[นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ 23: Encounter

Now you are reading [นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ Chapter 23: Encounter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฟอว์นคาเวน เป็นอาณาจักรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมไปด้วยเผ่าพันธ์ุที่หลากหลาย โดยมีประชากรส่วนใหญ่เป็นมนุษย์

ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามันถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อใด แต่มันมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเหล่าบรรดาอาณาจักรในตอนใต้ของทวีปไฮดราเกีย

ในแง่ของอารยธรรม มันอยู่ต่ำกว่าเขตทางตอนเหนือของควอเลียหนึ่งระดับ

พวกเขาเริ่มมีการผลิตเหล็กและอุปกรณ์อื่นๆกันแล้ว แต่ระบบจัดการของอาณาจักรก็ยังไม่สมบูรณ์นัก

ศาสนาของพวกเขาคือศรัทธาในจิตวิญญาณโบราณที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ตรงกันข้ามกับจิตวิญญาณธาตุของเอลฟ์

พวกเขานับถือในจิตวิญญาณของสรรพชีวิต ต้นไม้ พืชพรรณ แม้กระทั่งก้อนกรวดและผืนดิน และทำนายดวงชะตาด้วยกระดูกและหนัง

อารยธรรมของพวกเขายังไม่สูงนัก และกลิ่นไอของความสงบสุขได้แผ่กระจายอยู่ทั่วอาณาจักร แม้ว่ามันจะรวมไว้ด้วยเผ่าพันธุ์ที่หลากหลาย แต่มันก็ไม่มีการขัดแย้งกัน และพวกเขาก็ดื่มด่ำไปกับชีวิตที่ผ่อนคลายและรุ่งโรจน์นี้

จนกระทั่ง

“ยักษ์ภูเขา! ยักษ์ภูเขาออกมาแล้ว!”

เครสเซนท์มูน เมืองหลวงของฟอว์นคาเวน ได้รับความเสียหายอย่างมาก เนื่องจากโดนเหล่าอมนุษย์เข้าโจมตีทุกวัน

ประการแรก พวกเขาไม่เคยมีส่วนร่วมในสงครามมาก่อน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความแข็งแกร่งทางการทหารอยู่ในระดับนึง แต่ความสามารถนั้นก็ยังไม่พอ

อาวุธของพวกเขาก็ถูกเตรียมไว้อย่างลวกๆเช่นกัน

กำแพงชั้นนอกเองก็เป็นแค่กำแพงดินเหนียว เพราะพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกศัตรูโจมตี ส่วนอาคารภายในเมืองก็เปราะบางมาก

ฝ่ายศัตรูคืออมนุษย์ที่เป็นภัยต่ออารยธรรม รู้จักกันในนามคนเถื่อน

ก๊อบลิน ออร์ค โคโบลท์ และบางครั้ง แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่หายาก และอันตรายกำลังคุกคามเอาชีวิตเขาอยู่

วันนี้มีการโจมตี จากสิ่งที่อันตรายที่สุดอย่างยักษ์ภูเขา

“ใครก็ได้! รีบไปแจ้งนักบวชผู้ครองคทาที! ยักษ์ภูเขาปรากฎตัวแล้ว!”

“ส่งนักธนูไป! อย่าให้มันบุกเข้ามาในเมืองได้!”

พวกยักษ์ที่สูงมากพอจนมองบ้านเรือนจากมุมบนได้ มอนสเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่ายักษ์ภูเขา

ผิวที่หยาบกร้าน และดูน่าขนลุก ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ดวงตาสีแดงฉาน และเขี้ยวที่โผล่พ้นริมฝีปาก

พวกมันมีสติปัญญาต่ำ แต่มีความแข็งแรงมากพอที่จะชดเชยจุดด้อยนั้นได้

เพียงแค่แรงหวดจากกระบองของมันก็มากพอที่จะทำให้ทหารผู้กล้ากลายเป็นก้อนเนื้อเละๆได้ในพริบตา

แม้จะไม่ทรงพลังเท่าไซคลอป ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ลำดับสูงกว่าของยักษ์ มันก็ยังทรงพลังในหมู่อมนุษย์อยู่ดี

เหตุผลที่พวกมันโจมตีเมืองนั้นคืออะไรก็ไม่ทราบได้ โดยปกติแล้วพวกมันมักจะอาศัยอยู่ในหุบเขาลึก และไม่ออกมาจากอาณาเขตของตัวเอง

แน่นอนว่าไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น และไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจัดการกับมัน

“บัดซบ! กำแพงดินที่ถูกทำลายก่อนหน้านี้ยังซ่อมไม่เสร็จเลย! ถ้าเป็นแบบนี้พวกมันจะบุกเข้ามาในเมืองได้!!”

มนุษย์สัตว์ที่ถูกส่งตัวมาทำหน้าที่ญามเพราะจมูกที่ไวต่อกลิ่น ก่นด่าไปพร้อมๆกับทำหน้าราวกับถูกบังคับให้กินหนอนแมลงไปด้วย

ถึงแม้ว่านักธนูจากโจมตีจากหอคอยเฝ้าระวังอย่างสุดกำลังก็ตาม แต่มันก็ยังไม่พอที่จะหยุดยักษ์พวกนั้น

ระยะห่างระหว่างพวกมันและเมืองสั้นลงเรื่อยๆ

ยักษ์ตัวนี้จู่ๆก็โผล่ออกมา แม้แต่ความสามารถในการตรวจจับของมนุษย์สัตว์ ก็ยังยากที่จะตรวจพบการโจมตีนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกยามถึงเข้าต่อสู้อย่างหนัก

ผ่านมาได้สัปดาห์นึง นับตั้งแต่การโจมตีครั้งสุดท้าย

กำแพงดินเหนียวที่ถูกทำลายโดยยักษ์ภูเขาจำนวนสามตัวก่อนหน้านี้ ยังซ่อมแซมไม่เสร็จ เพราะพวกเขายุ่งอยู่กับการรับมือพวกก๊อบลินที่เข้ามาโจมตี

พลหอกพยายามตอโต้อย่างกล้าหาญ แต่ความแตกต่างระหว่างขนาดตัวส่งผลโดยตรงกับพละกำลัง

พวกยามพยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดพวกมันได้

เป้าหมายของยักษ์ภูเขาคือกำแพงที่ยังซ่อมแซมไม่เสร็จ สามารถมองเห็นเมืองเครสเซนท์ได้จากจุดนั้น

ราวกับว่าการโจมตีของพวกยักษ์ภูเขาเล็งเห็นโอกาสนั้น

และในขณะที่เหล่ายามรักษาการณ์เริ่มสิ้นหวัง และจินตนาการถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น

“ลองชิมนี่ดูสิ! เวทย์เถาหญ้า…!!”

เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นมา ตามด้วยความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นตรงเท้าของยักษ์ภูเขา

“โกวววว!”

“นี่มัน! เวทมนตร์ของผู้ครองคทา! กำลังเสริม?!”

ยักษ์ภูเขาเริ่มดิ้นรน จากนั้นก็หยุดเคลื่อนไหว

ในที่สุดมันก็ล้มลงบนพื้น ราวกับว่าสะดุดอะไรบางอย่าง เมื่อเหล่ามนุษย์สัตว์เห็นหญ้าจำนวนมากงอกออกมาจากร่างกายของยักษ์ภูเขา บนใบหน้าของพวกเขาก็ปรากฏความยินดีออกมา

มันเหมือนกับว่าหญ้าพวกนั้นงอกออกมาจากเท้าของยักษ์ภูเขา และรัดมันจนแน่น ทำให้มันหยุดการเคลื่อนไหว

“ไม่ต้องห่วง เหล่าทหารกล้าแห่งฟอว์นคาเวน สุดยอดผู้ครองคทาอยู่นี่แล้ว!!”

“โอ้! ท่านเปเป้!!”

เด็กชายที่ปรากฏตัวจากช่องว่างของกำแพงดินเหนียว เขาปีนขึ้นไปบนตัวของยักษ์ภูเขาที่ไม่สามารถขยับตัวได้ จากผลของเวทย์เถาหญ้า

“ฟุฟุฟุ! ฉันนี่เจ๋งจริงๆ! วู้ว!!”

