[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 46.11: เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน3)

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 46.11: เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนพิเศษ 11

เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน3)

 

 

   หลังจากผ่านพ้นขั้นตอนที่ยากที่สุดซึ่งก็คือการเกลี้ยกล่อมมารีมาได้แล้ว การเตรียมการในส่วนที่เหลือก็ทำได้อย่างไม่มีปัญหา โดยสรุปคร่าวๆว่า การเดินทางในครั้งนี้มีเป้าหมายหลักคือการกลับบ้านเกิดของคุมะฮาจิ โดยงานของมารีในฐานะเอกอัครราชทูตคือของแถม และสุดท้ายคือเซเลนที่มีไว้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับมารี เรียกได้ว่าเป็นของแถมในของแถมอีกทีนั่นเอง

 

“ครั้งนี้ท่านพ่อทำเกินไปจริงๆ ระยะทางแค่ไม่กี่วัน ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย”

“ไม่แปลกขอรับ เพราะผู้โดยสารเป็นถึงเจ้าหญิงมารีเบล และยังมีนักบวชแห่งเอลฟ์ ท่านเซเลนอีก แต่ถ้าจะให้ข้าน้อยเดินทางกลับบ้านด้วยด้วยสิ่งนี้ มันก็น่าอายจริงๆแหละขอรับ”

 

  ทันทีที่ราชาชวานได้รับรายงานว่า คุมะฮาจิจะเดินทางไปยังประเทศทางตะวันออกโดยมีมารีกับเซเลนร่วมเดินทางไปด้วย ก็ได้สั่งให้นำเรือสำเภาขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นเรือธงพระที่นั่งมาใช้งาน ทั้งที่จริง ระยะห่างทางทะเลของประเทศนั้นก็ไม่ได้ห่างไกลมากมาย ถ้าเป็นการเดินทางของคุมะฮาจิเพียงคนเดียว เขาก็จะเลือกใช้เรือสำเภาทั่วไปก็เพียงพอ

 

   แต่มันก็เป็นการเดินทางของเจ้าหญิงลำดับหนึ่ง มารีเบล เฮลิฟาลเต้ และ มนุษย์เพียงหนึ่งเดียวผู้มีตำแหน่งสูงในเผ่าเอลฟ์ เซเลน เพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัยของบุคคลสำคัญทั้งสอง จึงต้องเป็นเรื่อที่เดินหน้าฝ่าพายุและคลื่นทะเลอันรุนแรงได้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งลูกเรือชั้นยอด และยังมีทหารมากฝีมือที่นำโดยคุมะฮาจิ บนใบเรือก็มีลวดลายเป็นตรารูปนกอินทรีย์ขนาดใหญ่ เห็นชัดมาแต่ไกล โจรสลัดหน้าไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้เรือลำนี้

 

“แล้วเซเลนล่ะ?”

“กำลังสนุกอยู่ตรงโน้นขอรับ”

 

   คุมะฮาจิหันไปทางดาดฟ้าหัวเรื่อที่มีเซเลนในชุดสีขาวที่สวมเป็นประจำพร้อมหมวกบังแดดใบใหญ่ กำลังมองไปยังผืนทะเลอันกว้างใหญ่ที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์เป็นประกายสวยงาม

 

“ทะเลล่ะ!”

[“ฮ่าฮ่า สำหรับกระผมแล้ว การที่เห็นองค์หญิงตื่นเต้นขนาดนี้ทำให้แปลกใจมากกว่าอีก แต่ก็เป็นครั้งแรกที่องค์หญิงได้เห็นทะเล กระผมเข้าใจดีครับ”]

 

  บัตเลอร์ยืนอยู่บนราวกั้น มองดูเจ้านายของเขาด้วยรอยิ้ม เซเลนที่อยู่แต่ในห้องแคบๆมานาน ได้มีโอกาสมาเห็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่กับตา หนึ่งในความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของบัตเลอร์ ที่ต้องการให้เซเลนได้เห็นว่าโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด น่ายินดีเหลือเกินที่วันนี้มันกลายเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว

 

   อันที่จริง ตอนเป็นชายวัยกลางคนก็เคยไปที่อาตามิ* มาหลายครั้ง จึงไม่ใช่การมาทะเลครั้งแรก แต่ถ้านับเฉพาะชีวิตของเซเลนก็ถือว่าพูดไม่ผิดสักเท่าไหร่ 

 

   และไม่ได้มีแต่บัตเลอร์เท่านั้นที่มองเธอด้วยความเอ็นดู ยังมีคุมะฮาจิ มารี และลูกเรือบริเวณนั้นอีกหลายคน จ้องมองไปที่เด็กสาวผู้น่ารักที่แสดงอาการตื่นตาตื่นใจไปกับทะเลภายใต้แสงอาทิตย์อันสดใสอยู่บนดาดฟ้า

 

“อุหวา!”

 

   แต่ไม่นาน เซเลนก็ถอยออกมา เพราะเธอไม่ได้สนใจทะเลเป็นพิเศษ ที่มองออกไปเพราะข้างหน้ามีซาซิมิและเม่นทะเลเป็นเป้าหมาย ของอร่อยที่ไม่ได้กินมานาน และถึงจะเป็นชีวิตก่อนก็ไม่มีโอกาสได้กินของฟุ่มเฟือยเช่นนี้มากนัก ถ้าไม่ตื่นเต้นกับอาหารมือนี้ก็ไม่ตื่นเต้นกับอาหารมือไหนได้อีกแล้ว เธอคาดหวังไว้อย่างมากว่าการเดินทางในครั้งนี้จะมีอะไรรอเธออยู่อีก

 

“อุ… แหวะ….!!”

[“องค์หญิง! ไม่สบายหรือครับ!?”]

 

   แน่นอนว่าสิ่งที่รออยู่คืออาการเมาเรือ เป็นเรื่องปรกติเพราะเซเลนไม่เคยเดินทางโดยเรือ ถึงจะเป็นเรือเดินสมุทรที่ดีที่สุดในเฮลิฟาลเต้ แต่เมื่อเป็นการเดินทางออกสู่ทะเล ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่โคลงเลย ทำให้เซเลนมีอาการเมาเรืออย่างรุนแรง รู้สึกถึงอาหารที่อยู่ในกระเพาะกำลังแหวกว่ายเหมือนปลาในทะเล พร้อมที่จะกระโจนออกมาทางที่เข้าไปได้ทุกเมื่อ

 

  เนื่องจากเซเลนได้แต่นอนซมจนไม่ได้ออกมาก่อปัญหาอะไร คุมะฮาจิและคนอื่นๆจึงล่องเรือข้ามผ่านทะเลได้โดยราบรื่นตามกำหนดการ จนมาถึงแผ่นดินของประเทศที่เป็นเกาะขนาดใหญ่ เมื่อเข้าฝั่งก็ทำให้ผู้คนในพื้นที่ให้ความสนใจ เรื่องประมงท้องถิ่นดูเล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับเรือขนาดใหญ่ที่เห็นชัดมาแต่ไกลลำนี้

 

“โชคดีที่มาถึงฝั่งได้โดยไม่มีปัญหาขอรับ ท่านเซเลนจะได้พักฟื้นเสียที”

“อือ แต่ว่า เรือระดับนี้มาเทียบท่าแล้วก็ไม่มีใครมาต้อนรับเลยนะ”

 

   มารีมองไปรอบๆดูทิวทัศน์ที่แปลกตาขณะพยุงเซเลนที่มีอาการหนักจวนสิ้นใจเอาไว้ ประชาชนในพื้นที่มีแต่ผมสีดำเหมือนกันทุกคน และเธอก็รู้ตัวว่าในทางกลับกัน พวกเธอต่างหากที่ดูแปลก

   มารีก้าวลงจากเรือ เตรียมใจรับความไม่เป็นมิตรที่อาจจะต้องเผชิญในดินแดนนี้ แต่อย่างมากก็มีแค่คนที่สวมชุดกิโมโนแบบเดียวกับคุมะฮาจิมองมาทางนี้และซุบซิบอะไรบางอย่าง ไม่รู้สึกถึงเจตนาร้าย

 

