บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 183

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 183 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุตรอสูรบรรพกาล บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 183 โชคชะตา

 

“องค์ชาย หากท่านมีเวลาสักครู่ ตามอาตมามาได้หรือไม่” เจ้าอาวาสว่าพลางมองไปทางอู๋หมิงด้วยท่าที่ใจเย็น ยามนี้อู๋หมิงยังไม่เก็บกระบี่เสียด้วยซ้ํา เห็นได้ชัดว่ายังไม่ตัดใจ

 

“ขอรับ”อู๋หมิงตอบพลางมองหยงเวยครู่หนึ่ง มันไม่มีท่าที่จะต่อสู้แถมเจ้าอาวาสยังขอร้องเอาไว้อีก อู๋หมิงจึงเก็บกระบี่ไปอย่างช่วยไม่ได้

 

“ท่านทราบหรือไม่องค์ชาย ว่าวิชามารนั้นมีทั้งหมดกี่เล่ม”เจ้าอาวาสถามพลางพาอู๋หมิงเข้าไปในหอตําราของวัด

 

“ไม่ทราบขอรับ” คู่หมิงตอบเพราะเอาเข้าจริงแล้ว หยงเวย เป็นมารตนแรกที่อู๋หมิงรู้จักเลย

 

“ตําราวิชามารมีทั้งหมด 108 เล่มนอกจากนี้ยังมีวิชามารที่แยกออกมาจากตําราเหล่านั้นอยู่อีก 7 เล่ม”เจ้าอาวาสพูดพลางเปิดประตูบานหนึ่งในหอตําราออกมา ประตูบานนั้นมันทั้งหนักและหนาราวกับใช้กําแพงทําประตูก็ไม่ปาน หากไม่ใช่กําลังของเจ้าอาวาสอู๋หมิงก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถเปิดประตูได้แม้มันจะไม่ลงกรอนไว้ก็ตาม

 

“นี่มัน” อู๋หมิงอึ้งไปพักหนึ่งหลังจากเดินเข้ามาในห้องที่เจ้าอาวาสเปิดให้ชม ในห้องแห่งนี้มีตําราหลายสิบเล่มเรียงรายกันอยู่รอบๆห้อง แถมอู๋หมิงยังสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่อยู่รอบๆห้องอย่างเด่นชัดราวกับสามารถสัมผัสได้ถึงพลังมารไม่ผิด

 

“ขอรับ ตําราเหล่านี้คือวิชามารที่ท่านเจ้าอาวาสแต่ละรุ่นรวบรวมมาได้”เจ้าอาวาสว่าพลางเดินไปตรงกลางห้อง ทําให้อู๋หมิงพึ่งสังเกตเห็นว่ากลางห้องมีตําราอีกเล่มวางอยู่ เพียงแต่ตําราเล่มนั้นไม่ได้ส่งไอเย็นออกมาแต่อย่างไร

 

“ทําไมท่านไม่ทําลายมันเสียละ” อู๋หมิงถามอย่างสงสัยเพราะตํารามารเหล่านี้คือต้นกําเนิดแห่งมาร หากทําลายเสียก็จะกําจัดปัญหาไปได้

 

“หากทําลายได้ พวกเราคงทําไปนานแล้ว แต่ในตํารามารแต่ละเล่มต่างสลักวิญญาณมารเอาไว้อย่างเหนียวแน่น พวกเราไม่อาจทําลายได้จริงๆ”เจ้าอาวาสว่าพลางเรียกลูกไฟจาก พลังวิญญาณออกมาลูกหนึ่ง ก่อนจะปามันใส่ชั้นตําราจนมันเผาชั้นตําราจนไหม้ แต่จนกระทั่งชั้นตําราไหม้จนเหลือแต่เถ้าตําราก็ยังไม่เป็นอะไรเลย

 

ฉีก! อู๋หมิงเห็นเช่นนั้นจึงลองนํากระบี่ออกมาแทงใส่ตําราดู แต่กระบี่ของมันกลับแทงไม่เข้าเสียอย่างนั้น

 

“พวกเราทําได้แค่ปิดผนึกพวกมันเอาไว้ในห้องนี้เท่านั้นจริงๆ”เจ้าอาวาสว่าพลางเก็บตําราขึ้นมาพลางน้ํามันไปใส่ในชั้นด้านอื่นแทน