เสียงแหลมๆของเด็กชายดังก้องไปทั่วสนามรบ

เขาสวมชุดคลุมที่ยาวจนชายลากพื้น และสวมใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงขาสั้นที่ดูยับยู่ยี่

นี่คือนักบวชที่พวกเขาเฝ้ารอ

นักบวชผู้ทำพิธี และแสดงอภินิหารในฟอว์นคาเวน

นักบวชผู้ครองคทามีตำแหน่งที่สุด

นั่นหมายความว่าเขาเป็นผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาดแห่งฟอว์นคาเวน

พวกเขาทั้งสิบสองคน ต่างก็ถูกรักโดยเหล่าจิตวิญญาณแห่งผืนดิน และเหล่าสรรพสัตว์ พวกเขาสามารถใช้ปาฏิหาริย์ของพระเจ้าได้

พวกเขาครอบครองเวทมนตร์อันทรงพลัง และใช้คทาด้ามยาว ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะพวกเขาเท่านั้น

พวกเขาเรียกคนเหล่านี้ด้วยความเคารพและศรัทธาว่า “ผู้ครองคทา”

เปเป้เป็นผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดในหมู่พวกเขา

เขารีบมุ่งไปยังจุดเกิดเหตุ ช่วยเหลือกองทัพที่กำลังต่อสู้ และปราบเจ้ายักษ์ภูเขา

เสียงร้องแห่งชัยชนะของเขาช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจแก่เหล่าทหาร

พวกเขาส่งเสียงเชียร์อยู่รอบๆเปเป้ที่กำลังร้องตะโกนขณะที่ยืนอยู่บนตัวของยักษ์ภูเขา

“ท่านนักบวช! ท่านนักบวช!”

“วู้ว! เอาอีก ดังขึ้นอีก!”

แต่โชคไม่ดีที่มีปัญหาอยู่ข้อนึง

ปัญหาที่ทหารเหล่านั้นต่างก็ลืมมันไป

สมญานามที่สองของเขา ซึ่งถูกเรียกขานโดยผู้ครองคทาคนอื่นๆก็คือ …..”คนโง่”

“โกววววว!!”

“แว้กกกกก!!”

“ท่านนักบวช!!”

ยักษ์ภูเขาที่ถูกพันธนาการด้วยเวทย์เถาหญ้า ได้ฉีกพันธนาการนั้นอย่างสุดกำลัง

แน่นอนว่าเปเป้ที่ยืนอยู่บนตัวของมันถูกสะบัดออกไป

เขาต้องจ่ายราคาของความมั่นใจมากเกินไป และไม่รีบจัดการศัตรู

ยักษ์ภูเขาจ้องไปยังเปเป้ในขณะที่เขากำลังกลิ้งอยู่บนพื้น และมันกำลังจะเหยียบร่างเล็กของเขา

แต่ในที่สุด กำลังเสริมที่แท้จริงก็มาถึง

“–เวทย์หล่มโคลน”

 

“โก? โกววว…”

จังหวะเวลาสมบูรณ์แบบ

เวทมนตร์ทำงานอย่าวรวดเร็วราวกับเหยี่ยวโฉบ

ในขณะที่ยักษ์ภูเขายกเท้าขึ้น ทันใดนั้นผืนดินภายใต้เท้าของมันก็อ่อนยวบ ทำให้มันล้มลงไปสัมผัสกับความเย็นของพื้นอีกครั้ง

“–เวทย์เถาหญ้า”

และการโจมตีถัดไปก็คือพันธนาการ ยักษ์ภูเขาถูกพันเต็มไปด้วยหญ้า

ผู้ครองคทาที่มาถึงทีหลังไม่โง่พอที่จะพลาดโอกาสนี้

“พวกเจ้ารออะไรกันอยู่? จัดการมันซะสิ! เล็งไปที่ตา!”

“ครับท่าน!”

“โฮกกกกกกกกกกกกกก!!”

ยักษ์ภูเขาได้ตายลง

ลูกธนูและหอกทิ่มแทงไปที่ดวงตาของมัน ได้เจาะทะลุสมองของมอนสเตอร์ตัวใหญ่และจบชีวิตมันลง

สายตาของเหล่าทหารต่างก็จ้องไปยังผู้ครองคทาที่มาใหม่

ขณะที่เดินมาอย่างกระฉับกระเฉง เธอก็มีสีหน้าดูไม่พอใจนัก

คนผู้นี้ขึ้นชื่อในเรื่องของความเข้มงวด และหัวแข็ง

เธอคือหญิงชราของเผ่ามนุษย์สัตว์ ที่มีหัวเป็นวัว

หญิงชราหัววัวตรวจดูยักษ์ภูเขาจากระยะไกล

จนในที่สุด เธอก็สั่งให้ทหารหนุ่มคนหนึ่งไปตรวจสอบการตายของยักษ์ภูเขา

เธอบอกเหล่าทหารว่าการโจมตีได้จบลงแล้ว และกล่าวขอบคุณอีกเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม สำหรับพวกเขาแล้วยังไม่จบ

พวกเขายังมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย อย่างเช่น การรักษาทหารที่บาดเจ็บ เก็บลูกธนู และกำจัดศพของยักษ์ภูเขา

ในฐานะที่เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการต่อสู้ หญิงชราหัววัวมีเรื่องที่มีแต่เธอเท่านั้นที่ทำได้อยู่

เธอจะต้องดุด่าผู้ครองคทาที่อายุน้อย และโง่ที่สุดคนนี้

“ฟู่วว!”

“ให้ตายเถอะ เปเป้! เจ้าเป็นผู้ครองคทาที่น่าสมเพชยิ่งนัก!”

“อ๊ะ! ยายโทนุคาโปลี”

เปเป้ถูกเขกหัวด้วยด้ามคทาที่ดูเก่าแก่

หลังจากได้ยินคำตำหนิ เปเป้ถึงรู้สึกตัวว่าเขาถูกยักษ์ภูเขาเหวี่ยงออกมา และมองไปรอบๆ

สิ่งที่สะท้อนอยู่ในตาเขาก็คือโทนุคาโปลี อาจารย์ซึ่งเป็นผู้ครองคทาเหมือนกัน และเป็นผู้ที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆ

ดูจากท่าทีแล้ว เขารู้ว่าตัวเองจะต้องโดนบ่นชุดใหญ่อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

“เจ้าพันธนการยักษ์ภูเขาด้วยเวทย์เถาหญ้าสำเร็จ แต่นั่นมันอะไรกัน? เจ้าลดความระวังลงเพราะคิดว่าตนเองชนะแล้วอย่างนั้นรึ ข้าบอกเจ้าอยู่เสมอว่ายักษ์ภูเขามันมีพละกำลังมหาศาล เจ้าควรจะเล็งไปที่จุดอ่อนของมัน และรีบจัดการมันซะ!”

“หืมม…? อื้ม! ใช่แล้ว! ฉันลืมไปเลยแฮะ!”

“โอ๊ย!”

“เจ้าโง่! หากเจ้าตาย เจ้าก็จะเสียทุกอย่าง! ทำไมถึงลืมเรื่องที่สำคัญเช่นนั้นได้เสียเล่า!?”

เธอเขกเขาเป็นรอบที่สอง แต่คราวนี้ทำให้เป็นรอยปูดขนาดใหญ่

โทนุคาโปลีหงุดหงิดเพราะไม่ว่าเธอจะดุด่าเขามากแค่ไหน เด็กคนนี้ก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี

เขามีอายุพอๆกับหลานของเธอ และเธอเองก็เอ็นดูเขามาตั้งแต่ยังเล็ก

แน่นอนว่าเธอเอ็นดูเขา แต่ความกังวลของเธอนั้นมีมากกว่าซะอีก

ทุกคนต่างก็รู้ว่าเปเป้เป็นคนโง่

คนเดียวในฟอว์นคาเวนที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้ก็คือตัวเปเป้เอง

เด็กเจ้าปัญหาคนนี้คือต้นเหตุของความกังวลของโทนุคาโปลี

“อึก แต่ว่านะ ยาย…..”

“เลิกเรียกข้าว่ายายได้แล้ว! ตอนนี้เจ้าเป็นนักบวชผู้ครองคทา! เจ้าจะทำตัวน่าสมเพชอย่างนั้นตลอดไปไม่ได้หรอกนะ!!”

“เอ่อ…แต่ว่า….”

“แถมข้ายังอายุแค่ 240 ปีเอง!”

ถ้าอยู่มานานขนาด ก็คงเป็นท่านทวดแล้วล่ะ

นั่นคือประโยคสุดท้ายของเปเป้ ก่อนที่เขาจะถูกเขกหัวเป็นครั้งที่สามในวันนี้

◇   ◇   ◇ 

การโจมตีของยักษ์ภูเขาได้จบลงแล้ว และโทนุคาโปลีกับเปเป้ ได้รายงานไปยังเหล่าผู้ครองคทาที่เหลือ

ณ อาคารที่อยู่ใจกลางเมือง

อาคารหลังนี้ดูเหมือนกับสถานที่ประกอบพิธีเก่าแก่ มากกว่าที่อยู่อาศัย หรือสถาบันต่างๆซะอีก

ในที่แห่งนั้น มีเพียงแสงเทียนที่ส่องสว่างอย่างเงียบๆ ชายชราบางคนได้สรรเสริญโทนุคาโปลีกับเปเป้ สำหรับความเหนื่อยยากของพวกเขา

“ทำได้ดีมาก โอ้ โทนุคาโปลี เปเป้ ต้องขออภัยด้วย หากเพียงแต่ข้าหนุ่มแน่นกว่านี้….”