“ไม่ใช่ว่าทางนี้ต่อต้านประเทศอื่นโดยสมบูรณ์หรอกขอรับ แค่ไม่เคยมีเรือใหญ่ขนาดเท่าเรือของเฮลิฟาลเต้ลำนี้เทียบท่ามาก่อนจึงเป็นที่สนใจขอรับ”

“งั้นเหรอ? แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่ต้องทำในฐานะเอกอัครราชทูตก็ไม่เปลี่ยน จะทำให้ทั้งโลกรู้จักชื่อของมารีเบลผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ให้ได้”

 

  ถ้ารู้ว่าคนพวกนั้นจะไม่โจมตีเข้ามาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ในเมื่อตนเองเป็นเจ้าหญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีป และเป็นคนที่ถูกคาดหวัง ต้องทำให้ขุนนางตระกูลนักรบสักคนสองคนในเกาะนี้คุกเข่าต่อหน้าได้อยู่แล้ว ตราบใดที่น้องสาว เซเลน ยังมองมาทางนี้ จะต้องทำให้ได้

 

  แต่เซเลนก็ไม่ได้มองไปที่มารี เพราะไม่ใช่เวลาที่จะทำแบบนั้น ตอนที่อยู่บนเรือเธอรับประทานอาหารได้น้อยมากเพราะอาการย่ำแย่ หากไม่รีบหายเป็นปรกติก็อาจจะทำให้อดซาซิมิและเม่นทะเลได้

 

  ในหัวของเซเลนมีแต่ซาซิมิและเม่นทะเลเท่านั้น ไม่แน่ว่าสมองของเธอก็อาจจะกลายเป็นมิโซะมันปู(Kani Miso**)ไปแล้ว จึงไม่ได้ยินการสนทนาระหว่างคุมะฮาจิกับมารีเลย เซเลนได้แต่จดจ่ออยู่กับความต้องการของเธอเพียงอย่างเดียว

 

 

   ◆ ◇ ◆◇ ◆

 

 

“ให้ตายเถอะ! เจ้าพวกนั้น! คิดว่าฉันคนนี้เป็นใครกัน!”

“อาจเป็นเพราะไม่มีการแจ้งไปล่วงหน้าขอรับ ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นเช่นนี้”

 

 มารีที่กำลังหงุดหงิด เดินไปตามถนนสายหนึ่ง สิ่งปลูกสร้างรอบข้างมีบ้านไม้ชั้นเดียวเป็นหลัก ก่อนหน้านี้เธอได้ไปทักทายขุนนางตระกูลนักรบที่มีอำนาจในพื้นที่นี้ตามคำบอกเล่าของคุมะฮาจิ แต่การพูดคุยก็ไม่ค่อยราบรื่นนัก

 

  อย่างน้อยคนในประเทศนี้ก็เคยได้ยินชื่อเฮลิฟาลเต้กันมาบ้าง ประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินใหญ่ เมื่อรู้ว่ามีเอกอัครราชทูตจากประเทศนั้นมาขอเข้าพบก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่คนที่เข้ามากลับเป็นเด็กผู้หญิงสองคน มารีกับเซเลนจึงไม่ได้รับความน่าเชื่อถือเท่าที่ควร

   สุดท้าย มารีก็ทำได้แค่ยื่นจดหมายแสดงเจตจำนงที่ออกโดยหน่วยงานราชการของเฮลิฟาลเต้ให้อีกฝ่าย ซึ่งเป็นงานง่ายๆไม่ต่างกับคนส่งจดหมาย

 

“เดินทางมาตั้งไกลเพื่อให้ทางนั้นไล่กลับเนี่ยนะ! ไม่คิดจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับสักนิดเลยเหรอ?”

“อย่างที่ทราบนั้นแหละขอรับ พิธีการของประเทศนี้แตกต่างจากที่ทำกันอยู่ในทวีป การที่ขุนนางตระกูลนักรบยอมให้คนแปลกหน้าเข้าพบโดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าก็ถือว่าเป็นกรณีพิเศษได้แล้วขอรับ”

 

  ไม่ใช่คำพูดเพื่อปลอบใจมารี คุมะฮาจิแค่บอกให้รู้ไว้ ตามเป้าหมายดังเดิมของมิลานที่ทุกคนเข้าใจกันดี จุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้คือให้คุมะฮาจิกลับบ้านเกิดและหาของใช้ที่จำเป็น โดยที่ให้มารีได้มีประสบการณ์การเจรจาด้วยตนเองขณะที่อยู่ที่นี่

   ประเทศที่อิทธิพลจากในทวีปเข้าไม่ถึง แต่ถ้าอ้างชื่อเฮลิฟาลเต้ออกไป อย่างน้อยก็จะทำให้ได้รับอนุญาตให้เข้าพบ ซึ่งก็หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องมีการดำเนินการใดๆมากไปกว่านั้น 

 

   ในฐานะผู้ติดตาม จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด ทำแค่ไม่ให้มารีหมดกำลังใจไปเสียก่อนก็พอ และไม่ต้องการให้มารีใกล้ชิดสนิทสนมกับขุนนางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไปอีกด้วย เพราะฉะนั้น เรียกได้ว่าเขาปฏิบัติงานได้ตามความคำสั่งที่ได้รับมาจากพี่ชายของเธอได้เรียบร้อยดีแล้ว

 

“(ท่านเซเลนต้องเข้าใจแน่)”

 

   ในฐานะราชวงศ์ มารีต้องการการต้อนรับอย่างสมเกียรติแต่ก็ไม่เป็นไปตามที่หวังจนต้องมาโวยวายอยู่อย่างนี้ ส่วนเซเลนก็นั่งกินมิทาราชิดังโงะอยู่ที่ร้านน้ำชาอย่างสบายใจ

 

“เยี่ยม อร่อย”

“[องค์หญิง กรุณาวางตัวให้เหมาะสมด้วยนะครับ กระผมเข้าใจดีว่าท่านชื่นชอบอาหารชนิดนี้ แต่ก็อย่าได้จดจ่อมากเกินไป]”

“รู้แล้ว”

 

   เมื่อถูกเตือนโดยบัตเลอร์ที่แอบอยู่ในเสื้อ เซเลนก็ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจและกินดังโงะต่อไป คุมะฮาจิเข้าใจว่า เซเลนเข้าใจจุดประสงค์ของงานนี้ เมื่อมีการเข้าพบขุนนางของประเทศอื่นสักครั้งก็ถือว่าจัดการธุระได้เรียบร้อยแล้ว เธอจึงมานั่งอย่างสบายใจอยู่ตรงนี้ได้

 

   อันที่จริง เซเลนไม่มีทางเข้าใจเรื่องยากๆแบนี้ได้อยู่แล้ว เพราะหายจากอาการเมาเรือแล้วก็ได้เวลากิน จึงตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

 

   ในเวลาที่เซเลนกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หรือรับประทานอาหาร เธอจะมีสีหน้านิ่งเฉย ต่อให้กำลังวางแผนชั้วร้ายหรือคิดถึงรสชาติของอาหารอยู่ คนอื่นก็จะเห็นว่าเธอเป็นเด็กที่สุภาพเรียบร้อย

 

  ขณะเซเลนกินอาหารว่างอยู่ที่ร้านน้ำชาอย่างไม่สนใจใคร มารีก็เดินย่ำพื้นอย่างหงุดหงิดอยู่รอบๆจนคุมะฮาจิถอนหายใจและพยายามพูดให้ใจเย็นลง

 

“ขั้นแรกคือการแสดงให้พวกเขาเห็นว่าทางเราไม่มีเจตนาร้าย เข้าหาด้วยความเป็นมิตร ไม่มีการใช้กำลังข่มขู่ ตัวท่านเองก็ทำส่วนนี้ออกมาได้อย่างดีเยี่ยมแล้วขอรับ เอาผลงานนี้กลับไปโอ้อวดได้อย่างภาคภูมิใจได้เลยขอรับ”

“ที่พูดมาก็มีเหตุผล แต่ก็ยังพอใจแค่นี้ไม่ได้ จนกว่าจะมีขุนนางสักตระกูลยอมรับให้เป็นพันธมิตร ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม! จะไม่ยอมกลับจนกว่าจะทำให้สำเร็จ คอยดูสิ!”

