[นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ 19 When the world is plagued with disaster

Now you are reading [นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ Chapter 19 When the world is plagued with disaster at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เขตปกครองทางเหนือของควอเลีย

สายลมพัดโชย และหิมะที่ล่องลอยไปมา

ลมหายใจของเธอเป็นสีขาว และอากาศที่หนาวเหน็บได้ช่วงชิงความอบอุ่นของร่างกายเธออย่างไร้ความปรานี

เธอได้ยินเสียงแปลกๆดังก้องมาจากที่ไกลๆ เสียงกรีดร้อง ตะโกน สาปแช่ง และเย้ยหยัน

ในขณะที่ฟังเสียงของความวุ่นวายอันบ้าคลั่งที่อยู่ห่างไกลจากดินแดนแห่งนี้ด้วยประสาทสัมผัสการได้ยินที่เหนือมนุษย์ของเธอ

บุปผาฝังศพ โซอารีน่า ผู้ที่เป็นนักบุญ ถามออกมาเสียงเบา

“มีการเคลื่อนไหวของแม่มดเอราคิโนะรึเปล่า?”

“เธอเข้าไปประจำอยู่ในเมืองที่ถูกทิ้งเมื่อวันก่อน และไม่มีการเคลื่อนไหวนับตั้งแต่นั้นครับ”

อัศวินศักดิ์สิทธิ์อาวุโสที่คอยคุ้มกันเธอตอบกลับมา

พระคาร์ดินัลของเขตปกครองทางเหนือ ผู้ที่คอยจู้จี้การกระทำของเธอได้จากไปไกลแล้ว

การโจมตีของแม่มดแห่งเสียงคร่ำครวญเอราคิโนะรุนแรงขึ้นทุกวัน

และคราวนี้เธอต้องต่อกรกับผู้ที่ได้รับพร

โซอารีน่าต้องอยู่แนวหลังเพื่อคอยรับมือกับสัตว์ร้าย และการโจมตีของปีศาจที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆเขตทางเหนือ การโจมตียิบย่อยพวกนี้ราวกับว่าต้องการจะขัดขวางการเคลื่อนที่ของกองทัพ เธอรับรายงานจากอัศวินศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับกัดฟัน

“นักบุญหน้าคว่ำกำลังต่อสู้อยู่ในแนวหน้า และดูเหมือนว่าเธอกับแม่มดจะฝีมือสูสีกัน ทำให้สถานการณ์มาถึงทางตันอยู่ในตอนนี้”

ภาพของนักบุญที่ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุม และเอาแต่ก้มหน้าอยู่เสมอจนราวกับว่าเธอกำลังสัปหงกอยู่ ได้ผุดขึ้นมาในจิตใจของโซอารีน่า

เธอเป็นคนไม่ค่อยพูด โซอารีน่าไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอด้วยซ้ำ

แต่ในฐานะนักบุญ ทำให้โซอารีน่ารู้สึกว่าใกล้ชิดกับเธอยิ่งกว่าใคร

โซอารีน่าอยากแสดงความขอบคุณและส่งกำลังใจ เพราะเธอยังคงปลอดภัยและคอยหยุดแม่มดเอาไว้

แต่นักบุญเองก็เป็นเพียงแค่คนคนนึง สิ่งที่พวกเขาทำได้จึงมีขีดจำกัด

และมันสายเกินไปที่จะเคลื่อนไหวแล้ว

“นายได้คำนวณขอบเขตของความเสียหายแล้วหรือยัง?”

“เสียเมืองไปสองแห่ง หมู่บ้านและเมืองเล็กๆในเขตเหนือจำนวนนับไม่ถ้วน ทหารในเขตปกครองทางเหนือที่ถูกแม่มดสังหารมีราวๆ 30,000 นาย ส่วนจำนวนของพลเรือนที่เสียชีวิตนั้นมีจำนวนมากเกินกว่าจะนับได้ครับ…”

โซอารีน่าหลับตาลงเงียบๆ และขอโทษต่อคนที่เธอไม่สามารถช่วยเอาไว้ได้

ไม่ว่าเธอจะขอโทษมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะไม่กลับมา

เธอกลายมาเป็นนักบุญเพราะเธออยากจะช่วยเหลือทุกคนและทุกสิ่ง ถึงอย่างนั้น เธอก็ทำทุกคนหลุดมือและหายไป

สีหน้าของโซอารีน่ามืดมนยิ่งขึ้น

“แล้วเรื่องภัยพิบัติทางใต้ของทวีป — ไม่สิ ฉันไม่มีเวลามากังวลเรื่องนั้น”

สำหรับการตรวจสอบคำทำนายของภัยพิบัติทางตอนใต้ของทวีป เธอได้รับรายงานว่าทุกๆอย่างออกมาเรียบร้อยดี

เธอไม่ค่อยเชื่อใจท่าทีของพระคาร์ดินัลที่พยายามจะหลบเลี่ยงตอนเธอถามถึงรายละเอียด แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนั้น

ถึงแม้ว่าจะมีบางอย่างผิดพลาดไป มันก็ยังมีนักบุญอยู่ในเมืองหลวงถึงสองคน

โซอารีน่าจึงกลับมาจดจ่อกับปัญหาในมือ และตัดสินใจทำตามหน้าที่ที่เธอได้รับ

”เรื่องการปราบสัตว์อสูรและกึ่งมนุษย์ที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ฉันขอฝากส่วนที่เหลือไว้กับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ส่วนตัวฉันจะมุ่งหน้าไปที่แนวหน้าและสนับสนุนนักบุญหน้าคว่ำ ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถเอาชนะแม่มดได้ แต่มาขับไล่พวกมันออกจากดินแดนนี้กันเถอะ”

เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ต่างกรูกันเข้ามาเพื่อหยุดโซอารีน่า ผู้ที่กำลังจะก้าวออกไป

ความสามารถทางร่างกายของนักบุญอยู่เหนือเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์อาวุโสซะอีก

ถ้าไปเพียงลำพัง เธอสามารถวิ่งตรงไปที่แนวหน้าได้โดยใช้เวลาเพียงนิดเดียวถ้าเธอต้องการ

แน่นอนว่าไม่มีใครตามเธอได้ทัน

“ได้โปรดช่วยรอก่อนครับ ท่านโซอารีน่า! การลอบจู่โจมที่แนวหน้าจะต้องได้รับการอนุญาติจากพระคาร์ดินัลก่อน…”

“ไม่จำเป็น ฉันคือผู้ตัดสินใจ”

สายลมกรรโชกพัดเข้ามา

สายลมอันรุนแรงที่ปัดเป่าหิมะและบดบังการมองเห็นของอัศวินศักดิ์สิทธิ์

เมื่อเขาสะบัดหัวและลืมตาขึ้นมา ก็ไม่พบกับร่างของนักบุญแล้ว

◇   ◇   ◇ 

 