“ไม่เป็นไรหรอก! ผู้อาวุโส ท่านมีเวลาเหลืออยู่ไม่เยอะ ค่อยๆก็ได้! อยากให้ฉันนวดไหล่ให้มั้ย?”

เขานั้นไร้ซึ่งมารยาท และส่งเสียงดังไปทั่ว

เป็นคนที่หยาบตายสุดๆ และเป็นคนนวดไหล่ได้แย่มากๆ

นี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของเปเป้ผู้โง่เขลา

ถึงเขาจะเป็นผู้ครองคทา ที่ได้รับความเคารพจากคนทั้งอาณาจักรก็ตาม

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่พวกผู้อาวุโสก็ค่อนข้างจะรังเกียจเขา เพราะเขามักจะทำอะไรตามใจตัวเอง

“เจ้าเด็กนี่ก็ยังคงแย่ ในหลายๆทางเลยนะ… โอ้ โทนุคาโปลี เกิดอะไรขึ้นกับการสั่งสอนของเจ้าล่ะนี่”

“หึ! ข้าเองก็ปวดหัวเช่นกัน ต้องขอบคุณเจ้าโง่นี่!”

“แต่ว่า เปเป้ก็เป็นผู้สืบทอดได้ตามที่คาด นอกจากเด็กคนนี้แล้ว ไม่มีใครสามารถขึ้นมาเป็นผู้ครองคทาได้เลย…”

ในฟอว์นคาเวน ผู้ครองคทาเป็นตัวตนพิเศษ

ผู้ที่สามารถรับฟังถ้อยคำของจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ เทพที่พวกเขาศรัทธา พวกเขามีค่ามหาศาล

สาเหตุที่ผู้อาวุโสยังไม่เกษียณจากการเป็นผู้ครองคทาทั้งๆที่อายุมากแล้ว เป็นหลักฐานว่าไม่มีใครสามารถสืบทอดจากพวกเขาได้มานานแล้ว

ดังนั้น การปรากฏตัวของเปเป้ ผู้ที่เป็นอัจฉริยะซึ่งหาตัวได้ยากนั้นนำมาซึ่งความน่ายินดี

แต่ความอัจฉริยะที่มากล้นเกินไป ดูเหมือนจะทำให้กลายเป็นบ้าแทน…..

“หืมม! อาณาจักรเราที่ไม่มีโชคเอาซะเลยนะ”

“เห็นด้วยเลย…”

“ฟุฟุฟุ ทุกคนเล่นมุกกันเก่งจัง!”

“ข้าจริงจังอยู่นะ เปเป้!”

ก็อย่างที่เห็น

ถึงแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์ แต่การกระทำไม่ยั้งคิดเป็นสาเหตุให้พวกเขากังวล

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของฟอว์นคาเวนไม่ค่อยดีนัก และพวกเขาไม่อาจเสียเวลาไปกับเรื่องเล็กๆน้อยๆได้

ความจริงก็คือ ในการบุกโจมตีนี้ ถ้าพวกเขาก้าวพลาดไปแม้แต่นิดเดียว หลายๆคนจะตกเป็นเหยื่อ

นั่นคือเหตุผลว่าทำไม พวกเขาจึงหยุดพูดเรื่องของเปเป้ และกลับมาที่หัวข้อหลัก

ชายชราพูดกับโทนุคาโปลี ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเมฆหมอก และสามรถมองเห็นได้เพียงข้างเดียว

“ข้าอยากให้เจ้ายังเมืองมังกร”

“โอ้ ในที่สุดก็อ้าปากหนักๆนั่นสักทีนะ ข้าส่งคำขอกำลังเสริมไปหลายครั้งแล้ว คิดว่าพวกนั้นจะปล่อยให้พวกเราทั้งหมดถูกฆ่าตายเสียอีก”

“อย่างพูดเช่นนั้นเลย โทนุคาโปลี พวกเราต่างก็อยู่บนขอบเหวเช่นกัน…”

เมืองมังกร

มันอยู่ใกล้กับดินแดนต้องสาป

พวกเขากลัวว่าเมืองนั้นขาดความสามารถในการป้องกันมานานแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้ครองคทาต่างก็งานล้นมือไปกับการป้องกันเมืองอื่นๆ

โชคดีที่พวกคนเถื่อนที่เข้าโจมตีต่างก็อ่อนแอ ดังนั้นพวกเขาจึงพอทนไหว แต่ในที่สุดก็มาถึงขีดจำกัด

“ฮึ่ม! เป็นเพราะเจ้าคนโลภมากพวกนั้น พยายามที่จะครอบครองหลุมชีพจรมังกร!”

โทนุคาโปลีบ่นออกมา แต่เธอก็เข้าใจถึงความสำคัญของหลุมชีพจรมังกรดี

พวกเขากำลังทำการศึกษาวิจัย 《เวทย์ยุทวิธี》

เมื่อการวิจัยเสร็จสิ้น พวกเขาคาดหวังว่ามันจะสามารถทำการสกัด “มานาของโลก” จากหลุมชีพจรมังกรเพื่อใช้เป็นทรัพยากรของอาณาจักรได้

ดังนั้น ถึงมันจะอยู่ห่างไกล พวกเขาก็ฝืนสร้างเมืองขึ้นมา

แต่ตอนนี้การตัดสินใจนั้นได้ทำให้พวกเขามีปัญหา

“แล้วจะทำยังไงกับที่นี่ล่ะ? เราขอกำลังเสริมจากเมืองอื่นไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าพวกนั้นต่างก็ยุ่งกันหมด”

“ถึงอย่างนั้น พวกเราก็จะยื้อมันไว้ แม้จะมีสภาพเช่นนี้  แต่ข้าเองก็เป็นผู้ครองคทาเช่นกัน”

“คำพูดนั้น เหมือนว่าท่านกำลังจะไปตายบนสนามรบเลยนะ! –โอ๊ยย!”

โดนเขกกบาลไปอีกหนึ่งรอบ

หรือเป็นเพราะโดนคนแก่พวกนี้โขกรึเปล่า เลยทำให้เปเป้ไม่เต็มแบบนี้นะ?

พวกเขาดึงความสนใจกลับไปที่ประเด็นหลัก

ถึงแม้พวกเขาจะวางแผนเรื่องก้าวต่อไปแล้ว แต่ก็ยังเจ็บปวดที่จะทำมันอยู่ดี

“ในตอนที่เจ้าอยู่ที่นั่น ข้ามีเรื่องที่อยากจะขอ….”

“….พูดออกมาเลยสิ อย่ามาทำตัวแปลกๆ”

โทนุคาโปลีขมวดคิ้วให้กับท่าทางของชายชรา

เธอมีบุคลิกที่โผงผาง และชอบพูดให้มันชัดเจน

เธอเตรียมตัวรับมือกับปัญหา และฟังคำพูดของเขา

“คำทำนายบอกพวกเราว่า จะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นในดินแดนต้องสาป ช่วยไปตรวจสอบมันกับเปเป้ที”

เมื่อตระหนักได้ว่าประโยคนั้นหมายถึงอะไร โทนุคาโปลีหลังตาลง และสูดหายใจลึก แล้วปล่อยมันออกมาอย่างเชื่องช้า

โทนุคาโปลี และเปเป้ ถึงได้ว่าเป็นนักบวชลำดับหนึ่งและสองของฟอว์คาเวนในตอนนี้

กล่าวอีกนัยนึงคือ อาณาจักรฟอว์นคาเวนได้ตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่

“ในขณะเดียวกัน พวกเราก็จะต้องหาสาเหตุของการโจมตีของพวกคนเถื่อนไปด้วย ต้องเสียงชีวิตด้วยสินะ”

“ข้าขอโทษ ที่ทำให้เจ้าตกอยู่ในที่นั่งลำบาก”

“ถึงอย่างนั้น! ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นสักหน่อย! ข้าขอภาวนาต่อเหล่าสรรพสัตว์ และเทพแห่งผืนดินได้โปรดคุ้มครองพวกเจ้า”

“ขอให้โชคดี โทนุคาโปลี”

“ท่านเองก็ด้วย อย่างเพิ่งรีบตายล่ะ!”

โทนุคาโปลีตอบกลับอย่างแข็งขันตามปกติ

แต่เธอไม่มีความตั้งใจที่จะไปตาย

เธอต้องการทำหน้าที่ให้สำเร็จ

เธอคิดถึงวิธีที่จะทำให้ชายชราติดหนี้เธอกระทั่งทั้งชีวิตก็ยังใช้ไม่หมดด้วยซ้ำ

“เช่นนั้น ข้าจะไปเตรียมตัวทันที! มันก็นานมาแล้ว แม้แต่คทาของข้าก็ยังตื่นเต้นไปด้วย!”

“ระวังตัวด้วยนะ ยายโทนุคาโปลี!”

“เจ้าไม่ได้ฟังรึ? เจ้าเองก็ต้องไปกับข้าด้วยนะ เจ้าโง่!!”

“โอ๊ยย!” 