“อืม… ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจ…”

 

  คุมะฮาจิได้แต่ขมวดคิ้ว ผลลัพธ์ที่คุมะฮาจิต้องการคือให้มารีส่งจดหมายแสดงเจตจำนงให้แก่ตระกูลนักรบสักตระกูล ภารกิจก็จะเสร็จสิ้น และไปเยี่ยมบ้านของตน จากนั้นก็กลับเฮลิฟาลเต้พร้อมกับเด็กสาวคนนี้

 

   แต่ตอนนี้ จากการที่เธอถูกปฏิบัติอย่างไม่สมเกียรติได้ไปปลุกจิตวิญญาณแห่งการชอบเอาชนะของมารีจนกลายมาเป็นเช่นนี้ หนึ่งในนิสัยของมารีที่ได้รับมาจากพ่อของเธอ และถ้าพูดถึงนิสัยเกลียดความพ่ายแพ้ มารีมีมากกว่ามิลานมากนัก

 

“อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีตระกูลนักรบอื่นที่เข้าพบได้อยู่อีกขอรับ”

“เอ๋ จริงเหรอ!? อยู่ไหนล่ะ!?”

“…บ้านตระกูลของข้าน้อยเองขอรับ”

“อ๊ะ”

 

 มารีมองตาค้าง เช่นเดียวกับเซเลนที่กินดังโงะหมดแล้วจึงหันมาฟัง

 

“คุมะฮาจิ เป็นชนชั้นสูงหรอกเหรอ!?”

“ไม่ได้ใหญ่โตนักหรอกขอรับ การไปทักทายทางนั้นก็อยู่ในแผนการของข้าน้อยอยู่แล้ว หากเป็นบ้านพี่ชายของข้าน้อยก็พอจะคาดหวังการต้อนรับได้ระดับหนึ่งด้วยขอรับ”

“หมี ไม่ได้ มาจากป่า?”

“นั่นสิ ฉันเคยคิดไว้ว่าเป็นนายพรานหรืออะไรทำนองนั้นซะอีก….”

“…ท่านทั้งสองเห็นข้าน้อยเป็นคนอย่างไรกันขอรับ หากไร้ความสามารถในการอ่าน เขียน คำนวณ ข้าน้อยก็ไม่มีทางไปถึงเฮลิฟาลเต้ได้หรอกขอรับ”

 

   มาริกับเซเลนคิดในเรื่องเดียวกันและหันมามองหน้ากัน ซึ่งเป็นการทำร้ายจิตใจคุมะฮาจิพอสมควร เขากระแอมและเริ่มพูดเรื่องทางบ้านของเขาต่อ

 

“ตัวข้าน้อยเองก็ไม่เชิงเป็นชนชั้นสูงหรอกขอรับ เพราะมีรูปลักษณ์เช่นนี้คงจะทำให้นึกไม่ถึง… บ้านของข้าน้อยถึงจะนับเป็นขุนนางฝ่ายทหาร แต่ก็ไม่ได้มียศที่สูง สภาพความเป็นอยู่บนเรืออาจจะยังสะดวกสบายกว่าอีกขอรับ”

 

  เพราะเป็นเรือประจำตัวของกษัตริย์เฮลิฟาลเต้ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในจึงไม่เป็นรองใคร เพื่อตัดความเครียดจากการอาศัยในพื้นที่แคบบนเรือตลอดการเดินทางออกไปจนหมด ด้วยเครื่องเรือนหรูหราดูแล้วสบายตา สิ่งบันเทิงฆ่าเวลา หนังสือให้อ่านมากมาย เตียงและชุดเครื่องนอนคุณภาพสูงไม่แพ้ของในวัง 

 

“ไม่มีปัญหา คุมะฮาจิ นำทางไปบ้านตระกูลของนายได้เลย พี่ชายของนาย คาเงะโทระใช่ไหม? คนที่เป็นหัวหน้าตระกูลอยู่ตอนนี้น่ะ?”

“ถูกต้องขอรับ พี่ชายเป็นคนจุกจิกเรื่องมากแต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดี และก็จะขอย้ำอีกครั้งว่าเป็นตระกูลที่มียศไม่สูงนัก เป็นระดับล่างที่ค่อนไปทางกลางขอรับ…”

“อย่ามาดูถูกกันสิ ถ้าวัดกันจริงๆก็ระดับกลางนั่นแหละ”

 

  เสียงตอบกลับที่ดังมาจากนอกวงสนทนาทำให้คุมะฮาจิจับดาบที่เอวในท่าเตรียมใช้งาน ทหารคนคุ้มกันคนอื่นๆเห็นก็เข้ามาอยู่ล้อมรอบมารี แต่ชายคนดังกล่าวก็เดินเข้ามาใกล้โดยไม่สนใจทหารผีมือดีที่เรียงรายกันอยู่

 

“อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที นี่หรือวิธีทักทายของแก แต่ว่า ตอบสนองได้เร็วอย่างนี้ แสดงว่าฝึกมาดี”

“พี่!?”

 

   มารีกับเซเลนก็ได้แปลกใจอีกครั้งเมื่อได้ยินคุมะฮาจิเรียกชายคนนั้นว่าพี่

 

  หากเป็นคนเดียวกับที่คุมะฮาจิเคยกล่าวถึง ชายคนนี้คือคาเงะโทระ ถึงจะบอกว่าเป็นพี่น้อง แต่ภายนอกก็ดูแตกต่างจากคุมะฮาจิเป็นอย่างมาก คาเงะโทระมีร่างกายไม่สูงแต่ก็มีรูปร่างโปร่ง สวมแว่นตากับชุดฮากามะสีขาวกับดำปราศจากสีสันจนดูมืดมน ดวงตาที่อยู่หลังเลนส์เฉียบคมราวหมาป่าแม้จะดูผอมแห้งไปบ้าง

 

“เอ่อ ท่านพี่!? มีธุระแถวนี้หรือขอรับ?”

“คนทั้งเมืองกำลังพูดถึงแต่เรือยักษ์ที่เข้ามาเทียบท่า บนเรือประดับตรานกอินทรีไว้ทั่ว แค่นี้ก็น่าจะเดาได้แล้วว่ามันมาจากเฮลิฟาลเต้ไม่ใช่หรือ? ถ้าใช่ก็แสดงว่าแกกลับมาถึงแล้ว แต่ก็ไม่โผล่หน้ามาที่บ้านสักที จึงต้องออกตามหาอยู่นี่ไงล่ะ”

 

   คาเงะโทระบ่นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย และหันไปทางมารีกับเซเลน

 

“เห็นบอกในจดหมายว่าแกมีตำแหน่งใหญ่โตในประเทศมหาอำนาจ ตำแหน่งใหญ่โตที่ว่าคือพี่เลี้ยงเด็กเองหรอกหรือ?”

“ไม่ใช่เด็กนะ! เจ้าหญิงลำดับหนึ่งและเอกอัครราชทูตเฮลิฟาลเต้ มารีเบล! และนี่คือเซเลน เป็นน้องสาว”

“สวัสดี”

 

   มารีมีอาการไม่พอใจเพราะถูกปฏิบัติเหมือนเธอเป็นเด็ก ตรงข้ามกับเซเลนที่ทักทายและโค้งให้อย่างบอบน้อม ใครจะว่าอะไรก็ไม่สำคัญ เธอต้องการให้เสร็จธุระแล้วถึงเวลาอาหารเร็วๆเท่านั้น ดังโงะก็อร่อยดี แต่ก็ยังมีซาซิมิกับเม่นทะเลรออยู่อีก จะมาคุยกันตรงนี้ให้เสียเวลากันทำไม ไปกินกันได้แล้ว เซเลนสนใจเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น

 

“เจ้าหญิงลำดับหนึ่งแห่งเฮลิฟาลเต้… เสียมารยาทไปแล้วสิ ขออภัยด้วย ข้า คาเงะโทระ เป็นขุนนางฝ่ายทหารที่ไม่ได้ใหญ่โตนักตามที่น้องชายกล่าวไว้ แต่ก็รับใช้ประเทศชาติอย่างภาคภูมิใจ”

“อ่า เข้าใจก็ดีแล้ว… ที่จริงก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกให้รู้ไว้เฉยๆ  แค่นี้แหละ…”

 

  คาเงะโทระเชื่อคำพูดของมารีอย่างว่าง่ายและพูดขอโทษออกมาทันที ทำให้มารีต้องปรับเปลี่ยนวิธีการพูดของเธอตามไปด้วย แต่มารีก็คิดคำพูดออกมาไม่ทัน

 

  แม้ว่ามารีจะมุ่งมั่นในการเจรจาครั้งนี้มาก แต่เธอก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะเปิดประเด็นการสนทนากับพวกผู้ใหญ่อย่างไร ยิ่งเป็นประเทศที่รู้จักนี้ด้วย คุมะฮาจิก็เหมือนจะอ่านสถานการณ์ออกจึงคิดจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่เซเลนก็เข้ามาแทรกโดยไม่ได้สังเกตถึงความอึดอัดของมารี

 

“อยากกิน ซาซิมิ”

“ซาซิมิ?”

