แต่ก็ขอให้ร่วมมือกับเจ้าหญิงอาลัว พี่สาวร่วมสายเลือดของเธอ มุ่งมั่นสร้างโลกที่มีแต่ความสุขต่อไป นั่นคือความปรารถนาสุดท้ายของเซเลนตามที่ทุกคนเข้าใจ

 

 

 

จากนั้น มิลานและอาลัวมองไปยังผืนทะเลอันกว้างใหญ่ต่อไปอีกสักพัก และก็เห็นมังกรแดงบินอยู่บนท้องฟ้ามุ่งหน้ามาทางพวกเขาจากทิศทางหนึ่ง มังกรแดงหยุดอยู่กลางอากาศ ก้มหน้ามองมิลานและอาลัวจากบนท้องฟ้าไม่ไกลนัก

 

 

 

“ท่านผู้ส่งสารของเซเลน โปรดเฝ้าดูอนาคตของพวกเราให้ดีครับ”

 

 

 

มิลานประกาศเป้าหมายของตนต่อมังกรแดงบนท้องฟ้าที่กำลังมองพวกเขาเหมือนพิจารณาอะไรบางอย่าง และก็มีเศษผ้าร่วงหล่นออกมาจากตัวของมังกรแดงเหมือนเป็นการตอบกลับ ผ้าผืนนั้นปลิวลงมาต่อหน้ามิลาน และมิลานก็คว้าเอาไว้โดยสัญชาตญาณ

 

 

 

“อะไรน่ะ? มีภาพบางอย่างวาดไว้…?”

 

 

 

มีเส้นตรงและเส้นโค้งขีดเขียนอย่างมีรูปแบบอยู่บนผ้า อาลัวที่ดูอยู่ด้วยกันข้างๆเห็นแล้วก็แสดงความตกใจออกมา

 

 

 

“นี่มัน…!? ตัวอักษรของเซเลน!”

 

“ตัวอักษรของเซเลน?”

 

 

 

มิลานเอียงคอสงสัยกับคำที่ไม่คุ้นเคย และอาลัวก็พูดถึงเรื่องที่เธอจำได้ว่าเคยเห็นภาพแปลกๆแบบนี้มาก่อน และยังอธิบายต่ออีกว่า ก่อนที่เซเลนจะถูกขัง เธอได้เคยเขียนหนังสือด้วยตัวอักษรที่ไม่ใช่ภาษาใดๆที่รู้จักเลย คาดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เธอคิดขึ้นมาเองคล้ายกับรหัสลับ และตัวอักษรนั้น ดูคล้ายกับสิ่งที่อยู่ในผ้าผืนนี้มาก ซึ่งหมายความว่าสิ่งนี้ก็น่าจะถูกเขียนโดยคนๆเดียวกัน…

 

 

 

“เซเลน…งั้นเหรอ!?”

 

 

 

เมื่อคิดได้แบบนั้น มิลานและอาลัวก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าทันที แต่มังกรแดงก็บินสูงขึ้นไปแล้ว จากนั้นมันก็หันกลับและออกบินไกลออกไปยังทิศเหนือ

 

 

 

 

 

[“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ว่าอยากไปที่ยอดเขามังกร? ทั้งที่ข้ามาส่งเจ้าถึงที่นี่แล้วเนี่ยนะ”]
“อือ”

บนหลังของมังกร มีเด็กสาวผมสีขาวยาวประบ่า ผิวสีขาวราวไข่มุก ดวงตาสีแดงสะท้อนแสงเป็นประกายดั่งทัพทิม รูปโฉมงดงามดุจเทพธิดา

――รูปลักษณ์เช่นนี้ไม่มีใครอื่นนอกจาก เซเลน อาร์คุยล่า

ในตอนนั้นเซเลนถูกแมลงดับแสงสุริยาทำร้ายสาหัสจนเหมือนหมดลมหายใจ แต่แมลงก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถสังหารเซเลนได้เช่นกัน สาเหตุหนึ่งเพราะการบาดเจ็บอ่อนแอของตัวแมลงเอง และอีกสาเหตุหนึ่งคือบัตเลอร์