……… 

…… 

… 

บทสนทนานั้นเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน

และโทนุคาโปลีก็นึกเสียใจกับการตัดสินใจนั้นในภายหลัง

พวกเขาว่ากันว่ายิ่งเด็กๆโง่เขลามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูน่ารักมากขึ้นเท่านั้น

สำหรับโทนุคาโปลี เปเป้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

เธอเตรียมตัวทำภารกิจอันตราย แต่เธอก็ยังไร้เดียงสาเกินไป

เธอไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นสถานที่แห่งความตาย

บางทีเธออาจจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากไป

เธอคิดว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือคนที่มาด้วยนั้นบาดเจ็บ

อาจกล่าวได้ว่าด้านที่เลวร้ายที่สุดของผู้คนแห่งฟอว์นคาเวนได้ถูกเปิดเผยออกมาในการสำรวจครั้งนี้

โทนุคาโปลีที่มาจากฟอว์นคาเวนได้เผชิญหน้ากับไมน็อกกราห์เป็นครั้งแรกในวันนี้นั่นเอง

“ดาร์คเอลฟ์? แต่บรรยากาศที่ไม่น่าอภิรมย์นี่…”

“อาร้ะ? พวกเจ้าคือ…”

เมืองมังกร ถูกสร้างขึ้นรอบๆหลุมชีพจรมังกร

พวกเขาพักกันเล็กน้อยในเมืองนั้น การเผชิญหน้าเกิดขึ้นไม่นานนัก หลังจากที่พวกเขาเดินทางมายังดินแดนต้องสาป

อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวที่มีบรรยากาศแปลกๆ และนักรบดาร์คเอลฟ์ที่อยู่ด้านหลังเธอ

ไม่เหมือนกับในทวีปทางตอนเหนือ ดาร์กเอลฟ์ไม่ถูกเลือกปฏิบัติในฟอว์นคาเวนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ

อย่างไรก็ตาม นั่นคือเรื่องราวของดาร์กเอลฟ์ที่พวกเขารู้จัก…

กลุ่มที่อยู่ข้างหน้าพวกเขามีบรรยากาศดำทะมึนจนเธอสามารถบอกได้จากการมองเพียงอย่างเดียว

โดยเฉพาะหญิงสาวที่เป็นผู้นำของดาร์คเอลฟ์

นั่นทำให้เธอโดดเด้นจากคนอื่นๆ

สัญชาติญาณของโทนุคาโปลีส่งสัญญาณเตือน ทำให้ยักษ์ภูเขาที่เธอเจอดูเด็กไปเลยเมื่อเทียบกับหญิงสาวผู้นั้น

สามารถมองเห้นดินแดนต้องสาปที่อยู่เบื้องหลังเธอได้ นักบวชหัววัวตระหนักได้ว่าสถานการณ์นี้มันเกินควบคุม

ดูเหมือนว่าตัวตนของพวกเขาจะถูกซ่อนไว้เป็นอย่างดี

แต่ผู้มีฝีมือเช่นเธอสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเชื้อเพลิงของปีศาจได้ลงมาสู่ดินแดนต้องสาปเรียบร้อยแล้ว

ความบิดเบี้ยวเบื้องลึกที่น่าหวาดกลัวเกินจะเอ่ย

พวกเขามาจากในป่าเพื่อพบเธอ

“เจ้าไม่ใช่มนุษย์…”

“…ใช่แล้ว”

หญิงสาวตอบคำถามโทนุคาโปลีอย่างอ่อนโยน

แค่คำพูดเดียวก็ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว หากไม่นับเรื่องน้ำเสียงอันไพเราะของหญิงสาวแล้ว ที่เหลือก็เต็มไปความน่าขนลุก

“ท่านโทนุคาโปลี! คนพวกนี้!?”

“ข้าจะเป็นผู้เจรจาเอง! พวกเจ้าห้ามลงมือเด็ดขาด!”

โทนุคาโปลีสั่งทหารของเธออย่างเร่งรีบ

แย่หน่อยที่พวกเขาเอามาแค่คนคุ้มกันของเผ่ามนุษย์สัตว์

 

มนุษย์สัตว์นั้นไม่สามารถใช้เวทมนตร์ธาตุ หรือสื่อสารกับจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติได

สัญชาตญาณสัตว์ป่าของพวกเขาสัมผัสได้ถึงความชั่วร้าย ทำให้พวกเขาไม่อาจทานทน

ทุกคนต่างตื่นตระหนกเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอแห่งความมืด

ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เนื่องจากสัญชาตญาณนั้น

ว่ากันว่าความมืดมิดนั้นเกลียดชังสิ่งมีชีวิต และต้องการที่จะทำลายมันให้สิ้นไป

ส่วนสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตก็ต่อต้านตัวตนแห่งความมืด

ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นสาเหตุของการโจมตีจากคนเถื่อนหรือไม่ก็ตาม

ถึงจะยังไม่รู้ความสามารถของพวกดาร์คเอลฟ์ แต่สัญชาตญาณของโทนุคาโปลีได้บอกเธอว่าพวกเขาไม่ควรต่อสู้

อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่พวกเขาจะเอาชนะได้ พวกเขาควรจะหนีไป

โทนุคาโปลีครุ่นคิดถึงวิธีรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างสิ้นหวัง และเวลาก็ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า

“ไกอา ให้ทุกคนอยู่เฉยๆไว้ จนกว่าข้าจะสั่ง”

“ตามที่ท่านต้องการครับ”

….อาโทวบอกไกอาเสียงต่ำ

ตามปกติแล้ว อาโทวจะไม่ไว้ใจสิ่งใดนอกจากไมน็อกกราห์

อีกอย่างนึงคือ การเผชิญหน้านี้ทำให้เธอนึกถึงคณะสำรวจของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์

เป็นที่แน่ชัดว่ามีการพัฒนาขึ้น แต่ภารกิจที่ทาคุโตะมอบให้นั้นต่างออกไป

พวกเขาวางแผนที่จะไปยังเมืองนั้น อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้านี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

เธออยากจะคลายบรรยากาศตึงเครียดนี้ แต่อีกฝ่าย โดยเฉพาะทหารเผ่ามนุษย์สัตว์ กำลังกังวลว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นหากพวกเขาทำอะไรผิดพลาด

นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาจะต้องหลีกเลี่ยง

ความตึงเครียดนี้เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย

ทั้งสองฝั่งต่างก็ยั้งมือไว้ เนื่องจากเกรงกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น

พวกเขาไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้เลย ความกังวลว่าประโยคที่พูดออกมาจะทำให้เกิดความผิดพลาด ทำให้ทั้งคู่ต่างก็วิตกกังวล

เมื่อสถานการณ์ได้เกิดความตึงเครียดพุ่งขึ้นสูงสุดจนเกือบจะเกิดการต่อสู้นั้น

“เดี๋ยวก่อนสิ”

ราวกับเป็นการเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางๆอย่างรวดเร็ว เสียงที่ไม่คาดคิดได้ดังออกมา

พวกเขาเบนสายตาไปยังจุดนั้นอย่างรวดเร็ว

เงาที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของอาโทวและคนอื่นๆ ขณะที่กำลังโบกมือไปมาอยู่นั้น

เขาเป็นคนที่มีความสูงน้อยที่สุดในที่แห่งนี้

รอยยิ้มกว้างที่อยู่บนใบหน้าเขา ราวกับว่ายิ่งได้รับความสนใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขามีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

…..คือเปเป้ผู้โง่เขลา

 แม้แต่โทนุคาโปลีที่เป็นผู้ดูแลของเขา ยังต้องอ้าปากค้างให้กับความกล้าหาญของเปเป้

ในที่สุด ทุกคนก็ได้สติ จากสถานการณ์ตรงหน้าที่เปลี่ยนไป

ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตอบสนองกับการกระทำของเขา

“สวัสดี ฉันชื่อเปเป้ มาเป็นเพื่อนกันเถอะ!”