 

  คำพูดจากเด็กสาวสีขาวทำให้คาเงะโทระหันไปมองด้วยความสงสัย แต่ก็ทำให้มารีคิดอะไรบางอย่างออกมาได้

 

“ใช่แล้ว! ซาซิมิไงล่ะ! เพราะเคยได้ยินว่าประเทศนี้มีวัฒนธรรมการกินของดิบที่เรียกว่าซาซิมิสินะ ที่เซเลนบอกว่า ‘อยากกินซาซิมิ’ ก็หมายถึงอยากให้ทางเราได้รู้จักวัฒนธรรมของประเทศนี้ หรืออยากแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันใช่ไหม? เซเลน?”

“เอ๋? อือ ใช่”

 

  เซเลนหมายความตามที่พูด ขอซาซิมิเป็นอาหารรับรองหากต้องไปที่บ้านของคุมะฮาจิ แต่ไม่รู้ว่าทำไม มารีถึงพูดเหมือนอยากให้เฮลิฟาลเต้ได้รู้จักซาซิมิไปด้วย ถึงเซเลนจะไม่เข้าใจแต่ก็เห็นด้วย เพราะถ้ามันทำให้เธอได้กินอาหารแบบนี้ที่เฮลิฟาลเต้ได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

 

  ทางด้านของมารี แม้ว่าเธอไม่อยากพูดถึงซาซิมิ แต่ก็รู้สึกยินดีที่เซเลนยกตัวอย่างเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะได้หัวข้อสนทนาได้อีกหลายเรื่อง เซเลนสนับสนุนได้อย่างแนบเนียน น้องสาวคนนี้ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ 

 

“เจ้าหญิงมารีเบลสนใจในวัฒนธรรมของทางเรา?”

“อือ จะได้รู้จักกันให้มากขึ้นยังไงล่ะ”

“งั้นรึ…”

 

 คาเงะโทระเงยหน้าหลับตาครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะหันกลับมามองเข้าไปในดวงตาของมารี

 

“ถ้าอย่างนั้น ขอเชิญเจ้าหญิงมารีเบลกับท่านเซเลนมาเป็นแขกผู้มีเกียรติที่บ้านของข้าก่อน น้องชายกลับมาบ้านทั้งที พวกเราไปคุยกันต่อที่บ้านของข้ากันเถอะ”

“ท่านพี่ เอาจริงรึ?”

“ตามที่พูดนั่นแหละ ถ้ามีปัญหาอะไรก็เอาไว้ว่ากันที่บ้าน ”

 

   ทันทีที่พูดจบ คาเงะโทระหันหลังเดินนำไปทันที มารีและคนอื่นๆจึงต้องรีบเดินตามไปให้ทัน

 

“การที่คนของประเทศนี้เชิญชาวต่างชาติมาเป็นแขก เรียกได้ว่าหายากมากขอรับ ยิ่งเป็นคนเรื่องมากอย่างพี่ชายของข้าน้อยด้วย เขาคงเห็นบางอย่างในตัวของท่าน แต่ไม่ว่าอย่างไร ภารกิจนี้ไปได้สวยแน่ขอรับ”

“ก็ไม่รู้สินะ ที่สำคัญคือเรื่องต่อจากนี้ต่างหาก จะต้องทำให้มาเป็นพวกให้ได้ ไปกันเถอะ!”

 

  มารีเดินตามไปอย่างร่าเริง ถัดไปมีคุมะฮาจิกับเซเลนตามมาใกล้ๆ และด้านหลังมีกองทหารคุ้มกันอีกหลายนายเดินเรียงแถว เป็นขบวนที่ดูแปลกตาจนเป็นที่สนใจของชาวเมืองบริเวณนั้น แต่คาเงะโทระที่อยู่หน้าสุดก็ไม่สนใจและเดินต่อไปเหมือนเป็นเรื่องปรกติ

 

   หลังจากออกมาจากแหล่งชุมชนก็มาถึงพื้นที่การเกษตรเป็นทุ่งนากว้างขวาง ไกลออกไปก็พบกับกำแพงรั้วสูงระดับศีรษะของผู้ใหญ่ และข้างในนั้นก็มีบ้านหลังโตราวกับคฤหาสน์

  เมื่อผ่านกำแพงมาช่วงหนึ่งก็พบกับประตูไม้ทางเข้ากับระฆังขนาดย่อมแขวนไว้ข้างประตู คาเงะโทระดึงสายระฆังจนเกิดเป็นเสียงดัง สักพักหนึ่งก็มีเสียงไม้สลักประตูถูกนำออก เด็กสาวคนหนึ่งก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับไม้กวาดไม้ไผ่ในมือ

 

  เด็กคนนั้นดูอายุพอๆกับมารีและเซเลน ผมยาวถึงช่วงบ่าสีดำเงางาม สวมกิโมโนสีขาวลายดอกผักบุ้ง ให้บรรยากาศเหมือนผู้ใหญ่

 

“ยินดีต้อนรับกลับ ท่านคาเงะโทระ เอ๋? คนพวกนี้คือ…”

“ชาวต่างชาติกลุ่มนี้คือคณะทูตจากแผ่นดินใหญ่ ส่วนหมอนี่คือคุมะฮาจิ น้องชายของข้าเอง หน้าตาอย่างกับโจรแต่ก็ไม่กัดหรอก ไม่ต้องกลัว”

 

  เด็กสาวกำไม้กวาดไว้แน่นทั้งสองมือ ดูเหมือนเธอจะกลัวคนแปลกหน้า คาเงะโทระจึงลูบหัวเธอเบาๆ สีหน้าของเธอจึงดูดีขึ้นมาบ้าง

 

“ประเดี๋ยวก่อน ท่านพี่ ถึงจะยังติดใจเรื่องที่พูดตอนแนะนำตัวข้าน้อยก็เถอะ แต่ว่า เด็กสาวผู้นี้เป็นใครกัน?”

 

   คุมะฮาจิอยากจะบ่นออกมาแต่ก็เก็บเอาไว้ก่อน คาเงะโทระปล่อยมือที่ลูบหัวเด็กสาวออก และเริ่มแนะนำตัวคนทางฝั่งของเขา

 

“เด็กคนนี้คือฮิโนเอะ คู่หมั้นของข้าเอง เป็นผู้ครอบครองพลังต้องสาป แต่ก็กรุณาให้เกียรติเธอด้วย”

“ครอบครอง… พลังต้องสาป”

 

   เมื่อได้ยินคำว่า ‘พลังต้องสาป’ ท่าทางของคุมะฮาจิก็เปลี่ยนไป มารีกับเซเลนที่อยู่ใกล้ๆได้แต่มองหน้ากัน ในตอนนี้ทั้งสองไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร

 

____________________

*อาตามิ เมืองติดทะเลในจังหวัดชิซูโอกะ(จังหวัดเดียวกับภูเขาฟูจิ)

 

** カニ味噌 – Kani Miso – มิโซะมันปู

มันปูปรุงรส รูปร่างเหมือนก้อนโคลนสีเขียวอมน้ำตาล มักนำไปย่างพร้อมกับกระดองปูทำให้ดูเหมือนสมองของปู