หลังจากที่เซเลนถูกยืนยันว่าเสียชีวิตและนำร่างไปไว้ในโลงศพซึ่งปัจจุบันบรรจุอยู่ในสุสาน บัตเลอร์ก็ยังอยู่ข้างกายเซเลนตลอดเวลา พลังเวทย์ของเขาที่ได้รับมาจากเจ้านายและเก็บสะสมเรื่อยมา ได้ถูกส่งคืนไปที่เจ้าของเดิมเพื่อชดเชยส่วนที่ถูกกัดกิน

และเพราะอะไรก็ไม่อาจทราบได้ พลังเวทย์ของแมลงดับแสงสุริยาให้ความรู้สึกคล้ายกับตะขาบที่กินเข้าไปเมื่อนานมาแล้ว จึงทำความคุ้นเคยได้ไม่ยากและสร้างสิ่งที่เหมือนภูมิคุ้มกันสำหรับใช้ถ่วงเวลา พลังเวทย์ที่ส่งคืนมาจากบัตเลอร์จึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันไม่ให้แมลงดับแสงสุริยากัดกินถึงชีวิตเซเลน

ถึงอย่างนั้น ก็เป็นเพียงการซื้อเวลาเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหา หากไม่ได้พลังของซาซาคุเระเข้าช่วย เมื่อใดที่พลังเวทย์หมดลงทั้งเซเลนและบัตเลอร์ก็จะจบชีวิตลงไปพร้อมๆกัน แต่การที่จะทำให้สำเร็จก็ไม่ใช้เรื่องง่าย ซาซาคุเระมีพลังเวทย์มหาศาลที่ปลดปล่อยออกมาได้อย่างรุนแรงแต่ก็ปราศจากความละเอียดอ่อน

หากพลังเวทย์ระดับมังกรถูกใช้กับเซเลนที่เป็นมนุษย์ซ้ำยังเป็นเด็ก ร่างกายของเซเลนก็จะแหลกสลายไปพร้อมกับแมลง ดังนั้น ซาซาคุเระจึงต้องมาหาเซเลนที่สุสานทุกๆวันเพื่อฝึกฝน และใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการกำจัดแมลงดับแสงสุริยาที่ฝังตัวอยู่ในร่างของเซเลน เหมือนการเอาเศษแก้วที่แตกละเอียดออกจากบาดแผล

หลังจากพยายามอยู่หลายเดือนจนถึงเมื่อวาน แมลงก็ถูกกำจัดออกจากเซเลนโดยสมบูรณ์ ในคืนของวันนั้นเซเลนได้แง้มฝาโลงและคลานออกมากลางดึกเหมือนฉากในหนังสยองขวัญ

สุสานของเซเลนถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้คนมาเคารพและไว้อาลัย โลงศพที่อยู่ใจกลางสุสานคือส่วนที่สำคัญที่สุด แต่ก็เป็นแค่เพียงกล่องเปล่า ดังนั้น จงอย่าเศร้าเมื่อเห็นโลงศพของเซเลน เซเลนไม่ได้อยู่ที่นั่น เธอบินสูงอยู่บนท้องฟ้ากับมังกรของเธอ

[“ทำไมถึงไม่อยากกลับบ้านล่ะ? เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าให้ซ่อนมนุษย์ในเมืองของมนุษย์”]
[“สังคมมนุษย์ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้นครับ ท่านมังกรแดง”]

บนไหล่ของเซเลนมีบัตเลอร์อยู่ สหายที่ไว้ใจได้ และพ่อบ้านผู้ซื้อสัตย์ เขาดูซูบผอมลงไปเล็กน้อยเพราะทำงานหนักมาตลอดในระยะนี้ แต่ในดวงตาของบัตเลอร์นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยกำลังอธิบายถึงสถานการณ์ในปัจจุบันให้กับกับซาซาคุเระผู้ที่ไม่เข้าใจในเรื่องของมนุษย์

[“ในตอนนี้ มนุษย์ทั้งหลายยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยให้กับการเสียชีวิตขององค์หญิง หากองค์หญิงกลับไปแสดงตัวในทันทีก็อาจนำปัญหามาสู่เฮลิฟาเต้ได้”]
[“แล้ว… มันยังไงล่ะ?”]