[สหพันธ์แห่งจิตวิญญาณเอลนาร์ ห้องประชุมสภาเททราลูเซีย]

สหพันธ์ที่เหล่าเอลฟ์ปกครอง สภาที่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจสูงสุด หัวหน้าเผ่าแต่ละคนต่างก็นั่งอยู่รอบๆโต๊ะด้วยใบหน้าลึกลับ

เอลฟ์หนุ่มคนหนึ่งได้อ่านรายงานให้พวกเขาฟัง

เขาเป็นว่าที่หัวหน้าเผ่า

เขาได้รับอนุญาติให้เข้าร่วมการประชุมนี้เพื่อเก็บประสบการณ์

เขาอ่านเนื้อหาในเอกสารด้วยสีหน้าซับซ้อน

“เราขาดการติดต่อกับไวส์-นาห์ เมืองหลวงของเผ่าทไวส์ เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆที่ล่มสลาย ตามข้อมูลที่ได้รับมา ดูเหมือนว่าพวกทูไวส์จะเปลี่ยนฝั่งแล้ว”

“อีกแล้วรึ!? เผ่าทไวส์หันไปเข้ากับพวกศัตรูศัตรูแล้วสินะ!”

หัวหน้าเผ่าผู้ที่โด่งดังในเรื่องความกระหายเลือดได้ทุบโต๊ะ และตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงท่าทีไม่เหมือนกับคนอื่นๆ แต่พวกเขาก็คิดแบบเดียวกัน

เห็นได้ชัดจากการฮึดฮัด และกอดอกด้วยสีหน้าซับซ้อนของพวกเขา

“ขอให้เหล่าสปิริตจงอวยพรแด่หัวหน้าเผ่าที่เหลือด้วยเถอะ ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าทำไมพวกเราถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ควอเลียกัน? ข้ายังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอก็จริง แต่ข้าคิดว่าปัญหานี้มันใหญ่เกินกว่าที่พวกเราจะรับมือได้เพียงลำพัง…”

“โง่เง่าสิ้นดี! เรื่องราวน่าสมเพชเหล่านี้ไม่สมควรจะถูกเอ่ยถึง แม้ว่าควอเลียจะเป็นพันธมิตรกับเรามายาวนานก็ตาม!”

“ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพราะเราเป็นพันธมิตรกันมายาวนานนี่แหละ ….ด้วยคำอวยพรจากสปิริตและเกียรติของพวกเราในฐานะเอลฟ์ เราจะต้องจัดการกับปัญหานี้ด้วยตัวเอง”

คำพูดของหัวหน้าเผ่าแต่ละคนนั้นเด็ดขาด

ถึงพวกเขาจะใจดีมากพอที่จะรับฟังความคิดเห็น แต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจ

เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆเองก็มีความเห็นแบบเดียวกัน

สติปัญญาและพลังของเอลฟ์จะเพิ่มขึ้นตามอายุ นี่เป็นเรื่องปกติที่จะทำให้พันธมิตรของพวกเขาปลอดภัย แต่บางครั้งความภาคภูมิใจที่มากเกินไปทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการมองเห็นภาพรวม

เอลฟ์หนุ่มก้มหัวลงอย่างสงบ และหยุดคำพูดของตนเอง

“นอกจากนั้น ควอเลียเองก็ยุ่งอยู่กับแม่มดที่ปรากฏตัวขึ้นในเขตทางเหนือ ดังนั้น พวกเราเอลนาร์ จะต้องแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว และมุ่งหน้าไปช่วยเหลือพวกเขา ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ความเห็นของเจ้าก็ยากที่จะยอมรับ”

“ใช่แล้ว! ลองไปเล่าปัญหานี้ให้อาณาจักรอื่นๆฟังดูสิ นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังจะได้มีความสุขในการเขียนหนังสือเยาะเย้ยอาณาจักรเรายังไงล่ะ! ไอ้พวกเฮงซวยเอ้ย.. เฮอะ! แค่พูดถึงมันก็น่ารำคาญจะตายแล้ว”

“ส่งนักบุญออกไป! นักสู้สปิริตด้วย! รีบจัดการกับปัญหานี้ซะ!”

บรรยากาศที่ยุ่งเหยิงของการประชุมสภาครั้งนี้กำลังจะจบลง

ในที่สุด พวกเขาได้ตัดสินใจส่งนักบุญของเอลนาร์ออกไป หากเธอผู้เป็นนักบุญที่มีพลังเทียบเท่ากับกองทัพ คงจะสามารถพลิกสถานการณ์การล่มสลายของเผ่าลงได้

แต่ทำไมกัน…

ชายผู้เป็นว่าที่หัวหน้าเผ่าคนต่อไป กลับรู้สึกว่าปัญหานี้คือเค้าลางของบางสิ่งที่ใหญ่กว่า

◇   ◇   ◇ 

[ทะเลขั้วโลกใต้ อาณาจักรแห่งปะการังและมหาสมุทร ซัทเทอร์แลนด์]

ทางใต้ของทวีปไฮดราเกีย ดินแดนที่ไร้ซึ่งอารยธรรมซะส่วนใหญ่ และพื้นที่ทั้งหมดยังไม่ได้รับการสำรวจ

ซัทเทอร์แลนด์เป็นอาณาจักรทางทะเลที่มีชายฝั่งตะวันออกเป็นอาณาเขต

ส่วนใหญ่แล้วเป็นอาณาจักรซึ่งเป็นกลางของมนุษย์ที่มีการค้า และประมงอยู่ในระดับสูง แต่เมืองแห่งหนึ่งกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดในวันนั้น

“หืม? หมอก…?”

กะลาสีที่ทำงานอยู่ในท่าเรือมองดูหมอกควันที่มาจากอีกฟากของมหาสมุทร ขณะที่เขากำลังคลำหาเชือกเพื่อผูกเรือลำเล็ก

หมอกเป็นศัตรูตามธรรมชาติของกะลาสี

หากขอบเขตการมองเห็นของคุณต่ำลง โดยปกติแล้วมันจะทำให้ยากต่อการระบุตำแหน่งในทะเล บางคนอาจจะได้เผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ หรือไม่ก็สัตว์อสูรแห่งท้องทะเล ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ

โชคดีที่ไม่มีอันตรายเกิดขึ้นที่ท่าเรือในขณะที่เรือกำลังเตรียมตัวออกจากท่า แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี

หมอกหนาขึ้น เมื่อนำมาพิจารณาดู การที่มีหมอกในช่วงนี้ของปีเป็นเรื่องหายาก

มันมีหมอกที่สามารถปกคลุมทั้งท่าเรือได้ด้วยรึ?

รอบข้างปรากฏเสียงมากมาย

“นั่นมันอะไรน่ะ? เรือของใครกัน?”