น้ำเสียงทักทายอย่างร่าเริง ของเด็กชายผู้ที่ไม่เคยจะอ่านสถานการณ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

= สารานุกรม============ 

 [เปเป้ผู้โง่เขลา] ผู้นำ

-เป็นเพราะเขานั้นโง่เขลา จึงไม่อาจแยกแยะอะไรได้ และเป็นเพราะเขาโง่เขลา จึงไม่รู้สึกหวาดกลัว

และเป็นเพราะเขานั้นโง่เขลา เขาจึงสามารถเข้าได้กับทุกคน

เราควรที่จะเรียนรู้จากเขา~

《ความสำเร็จมิตรภาพ》 

ความประทับใจของผู้นำทั้งหมด +2

อัตราการเพิ่มความประทับใจถูกมอบให้กับผู้นำทั้งหมด +50%

《ความสำเร็จหลักความเท่าเทียม》 

เผ่าพันธุ์หรือคุณสมบัติไม่ส่งผลต่อความประทับใจ

《ความสำเร็จด้านการค้า》 

ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการค้า +20%

――――――――――――――――― 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ 23: Encounter

Now you are reading [นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ Chapter 23: Encounter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฟอว์นคาเวน เป็นอาณาจักรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมไปด้วยเผ่าพันธ์ุที่หลากหลาย โดยมีประชากรส่วนใหญ่เป็นมนุษย์

ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามันถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อใด แต่มันมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเหล่าบรรดาอาณาจักรในตอนใต้ของทวีปไฮดราเกีย

ในแง่ของอารยธรรม มันอยู่ต่ำกว่าเขตทางตอนเหนือของควอเลียหนึ่งระดับ

พวกเขาเริ่มมีการผลิตเหล็กและอุปกรณ์อื่นๆกันแล้ว แต่ระบบจัดการของอาณาจักรก็ยังไม่สมบูรณ์นัก

ศาสนาของพวกเขาคือศรัทธาในจิตวิญญาณโบราณที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ตรงกันข้ามกับจิตวิญญาณธาตุของเอลฟ์

พวกเขานับถือในจิตวิญญาณของสรรพชีวิต ต้นไม้ พืชพรรณ แม้กระทั่งก้อนกรวดและผืนดิน และทำนายดวงชะตาด้วยกระดูกและหนัง

อารยธรรมของพวกเขายังไม่สูงนัก และกลิ่นไอของความสงบสุขได้แผ่กระจายอยู่ทั่วอาณาจักร แม้ว่ามันจะรวมไว้ด้วยเผ่าพันธุ์ที่หลากหลาย แต่มันก็ไม่มีการขัดแย้งกัน และพวกเขาก็ดื่มด่ำไปกับชีวิตที่ผ่อนคลายและรุ่งโรจน์นี้

จนกระทั่ง

“ยักษ์ภูเขา! ยักษ์ภูเขาออกมาแล้ว!”

เครสเซนท์มูน เมืองหลวงของฟอว์นคาเวน ได้รับความเสียหายอย่างมาก เนื่องจากโดนเหล่าอมนุษย์เข้าโจมตีทุกวัน

ประการแรก พวกเขาไม่เคยมีส่วนร่วมในสงครามมาก่อน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความแข็งแกร่งทางการทหารอยู่ในระดับนึง แต่ความสามารถนั้นก็ยังไม่พอ

อาวุธของพวกเขาก็ถูกเตรียมไว้อย่างลวกๆเช่นกัน

กำแพงชั้นนอกเองก็เป็นแค่กำแพงดินเหนียว เพราะพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกศัตรูโจมตี ส่วนอาคารภายในเมืองก็เปราะบางมาก

ฝ่ายศัตรูคืออมนุษย์ที่เป็นภัยต่ออารยธรรม รู้จักกันในนามคนเถื่อน

ก๊อบลิน ออร์ค โคโบลท์ และบางครั้ง แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่หายาก และอันตรายกำลังคุกคามเอาชีวิตเขาอยู่

วันนี้มีการโจมตี จากสิ่งที่อันตรายที่สุดอย่างยักษ์ภูเขา

“ใครก็ได้! รีบไปแจ้งนักบวชผู้ครองคทาที! ยักษ์ภูเขาปรากฎตัวแล้ว!”

“ส่งนักธนูไป! อย่าให้มันบุกเข้ามาในเมืองได้!”

พวกยักษ์ที่สูงมากพอจนมองบ้านเรือนจากมุมบนได้ มอนสเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่ายักษ์ภูเขา

ผิวที่หยาบกร้าน และดูน่าขนลุก ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ดวงตาสีแดงฉาน และเขี้ยวที่โผล่พ้นริมฝีปาก

พวกมันมีสติปัญญาต่ำ แต่มีความแข็งแรงมากพอที่จะชดเชยจุดด้อยนั้นได้

เพียงแค่แรงหวดจากกระบองของมันก็มากพอที่จะทำให้ทหารผู้กล้ากลายเป็นก้อนเนื้อเละๆได้ในพริบตา

แม้จะไม่ทรงพลังเท่าไซคลอป ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ลำดับสูงกว่าของยักษ์ มันก็ยังทรงพลังในหมู่อมนุษย์อยู่ดี

เหตุผลที่พวกมันโจมตีเมืองนั้นคืออะไรก็ไม่ทราบได้ โดยปกติแล้วพวกมันมักจะอาศัยอยู่ในหุบเขาลึก และไม่ออกมาจากอาณาเขตของตัวเอง

แน่นอนว่าไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น และไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจัดการกับมัน

“บัดซบ! กำแพงดินที่ถูกทำลายก่อนหน้านี้ยังซ่อมไม่เสร็จเลย! ถ้าเป็นแบบนี้พวกมันจะบุกเข้ามาในเมืองได้!!”

มนุษย์สัตว์ที่ถูกส่งตัวมาทำหน้าที่ญามเพราะจมูกที่ไวต่อกลิ่น ก่นด่าไปพร้อมๆกับทำหน้าราวกับถูกบังคับให้กินหนอนแมลงไปด้วย

ถึงแม้ว่านักธนูจากโจมตีจากหอคอยเฝ้าระวังอย่างสุดกำลังก็ตาม แต่มันก็ยังไม่พอที่จะหยุดยักษ์พวกนั้น

ระยะห่างระหว่างพวกมันและเมืองสั้นลงเรื่อยๆ

ยักษ์ตัวนี้จู่ๆก็โผล่ออกมา แม้แต่ความสามารถในการตรวจจับของมนุษย์สัตว์ ก็ยังยากที่จะตรวจพบการโจมตีนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกยามถึงเข้าต่อสู้อย่างหนัก

ผ่านมาได้สัปดาห์นึง นับตั้งแต่การโจมตีครั้งสุดท้าย

กำแพงดินเหนียวที่ถูกทำลายโดยยักษ์ภูเขาจำนวนสามตัวก่อนหน้านี้ ยังซ่อมแซมไม่เสร็จ เพราะพวกเขายุ่งอยู่กับการรับมือพวกก๊อบลินที่เข้ามาโจมตี

พลหอกพยายามตอโต้อย่างกล้าหาญ แต่ความแตกต่างระหว่างขนาดตัวส่งผลโดยตรงกับพละกำลัง

พวกยามพยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดพวกมันได้

เป้าหมายของยักษ์ภูเขาคือกำแพงที่ยังซ่อมแซมไม่เสร็จ สามารถมองเห็นเมืองเครสเซนท์ได้จากจุดนั้น

ราวกับว่าการโจมตีของพวกยักษ์ภูเขาเล็งเห็นโอกาสนั้น

และในขณะที่เหล่ายามรักษาการณ์เริ่มสิ้นหวัง และจินตนาการถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น

“ลองชิมนี่ดูสิ! เวทย์เถาหญ้า…!!”

เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นมา ตามด้วยความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นตรงเท้าของยักษ์ภูเขา

“โกวววว!”

“นี่มัน! เวทมนตร์ของผู้ครองคทา! กำลังเสริม?!”

ยักษ์ภูเขาเริ่มดิ้นรน จากนั้นก็หยุดเคลื่อนไหว

ในที่สุดมันก็ล้มลงบนพื้น ราวกับว่าสะดุดอะไรบางอย่าง เมื่อเหล่ามนุษย์สัตว์เห็นหญ้าจำนวนมากงอกออกมาจากร่างกายของยักษ์ภูเขา บนใบหน้าของพวกเขาก็ปรากฏความยินดีออกมา

มันเหมือนกับว่าหญ้าพวกนั้นงอกออกมาจากเท้าของยักษ์ภูเขา และรัดมันจนแน่น ทำให้มันหยุดการเคลื่อนไหว

“ไม่ต้องห่วง เหล่าทหารกล้าแห่งฟอว์นคาเวน สุดยอดผู้ครองคทาอยู่นี่แล้ว!!”

“โอ้! ท่านเปเป้!!”

เด็กชายที่ปรากฏตัวจากช่องว่างของกำแพงดินเหนียว เขาปีนขึ้นไปบนตัวของยักษ์ภูเขาที่ไม่สามารถขยับตัวได้ จากผลของเวทย์เถาหญ้า

“ฟุฟุฟุ! ฉันนี่เจ๋งจริงๆ! วู้ว!!”