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ 46.11: เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน3)

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter 46.11: เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนพิเศษ 11

เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน3)

 

 

   หลังจากผ่านพ้นขั้นตอนที่ยากที่สุดซึ่งก็คือการเกลี้ยกล่อมมารีมาได้แล้ว การเตรียมการในส่วนที่เหลือก็ทำได้อย่างไม่มีปัญหา โดยสรุปคร่าวๆว่า การเดินทางในครั้งนี้มีเป้าหมายหลักคือการกลับบ้านเกิดของคุมะฮาจิ โดยงานของมารีในฐานะเอกอัครราชทูตคือของแถม และสุดท้ายคือเซเลนที่มีไว้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับมารี เรียกได้ว่าเป็นของแถมในของแถมอีกทีนั่นเอง

 

“ครั้งนี้ท่านพ่อทำเกินไปจริงๆ ระยะทางแค่ไม่กี่วัน ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย”

“ไม่แปลกขอรับ เพราะผู้โดยสารเป็นถึงเจ้าหญิงมารีเบล และยังมีนักบวชแห่งเอลฟ์ ท่านเซเลนอีก แต่ถ้าจะให้ข้าน้อยเดินทางกลับบ้านด้วยด้วยสิ่งนี้ มันก็น่าอายจริงๆแหละขอรับ”

 

  ทันทีที่ราชาชวานได้รับรายงานว่า คุมะฮาจิจะเดินทางไปยังประเทศทางตะวันออกโดยมีมารีกับเซเลนร่วมเดินทางไปด้วย ก็ได้สั่งให้นำเรือสำเภาขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นเรือธงพระที่นั่งมาใช้งาน ทั้งที่จริง ระยะห่างทางทะเลของประเทศนั้นก็ไม่ได้ห่างไกลมากมาย ถ้าเป็นการเดินทางของคุมะฮาจิเพียงคนเดียว เขาก็จะเลือกใช้เรือสำเภาทั่วไปก็เพียงพอ

 

   แต่มันก็เป็นการเดินทางของเจ้าหญิงลำดับหนึ่ง มารีเบล เฮลิฟาลเต้ และ มนุษย์เพียงหนึ่งเดียวผู้มีตำแหน่งสูงในเผ่าเอลฟ์ เซเลน เพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัยของบุคคลสำคัญทั้งสอง จึงต้องเป็นเรื่อที่เดินหน้าฝ่าพายุและคลื่นทะเลอันรุนแรงได้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งลูกเรือชั้นยอด และยังมีทหารมากฝีมือที่นำโดยคุมะฮาจิ บนใบเรือก็มีลวดลายเป็นตรารูปนกอินทรีย์ขนาดใหญ่ เห็นชัดมาแต่ไกล โจรสลัดหน้าไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้เรือลำนี้

 

“แล้วเซเลนล่ะ?”

“กำลังสนุกอยู่ตรงโน้นขอรับ”

 

   คุมะฮาจิหันไปทางดาดฟ้าหัวเรื่อที่มีเซเลนในชุดสีขาวที่สวมเป็นประจำพร้อมหมวกบังแดดใบใหญ่ กำลังมองไปยังผืนทะเลอันกว้างใหญ่ที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์เป็นประกายสวยงาม

 

“ทะเลล่ะ!”

[“ฮ่าฮ่า สำหรับกระผมแล้ว การที่เห็นองค์หญิงตื่นเต้นขนาดนี้ทำให้แปลกใจมากกว่าอีก แต่ก็เป็นครั้งแรกที่องค์หญิงได้เห็นทะเล กระผมเข้าใจดีครับ”]

 

  บัตเลอร์ยืนอยู่บนราวกั้น มองดูเจ้านายของเขาด้วยรอยิ้ม เซเลนที่อยู่แต่ในห้องแคบๆมานาน ได้มีโอกาสมาเห็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่กับตา หนึ่งในความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของบัตเลอร์ ที่ต้องการให้เซเลนได้เห็นว่าโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด น่ายินดีเหลือเกินที่วันนี้มันกลายเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว

 

   อันที่จริง ตอนเป็นชายวัยกลางคนก็เคยไปที่อาตามิ* มาหลายครั้ง จึงไม่ใช่การมาทะเลครั้งแรก แต่ถ้านับเฉพาะชีวิตของเซเลนก็ถือว่าพูดไม่ผิดสักเท่าไหร่ 

 

   และไม่ได้มีแต่บัตเลอร์เท่านั้นที่มองเธอด้วยความเอ็นดู ยังมีคุมะฮาจิ มารี และลูกเรือบริเวณนั้นอีกหลายคน จ้องมองไปที่เด็กสาวผู้น่ารักที่แสดงอาการตื่นตาตื่นใจไปกับทะเลภายใต้แสงอาทิตย์อันสดใสอยู่บนดาดฟ้า

 

“อุหวา!”

 

   แต่ไม่นาน เซเลนก็ถอยออกมา เพราะเธอไม่ได้สนใจทะเลเป็นพิเศษ ที่มองออกไปเพราะข้างหน้ามีซาซิมิและเม่นทะเลเป็นเป้าหมาย ของอร่อยที่ไม่ได้กินมานาน และถึงจะเป็นชีวิตก่อนก็ไม่มีโอกาสได้กินของฟุ่มเฟือยเช่นนี้มากนัก ถ้าไม่ตื่นเต้นกับอาหารมือนี้ก็ไม่ตื่นเต้นกับอาหารมือไหนได้อีกแล้ว เธอคาดหวังไว้อย่างมากว่าการเดินทางในครั้งนี้จะมีอะไรรอเธออยู่อีก

 

“อุ… แหวะ….!!”

[“องค์หญิง! ไม่สบายหรือครับ!?”]

 

   แน่นอนว่าสิ่งที่รออยู่คืออาการเมาเรือ เป็นเรื่องปรกติเพราะเซเลนไม่เคยเดินทางโดยเรือ ถึงจะเป็นเรือเดินสมุทรที่ดีที่สุดในเฮลิฟาลเต้ แต่เมื่อเป็นการเดินทางออกสู่ทะเล ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่โคลงเลย ทำให้เซเลนมีอาการเมาเรืออย่างรุนแรง รู้สึกถึงอาหารที่อยู่ในกระเพาะกำลังแหวกว่ายเหมือนปลาในทะเล พร้อมที่จะกระโจนออกมาทางที่เข้าไปได้ทุกเมื่อ

 

  เนื่องจากเซเลนได้แต่นอนซมจนไม่ได้ออกมาก่อปัญหาอะไร คุมะฮาจิและคนอื่นๆจึงล่องเรือข้ามผ่านทะเลได้โดยราบรื่นตามกำหนดการ จนมาถึงแผ่นดินของประเทศที่เป็นเกาะขนาดใหญ่ เมื่อเข้าฝั่งก็ทำให้ผู้คนในพื้นที่ให้ความสนใจ เรื่องประมงท้องถิ่นดูเล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับเรือขนาดใหญ่ที่เห็นชัดมาแต่ไกลลำนี้

 

“โชคดีที่มาถึงฝั่งได้โดยไม่มีปัญหาขอรับ ท่านเซเลนจะได้พักฟื้นเสียที”

“อือ แต่ว่า เรือระดับนี้มาเทียบท่าแล้วก็ไม่มีใครมาต้อนรับเลยนะ”

 

   มารีมองไปรอบๆดูทิวทัศน์ที่แปลกตาขณะพยุงเซเลนที่มีอาการหนักจวนสิ้นใจเอาไว้ ประชาชนในพื้นที่มีแต่ผมสีดำเหมือนกันทุกคน และเธอก็รู้ตัวว่าในทางกลับกัน พวกเธอต่างหากที่ดูแปลก

   มารีก้าวลงจากเรือ เตรียมใจรับความไม่เป็นมิตรที่อาจจะต้องเผชิญในดินแดนนี้ แต่อย่างมากก็มีแค่คนที่สวมชุดกิโมโนแบบเดียวกับคุมะฮาจิมองมาทางนี้และซุบซิบอะไรบางอย่าง ไม่รู้สึกถึงเจตนาร้าย

 