 

เพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ข้างๆ ตะโกนออกไปพร้อมกับชี้ไปยังมหาสมุทร

เมื่อชายคนนั้นเพ่งสายตาและมองลึกเข้าไปในหมอก เขาเห็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรือที่กำลังโคลงเคลงไปมา

“ทางนั้นมันควอเลียไม่ใช่หรอ? เรือทั้งหมดของพวกเราอยู่ที่นี่ ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นของท่าเรือไหนเลยนะ…”

“ใช่เรือของควอเลียรึเปล่า? แต่ทำไมข้ารู้สึกว่าดูจากลักษณะการตกแต่งแล้วไม่น่าใช่…”

เขาทำการผูกเรือด้วยความสงสัย

ถึงเขาจะรู้สึกสงสัย แต่เขาก็ต้องทำงานก่อนโดยเฉพาะในหมอกแบบนี้ ดังนั้นเขาก็แค่ช่างมัน และไปดื่มสักหน่อย

“ไม่ เดี๋ยวนะ มันไม่ใช่! มันไม่ใช่เรือ! โอ้ ไม่ ไม่!!”

“เฮะ เฮ้!”

เมื่อเขาหันกลับไปอย่างเร่งรีบ ก็พบว่าเพื่อนของเขาได้ลงไปกองอยู่บนพื้นพร้อมกับอาการตาเหลือกและน้ำลายฟูมปาก

ชายคนนั้นรู้อย่างรวดเร็วว่านี่คือการโจมตีทางจิตวิญญาณของปีศาจทะเลที่เขาเคยเผชิญหน้าในมหาสมุทรอยู่บ่อยครั้ง

“บ้าเอ๊ย! ศัตรูบุก! ศัตรบุกแล้ว! รีบเตือนกองทัพเรื่องนี้ซะ–! พวกแกห้ามมองตาของมันตรงๆเด็ดขาดเลย!”

โดยที่ไม่หันกลับไปมองสิ่งนั้นตรงๆ เขาได้พบกับเรือที่อยู่สุดขอบสายตาของเขา

เขาพยายามจะระบุตัวตนของมันในขณะที่อดทนกับความรู้สึกอึดอัดจนเกือบทำให้หมดสติ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรือแน่ๆ

◇   ◇   ◇ 

[ดินแดนต้องสาป สถานที่ก่อสร้างพระราชวังไมน็อกกราห์]

ภายในดินแดนต้องสาปการก่อสร้างต่างๆได้ดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน พวกเขากำลังก่อสร้างพระราชวังกันอยู่

มันจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของอาณาจักรถ้าหากพระราชวังดูเหมือนกับที่พักชั่วคราว

อีกอย่าง การก่อสร้างพระราชวังเป็นภารกิจเร่งด่วนในการจัดการ เพราะมันสามารถส่งผลได้หลายอย่าง

ส่วนของฐานได้ถูกก่อขึ้นมาและเสร็จสิ้นไปบางส่วนแล้ว

พรมหลากสี และผ้าทอบนผนังที่ทำโดยดาร์คเอลฟ์เพศหญิงถูกจัดแสดงอยู่ทุกที่ คาดว่าสถานที่แห่งนี้จะต้องงดงามอย่างยิ่งเมื่อทำการสร้างเสร็จสมบูรณ์

ภายในห้องบัลลังก์ ทาคุโตะนั่งอยู่บนบังลังก์หิน ฮัมเพลงอยู่เงียบๆอย่างเพลิดเพลินไปกับความสงบยามค่ำคืน และความอบอุ่นจากแสงของคบเพลิง

“…อย่างไรก็ตาม ท่านทาคุโตะคะ”

ทันใดนั้น เสียงก็ดังมาจากด้านข้างของเขา

เมื่อเขามองกลับไป ก็พบกับอาโทว ผู้ที่เขาเชื่อใจอย่างแท้จริง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

เป็นเพราะหญิงสาวคนนั้นที่คอยอยู่เคียงข้างเขา เขาจึงสามารถเป็นอย่างทุกวันนี้ได้

เป็นเพราะตัวตนของอาโทว ทำให้อาณาจักรสามารถเติบโตได้จนถึงทุกวันนี้โดยไร้ซึ่งปัญหา

ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย ทาคุโตะส่งยิ้มกลับไป

“หืม? มีอะไรหรอ?”

“ก่อนจะมายังที่แห่งนี้ ท่านทาคุโตะยังเป็นแค่คนธรรมดา…”

“เป็นเรื่องปกติล่ะนะ! ก็นะ ดูเหมือนพ่อแม่ฉันค่อนข้างรวยนิดหน่อย แต่ก็ยังถือว่าธรรมดา! ทำไมจู่ๆพูดขึ้นมาล่ะ? แปลกๆนะที่อาโทวจะถามเรื่องอะไรแบบนี้”

อย่างที่เขาพูด ชาติกำเนิดของทาคุโตะนั้นธรรมดา

เขาเป็นแค่คนธรรมดา และยังมีสามัญสำนึกแบบคนทั่วๆไปอีกด้วย

ทันใดนั้น เขาก็ได้มายังต่างโลก และถูกจู่โจมด้วยโชคชะตาอันน่าประหลาดใจที่มาปกครองอาณาจักรเหมือนกับในเกม แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขายังเป็นแค่คนธรรมดาที่มาจากยุคสมัยใหม่ที่ปลอดภัย

ทาคุโตะคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น

สถานการณ์นี้คงจะทำให้คนทั่วๆเกิดความสับสน

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ มันจะไม่น่าแปลกใจหรอ ถ้าเขายังคงทำตัวเป็นราชาผู้ทรงอำนาจได้อยู่? เขาประเมินตัวเองไว้สูง และปล่อยให้ตัวเองจมไปกับความสุขและตื่นเต้นที่พรั่งพรูออกมาจากภายใน

อย่างไรก็ตาม มันยังมีส่วนไหนของเขาที่ไม่ใช่ราชาจึงทำให้อาโทวถามออกมาอย่างนั้น?

ทาคุโตะมองไปกลับยังดวงตาของอาโทวเงียบๆ ราวกับจะถาม

อาโทวถามคำถามที่เธอไม่ได้พูดออกมาเมื่อวันก่อน

“โอ๊ะ ไม่ใช่ค่ะ! ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น…ก็แค่ ฉันสงสัยว่าท่านทาคุโตะจะโกรธหรือเปล่าที่ฉันฆ่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นไป…”

“โกรธงั้นหรอ? ทำไมล่ะ?”

อาโทวไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้น

เธอไม่คิดว่าเธอจะตอบคำถามนั้นได้

ทาคุโตะรู้รายละเอียดการต่อสู้ทุกอย่างจากอาโทว

ทุกๆอย่าง แม้กระทั่งการที่เธอฉีกกระชากเนื้อหนัง บดขยี้กระดูก และเอาชีวิตพวกเขาอย่างสนุกสนาน

อาโทวเตรียมข้อแก้ตัวที่เธอเล่นในการต่อสู้มากเกินไป เธอเตรียมคำขอโทษที่อาจจะถูกต่อว่าว่าทำเกินไปเอาไว้แล้ว

แต่ทำไมเธอถึงสนใจเรื่องพวกนั้น? นั่นเป็นคำถามที่ไม่คาดคิด

ทาคุโตะเป็นคนธรรมดาทั่วไปก่อนที่เขาจะมายังโลกใบนี้

ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรจะมีสามัญสำนึกของคนทั่วๆไป

อาโทวเชื่อว่าได้รับความรู้สึกบางอย่างแบบนั้นมาด้วย

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงภาคภูมิใจที่เธอยังสามารถอยู่กับทาคุโตะได้ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นตัวตนอันชั่วร้ายก็ตาม

ในสถานการณ์แบบนี้ คนทั่วๆไปคงรู้สึกพะอืดพะอมและเสียใจไปแล้ว แต่ทำไมกัน?

นั่นแหละคือคำถาม

อาโทวรู้สึกว่าตัวเองถูกจ้อง ราวกับว่าเธอกำลังถูกโลมเลียด้วยตัวตนที่ไม่พึงประสงค์

เธอเริ่มจะสูญเสียความคิดว่าอะไรผิดและอะไรถูก

เธอทุกข์ทรมานด้วยความกลัวที่ว่าการที่ทาคุโตะมายังโลกใบนี้ทำให้เขาสูญเสียตัวตนไป

ความคิดแย่ๆเข้ามาในหัวของเธอ ทาคุโตะคนที่มักจะใจดีและเรียกหาเธอเสมอได้หายไปไหนสักแห่งหลังจากที่กลายมาเป็นผู้นำของไมน็อกกราห์

“เธอทำตัวแปลกๆนะ อาโทว”

“โอ๊ะ! ไม่นะ ฉันขอโทษด้วยค่ะ…”

แต่อาโทวรู้ว่าความกังวลนั้นเป็นความเข้าใจผิดของเธอเอง

เธอทำได้ว่าเธอเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอิระ ทาคุโตะ เลย นอกจากในเกม

ไม่มีทางที่เธอจะแสดงความสงสัยออกไปอีก

“เธอกังวลเรื่องอะไรหรือเปล่า? ถ้าหากฉันช่วยอะไรเธอได้ก็บอกมาเลยนะ”

 “ไม่เป็นไรค่ะ ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจผิด….”

“แล้ว…เธอรู้สึกแย่อะไรรึเปล่า? ฉันไม่อยากเห็นอาโทวเป็นแบบนั้นเลย ฉันอยากให้เธอดูมีชีวิตชีวาเหมือนเดิมนะ”

อาโทวถูกกุมมืออย่างนุ่มนวล ราวกับว่าเป็นพ่อที่กำลังให้ความอบอุ่นแก่มือเย็นๆของลูก

สิ่งที่อยู่ในมือนั้นคือความอบอุ่น รอยยิ้มบนหน้าของทาคุโตะเองก็เต็มไปด้วยความเห็นใจ

แต่เพียงคำพูดแค่นั้นก็ทำให้เธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แน่ชัด….

“ยิ้มหน่อยนะ”

“คะ ค่ะ”

อาโทวตอบกลับอย่างเร่งรีบ

เธอรู้สึกผวาและยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเธอเองคือผู้กล้าที่สามารถทำลายโลกได้

มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่นับว่าดีเท่าที่ควร แต่ทาคุโตะดูเหมือนจะพอใจ

อาโทวทาบอกด้วยความโล่งใจ

ขณะที่กำลังพยายามระงับความกลัวที่ผุดขึ้นมาในใจ ได้มีมือวางลงบนศรีษะของเธอและลูบมันอย่างนุ่มนวล

แน่นอนว่านั่นคือมือของทาคุโตะที่มองมายังเธอด้วยสายตาอ่อนโยน

ความอ่อนโยนของทาคุโตะ และความรู้สึกนึกคิดของเขาล้วนถูกส่งมาให้เธอ

ความสุขได้เข้าปกคลุมจนราวกับว่าความกังวลก่อนหน้านี้ของเธอได้หลุดลอยไปที่ไหนสักแห่ง และความรู้สึกโล่งใจและเชื่อมั่นได้เติมเต็มไปทั่วทั้งร่างของเธอ

สิ่งต่อมาที่เธอรู้ก็คือ อาโทวได้ซุกตัวอยู่ในอกของทาคุโตะ ดื่มด่ำไปกับความสงบของเธออยู่เงียบๆ

ค่ำคืนได้ล่วงเลยไป และมีเพียงเสียงของคบเพลิงที่ดังกังวาลอยู่ในความเงียบงัน

อาโทวคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทาคุโตะและตัวเธอจะต้องชัดเจนขึ้นในสักวันหนึ่ง

ทำไมทาคุโตะถึงมายังโลกใบนี้? และทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่กับเขา ในเมื่อเธอควรจะเป็นเพียงแค่ตัวละครในเกมเท่านั้น?

คำตอบสำหรับคำถามนั้นยังไม่ปรากฏ

แต่ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น

“มันยังมีอีกหลายอย่าง แต่ฉันเชื่อว่าฉันสามารถทำมันด้วยกันกับอาโทวได้ ดังนั้นได้โปรดคอยช่วยเหลือฉันด้วยนะ”

“ฉันเองก็รู้สึกแบบเดียวกับท่านทาคุโตะค่ะ”

เธอหวังว่าช่วงเวลานี้จะคงอยู่ตลอดไป

ตลอดกาลนาน

อยู่ด้วยกันกับทาคุโตะ ผู้ที่เธอเคารพรัก โดยไร้ซึ่งตอนจบ เธอหวังว่าจะมีเพียงแค่พวกเขาทั้งสอง

“มันเริ่มน่าสนใจขึ้นแล้วนะ มาสนุกกันเถอะ!”

“ทราบแล้วค่ะ ราชาของฉัน ตามที่ท่านปรารถนา…”

น้ำเสียงสนุกสนาน และถ้อยคำที่กล้าหาญจากราชาอันเป็นที่รักของเธอ

อย่างไรก็ตาม สำหรับอาโทวตอนนี้

รูปลักษณ์ของทาคุโตะ ดูเหมือนกับบางอย่างซึ่งมีรูปร่างเหมือนคนที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดอันไร้สิ้นสุด

 

จบบทที่ 1

 =ข้อความ= = = = = = = = = = = = = = = = =. 