เสียงแหลมๆของเด็กชายดังก้องไปทั่วสนามรบ

เขาสวมชุดคลุมที่ยาวจนชายลากพื้น และสวมใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงขาสั้นที่ดูยับยู่ยี่

นี่คือนักบวชที่พวกเขาเฝ้ารอ

นักบวชผู้ทำพิธี และแสดงอภินิหารในฟอว์นคาเวน

นักบวชผู้ครองคทามีตำแหน่งที่สุด

นั่นหมายความว่าเขาเป็นผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาดแห่งฟอว์นคาเวน

พวกเขาทั้งสิบสองคน ต่างก็ถูกรักโดยเหล่าจิตวิญญาณแห่งผืนดิน และเหล่าสรรพสัตว์ พวกเขาสามารถใช้ปาฏิหาริย์ของพระเจ้าได้

พวกเขาครอบครองเวทมนตร์อันทรงพลัง และใช้คทาด้ามยาว ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะพวกเขาเท่านั้น

พวกเขาเรียกคนเหล่านี้ด้วยความเคารพและศรัทธาว่า “ผู้ครองคทา”

เปเป้เป็นผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดในหมู่พวกเขา

เขารีบมุ่งไปยังจุดเกิดเหตุ ช่วยเหลือกองทัพที่กำลังต่อสู้ และปราบเจ้ายักษ์ภูเขา

เสียงร้องแห่งชัยชนะของเขาช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจแก่เหล่าทหาร

พวกเขาส่งเสียงเชียร์อยู่รอบๆเปเป้ที่กำลังร้องตะโกนขณะที่ยืนอยู่บนตัวของยักษ์ภูเขา

“ท่านนักบวช! ท่านนักบวช!”

“วู้ว! เอาอีก ดังขึ้นอีก!”

แต่โชคไม่ดีที่มีปัญหาอยู่ข้อนึง

ปัญหาที่ทหารเหล่านั้นต่างก็ลืมมันไป

สมญานามที่สองของเขา ซึ่งถูกเรียกขานโดยผู้ครองคทาคนอื่นๆก็คือ …..”คนโง่”

“โกววววว!!”

“แว้กกกกก!!”

“ท่านนักบวช!!”

ยักษ์ภูเขาที่ถูกพันธนาการด้วยเวทย์เถาหญ้า ได้ฉีกพันธนาการนั้นอย่างสุดกำลัง

แน่นอนว่าเปเป้ที่ยืนอยู่บนตัวของมันถูกสะบัดออกไป

เขาต้องจ่ายราคาของความมั่นใจมากเกินไป และไม่รีบจัดการศัตรู

ยักษ์ภูเขาจ้องไปยังเปเป้ในขณะที่เขากำลังกลิ้งอยู่บนพื้น และมันกำลังจะเหยียบร่างเล็กของเขา

แต่ในที่สุด กำลังเสริมที่แท้จริงก็มาถึง

“–เวทย์หล่มโคลน”

 

“โก? โกววว…”

จังหวะเวลาสมบูรณ์แบบ

เวทมนตร์ทำงานอย่าวรวดเร็วราวกับเหยี่ยวโฉบ

ในขณะที่ยักษ์ภูเขายกเท้าขึ้น ทันใดนั้นผืนดินภายใต้เท้าของมันก็อ่อนยวบ ทำให้มันล้มลงไปสัมผัสกับความเย็นของพื้นอีกครั้ง

“–เวทย์เถาหญ้า”

และการโจมตีถัดไปก็คือพันธนาการ ยักษ์ภูเขาถูกพันเต็มไปด้วยหญ้า

ผู้ครองคทาที่มาถึงทีหลังไม่โง่พอที่จะพลาดโอกาสนี้

“พวกเจ้ารออะไรกันอยู่? จัดการมันซะสิ! เล็งไปที่ตา!”

“ครับท่าน!”

“โฮกกกกกกกกกกกกกก!!”

ยักษ์ภูเขาได้ตายลง

ลูกธนูและหอกทิ่มแทงไปที่ดวงตาของมัน ได้เจาะทะลุสมองของมอนสเตอร์ตัวใหญ่และจบชีวิตมันลง

สายตาของเหล่าทหารต่างก็จ้องไปยังผู้ครองคทาที่มาใหม่

ขณะที่เดินมาอย่างกระฉับกระเฉง เธอก็มีสีหน้าดูไม่พอใจนัก

คนผู้นี้ขึ้นชื่อในเรื่องของความเข้มงวด และหัวแข็ง

เธอคือหญิงชราของเผ่ามนุษย์สัตว์ ที่มีหัวเป็นวัว

หญิงชราหัววัวตรวจดูยักษ์ภูเขาจากระยะไกล

จนในที่สุด เธอก็สั่งให้ทหารหนุ่มคนหนึ่งไปตรวจสอบการตายของยักษ์ภูเขา

เธอบอกเหล่าทหารว่าการโจมตีได้จบลงแล้ว และกล่าวขอบคุณอีกเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม สำหรับพวกเขาแล้วยังไม่จบ

พวกเขายังมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย อย่างเช่น การรักษาทหารที่บาดเจ็บ เก็บลูกธนู และกำจัดศพของยักษ์ภูเขา

ในฐานะที่เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการต่อสู้ หญิงชราหัววัวมีเรื่องที่มีแต่เธอเท่านั้นที่ทำได้อยู่

เธอจะต้องดุด่าผู้ครองคทาที่อายุน้อย และโง่ที่สุดคนนี้

“ฟู่วว!”

“ให้ตายเถอะ เปเป้! เจ้าเป็นผู้ครองคทาที่น่าสมเพชยิ่งนัก!”

“อ๊ะ! ยายโทนุคาโปลี”

เปเป้ถูกเขกหัวด้วยด้ามคทาที่ดูเก่าแก่

หลังจากได้ยินคำตำหนิ เปเป้ถึงรู้สึกตัวว่าเขาถูกยักษ์ภูเขาเหวี่ยงออกมา และมองไปรอบๆ

สิ่งที่สะท้อนอยู่ในตาเขาก็คือโทนุคาโปลี อาจารย์ซึ่งเป็นผู้ครองคทาเหมือนกัน และเป็นผู้ที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆ

ดูจากท่าทีแล้ว เขารู้ว่าตัวเองจะต้องโดนบ่นชุดใหญ่อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

“เจ้าพันธนการยักษ์ภูเขาด้วยเวทย์เถาหญ้าสำเร็จ แต่นั่นมันอะไรกัน? เจ้าลดความระวังลงเพราะคิดว่าตนเองชนะแล้วอย่างนั้นรึ ข้าบอกเจ้าอยู่เสมอว่ายักษ์ภูเขามันมีพละกำลังมหาศาล เจ้าควรจะเล็งไปที่จุดอ่อนของมัน และรีบจัดการมันซะ!”

“หืมม…? อื้ม! ใช่แล้ว! ฉันลืมไปเลยแฮะ!”

“โอ๊ย!”

“เจ้าโง่! หากเจ้าตาย เจ้าก็จะเสียทุกอย่าง! ทำไมถึงลืมเรื่องที่สำคัญเช่นนั้นได้เสียเล่า!?”

เธอเขกเขาเป็นรอบที่สอง แต่คราวนี้ทำให้เป็นรอยปูดขนาดใหญ่

โทนุคาโปลีหงุดหงิดเพราะไม่ว่าเธอจะดุด่าเขามากแค่ไหน เด็กคนนี้ก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี

เขามีอายุพอๆกับหลานของเธอ และเธอเองก็เอ็นดูเขามาตั้งแต่ยังเล็ก

แน่นอนว่าเธอเอ็นดูเขา แต่ความกังวลของเธอนั้นมีมากกว่าซะอีก

ทุกคนต่างก็รู้ว่าเปเป้เป็นคนโง่

คนเดียวในฟอว์นคาเวนที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้ก็คือตัวเปเป้เอง

เด็กเจ้าปัญหาคนนี้คือต้นเหตุของความกังวลของโทนุคาโปลี

“อึก แต่ว่านะ ยาย…..”

“เลิกเรียกข้าว่ายายได้แล้ว! ตอนนี้เจ้าเป็นนักบวชผู้ครองคทา! เจ้าจะทำตัวน่าสมเพชอย่างนั้นตลอดไปไม่ได้หรอกนะ!!”

“เอ่อ…แต่ว่า….”

“แถมข้ายังอายุแค่ 240 ปีเอง!”

ถ้าอยู่มานานขนาด ก็คงเป็นท่านทวดแล้วล่ะ

นั่นคือประโยคสุดท้ายของเปเป้ ก่อนที่เขาจะถูกเขกหัวเป็นครั้งที่สามในวันนี้

◇   ◇   ◇ 

การโจมตีของยักษ์ภูเขาได้จบลงแล้ว และโทนุคาโปลีกับเปเป้ ได้รายงานไปยังเหล่าผู้ครองคทาที่เหลือ

ณ อาคารที่อยู่ใจกลางเมือง

อาคารหลังนี้ดูเหมือนกับสถานที่ประกอบพิธีเก่าแก่ มากกว่าที่อยู่อาศัย หรือสถาบันต่างๆซะอีก

ในที่แห่งนั้น มีเพียงแสงเทียนที่ส่องสว่างอย่างเงียบๆ ชายชราบางคนได้สรรเสริญโทนุคาโปลีกับเปเป้ สำหรับความเหนื่อยยากของพวกเขา

“ทำได้ดีมาก โอ้ โทนุคาโปลี เปเป้ ต้องขออภัยด้วย หากเพียงแต่ข้าหนุ่มแน่นกว่านี้….”