“ไม่ใช่ว่าทางนี้ต่อต้านประเทศอื่นโดยสมบูรณ์หรอกขอรับ แค่ไม่เคยมีเรือใหญ่ขนาดเท่าเรือของเฮลิฟาลเต้ลำนี้เทียบท่ามาก่อนจึงเป็นที่สนใจขอรับ”

“งั้นเหรอ? แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่ต้องทำในฐานะเอกอัครราชทูตก็ไม่เปลี่ยน จะทำให้ทั้งโลกรู้จักชื่อของมารีเบลผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ให้ได้”

 

  ถ้ารู้ว่าคนพวกนั้นจะไม่โจมตีเข้ามาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ในเมื่อตนเองเป็นเจ้าหญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีป และเป็นคนที่ถูกคาดหวัง ต้องทำให้ขุนนางตระกูลนักรบสักคนสองคนในเกาะนี้คุกเข่าต่อหน้าได้อยู่แล้ว ตราบใดที่น้องสาว เซเลน ยังมองมาทางนี้ จะต้องทำให้ได้

 

  แต่เซเลนก็ไม่ได้มองไปที่มารี เพราะไม่ใช่เวลาที่จะทำแบบนั้น ตอนที่อยู่บนเรือเธอรับประทานอาหารได้น้อยมากเพราะอาการย่ำแย่ หากไม่รีบหายเป็นปรกติก็อาจจะทำให้อดซาซิมิและเม่นทะเลได้

 

  ในหัวของเซเลนมีแต่ซาซิมิและเม่นทะเลเท่านั้น ไม่แน่ว่าสมองของเธอก็อาจจะกลายเป็นมิโซะมันปู(Kani Miso**)ไปแล้ว จึงไม่ได้ยินการสนทนาระหว่างคุมะฮาจิกับมารีเลย เซเลนได้แต่จดจ่ออยู่กับความต้องการของเธอเพียงอย่างเดียว

 

 

   ◆ ◇ ◆◇ ◆

 

 

“ให้ตายเถอะ! เจ้าพวกนั้น! คิดว่าฉันคนนี้เป็นใครกัน!”

“อาจเป็นเพราะไม่มีการแจ้งไปล่วงหน้าขอรับ ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นเช่นนี้”

 

 มารีที่กำลังหงุดหงิด เดินไปตามถนนสายหนึ่ง สิ่งปลูกสร้างรอบข้างมีบ้านไม้ชั้นเดียวเป็นหลัก ก่อนหน้านี้เธอได้ไปทักทายขุนนางตระกูลนักรบที่มีอำนาจในพื้นที่นี้ตามคำบอกเล่าของคุมะฮาจิ แต่การพูดคุยก็ไม่ค่อยราบรื่นนัก

 

  อย่างน้อยคนในประเทศนี้ก็เคยได้ยินชื่อเฮลิฟาลเต้กันมาบ้าง ประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินใหญ่ เมื่อรู้ว่ามีเอกอัครราชทูตจากประเทศนั้นมาขอเข้าพบก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่คนที่เข้ามากลับเป็นเด็กผู้หญิงสองคน มารีกับเซเลนจึงไม่ได้รับความน่าเชื่อถือเท่าที่ควร

   สุดท้าย มารีก็ทำได้แค่ยื่นจดหมายแสดงเจตจำนงที่ออกโดยหน่วยงานราชการของเฮลิฟาลเต้ให้อีกฝ่าย ซึ่งเป็นงานง่ายๆไม่ต่างกับคนส่งจดหมาย

 

“เดินทางมาตั้งไกลเพื่อให้ทางนั้นไล่กลับเนี่ยนะ! ไม่คิดจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับสักนิดเลยเหรอ?”

“อย่างที่ทราบนั้นแหละขอรับ พิธีการของประเทศนี้แตกต่างจากที่ทำกันอยู่ในทวีป การที่ขุนนางตระกูลนักรบยอมให้คนแปลกหน้าเข้าพบโดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าก็ถือว่าเป็นกรณีพิเศษได้แล้วขอรับ”

 

  ไม่ใช่คำพูดเพื่อปลอบใจมารี คุมะฮาจิแค่บอกให้รู้ไว้ ตามเป้าหมายดังเดิมของมิลานที่ทุกคนเข้าใจกันดี จุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้คือให้คุมะฮาจิกลับบ้านเกิดและหาของใช้ที่จำเป็น โดยที่ให้มารีได้มีประสบการณ์การเจรจาด้วยตนเองขณะที่อยู่ที่นี่

   ประเทศที่อิทธิพลจากในทวีปเข้าไม่ถึง แต่ถ้าอ้างชื่อเฮลิฟาลเต้ออกไป อย่างน้อยก็จะทำให้ได้รับอนุญาตให้เข้าพบ ซึ่งก็หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องมีการดำเนินการใดๆมากไปกว่านั้น 

 

   ในฐานะผู้ติดตาม จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด ทำแค่ไม่ให้มารีหมดกำลังใจไปเสียก่อนก็พอ และไม่ต้องการให้มารีใกล้ชิดสนิทสนมกับขุนนางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไปอีกด้วย เพราะฉะนั้น เรียกได้ว่าเขาปฏิบัติงานได้ตามความคำสั่งที่ได้รับมาจากพี่ชายของเธอได้เรียบร้อยดีแล้ว

 

“(ท่านเซเลนต้องเข้าใจแน่)”

 

   ในฐานะราชวงศ์ มารีต้องการการต้อนรับอย่างสมเกียรติแต่ก็ไม่เป็นไปตามที่หวังจนต้องมาโวยวายอยู่อย่างนี้ ส่วนเซเลนก็นั่งกินมิทาราชิดังโงะอยู่ที่ร้านน้ำชาอย่างสบายใจ

 

“เยี่ยม อร่อย”

“[องค์หญิง กรุณาวางตัวให้เหมาะสมด้วยนะครับ กระผมเข้าใจดีว่าท่านชื่นชอบอาหารชนิดนี้ แต่ก็อย่าได้จดจ่อมากเกินไป]”

“รู้แล้ว”

 

   เมื่อถูกเตือนโดยบัตเลอร์ที่แอบอยู่ในเสื้อ เซเลนก็ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจและกินดังโงะต่อไป คุมะฮาจิเข้าใจว่า เซเลนเข้าใจจุดประสงค์ของงานนี้ เมื่อมีการเข้าพบขุนนางของประเทศอื่นสักครั้งก็ถือว่าจัดการธุระได้เรียบร้อยแล้ว เธอจึงมานั่งอย่างสบายใจอยู่ตรงนี้ได้

 

   อันที่จริง เซเลนไม่มีทางเข้าใจเรื่องยากๆแบนี้ได้อยู่แล้ว เพราะหายจากอาการเมาเรือแล้วก็ได้เวลากิน จึงตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

 

   ในเวลาที่เซเลนกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หรือรับประทานอาหาร เธอจะมีสีหน้านิ่งเฉย ต่อให้กำลังวางแผนชั้วร้ายหรือคิดถึงรสชาติของอาหารอยู่ คนอื่นก็จะเห็นว่าเธอเป็นเด็กที่สุภาพเรียบร้อย

 

  ขณะเซเลนกินอาหารว่างอยู่ที่ร้านน้ำชาอย่างไม่สนใจใคร มารีก็เดินย่ำพื้นอย่างหงุดหงิดอยู่รอบๆจนคุมะฮาจิถอนหายใจและพยายามพูดให้ใจเย็นลง

 

“ขั้นแรกคือการแสดงให้พวกเขาเห็นว่าทางเราไม่มีเจตนาร้าย เข้าหาด้วยความเป็นมิตร ไม่มีการใช้กำลังข่มขู่ ตัวท่านเองก็ทำส่วนนี้ออกมาได้อย่างดีเยี่ยมแล้วขอรับ เอาผลงานนี้กลับไปโอ้อวดได้อย่างภาคภูมิใจได้เลยขอรับ”

“ที่พูดมาก็มีเหตุผล แต่ก็ยังพอใจแค่นี้ไม่ได้ จนกว่าจะมีขุนนางสักตระกูลยอมรับให้เป็นพันธมิตร ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม! จะไม่ยอมกลับจนกว่าจะทำให้สำเร็จ คอยดูสิ!”