เหตุการณ์ลูกโซ่ [การมาของจุดสิ้นสุด] ได้เริ่มขึ้นแล้ว

 ■■■■■■■■■■■ บนแผนที่

 

~อารยธรรมฝ่ายดี, เชื่อในพระเจ้าและต่อต้านการทำลายล้าง

~อารยธรรมฝ่ายชั่วร้าย บดขยี้โลกใบนี้ตามที่ใจคุณต้องการ

 

 

คู่รักเขาสวีทกันด้วยล่ะ….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ 19 When the world is plagued with disaster

Now you are reading [นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ Chapter 19 When the world is plagued with disaster at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เขตปกครองทางเหนือของควอเลีย

สายลมพัดโชย และหิมะที่ล่องลอยไปมา

ลมหายใจของเธอเป็นสีขาว และอากาศที่หนาวเหน็บได้ช่วงชิงความอบอุ่นของร่างกายเธออย่างไร้ความปรานี

เธอได้ยินเสียงแปลกๆดังก้องมาจากที่ไกลๆ เสียงกรีดร้อง ตะโกน สาปแช่ง และเย้ยหยัน

ในขณะที่ฟังเสียงของความวุ่นวายอันบ้าคลั่งที่อยู่ห่างไกลจากดินแดนแห่งนี้ด้วยประสาทสัมผัสการได้ยินที่เหนือมนุษย์ของเธอ

บุปผาฝังศพ โซอารีน่า ผู้ที่เป็นนักบุญ ถามออกมาเสียงเบา

“มีการเคลื่อนไหวของแม่มดเอราคิโนะรึเปล่า?”

“เธอเข้าไปประจำอยู่ในเมืองที่ถูกทิ้งเมื่อวันก่อน และไม่มีการเคลื่อนไหวนับตั้งแต่นั้นครับ”

อัศวินศักดิ์สิทธิ์อาวุโสที่คอยคุ้มกันเธอตอบกลับมา

พระคาร์ดินัลของเขตปกครองทางเหนือ ผู้ที่คอยจู้จี้การกระทำของเธอได้จากไปไกลแล้ว

การโจมตีของแม่มดแห่งเสียงคร่ำครวญเอราคิโนะรุนแรงขึ้นทุกวัน

และคราวนี้เธอต้องต่อกรกับผู้ที่ได้รับพร

โซอารีน่าต้องอยู่แนวหลังเพื่อคอยรับมือกับสัตว์ร้าย และการโจมตีของปีศาจที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆเขตทางเหนือ การโจมตียิบย่อยพวกนี้ราวกับว่าต้องการจะขัดขวางการเคลื่อนที่ของกองทัพ เธอรับรายงานจากอัศวินศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับกัดฟัน

“นักบุญหน้าคว่ำกำลังต่อสู้อยู่ในแนวหน้า และดูเหมือนว่าเธอกับแม่มดจะฝีมือสูสีกัน ทำให้สถานการณ์มาถึงทางตันอยู่ในตอนนี้”

ภาพของนักบุญที่ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุม และเอาแต่ก้มหน้าอยู่เสมอจนราวกับว่าเธอกำลังสัปหงกอยู่ ได้ผุดขึ้นมาในจิตใจของโซอารีน่า

เธอเป็นคนไม่ค่อยพูด โซอารีน่าไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอด้วยซ้ำ

แต่ในฐานะนักบุญ ทำให้โซอารีน่ารู้สึกว่าใกล้ชิดกับเธอยิ่งกว่าใคร

โซอารีน่าอยากแสดงความขอบคุณและส่งกำลังใจ เพราะเธอยังคงปลอดภัยและคอยหยุดแม่มดเอาไว้

แต่นักบุญเองก็เป็นเพียงแค่คนคนนึง สิ่งที่พวกเขาทำได้จึงมีขีดจำกัด

และมันสายเกินไปที่จะเคลื่อนไหวแล้ว

“นายได้คำนวณขอบเขตของความเสียหายแล้วหรือยัง?”

“เสียเมืองไปสองแห่ง หมู่บ้านและเมืองเล็กๆในเขตเหนือจำนวนนับไม่ถ้วน ทหารในเขตปกครองทางเหนือที่ถูกแม่มดสังหารมีราวๆ 30,000 นาย ส่วนจำนวนของพลเรือนที่เสียชีวิตนั้นมีจำนวนมากเกินกว่าจะนับได้ครับ…”

โซอารีน่าหลับตาลงเงียบๆ และขอโทษต่อคนที่เธอไม่สามารถช่วยเอาไว้ได้

ไม่ว่าเธอจะขอโทษมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะไม่กลับมา

เธอกลายมาเป็นนักบุญเพราะเธออยากจะช่วยเหลือทุกคนและทุกสิ่ง ถึงอย่างนั้น เธอก็ทำทุกคนหลุดมือและหายไป

สีหน้าของโซอารีน่ามืดมนยิ่งขึ้น

“แล้วเรื่องภัยพิบัติทางใต้ของทวีป — ไม่สิ ฉันไม่มีเวลามากังวลเรื่องนั้น”

สำหรับการตรวจสอบคำทำนายของภัยพิบัติทางตอนใต้ของทวีป เธอได้รับรายงานว่าทุกๆอย่างออกมาเรียบร้อยดี

เธอไม่ค่อยเชื่อใจท่าทีของพระคาร์ดินัลที่พยายามจะหลบเลี่ยงตอนเธอถามถึงรายละเอียด แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนั้น

ถึงแม้ว่าจะมีบางอย่างผิดพลาดไป มันก็ยังมีนักบุญอยู่ในเมืองหลวงถึงสองคน

โซอารีน่าจึงกลับมาจดจ่อกับปัญหาในมือ และตัดสินใจทำตามหน้าที่ที่เธอได้รับ

”เรื่องการปราบสัตว์อสูรและกึ่งมนุษย์ที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ฉันขอฝากส่วนที่เหลือไว้กับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ส่วนตัวฉันจะมุ่งหน้าไปที่แนวหน้าและสนับสนุนนักบุญหน้าคว่ำ ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถเอาชนะแม่มดได้ แต่มาขับไล่พวกมันออกจากดินแดนนี้กันเถอะ”

เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ต่างกรูกันเข้ามาเพื่อหยุดโซอารีน่า ผู้ที่กำลังจะก้าวออกไป

ความสามารถทางร่างกายของนักบุญอยู่เหนือเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์อาวุโสซะอีก

ถ้าไปเพียงลำพัง เธอสามารถวิ่งตรงไปที่แนวหน้าได้โดยใช้เวลาเพียงนิดเดียวถ้าเธอต้องการ

แน่นอนว่าไม่มีใครตามเธอได้ทัน

“ได้โปรดช่วยรอก่อนครับ ท่านโซอารีน่า! การลอบจู่โจมที่แนวหน้าจะต้องได้รับการอนุญาติจากพระคาร์ดินัลก่อน…”

“ไม่จำเป็น ฉันคือผู้ตัดสินใจ”

สายลมกรรโชกพัดเข้ามา

สายลมอันรุนแรงที่ปัดเป่าหิมะและบดบังการมองเห็นของอัศวินศักดิ์สิทธิ์

เมื่อเขาสะบัดหัวและลืมตาขึ้นมา ก็ไม่พบกับร่างของนักบุญแล้ว

◇   ◇   ◇ 

 