ถึงจะทำให้ผู้คนของเฮลิฟาเต้ยินดีที่เซเลนพื้นคืนจากความตาย แต่สำหรับประเทศอื่นที่ไม่รู้จักเธอดีพอก็จะคิดต่างออกไป บางประเทศอาจจะเห็นว่าเป็นการแสดงปาฏิหาริย์หลอกลวงสร้างภาพให้กับเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลน เพื่อใช้เรื่องโกหกนี้รวบรวมศรัทธามาไว้ที่เฮลิฟาเต้

[“องค์หญิงต้องอยากกลับไปให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว แต่องค์หญิงผู้ที่อ่อนโยนย่อมเป็นห่วงประเทศชาติมากกว่าความต้องการของตัวเอง จึงยอมถอยออกมาเพื่อรอเวลาที่เหมาะสม”]
[“หืม… ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่มนุษย์นี่ชอบทำอะไรยุ่งยากกันจัง”]

ถึงบัตเลอร์จะอธิบายจนละเอียด แต่ซาซาคุเระก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเซเลนคำนึงถึงผู้คนที่ใกล้ชิดกับเธอ จึงต้องจำใจออกห่างจากมนุษย์สักระยะเพื่อรักษาความสงบสุขของผู้คนเหล่านั้น

[“อืม… ทั้งที่อายุยังน้อย แต่ก็เป็นเด็กที่ใส่ใจดีนะ”]

ในสายตาของซาซาคุเระ เซเลนคือเครื่องมือชิ้นหนึ่ง เหตุผลที่บุกไปสังหารหญิงชราถึงวัลเบิร์ตก็เพราะโกรธที่ของของตนเองถูกคนอื่นทำลาย เป็นความโกรธเพื่อตัวเขาเองเท่านั้น แต่พอได้พูดคุย ได้รู้จักกันมากขึ้น ซาซาคุเระก็เริ่มมองเซเลนในฐานะบุคคลขึ้นมาบ้างแล้ว

“แพ้ราบคาบ(完敗*)”
[“คัมไป(乾杯*) เหรอ…”]

ซาซาคุเระนับถือเซเลนที่ร่วมยินดีให้กับอนาคตที่มั่งคงของเพื่อนร่วมชาติ เธอที่ยังเยาว์วัยแต่ก็ตัดสินใจยอมละทิ้งความสุขของตนเพื่อประโยชน์ของผู้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอ นั้นหมายความว่าเธอมีคุณสมบัติของผู้นำเช่นเดียวกับจ่าฝูงอยู่ในตัวแล้ว

แต่เซเลนก็ไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้น เธอไม่ได้ฟังการสนทนาระหว่างบัตเลอร์กับซาซาคุเระเลยด้วยซ้ำ เซเลนแค่ตะโกนออกมาเพราะรู้สึกว่าคราวนี้เธอแพ้ยับเยินเท่านั้น

เป็นความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ในศึกชี้ชะตาระหว่าเซเลนกับมิลานในคืนนั้น ทันทีที่เธอคิดว่าเอาชนะได้แล้ว ก็ถูกสวนกลับด้วยกับดักจนสถานการณ์พลิกหมดทางแก้ไข

ก่อนหน้านี้ก็คิดไว้แล้วว่าไอ้เจ้าชายนั่นมันเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบผิดมนุษย์อย่างกับสัตว์ประหลาด ใครจะไปคิดว่าข้างในตัวมันจะมีสัตว์ประหลาดดำมืดอยู่จริงๆ

จะว่าไป ทางนี้เองก็แอบเลี้ยงพ่อบ้านหนูพูดได้เอาไว้ ทางนั้นเป็นถึงเจ้าชายของประเทศมหาอำนาจ คนระดับนั้นจะแอบเลี้ยงสัตว์ประหลาดเอาไว้ใช้งานสักตัวสองตัวบ้างก็ไม่แปลก