“อืม… ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจ…”

 

  คุมะฮาจิได้แต่ขมวดคิ้ว ผลลัพธ์ที่คุมะฮาจิต้องการคือให้มารีส่งจดหมายแสดงเจตจำนงให้แก่ตระกูลนักรบสักตระกูล ภารกิจก็จะเสร็จสิ้น และไปเยี่ยมบ้านของตน จากนั้นก็กลับเฮลิฟาลเต้พร้อมกับเด็กสาวคนนี้

 

   แต่ตอนนี้ จากการที่เธอถูกปฏิบัติอย่างไม่สมเกียรติได้ไปปลุกจิตวิญญาณแห่งการชอบเอาชนะของมารีจนกลายมาเป็นเช่นนี้ หนึ่งในนิสัยของมารีที่ได้รับมาจากพ่อของเธอ และถ้าพูดถึงนิสัยเกลียดความพ่ายแพ้ มารีมีมากกว่ามิลานมากนัก

 

“อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีตระกูลนักรบอื่นที่เข้าพบได้อยู่อีกขอรับ”

“เอ๋ จริงเหรอ!? อยู่ไหนล่ะ!?”

“…บ้านตระกูลของข้าน้อยเองขอรับ”

“อ๊ะ”

 

 มารีมองตาค้าง เช่นเดียวกับเซเลนที่กินดังโงะหมดแล้วจึงหันมาฟัง

 

“คุมะฮาจิ เป็นชนชั้นสูงหรอกเหรอ!?”

“ไม่ได้ใหญ่โตนักหรอกขอรับ การไปทักทายทางนั้นก็อยู่ในแผนการของข้าน้อยอยู่แล้ว หากเป็นบ้านพี่ชายของข้าน้อยก็พอจะคาดหวังการต้อนรับได้ระดับหนึ่งด้วยขอรับ”

“หมี ไม่ได้ มาจากป่า?”

“นั่นสิ ฉันเคยคิดไว้ว่าเป็นนายพรานหรืออะไรทำนองนั้นซะอีก….”

“…ท่านทั้งสองเห็นข้าน้อยเป็นคนอย่างไรกันขอรับ หากไร้ความสามารถในการอ่าน เขียน คำนวณ ข้าน้อยก็ไม่มีทางไปถึงเฮลิฟาลเต้ได้หรอกขอรับ”

 

   มาริกับเซเลนคิดในเรื่องเดียวกันและหันมามองหน้ากัน ซึ่งเป็นการทำร้ายจิตใจคุมะฮาจิพอสมควร เขากระแอมและเริ่มพูดเรื่องทางบ้านของเขาต่อ

 

“ตัวข้าน้อยเองก็ไม่เชิงเป็นชนชั้นสูงหรอกขอรับ เพราะมีรูปลักษณ์เช่นนี้คงจะทำให้นึกไม่ถึง… บ้านของข้าน้อยถึงจะนับเป็นขุนนางฝ่ายทหาร แต่ก็ไม่ได้มียศที่สูง สภาพความเป็นอยู่บนเรืออาจจะยังสะดวกสบายกว่าอีกขอรับ”

 

  เพราะเป็นเรือประจำตัวของกษัตริย์เฮลิฟาลเต้ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในจึงไม่เป็นรองใคร เพื่อตัดความเครียดจากการอาศัยในพื้นที่แคบบนเรือตลอดการเดินทางออกไปจนหมด ด้วยเครื่องเรือนหรูหราดูแล้วสบายตา สิ่งบันเทิงฆ่าเวลา หนังสือให้อ่านมากมาย เตียงและชุดเครื่องนอนคุณภาพสูงไม่แพ้ของในวัง 

 

“ไม่มีปัญหา คุมะฮาจิ นำทางไปบ้านตระกูลของนายได้เลย พี่ชายของนาย คาเงะโทระใช่ไหม? คนที่เป็นหัวหน้าตระกูลอยู่ตอนนี้น่ะ?”

“ถูกต้องขอรับ พี่ชายเป็นคนจุกจิกเรื่องมากแต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดี และก็จะขอย้ำอีกครั้งว่าเป็นตระกูลที่มียศไม่สูงนัก เป็นระดับล่างที่ค่อนไปทางกลางขอรับ…”

“อย่ามาดูถูกกันสิ ถ้าวัดกันจริงๆก็ระดับกลางนั่นแหละ”

 

  เสียงตอบกลับที่ดังมาจากนอกวงสนทนาทำให้คุมะฮาจิจับดาบที่เอวในท่าเตรียมใช้งาน ทหารคนคุ้มกันคนอื่นๆเห็นก็เข้ามาอยู่ล้อมรอบมารี แต่ชายคนดังกล่าวก็เดินเข้ามาใกล้โดยไม่สนใจทหารผีมือดีที่เรียงรายกันอยู่

 

“อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที นี่หรือวิธีทักทายของแก แต่ว่า ตอบสนองได้เร็วอย่างนี้ แสดงว่าฝึกมาดี”

“พี่!?”

 

   มารีกับเซเลนก็ได้แปลกใจอีกครั้งเมื่อได้ยินคุมะฮาจิเรียกชายคนนั้นว่าพี่

 

  หากเป็นคนเดียวกับที่คุมะฮาจิเคยกล่าวถึง ชายคนนี้คือคาเงะโทระ ถึงจะบอกว่าเป็นพี่น้อง แต่ภายนอกก็ดูแตกต่างจากคุมะฮาจิเป็นอย่างมาก คาเงะโทระมีร่างกายไม่สูงแต่ก็มีรูปร่างโปร่ง สวมแว่นตากับชุดฮากามะสีขาวกับดำปราศจากสีสันจนดูมืดมน ดวงตาที่อยู่หลังเลนส์เฉียบคมราวหมาป่าแม้จะดูผอมแห้งไปบ้าง

 

“เอ่อ ท่านพี่!? มีธุระแถวนี้หรือขอรับ?”

“คนทั้งเมืองกำลังพูดถึงแต่เรือยักษ์ที่เข้ามาเทียบท่า บนเรือประดับตรานกอินทรีไว้ทั่ว แค่นี้ก็น่าจะเดาได้แล้วว่ามันมาจากเฮลิฟาลเต้ไม่ใช่หรือ? ถ้าใช่ก็แสดงว่าแกกลับมาถึงแล้ว แต่ก็ไม่โผล่หน้ามาที่บ้านสักที จึงต้องออกตามหาอยู่นี่ไงล่ะ”

 

   คาเงะโทระบ่นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย และหันไปทางมารีกับเซเลน

 

“เห็นบอกในจดหมายว่าแกมีตำแหน่งใหญ่โตในประเทศมหาอำนาจ ตำแหน่งใหญ่โตที่ว่าคือพี่เลี้ยงเด็กเองหรอกหรือ?”

“ไม่ใช่เด็กนะ! เจ้าหญิงลำดับหนึ่งและเอกอัครราชทูตเฮลิฟาลเต้ มารีเบล! และนี่คือเซเลน เป็นน้องสาว”

“สวัสดี”

 

   มารีมีอาการไม่พอใจเพราะถูกปฏิบัติเหมือนเธอเป็นเด็ก ตรงข้ามกับเซเลนที่ทักทายและโค้งให้อย่างบอบน้อม ใครจะว่าอะไรก็ไม่สำคัญ เธอต้องการให้เสร็จธุระแล้วถึงเวลาอาหารเร็วๆเท่านั้น ดังโงะก็อร่อยดี แต่ก็ยังมีซาซิมิกับเม่นทะเลรออยู่อีก จะมาคุยกันตรงนี้ให้เสียเวลากันทำไม ไปกินกันได้แล้ว เซเลนสนใจเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น

 

“เจ้าหญิงลำดับหนึ่งแห่งเฮลิฟาลเต้… เสียมารยาทไปแล้วสิ ขออภัยด้วย ข้า คาเงะโทระ เป็นขุนนางฝ่ายทหารที่ไม่ได้ใหญ่โตนักตามที่น้องชายกล่าวไว้ แต่ก็รับใช้ประเทศชาติอย่างภาคภูมิใจ”

“อ่า เข้าใจก็ดีแล้ว… ที่จริงก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกให้รู้ไว้เฉยๆ  แค่นี้แหละ…”

 

  คาเงะโทระเชื่อคำพูดของมารีอย่างว่าง่ายและพูดขอโทษออกมาทันที ทำให้มารีต้องปรับเปลี่ยนวิธีการพูดของเธอตามไปด้วย แต่มารีก็คิดคำพูดออกมาไม่ทัน

 

  แม้ว่ามารีจะมุ่งมั่นในการเจรจาครั้งนี้มาก แต่เธอก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะเปิดประเด็นการสนทนากับพวกผู้ใหญ่อย่างไร ยิ่งเป็นประเทศที่รู้จักนี้ด้วย คุมะฮาจิก็เหมือนจะอ่านสถานการณ์ออกจึงคิดจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่เซเลนก็เข้ามาแทรกโดยไม่ได้สังเกตถึงความอึดอัดของมารี

 

“อยากกิน ซาซิมิ”

“ซาซิมิ?”