 

“เช่นนั้นโลกภายนอกก็ยังมีตํารามารแบบนี้อยู่อีกงั้นเหรอ”อู๋หมิงถามพลางขมวดคิ้วสงสัย เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไรในห้องก็ไม่มีตําราถึง 108 เล่มอย่างแน่นอน

 

“ถูกแล้ว”เจ้าอาวาสพูดพลางเดินกลับมายืนตรงหน้าอู๋หมิงอีกครั้ง

 

“อย่างที่ข้าบอก นอกจากตํารามารธรรมดาอีก 108 เล่ม แล้วยังมีตํารามารที่พิเศษกว่าตําราเล่มอื่นๆอีก 7 เล่ม”ได้ยินเจ้าอาวาสพูดเช่นนั้นอู๋หมิงก็พลันหันไปมองทางที่หยงเวยเคยอยู่ทันที

 

“มารทั้ง 7 คือจุดสูงสุดของวิชามารโดยแบ่งออกเป็น ราคะ ตะกละ โลภะ เกียจคร้าน โทสะ ริษยา และ อัตตา…”เจ้าอาวาสเว้นช่วงไปพักหนึ่งพลางมองสีหน้าของอู๋หมิงเพราะตอนนี้อู๋หมิงน่าจะเดาออกแล้ว

 

“ประสกหยงเวยเป็นผู้ถือครองตําราโทสะ 1 ใน 7 ตํารามารที่อาตมาบอกมา”ได้ยินเช่นนั้นหมิงก็ยิ่งใจไม่ดี ไม่ใช่ว่าสิ่งที่หยงเวยครอบครองอยู่นั้นคือสิ่งที่อันตรายมากๆหรือ

 

“องค์ชาย ท่านได้ฟังชื่อมารเหล่านั้นแล้วท่านไม่คิดอะไรบ้างหรือ”เจ้าอาวาสถามพลางยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

 

“ชื่อ?”อู๋หมิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทําไมเจ้าอาวาสถึงมาพูดเรื่องชื่อเอาตอนนี้

 

“มารทั้ง 7 นั้นแม้จะเป็นมาร แต่ว่าเดิมที่แล้วพวกมันก็คืออารมของมนุษย์ เพียงแต่มารแต่ละตัวต่างก็กระตุ้นความอยากของมันเองให้มากขึ้น”

 

“เพียงแต่ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากมนุษย์ ต่อให้ไม่มีมาร หากควบคุมโทสะไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ประสกหยงเวยลงมือกระทําเลย”เจ้าอาวาสส่ายหน้าด้วยท่าที่เห็นอกเห็นใจ เอาเข้าจริงแล้วหยงเวยที่โดนวิชามารครอบงํานั้นนับได้ว่าดีกว่าคนธรรมดาที่ไม่ได้โดนมารครอบงําแต่ปล่อยให้อารมซักน้ําเสียอีก

 

“ไม่ว่าจะโดนมารเข้าครอบงําหรือไม่ วิธีการรับมือกับโทสะก็คือการใช้ธรรมะเข้าข่มเช่นกัน หากท่านอยากจะฆ่าประสกหยงเวยเพราะท่านกลัวว่าประสกหยงเวยจะอาลาวาด เช่นนั้นท่านก็มต้องฆ่ามนุษย์ผู้มีโทสะทุกคนหรือได้ยินเช่นนั้นอู๋หมิงก็ชะงักไป ทั้งๆที่หยงเวยควบคุมมารในร่างได้แล้ว แต่มันยังคิดจะฆ่าหยงเวยอยู่อีกงั้นหรือ

 

“แต่ วันหนึ่งมันอาจจะควบคุมไม่ได้” อู๋หมิงตอบพลางกําหมัดแน่น ยิ่งตอนนี้มันกําลังจะขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิมัน ยิ่งต้องกังวลเกี่ยวกับอาณาจักรให้มากขึ้น หากมันปล่อยให้หยงเวยเติบใหญ่จนเจ้าอาวาสไม่อาจจัดการได้

 

“หากองค์ชายยังกังวล ข้าก็จะมอบสิ่งนี้ให้ท่าน” เจ้าอาวาสว่าพลางหยิบตําราที่อยู่กลางห้องขึ้นมา

 