ต้องขอบคุณบัตเลอร์กับซาซาคุเระ ถึงรอดชีวิตมาอยู่ตรงนี้ได้ แต่ก็รอดมาได้อย่างฉิวเฉียดจริงๆ และพอตื่นขึ้นมา ทุกอย่างก็สายเกินแก้ไปไกลแล้ว

หลังจากขอให้ซาซาคุเระไล่ตามเจ้าชายไป เซเลนก็เห็นเพื่อนสนิทของเธอ เจ้าหญิงเอนเต้ กับเพื่อนร่วมชะตา คุมะฮาจิ ถูกควบคุมตัวขึ้นเรือเพื่อส่งไปที่ไหนก็ไม่รู้

“สายเกินไป…”

เซเลนพึมพำออกมาเบาๆด้วนท่าทางผิดหวัง เจ้าชายเริ่มกำจัดคนที่หมดประโยชน์กับคนที่เขาเห็นว่าเป็นตัวเกะกะแล้ว

“แกนะแก…”

 

 

 

อันที่จริงก็อยากจะลงไปตรงนั้นเดี๋ยวนี้ อย่างน้อยก็เพื่อพาอาลัวมาด้วยกัน แต่อีกฝ่ายเป็นถึงผู้ใช้งานสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว ยิ่งเจอเหตุการณ์อย่างคราวที่แล้วเข้าไปก็ยิ่งทำให้ระวังตัวมากขึ้น กับดักในคราวนี้ต้องร้ายแรงกว่าเดิมแน่นอน

 

 

 

ถึงอยากจะไปขอความช่วยเหลือจากเอลฟ์ แต่พวกนั้นก็ดูเหมือนจะเข้าร่วมกับเฮลิฟาเต้ไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจถูกซื้อตัวไปหมดแล้วก็ได้ เรียกง่ายๆว่า ตอนนี้เหลือตัวคนเดียวไม่มีใครให้พึ่งพาได้เลย ประมาทเกินไปที่จะเคลื่อนไหวในเวลานี้ เซเลนยอมรับว่าต้องการพลังที่แข็งแกร่งในการช่วยอาลัวออกมา

 

 

 

―― พลังของมังกรนี่แหละ

 

 

 

เจ้าชายมิลานเหนือกว่าทุกด้าน ขนาดใช้เล่ห์เหลี่ยมก็ยังเอาชนะไม่ได้ แต่ก็จะกลับมาเอาคืนแน่นอน นั่นคือเหตุผลที่เซเลนเขียนข้อความลงบนผ้าผืนนั้นและส่งลงไปให้ เหมือนโยนถุงมือเพื่อท้าดวล

 

 

 

 

 

“เด็กคนนั้น ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย…”

 

 

 

น้ำตาแห่งความตื้นตันไหลออกมาจากดวงตาของอาลัวขณะที่เธอพูด โดยยังคงมองไปยังมังกรที่บินอยู่บนท้องฟ้าอันแจ่มใส

 

 

 

เป็นไปไม่ได้ที่คนตายจะฟื้นคืน สามัญสำนึกที่ไม่ว่าใครก็ทราบกันดี แต่เซเลนคนนี้ก็เคยทำเรื่องที่คนทั่วไปเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จมาแล้ว

 

มิลานและอาลัวมองดูท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มเป็นสีฟ้า ความหม่นหมองที่อยู่ในจิตใจก็จางหายไปเช่นเดียวกัน

 

 

 

“แล้ว สิ่งที่เขียนไว้บนผ้าคืออะไรหรือครับ? ถ้าเซเลนเป็นคนเขียน ผมเชื่อว่ามันจะต้องมีความหมายบางอย่าง”

 

“อันที่จริง… ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คงมีแต่เซเลนเท่านั้นที่เข้าใจ”

 

“งั้นเหรอครับ…”

 

 

 

เมื่อไม่สามารถอ่านข้อความนี้ได้ก็ทำให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานว่ามันถูกเขียนโดยเซเลนตั้งแต่แรก แต่มันก็ได้มอบความหวังไว้ให้พวกเขา

 

 

 

――บนผ้ามีตัวอักษรฮิรางานะเขียนไว้ว่า

 

 

 

“あいるびーばっく!” (I’ll Be Back!)