“ไม่เป็นไรหรอก! ผู้อาวุโส ท่านมีเวลาเหลืออยู่ไม่เยอะ ค่อยๆก็ได้! อยากให้ฉันนวดไหล่ให้มั้ย?”

เขานั้นไร้ซึ่งมารยาท และส่งเสียงดังไปทั่ว

เป็นคนที่หยาบตายสุดๆ และเป็นคนนวดไหล่ได้แย่มากๆ

นี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของเปเป้ผู้โง่เขลา

ถึงเขาจะเป็นผู้ครองคทา ที่ได้รับความเคารพจากคนทั้งอาณาจักรก็ตาม

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่พวกผู้อาวุโสก็ค่อนข้างจะรังเกียจเขา เพราะเขามักจะทำอะไรตามใจตัวเอง

“เจ้าเด็กนี่ก็ยังคงแย่ ในหลายๆทางเลยนะ… โอ้ โทนุคาโปลี เกิดอะไรขึ้นกับการสั่งสอนของเจ้าล่ะนี่”

“หึ! ข้าเองก็ปวดหัวเช่นกัน ต้องขอบคุณเจ้าโง่นี่!”

“แต่ว่า เปเป้ก็เป็นผู้สืบทอดได้ตามที่คาด นอกจากเด็กคนนี้แล้ว ไม่มีใครสามารถขึ้นมาเป็นผู้ครองคทาได้เลย…”

ในฟอว์นคาเวน ผู้ครองคทาเป็นตัวตนพิเศษ

ผู้ที่สามารถรับฟังถ้อยคำของจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ เทพที่พวกเขาศรัทธา พวกเขามีค่ามหาศาล

สาเหตุที่ผู้อาวุโสยังไม่เกษียณจากการเป็นผู้ครองคทาทั้งๆที่อายุมากแล้ว เป็นหลักฐานว่าไม่มีใครสามารถสืบทอดจากพวกเขาได้มานานแล้ว

ดังนั้น การปรากฏตัวของเปเป้ ผู้ที่เป็นอัจฉริยะซึ่งหาตัวได้ยากนั้นนำมาซึ่งความน่ายินดี

แต่ความอัจฉริยะที่มากล้นเกินไป ดูเหมือนจะทำให้กลายเป็นบ้าแทน…..

“หืมม! อาณาจักรเราที่ไม่มีโชคเอาซะเลยนะ”

“เห็นด้วยเลย…”

“ฟุฟุฟุ ทุกคนเล่นมุกกันเก่งจัง!”

“ข้าจริงจังอยู่นะ เปเป้!”

ก็อย่างที่เห็น

ถึงแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์ แต่การกระทำไม่ยั้งคิดเป็นสาเหตุให้พวกเขากังวล

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของฟอว์นคาเวนไม่ค่อยดีนัก และพวกเขาไม่อาจเสียเวลาไปกับเรื่องเล็กๆน้อยๆได้

ความจริงก็คือ ในการบุกโจมตีนี้ ถ้าพวกเขาก้าวพลาดไปแม้แต่นิดเดียว หลายๆคนจะตกเป็นเหยื่อ

นั่นคือเหตุผลว่าทำไม พวกเขาจึงหยุดพูดเรื่องของเปเป้ และกลับมาที่หัวข้อหลัก

ชายชราพูดกับโทนุคาโปลี ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเมฆหมอก และสามรถมองเห็นได้เพียงข้างเดียว

“ข้าอยากให้เจ้ายังเมืองมังกร”

“โอ้ ในที่สุดก็อ้าปากหนักๆนั่นสักทีนะ ข้าส่งคำขอกำลังเสริมไปหลายครั้งแล้ว คิดว่าพวกนั้นจะปล่อยให้พวกเราทั้งหมดถูกฆ่าตายเสียอีก”

“อย่างพูดเช่นนั้นเลย โทนุคาโปลี พวกเราต่างก็อยู่บนขอบเหวเช่นกัน…”

เมืองมังกร

มันอยู่ใกล้กับดินแดนต้องสาป

พวกเขากลัวว่าเมืองนั้นขาดความสามารถในการป้องกันมานานแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้ครองคทาต่างก็งานล้นมือไปกับการป้องกันเมืองอื่นๆ

โชคดีที่พวกคนเถื่อนที่เข้าโจมตีต่างก็อ่อนแอ ดังนั้นพวกเขาจึงพอทนไหว แต่ในที่สุดก็มาถึงขีดจำกัด

“ฮึ่ม! เป็นเพราะเจ้าคนโลภมากพวกนั้น พยายามที่จะครอบครองหลุมชีพจรมังกร!”

โทนุคาโปลีบ่นออกมา แต่เธอก็เข้าใจถึงความสำคัญของหลุมชีพจรมังกรดี

พวกเขากำลังทำการศึกษาวิจัย 《เวทย์ยุทวิธี》

เมื่อการวิจัยเสร็จสิ้น พวกเขาคาดหวังว่ามันจะสามารถทำการสกัด “มานาของโลก” จากหลุมชีพจรมังกรเพื่อใช้เป็นทรัพยากรของอาณาจักรได้

ดังนั้น ถึงมันจะอยู่ห่างไกล พวกเขาก็ฝืนสร้างเมืองขึ้นมา

แต่ตอนนี้การตัดสินใจนั้นได้ทำให้พวกเขามีปัญหา

“แล้วจะทำยังไงกับที่นี่ล่ะ? เราขอกำลังเสริมจากเมืองอื่นไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าพวกนั้นต่างก็ยุ่งกันหมด”

“ถึงอย่างนั้น พวกเราก็จะยื้อมันไว้ แม้จะมีสภาพเช่นนี้  แต่ข้าเองก็เป็นผู้ครองคทาเช่นกัน”

“คำพูดนั้น เหมือนว่าท่านกำลังจะไปตายบนสนามรบเลยนะ! –โอ๊ยย!”

โดนเขกกบาลไปอีกหนึ่งรอบ

หรือเป็นเพราะโดนคนแก่พวกนี้โขกรึเปล่า เลยทำให้เปเป้ไม่เต็มแบบนี้นะ?

พวกเขาดึงความสนใจกลับไปที่ประเด็นหลัก

ถึงแม้พวกเขาจะวางแผนเรื่องก้าวต่อไปแล้ว แต่ก็ยังเจ็บปวดที่จะทำมันอยู่ดี

“ในตอนที่เจ้าอยู่ที่นั่น ข้ามีเรื่องที่อยากจะขอ….”

“….พูดออกมาเลยสิ อย่ามาทำตัวแปลกๆ”

โทนุคาโปลีขมวดคิ้วให้กับท่าทางของชายชรา

เธอมีบุคลิกที่โผงผาง และชอบพูดให้มันชัดเจน

เธอเตรียมตัวรับมือกับปัญหา และฟังคำพูดของเขา

“คำทำนายบอกพวกเราว่า จะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นในดินแดนต้องสาป ช่วยไปตรวจสอบมันกับเปเป้ที”

เมื่อตระหนักได้ว่าประโยคนั้นหมายถึงอะไร โทนุคาโปลีหลังตาลง และสูดหายใจลึก แล้วปล่อยมันออกมาอย่างเชื่องช้า

โทนุคาโปลี และเปเป้ ถึงได้ว่าเป็นนักบวชลำดับหนึ่งและสองของฟอว์คาเวนในตอนนี้

กล่าวอีกนัยนึงคือ อาณาจักรฟอว์นคาเวนได้ตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่

“ในขณะเดียวกัน พวกเราก็จะต้องหาสาเหตุของการโจมตีของพวกคนเถื่อนไปด้วย ต้องเสียงชีวิตด้วยสินะ”

“ข้าขอโทษ ที่ทำให้เจ้าตกอยู่ในที่นั่งลำบาก”

“ถึงอย่างนั้น! ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นสักหน่อย! ข้าขอภาวนาต่อเหล่าสรรพสัตว์ และเทพแห่งผืนดินได้โปรดคุ้มครองพวกเจ้า”

“ขอให้โชคดี โทนุคาโปลี”

“ท่านเองก็ด้วย อย่างเพิ่งรีบตายล่ะ!”

โทนุคาโปลีตอบกลับอย่างแข็งขันตามปกติ

แต่เธอไม่มีความตั้งใจที่จะไปตาย

เธอต้องการทำหน้าที่ให้สำเร็จ

เธอคิดถึงวิธีที่จะทำให้ชายชราติดหนี้เธอกระทั่งทั้งชีวิตก็ยังใช้ไม่หมดด้วยซ้ำ

“เช่นนั้น ข้าจะไปเตรียมตัวทันที! มันก็นานมาแล้ว แม้แต่คทาของข้าก็ยังตื่นเต้นไปด้วย!”

“ระวังตัวด้วยนะ ยายโทนุคาโปลี!”

“เจ้าไม่ได้ฟังรึ? เจ้าเองก็ต้องไปกับข้าด้วยนะ เจ้าโง่!!”

“โอ๊ยย!” 