“นี่คือ?” อู๋หมิงขมวดคิ้วพลางมองตําราตรงหน้า

 

“นี่ไม่ใช่ตํารามารหรอกองค์ชาย แต่เป็นตําราที่คอยสะกดกลิ่นอายมารของตํารามารพวกนี้” พูดจบเจ้าอาวาสก็วางตําราลงบนมือของอู๋หมิง ที่หน้าปกของมันสลักเอาไว้ว่า วิชาเทวะ ดูแล้วไม่น่าจะใช้วิชามารจริงๆ

 

“นี่คือวิชาที่เอาไว้ใช้ปราบมารโดยเฉพาะ หากวันหนึ่งประสกหยงเวยไม่อาจควบคุมพลังมารได้ ท่านสามารใช้วิชาภายในตําราเล่มนี้เพื่อจัดการมันได้”เจ้าอาวาสว่า พลางยิ้มอย่างเช่นเคย

 

“ทําไมท่านถึง…”อู๋หมิงเกิดความรู้สึกไม่เข้าใจขึ้นมาในทันที ทําไมเจ้าอาวาสถึงไม่ฝึกวิชานี้ด้วยตนเองกัน แล้วเหตุใดท่านถึงให้ตําราตนเองมาฝึกฝน

 

“อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาก็ได้”เจ้าอาวาสหัวเราะ พลางมองตําราในมือของอู๋หมิง แต่เดิมวิชาเทวะเป็นวิชาปราบมารที่ตกทอดมาในวัดของเจ้าอาวาส แต่ในยุคก่อนเจ้าอาวาสที่ฝึกฝนเกิดเหลิงตนในอํานาจจนถูกอาจารย์ของตนเองไล่ออกจากวัด ตั้งแต่นั้นมาตําราเล่มนี้ก็ไม่เคยเปิดเผยให้ใครฝึกฝนอีกเลย โดยอาจารย์ของเจ้าอาวาสท่านนั้นได้บอกว่า หากไม่มีมารปรากฏออกมาห้ามนําวิชาเทวะออกมาฝึกฝนโดยเด็ดขาด แต่เมื่อหยงเวยปรากฏออกมาแล้ว เจ้าอาวาสจึงเปิดตําราออกฝึกฝน น่าเสียดายที่เจ้าอาวาสไม่สามารถฝึกฝนวิชาเทวะได้สําเร็จ จนกระทั่งวันนี้มันได้พบกับองค์ชายอู๋หมิง ทั้งเรื่องที่ชักนําหยงเวยเข้ามาในวัด ทั้งเรื่องที่อู๋หมิงเข้ามาพบหยงเวยก็เช่นกัน ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นโชคชะตาของอู๋หมิงก็เป็นได้

 

“นายน้อย เป็นอย่างไรบ้าง” ต้าชิงถามขณะช่วยไป๋จูเหวินฝึกฝนวิชาเทพประสาน

 

“ไม่คืบหน้าเลย”ไปจูเหวินส่ายหน้าพลางละมือที่ประสานกับต้าชิงเอาไว้ออกมา หลังจากได้ฟังเรื่องของต้าชิงและต้าเฉิน พวกมันก็พยายามจะบอกให้ไป๋จูเหวินเริ่มฝึกอย่างพวก มันบ้างเพราะพวกมันเชื่อว่าหากเป็นไปจูเหวินละก็ จะต้องสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่ เพียงแต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น

 

แม้ไป๋จูเหวินจะสามารถฝึกวิชาเทพจุติได้ในเวลาไม่กี่วัน แต่เมื่อเริ่มฝึกวิชาเทพประสานไป๋จูเหวินกลับพบว่าผลของมันน้อยกว่าวิชาโลหิตมังกรเสียอีก ทําให้ไป๋จูเหวินได้แต่งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

“หรืออาจจะเพราะโชคชะตาของข้ากัน”ไป๋จูเหวินว่าพลางส่ายหัวเบาๆ เพราะมันไม่อาจหาสาเหตุอื่นได้เลย

 

“โชคชะตา?”ต้าชิงต้าเฉินทวนคําอย่างประหลาดใจ

 