[สหพันธ์แห่งจิตวิญญาณเอลนาร์ ห้องประชุมสภาเททราลูเซีย]

สหพันธ์ที่เหล่าเอลฟ์ปกครอง สภาที่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจสูงสุด หัวหน้าเผ่าแต่ละคนต่างก็นั่งอยู่รอบๆโต๊ะด้วยใบหน้าลึกลับ

เอลฟ์หนุ่มคนหนึ่งได้อ่านรายงานให้พวกเขาฟัง

เขาเป็นว่าที่หัวหน้าเผ่า

เขาได้รับอนุญาติให้เข้าร่วมการประชุมนี้เพื่อเก็บประสบการณ์

เขาอ่านเนื้อหาในเอกสารด้วยสีหน้าซับซ้อน

“เราขาดการติดต่อกับไวส์-นาห์ เมืองหลวงของเผ่าทไวส์ เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆที่ล่มสลาย ตามข้อมูลที่ได้รับมา ดูเหมือนว่าพวกทูไวส์จะเปลี่ยนฝั่งแล้ว”

“อีกแล้วรึ!? เผ่าทไวส์หันไปเข้ากับพวกศัตรูศัตรูแล้วสินะ!”

หัวหน้าเผ่าผู้ที่โด่งดังในเรื่องความกระหายเลือดได้ทุบโต๊ะ และตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงท่าทีไม่เหมือนกับคนอื่นๆ แต่พวกเขาก็คิดแบบเดียวกัน

เห็นได้ชัดจากการฮึดฮัด และกอดอกด้วยสีหน้าซับซ้อนของพวกเขา

“ขอให้เหล่าสปิริตจงอวยพรแด่หัวหน้าเผ่าที่เหลือด้วยเถอะ ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าทำไมพวกเราถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ควอเลียกัน? ข้ายังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอก็จริง แต่ข้าคิดว่าปัญหานี้มันใหญ่เกินกว่าที่พวกเราจะรับมือได้เพียงลำพัง…”

“โง่เง่าสิ้นดี! เรื่องราวน่าสมเพชเหล่านี้ไม่สมควรจะถูกเอ่ยถึง แม้ว่าควอเลียจะเป็นพันธมิตรกับเรามายาวนานก็ตาม!”

“ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพราะเราเป็นพันธมิตรกันมายาวนานนี่แหละ ….ด้วยคำอวยพรจากสปิริตและเกียรติของพวกเราในฐานะเอลฟ์ เราจะต้องจัดการกับปัญหานี้ด้วยตัวเอง”

คำพูดของหัวหน้าเผ่าแต่ละคนนั้นเด็ดขาด

ถึงพวกเขาจะใจดีมากพอที่จะรับฟังความคิดเห็น แต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจ

เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆเองก็มีความเห็นแบบเดียวกัน

สติปัญญาและพลังของเอลฟ์จะเพิ่มขึ้นตามอายุ นี่เป็นเรื่องปกติที่จะทำให้พันธมิตรของพวกเขาปลอดภัย แต่บางครั้งความภาคภูมิใจที่มากเกินไปทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการมองเห็นภาพรวม

เอลฟ์หนุ่มก้มหัวลงอย่างสงบ และหยุดคำพูดของตนเอง

“นอกจากนั้น ควอเลียเองก็ยุ่งอยู่กับแม่มดที่ปรากฏตัวขึ้นในเขตทางเหนือ ดังนั้น พวกเราเอลนาร์ จะต้องแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว และมุ่งหน้าไปช่วยเหลือพวกเขา ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ความเห็นของเจ้าก็ยากที่จะยอมรับ”

“ใช่แล้ว! ลองไปเล่าปัญหานี้ให้อาณาจักรอื่นๆฟังดูสิ นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังจะได้มีความสุขในการเขียนหนังสือเยาะเย้ยอาณาจักรเรายังไงล่ะ! ไอ้พวกเฮงซวยเอ้ย.. เฮอะ! แค่พูดถึงมันก็น่ารำคาญจะตายแล้ว”

“ส่งนักบุญออกไป! นักสู้สปิริตด้วย! รีบจัดการกับปัญหานี้ซะ!”

บรรยากาศที่ยุ่งเหยิงของการประชุมสภาครั้งนี้กำลังจะจบลง

ในที่สุด พวกเขาได้ตัดสินใจส่งนักบุญของเอลนาร์ออกไป หากเธอผู้เป็นนักบุญที่มีพลังเทียบเท่ากับกองทัพ คงจะสามารถพลิกสถานการณ์การล่มสลายของเผ่าลงได้

แต่ทำไมกัน…

ชายผู้เป็นว่าที่หัวหน้าเผ่าคนต่อไป กลับรู้สึกว่าปัญหานี้คือเค้าลางของบางสิ่งที่ใหญ่กว่า

◇   ◇   ◇ 

[ทะเลขั้วโลกใต้ อาณาจักรแห่งปะการังและมหาสมุทร ซัทเทอร์แลนด์]

ทางใต้ของทวีปไฮดราเกีย ดินแดนที่ไร้ซึ่งอารยธรรมซะส่วนใหญ่ และพื้นที่ทั้งหมดยังไม่ได้รับการสำรวจ

ซัทเทอร์แลนด์เป็นอาณาจักรทางทะเลที่มีชายฝั่งตะวันออกเป็นอาณาเขต

ส่วนใหญ่แล้วเป็นอาณาจักรซึ่งเป็นกลางของมนุษย์ที่มีการค้า และประมงอยู่ในระดับสูง แต่เมืองแห่งหนึ่งกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดในวันนั้น

“หืม? หมอก…?”

กะลาสีที่ทำงานอยู่ในท่าเรือมองดูหมอกควันที่มาจากอีกฟากของมหาสมุทร ขณะที่เขากำลังคลำหาเชือกเพื่อผูกเรือลำเล็ก

หมอกเป็นศัตรูตามธรรมชาติของกะลาสี

หากขอบเขตการมองเห็นของคุณต่ำลง โดยปกติแล้วมันจะทำให้ยากต่อการระบุตำแหน่งในทะเล บางคนอาจจะได้เผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ หรือไม่ก็สัตว์อสูรแห่งท้องทะเล ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ

โชคดีที่ไม่มีอันตรายเกิดขึ้นที่ท่าเรือในขณะที่เรือกำลังเตรียมตัวออกจากท่า แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี

หมอกหนาขึ้น เมื่อนำมาพิจารณาดู การที่มีหมอกในช่วงนี้ของปีเป็นเรื่องหายาก

มันมีหมอกที่สามารถปกคลุมทั้งท่าเรือได้ด้วยรึ?

รอบข้างปรากฏเสียงมากมาย

“นั่นมันอะไรน่ะ? เรือของใครกัน?”