……… 

…… 

… 

บทสนทนานั้นเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน

และโทนุคาโปลีก็นึกเสียใจกับการตัดสินใจนั้นในภายหลัง

พวกเขาว่ากันว่ายิ่งเด็กๆโง่เขลามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูน่ารักมากขึ้นเท่านั้น

สำหรับโทนุคาโปลี เปเป้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

เธอเตรียมตัวทำภารกิจอันตราย แต่เธอก็ยังไร้เดียงสาเกินไป

เธอไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นสถานที่แห่งความตาย

บางทีเธออาจจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากไป

เธอคิดว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือคนที่มาด้วยนั้นบาดเจ็บ

อาจกล่าวได้ว่าด้านที่เลวร้ายที่สุดของผู้คนแห่งฟอว์นคาเวนได้ถูกเปิดเผยออกมาในการสำรวจครั้งนี้

โทนุคาโปลีที่มาจากฟอว์นคาเวนได้เผชิญหน้ากับไมน็อกกราห์เป็นครั้งแรกในวันนี้นั่นเอง

“ดาร์คเอลฟ์? แต่บรรยากาศที่ไม่น่าอภิรมย์นี่…”

“อาร้ะ? พวกเจ้าคือ…”

เมืองมังกร ถูกสร้างขึ้นรอบๆหลุมชีพจรมังกร

พวกเขาพักกันเล็กน้อยในเมืองนั้น การเผชิญหน้าเกิดขึ้นไม่นานนัก หลังจากที่พวกเขาเดินทางมายังดินแดนต้องสาป

อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวที่มีบรรยากาศแปลกๆ และนักรบดาร์คเอลฟ์ที่อยู่ด้านหลังเธอ

ไม่เหมือนกับในทวีปทางตอนเหนือ ดาร์กเอลฟ์ไม่ถูกเลือกปฏิบัติในฟอว์นคาเวนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ

อย่างไรก็ตาม นั่นคือเรื่องราวของดาร์กเอลฟ์ที่พวกเขารู้จัก…

กลุ่มที่อยู่ข้างหน้าพวกเขามีบรรยากาศดำทะมึนจนเธอสามารถบอกได้จากการมองเพียงอย่างเดียว

โดยเฉพาะหญิงสาวที่เป็นผู้นำของดาร์คเอลฟ์

นั่นทำให้เธอโดดเด้นจากคนอื่นๆ

สัญชาติญาณของโทนุคาโปลีส่งสัญญาณเตือน ทำให้ยักษ์ภูเขาที่เธอเจอดูเด็กไปเลยเมื่อเทียบกับหญิงสาวผู้นั้น

สามารถมองเห้นดินแดนต้องสาปที่อยู่เบื้องหลังเธอได้ นักบวชหัววัวตระหนักได้ว่าสถานการณ์นี้มันเกินควบคุม

ดูเหมือนว่าตัวตนของพวกเขาจะถูกซ่อนไว้เป็นอย่างดี

แต่ผู้มีฝีมือเช่นเธอสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเชื้อเพลิงของปีศาจได้ลงมาสู่ดินแดนต้องสาปเรียบร้อยแล้ว

ความบิดเบี้ยวเบื้องลึกที่น่าหวาดกลัวเกินจะเอ่ย

พวกเขามาจากในป่าเพื่อพบเธอ

“เจ้าไม่ใช่มนุษย์…”

“…ใช่แล้ว”

หญิงสาวตอบคำถามโทนุคาโปลีอย่างอ่อนโยน

แค่คำพูดเดียวก็ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว หากไม่นับเรื่องน้ำเสียงอันไพเราะของหญิงสาวแล้ว ที่เหลือก็เต็มไปความน่าขนลุก

“ท่านโทนุคาโปลี! คนพวกนี้!?”

“ข้าจะเป็นผู้เจรจาเอง! พวกเจ้าห้ามลงมือเด็ดขาด!”

โทนุคาโปลีสั่งทหารของเธออย่างเร่งรีบ

แย่หน่อยที่พวกเขาเอามาแค่คนคุ้มกันของเผ่ามนุษย์สัตว์

 

มนุษย์สัตว์นั้นไม่สามารถใช้เวทมนตร์ธาตุ หรือสื่อสารกับจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติได

สัญชาตญาณสัตว์ป่าของพวกเขาสัมผัสได้ถึงความชั่วร้าย ทำให้พวกเขาไม่อาจทานทน

ทุกคนต่างตื่นตระหนกเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอแห่งความมืด

ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เนื่องจากสัญชาตญาณนั้น

ว่ากันว่าความมืดมิดนั้นเกลียดชังสิ่งมีชีวิต และต้องการที่จะทำลายมันให้สิ้นไป

ส่วนสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตก็ต่อต้านตัวตนแห่งความมืด

ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นสาเหตุของการโจมตีจากคนเถื่อนหรือไม่ก็ตาม

ถึงจะยังไม่รู้ความสามารถของพวกดาร์คเอลฟ์ แต่สัญชาตญาณของโทนุคาโปลีได้บอกเธอว่าพวกเขาไม่ควรต่อสู้

อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่พวกเขาจะเอาชนะได้ พวกเขาควรจะหนีไป

โทนุคาโปลีครุ่นคิดถึงวิธีรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างสิ้นหวัง และเวลาก็ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า

“ไกอา ให้ทุกคนอยู่เฉยๆไว้ จนกว่าข้าจะสั่ง”

“ตามที่ท่านต้องการครับ”

….อาโทวบอกไกอาเสียงต่ำ

ตามปกติแล้ว อาโทวจะไม่ไว้ใจสิ่งใดนอกจากไมน็อกกราห์

อีกอย่างนึงคือ การเผชิญหน้านี้ทำให้เธอนึกถึงคณะสำรวจของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์

เป็นที่แน่ชัดว่ามีการพัฒนาขึ้น แต่ภารกิจที่ทาคุโตะมอบให้นั้นต่างออกไป

พวกเขาวางแผนที่จะไปยังเมืองนั้น อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้านี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

เธออยากจะคลายบรรยากาศตึงเครียดนี้ แต่อีกฝ่าย โดยเฉพาะทหารเผ่ามนุษย์สัตว์ กำลังกังวลว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นหากพวกเขาทำอะไรผิดพลาด

นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาจะต้องหลีกเลี่ยง

ความตึงเครียดนี้เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย

ทั้งสองฝั่งต่างก็ยั้งมือไว้ เนื่องจากเกรงกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น

พวกเขาไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้เลย ความกังวลว่าประโยคที่พูดออกมาจะทำให้เกิดความผิดพลาด ทำให้ทั้งคู่ต่างก็วิตกกังวล

เมื่อสถานการณ์ได้เกิดความตึงเครียดพุ่งขึ้นสูงสุดจนเกือบจะเกิดการต่อสู้นั้น

“เดี๋ยวก่อนสิ”

ราวกับเป็นการเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางๆอย่างรวดเร็ว เสียงที่ไม่คาดคิดได้ดังออกมา

พวกเขาเบนสายตาไปยังจุดนั้นอย่างรวดเร็ว

เงาที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของอาโทวและคนอื่นๆ ขณะที่กำลังโบกมือไปมาอยู่นั้น

เขาเป็นคนที่มีความสูงน้อยที่สุดในที่แห่งนี้

รอยยิ้มกว้างที่อยู่บนใบหน้าเขา ราวกับว่ายิ่งได้รับความสนใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขามีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

…..คือเปเป้ผู้โง่เขลา

 แม้แต่โทนุคาโปลีที่เป็นผู้ดูแลของเขา ยังต้องอ้าปากค้างให้กับความกล้าหาญของเปเป้

ในที่สุด ทุกคนก็ได้สติ จากสถานการณ์ตรงหน้าที่เปลี่ยนไป

ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตอบสนองกับการกระทำของเขา

“สวัสดี ฉันชื่อเปเป้ มาเป็นเพื่อนกันเถอะ!”

น้ำเสียงทักทายอย่างร่าเริง ของเด็กชายผู้ที่ไม่เคยจะอ่านสถานการณ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

= สารานุกรม============ 

 [เปเป้ผู้โง่เขลา] ผู้นำ

-เป็นเพราะเขานั้นโง่เขลา จึงไม่อาจแยกแยะอะไรได้ และเป็นเพราะเขาโง่เขลา จึงไม่รู้สึกหวาดกลัว

และเป็นเพราะเขานั้นโง่เขลา เขาจึงสามารถเข้าได้กับทุกคน

เราควรที่จะเรียนรู้จากเขา~

《ความสำเร็จมิตรภาพ》 

ความประทับใจของผู้นำทั้งหมด +2

อัตราการเพิ่มความประทับใจถูกมอบให้กับผู้นำทั้งหมด +50%

《ความสำเร็จหลักความเท่าเทียม》 

เผ่าพันธุ์หรือคุณสมบัติไม่ส่งผลต่อความประทับใจ

《ความสำเร็จด้านการค้า》 

ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการค้า +20%

――――――――――――――――― 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+