 

 

 

แล้วฉันจะกลับมา เซเลนพูดประโยคเด็ดจากหนังดังกับตัวเองขณะเกาะอยู่บนหลังของซาซาคุเระที่บินตัดสายลมมุ่งหน้าสู่ยอดเขามังกร

 

 

 

ตั้งแต่ถูกลักพาตัวมาจากอาร์คุยล่าจนมาอยู่ที่เฮลิฟาเต้ ก็ค่อยๆขยายอิทธิพล ได้รู้จักกับเอลฟ์ จนกระทั่งมีโอกาสแทงดาบใส่เจ้าชายได้

 

 

 

ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องไปขยายอิทธิพลต่อที่ยอดเขามังกร ผูกมิตรมังกรไปเรื่อยๆ และจะกลับไปพร้อมกับพลังอันเหนือชั้นเพื่อเอาชนะเจ้าชายและช่วยอาลัวออกมาให้ได้ จากนั้นก็จะสร้างสวนแห่งยูริของแท้ เพื่อเซเลนโดยเซเลน ให้ดู

 

 

 

[“องค์หญิง หนทางข้างหน้าจะยากลำบากกว่าที่เคย แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บัตเลอร์คนนี้จะอยู่เคียงข้างรับใช้องค์หญิงไปชั่วชีวิต”]

 

“อือ! จะพยายาม!”

 

[“ใช่แล้วครับ! ไม่มีบททดสอบใดที่องค์หญิงไม่สามารถผ่านมันไปได้ ไม่มีอุปสรรค์ใดที่องค์หญิงไม่สามารถก้าวข้ามได้ ไม่ว่าจะหนักหนาสักแค่ไหน บัตเลอร์คนนี้จะทำให้มันเป็นเรื่องง่ายเอง ฝากให้กระผมจัดการได้เลยครับ!”]

 

 

 

เซเลนใช้นิ้วลูบหัวบัตเลอร์ที่อยู่บนไหล่เบาๆ บัตเลอร์หลับตา แสดงท่าทางพอใจอย่างมาก

 

 

 

เจ้าชายมิลานเอ๋ย เพลิดเพลินกับชัยชนะในครั้งนี้ให้ดีๆล่ะ อย่าดูถูกเซเลน อาร์คุยล่าคนนี้จะดีกว่า จะคลานขึ้นมาจากก้นบึ้งของนรก ฉุดขาให้ร่วงหล่นลงไปด้วยกันอีกครั้งให้ได้ ล้างคอรอไว้ได้เลย

 

 

 

“ท่านพี่ รอก่อนนะ!”

 

 

 

เซเลนหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง แต่ก็มาไกลเกินกว่าจะมองเห็นอาลัวกับมิลานแล้ว  จากนั้นจึงหันกลับไปมองข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นเพื่อสลัดความกังวลทิ้งไป

 

 

 

และร่างของมังกรแดงก็หายลับไปพร้อมกับเซเลนในท้องฟ้ายามรุ่งสาง

 

 

 

 

 

เมื่อดวงตะวันทอแสง ดวงจันทร์จะจางหาย แต่เพียงแค่มนุษย์มองไม่เห็นก็ไม่ได้หมายความว่าดวงจันทร์จะหายไปจริงๆ ไม่มีราตรีที่ไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับไม่มีดวงตะวันที่ไม่เคยตกดิน เมื่อใดที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดวงจันทร์จะกลับมาส่องสว่างอีกครั้ง

 

 

 

ตำนานของราชาแห่งดวงตะวัน มิลาน เฮลิฟาเต้ เคียงคู่กับ เจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน อาร์คุยล่า กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เพียงแต่ในตอนนี้ยังไม่มีใครรับรู้เท่านั้น

 

 

 

____________________

 

* ออกเสียงเหมือนกัน

 

完敗(Kanpai)=แพ้หลุดลุ่ย, แพ้ราบคาบ, แพ้ยับเยิน

 

乾杯(Kanpai)=ดื่ม, ชนแก้ว (ในงานเลี้ยงฉลอง)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+