 

เพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ข้างๆ ตะโกนออกไปพร้อมกับชี้ไปยังมหาสมุทร

เมื่อชายคนนั้นเพ่งสายตาและมองลึกเข้าไปในหมอก เขาเห็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรือที่กำลังโคลงเคลงไปมา

“ทางนั้นมันควอเลียไม่ใช่หรอ? เรือทั้งหมดของพวกเราอยู่ที่นี่ ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นของท่าเรือไหนเลยนะ…”

“ใช่เรือของควอเลียรึเปล่า? แต่ทำไมข้ารู้สึกว่าดูจากลักษณะการตกแต่งแล้วไม่น่าใช่…”

เขาทำการผูกเรือด้วยความสงสัย

ถึงเขาจะรู้สึกสงสัย แต่เขาก็ต้องทำงานก่อนโดยเฉพาะในหมอกแบบนี้ ดังนั้นเขาก็แค่ช่างมัน และไปดื่มสักหน่อย

“ไม่ เดี๋ยวนะ มันไม่ใช่! มันไม่ใช่เรือ! โอ้ ไม่ ไม่!!”

“เฮะ เฮ้!”

เมื่อเขาหันกลับไปอย่างเร่งรีบ ก็พบว่าเพื่อนของเขาได้ลงไปกองอยู่บนพื้นพร้อมกับอาการตาเหลือกและน้ำลายฟูมปาก

ชายคนนั้นรู้อย่างรวดเร็วว่านี่คือการโจมตีทางจิตวิญญาณของปีศาจทะเลที่เขาเคยเผชิญหน้าในมหาสมุทรอยู่บ่อยครั้ง

“บ้าเอ๊ย! ศัตรูบุก! ศัตรบุกแล้ว! รีบเตือนกองทัพเรื่องนี้ซะ–! พวกแกห้ามมองตาของมันตรงๆเด็ดขาดเลย!”

โดยที่ไม่หันกลับไปมองสิ่งนั้นตรงๆ เขาได้พบกับเรือที่อยู่สุดขอบสายตาของเขา

เขาพยายามจะระบุตัวตนของมันในขณะที่อดทนกับความรู้สึกอึดอัดจนเกือบทำให้หมดสติ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรือแน่ๆ

◇   ◇   ◇ 

[ดินแดนต้องสาป สถานที่ก่อสร้างพระราชวังไมน็อกกราห์]

ภายในดินแดนต้องสาปการก่อสร้างต่างๆได้ดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน พวกเขากำลังก่อสร้างพระราชวังกันอยู่

มันจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของอาณาจักรถ้าหากพระราชวังดูเหมือนกับที่พักชั่วคราว

อีกอย่าง การก่อสร้างพระราชวังเป็นภารกิจเร่งด่วนในการจัดการ เพราะมันสามารถส่งผลได้หลายอย่าง

ส่วนของฐานได้ถูกก่อขึ้นมาและเสร็จสิ้นไปบางส่วนแล้ว

พรมหลากสี และผ้าทอบนผนังที่ทำโดยดาร์คเอลฟ์เพศหญิงถูกจัดแสดงอยู่ทุกที่ คาดว่าสถานที่แห่งนี้จะต้องงดงามอย่างยิ่งเมื่อทำการสร้างเสร็จสมบูรณ์

ภายในห้องบัลลังก์ ทาคุโตะนั่งอยู่บนบังลังก์หิน ฮัมเพลงอยู่เงียบๆอย่างเพลิดเพลินไปกับความสงบยามค่ำคืน และความอบอุ่นจากแสงของคบเพลิง

“…อย่างไรก็ตาม ท่านทาคุโตะคะ”

ทันใดนั้น เสียงก็ดังมาจากด้านข้างของเขา

เมื่อเขามองกลับไป ก็พบกับอาโทว ผู้ที่เขาเชื่อใจอย่างแท้จริง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

เป็นเพราะหญิงสาวคนนั้นที่คอยอยู่เคียงข้างเขา เขาจึงสามารถเป็นอย่างทุกวันนี้ได้

เป็นเพราะตัวตนของอาโทว ทำให้อาณาจักรสามารถเติบโตได้จนถึงทุกวันนี้โดยไร้ซึ่งปัญหา

ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย ทาคุโตะส่งยิ้มกลับไป

“หืม? มีอะไรหรอ?”

“ก่อนจะมายังที่แห่งนี้ ท่านทาคุโตะยังเป็นแค่คนธรรมดา…”

“เป็นเรื่องปกติล่ะนะ! ก็นะ ดูเหมือนพ่อแม่ฉันค่อนข้างรวยนิดหน่อย แต่ก็ยังถือว่าธรรมดา! ทำไมจู่ๆพูดขึ้นมาล่ะ? แปลกๆนะที่อาโทวจะถามเรื่องอะไรแบบนี้”

อย่างที่เขาพูด ชาติกำเนิดของทาคุโตะนั้นธรรมดา

เขาเป็นแค่คนธรรมดา และยังมีสามัญสำนึกแบบคนทั่วๆไปอีกด้วย

ทันใดนั้น เขาก็ได้มายังต่างโลก และถูกจู่โจมด้วยโชคชะตาอันน่าประหลาดใจที่มาปกครองอาณาจักรเหมือนกับในเกม แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขายังเป็นแค่คนธรรมดาที่มาจากยุคสมัยใหม่ที่ปลอดภัย

ทาคุโตะคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น

สถานการณ์นี้คงจะทำให้คนทั่วๆเกิดความสับสน

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ มันจะไม่น่าแปลกใจหรอ ถ้าเขายังคงทำตัวเป็นราชาผู้ทรงอำนาจได้อยู่? เขาประเมินตัวเองไว้สูง และปล่อยให้ตัวเองจมไปกับความสุขและตื่นเต้นที่พรั่งพรูออกมาจากภายใน

อย่างไรก็ตาม มันยังมีส่วนไหนของเขาที่ไม่ใช่ราชาจึงทำให้อาโทวถามออกมาอย่างนั้น?

ทาคุโตะมองไปกลับยังดวงตาของอาโทวเงียบๆ ราวกับจะถาม

อาโทวถามคำถามที่เธอไม่ได้พูดออกมาเมื่อวันก่อน

“โอ๊ะ ไม่ใช่ค่ะ! ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น…ก็แค่ ฉันสงสัยว่าท่านทาคุโตะจะโกรธหรือเปล่าที่ฉันฆ่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นไป…”

“โกรธงั้นหรอ? ทำไมล่ะ?”

อาโทวไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้น

เธอไม่คิดว่าเธอจะตอบคำถามนั้นได้

ทาคุโตะรู้รายละเอียดการต่อสู้ทุกอย่างจากอาโทว

ทุกๆอย่าง แม้กระทั่งการที่เธอฉีกกระชากเนื้อหนัง บดขยี้กระดูก และเอาชีวิตพวกเขาอย่างสนุกสนาน

อาโทวเตรียมข้อแก้ตัวที่เธอเล่นในการต่อสู้มากเกินไป เธอเตรียมคำขอโทษที่อาจจะถูกต่อว่าว่าทำเกินไปเอาไว้แล้ว

แต่ทำไมเธอถึงสนใจเรื่องพวกนั้น? นั่นเป็นคำถามที่ไม่คาดคิด

ทาคุโตะเป็นคนธรรมดาทั่วไปก่อนที่เขาจะมายังโลกใบนี้

ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรจะมีสามัญสำนึกของคนทั่วๆไป

อาโทวเชื่อว่าได้รับความรู้สึกบางอย่างแบบนั้นมาด้วย

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงภาคภูมิใจที่เธอยังสามารถอยู่กับทาคุโตะได้ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นตัวตนอันชั่วร้ายก็ตาม

ในสถานการณ์แบบนี้ คนทั่วๆไปคงรู้สึกพะอืดพะอมและเสียใจไปแล้ว แต่ทำไมกัน?

นั่นแหละคือคำถาม

อาโทวรู้สึกว่าตัวเองถูกจ้อง ราวกับว่าเธอกำลังถูกโลมเลียด้วยตัวตนที่ไม่พึงประสงค์

เธอเริ่มจะสูญเสียความคิดว่าอะไรผิดและอะไรถูก

เธอทุกข์ทรมานด้วยความกลัวที่ว่าการที่ทาคุโตะมายังโลกใบนี้ทำให้เขาสูญเสียตัวตนไป

ความคิดแย่ๆเข้ามาในหัวของเธอ ทาคุโตะคนที่มักจะใจดีและเรียกหาเธอเสมอได้หายไปไหนสักแห่งหลังจากที่กลายมาเป็นผู้นำของไมน็อกกราห์

“เธอทำตัวแปลกๆนะ อาโทว”

“โอ๊ะ! ไม่นะ ฉันขอโทษด้วยค่ะ…”

แต่อาโทวรู้ว่าความกังวลนั้นเป็นความเข้าใจผิดของเธอเอง

เธอทำได้ว่าเธอเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอิระ ทาคุโตะ เลย นอกจากในเกม

ไม่มีทางที่เธอจะแสดงความสงสัยออกไปอีก

“เธอกังวลเรื่องอะไรหรือเปล่า? ถ้าหากฉันช่วยอะไรเธอได้ก็บอกมาเลยนะ”

 “ไม่เป็นไรค่ะ ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจผิด….”

“แล้ว…เธอรู้สึกแย่อะไรรึเปล่า? ฉันไม่อยากเห็นอาโทวเป็นแบบนั้นเลย ฉันอยากให้เธอดูมีชีวิตชีวาเหมือนเดิมนะ”

อาโทวถูกกุมมืออย่างนุ่มนวล ราวกับว่าเป็นพ่อที่กำลังให้ความอบอุ่นแก่มือเย็นๆของลูก

สิ่งที่อยู่ในมือนั้นคือความอบอุ่น รอยยิ้มบนหน้าของทาคุโตะเองก็เต็มไปด้วยความเห็นใจ

แต่เพียงคำพูดแค่นั้นก็ทำให้เธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แน่ชัด….

“ยิ้มหน่อยนะ”

“คะ ค่ะ”

อาโทวตอบกลับอย่างเร่งรีบ

เธอรู้สึกผวาและยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเธอเองคือผู้กล้าที่สามารถทำลายโลกได้

มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่นับว่าดีเท่าที่ควร แต่ทาคุโตะดูเหมือนจะพอใจ

อาโทวทาบอกด้วยความโล่งใจ

ขณะที่กำลังพยายามระงับความกลัวที่ผุดขึ้นมาในใจ ได้มีมือวางลงบนศรีษะของเธอและลูบมันอย่างนุ่มนวล

แน่นอนว่านั่นคือมือของทาคุโตะที่มองมายังเธอด้วยสายตาอ่อนโยน

ความอ่อนโยนของทาคุโตะ และความรู้สึกนึกคิดของเขาล้วนถูกส่งมาให้เธอ

ความสุขได้เข้าปกคลุมจนราวกับว่าความกังวลก่อนหน้านี้ของเธอได้หลุดลอยไปที่ไหนสักแห่ง และความรู้สึกโล่งใจและเชื่อมั่นได้เติมเต็มไปทั่วทั้งร่างของเธอ

สิ่งต่อมาที่เธอรู้ก็คือ อาโทวได้ซุกตัวอยู่ในอกของทาคุโตะ ดื่มด่ำไปกับความสงบของเธออยู่เงียบๆ

ค่ำคืนได้ล่วงเลยไป และมีเพียงเสียงของคบเพลิงที่ดังกังวาลอยู่ในความเงียบงัน

อาโทวคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทาคุโตะและตัวเธอจะต้องชัดเจนขึ้นในสักวันหนึ่ง

ทำไมทาคุโตะถึงมายังโลกใบนี้? และทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่กับเขา ในเมื่อเธอควรจะเป็นเพียงแค่ตัวละครในเกมเท่านั้น?

คำตอบสำหรับคำถามนั้นยังไม่ปรากฏ

แต่ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น

“มันยังมีอีกหลายอย่าง แต่ฉันเชื่อว่าฉันสามารถทำมันด้วยกันกับอาโทวได้ ดังนั้นได้โปรดคอยช่วยเหลือฉันด้วยนะ”

“ฉันเองก็รู้สึกแบบเดียวกับท่านทาคุโตะค่ะ”

เธอหวังว่าช่วงเวลานี้จะคงอยู่ตลอดไป

ตลอดกาลนาน

อยู่ด้วยกันกับทาคุโตะ ผู้ที่เธอเคารพรัก โดยไร้ซึ่งตอนจบ เธอหวังว่าจะมีเพียงแค่พวกเขาทั้งสอง

“มันเริ่มน่าสนใจขึ้นแล้วนะ มาสนุกกันเถอะ!”

“ทราบแล้วค่ะ ราชาของฉัน ตามที่ท่านปรารถนา…”

น้ำเสียงสนุกสนาน และถ้อยคำที่กล้าหาญจากราชาอันเป็นที่รักของเธอ

อย่างไรก็ตาม สำหรับอาโทวตอนนี้

รูปลักษณ์ของทาคุโตะ ดูเหมือนกับบางอย่างซึ่งมีรูปร่างเหมือนคนที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดอันไร้สิ้นสุด

 

จบบทที่ 1

 =ข้อความ= = = = = = = = = = = = = = = = =. 

เหตุการณ์ลูกโซ่ [การมาของจุดสิ้นสุด] ได้เริ่มขึ้นแล้ว

 ■■■■■■■■■■■ บนแผนที่

 

~อารยธรรมฝ่ายดี, เชื่อในพระเจ้าและต่อต้านการทำลายล้าง

~อารยธรรมฝ่ายชั่วร้าย บดขยี้โลกใบนี้ตามที่ใจคุณต้องการ

 

 

คู่รักเขาสวีทกันด้วยล่ะ….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+