 

  คำพูดจากเด็กสาวสีขาวทำให้คาเงะโทระหันไปมองด้วยความสงสัย แต่ก็ทำให้มารีคิดอะไรบางอย่างออกมาได้

 

“ใช่แล้ว! ซาซิมิไงล่ะ! เพราะเคยได้ยินว่าประเทศนี้มีวัฒนธรรมการกินของดิบที่เรียกว่าซาซิมิสินะ ที่เซเลนบอกว่า ‘อยากกินซาซิมิ’ ก็หมายถึงอยากให้ทางเราได้รู้จักวัฒนธรรมของประเทศนี้ หรืออยากแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันใช่ไหม? เซเลน?”

“เอ๋? อือ ใช่”

 

  เซเลนหมายความตามที่พูด ขอซาซิมิเป็นอาหารรับรองหากต้องไปที่บ้านของคุมะฮาจิ แต่ไม่รู้ว่าทำไม มารีถึงพูดเหมือนอยากให้เฮลิฟาลเต้ได้รู้จักซาซิมิไปด้วย ถึงเซเลนจะไม่เข้าใจแต่ก็เห็นด้วย เพราะถ้ามันทำให้เธอได้กินอาหารแบบนี้ที่เฮลิฟาลเต้ได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

 

  ทางด้านของมารี แม้ว่าเธอไม่อยากพูดถึงซาซิมิ แต่ก็รู้สึกยินดีที่เซเลนยกตัวอย่างเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะได้หัวข้อสนทนาได้อีกหลายเรื่อง เซเลนสนับสนุนได้อย่างแนบเนียน น้องสาวคนนี้ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ 

 

“เจ้าหญิงมารีเบลสนใจในวัฒนธรรมของทางเรา?”

“อือ จะได้รู้จักกันให้มากขึ้นยังไงล่ะ”

“งั้นรึ…”

 

 คาเงะโทระเงยหน้าหลับตาครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะหันกลับมามองเข้าไปในดวงตาของมารี

 

“ถ้าอย่างนั้น ขอเชิญเจ้าหญิงมารีเบลกับท่านเซเลนมาเป็นแขกผู้มีเกียรติที่บ้านของข้าก่อน น้องชายกลับมาบ้านทั้งที พวกเราไปคุยกันต่อที่บ้านของข้ากันเถอะ”

“ท่านพี่ เอาจริงรึ?”

“ตามที่พูดนั่นแหละ ถ้ามีปัญหาอะไรก็เอาไว้ว่ากันที่บ้าน ”

 

   ทันทีที่พูดจบ คาเงะโทระหันหลังเดินนำไปทันที มารีและคนอื่นๆจึงต้องรีบเดินตามไปให้ทัน

 

“การที่คนของประเทศนี้เชิญชาวต่างชาติมาเป็นแขก เรียกได้ว่าหายากมากขอรับ ยิ่งเป็นคนเรื่องมากอย่างพี่ชายของข้าน้อยด้วย เขาคงเห็นบางอย่างในตัวของท่าน แต่ไม่ว่าอย่างไร ภารกิจนี้ไปได้สวยแน่ขอรับ”

“ก็ไม่รู้สินะ ที่สำคัญคือเรื่องต่อจากนี้ต่างหาก จะต้องทำให้มาเป็นพวกให้ได้ ไปกันเถอะ!”

 

  มารีเดินตามไปอย่างร่าเริง ถัดไปมีคุมะฮาจิกับเซเลนตามมาใกล้ๆ และด้านหลังมีกองทหารคุ้มกันอีกหลายนายเดินเรียงแถว เป็นขบวนที่ดูแปลกตาจนเป็นที่สนใจของชาวเมืองบริเวณนั้น แต่คาเงะโทระที่อยู่หน้าสุดก็ไม่สนใจและเดินต่อไปเหมือนเป็นเรื่องปรกติ

 

   หลังจากออกมาจากแหล่งชุมชนก็มาถึงพื้นที่การเกษตรเป็นทุ่งนากว้างขวาง ไกลออกไปก็พบกับกำแพงรั้วสูงระดับศีรษะของผู้ใหญ่ และข้างในนั้นก็มีบ้านหลังโตราวกับคฤหาสน์

  เมื่อผ่านกำแพงมาช่วงหนึ่งก็พบกับประตูไม้ทางเข้ากับระฆังขนาดย่อมแขวนไว้ข้างประตู คาเงะโทระดึงสายระฆังจนเกิดเป็นเสียงดัง สักพักหนึ่งก็มีเสียงไม้สลักประตูถูกนำออก เด็กสาวคนหนึ่งก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับไม้กวาดไม้ไผ่ในมือ

 

  เด็กคนนั้นดูอายุพอๆกับมารีและเซเลน ผมยาวถึงช่วงบ่าสีดำเงางาม สวมกิโมโนสีขาวลายดอกผักบุ้ง ให้บรรยากาศเหมือนผู้ใหญ่

 

“ยินดีต้อนรับกลับ ท่านคาเงะโทระ เอ๋? คนพวกนี้คือ…”

“ชาวต่างชาติกลุ่มนี้คือคณะทูตจากแผ่นดินใหญ่ ส่วนหมอนี่คือคุมะฮาจิ น้องชายของข้าเอง หน้าตาอย่างกับโจรแต่ก็ไม่กัดหรอก ไม่ต้องกลัว”

 

  เด็กสาวกำไม้กวาดไว้แน่นทั้งสองมือ ดูเหมือนเธอจะกลัวคนแปลกหน้า คาเงะโทระจึงลูบหัวเธอเบาๆ สีหน้าของเธอจึงดูดีขึ้นมาบ้าง

 

“ประเดี๋ยวก่อน ท่านพี่ ถึงจะยังติดใจเรื่องที่พูดตอนแนะนำตัวข้าน้อยก็เถอะ แต่ว่า เด็กสาวผู้นี้เป็นใครกัน?”

 

   คุมะฮาจิอยากจะบ่นออกมาแต่ก็เก็บเอาไว้ก่อน คาเงะโทระปล่อยมือที่ลูบหัวเด็กสาวออก และเริ่มแนะนำตัวคนทางฝั่งของเขา

 

“เด็กคนนี้คือฮิโนเอะ คู่หมั้นของข้าเอง เป็นผู้ครอบครองพลังต้องสาป แต่ก็กรุณาให้เกียรติเธอด้วย”

“ครอบครอง… พลังต้องสาป”

 

   เมื่อได้ยินคำว่า ‘พลังต้องสาป’ ท่าทางของคุมะฮาจิก็เปลี่ยนไป มารีกับเซเลนที่อยู่ใกล้ๆได้แต่มองหน้ากัน ในตอนนี้ทั้งสองไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร

 

____________________

*อาตามิ เมืองติดทะเลในจังหวัดชิซูโอกะ(จังหวัดเดียวกับภูเขาฟูจิ)

 

** カニ味噌 – Kani Miso – มิโซะมันปู

มันปูปรุงรส รูปร่างเหมือนก้อนโคลนสีเขียวอมน้ำตาล มักนำไปย่างพร้อมกับกระดองปูทำให้ดูเหมือนสมองของปู

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+