“พวกท่านจําเนื้อความที่ว่า ร่วมฝึกฝนวิชาก่อเกิดพลังตามโชคชะตาหรือ”ไป๋จูเหวินว่าพลางถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่าการฝึกวิชาเทพประสานจะต้องพึ่งพาโชคและวาสนาด้วย หรือก็คือวิชาเทพประสานนั้นอาจจะเป็นวิชาที่เหมาะสมกับต้าชิงต้าเฉินที่สุดก็ได้

 

“น่าเสียดายจริงๆ”ต้าชิงถอนหายใจออกมาไม่นึกเลยว่า นายน้อยของมันจะไม่สามารถฝึกได้

 

“บางทีอาจจะเป็นเพราะคู่ฝึกก็ได้นะ”ต้าเฉินว่าพลางเสนอความคิดออกมา

 

“จริงด้วย บางทีพวกเราอาจจะไม่เหมาะจะเป็นคู่ฝึกกับนายน้อยก็ได้” ต้าชิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

 

“เช่นนั้นนายน้อยก็ต้องหาคนมาฝึกด้วยนะสิ”ต้าเฉินว่าพลางยิ้มออกมา

 

“แบบนี้ข้าคงต้องเอาวชาทั้ง 2 ไปให้คุณหนูเหม่ยหลินกระมัง” ต้าชิงยิ้มกว้างกว่าเดิมพลางแย่งตํารามาจากมือของต้าชิงไปเก็บเอาไว้ในมิติของตนเอง

 

“ทําไมต้องเป็นเหมยหลินด้วยละ”ไป๋จูเหวินถามด้วยความไม่เข้าใจ ทําไมทุกคนถึงเอาแต่โยงมันเข้ากับเหม่ยหลินตลอดกัน

 

“เรื่องนั้น…”ต้าเฉินเงียบไปพักหนึ่ง เพราะครั้งล่าสุดที่มันออกมาจากสํานักก็ได้ข่าวแต่ว่านายน้อยพาคุณหนูเหมยหลินหนีไปด้วยกัน มันก็นึกว่ามีเรื่องโน้นเรื่องนี้เรื่องนั้นเกิดขึ้นแล้วเสียอีก ใครจะไปคิดว่านายน้อยของมันจะตอบมาด้วยสีเฉยเมยเช่นนี้

 

“นะ นางเป็นผู้มีพลังวิญญาณและพลังอสูรสูงมากเหมือนนายน้อย บางทีอาจจะเหมาะกับการฝึกร่วมกันกับนายน้อยก็ได้” ต้าชิงตอบพลางยิ้มเงื่อนๆ

 

“เป็นเช่นนี้เอง”ไป๋จูเหวินพยักหน้าอย่างเข้าใจ

 

“เช่นนั้นพอเรากลับไปแล้วข้าจะลองชวนเหม่ยหลินดูก็แล้วกัน”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางมองเหล่าอสูรที่กําลังวิ่งตามร่างของหลินหลินมาอย่างตั้งใจ น่าแปลกที่พวกอสูรที่ไป๋จูเหวินไปช่วยมาวิ่งตามหลินหลินไม่ค่อยทันทั้งๆที่หลินหลินพึ่งจะอยู่ระดับหยกขาวและพวกมันอยู่ระดับตํานานขั้นปลายและมายาขันปลายกันหมดแล้วแท้ๆ หรืออาจจะเพราะหลินหลินเดินทางบ่อยจนชินกระมัง

 

“ไม่ได้เจอเถ้าแก่หวังมานานแล้ว ข้าคิดถึงท่านจริงๆ”ต้าชิงว่าพลางยิ้มกว้าง

 

“นั่นสิ ท่านจะสบายดีหรือเปล่านะ”ต้าเฉินเองก็อยากเจอเถ้าแก่หวังเช่นกัน เพราะเป้าหมายที่ไป๋จูเหวินจะไปก็คือเขตอสูรผาไร้ก้นนั่นเอง ทั้งนี้เพราะไป๋จูเหวินไม่ได้กลับไปเยี่ยมพวกท่านน้ามาพักใหญ่แล้ว แถมจะพาอสูรพวกนี้กลับเมืองร้อยแปดอสุรไปก็คงไม่ดี ไป๋จูเหวินเลยพาพวกมันไปฝากท่านน้าด้วยอีกแรง

 

“แล้วจะเอายังไงกับเจ้านี้ดีละ” ไป๋จูเหวินว่าพลางแหงนหน้ามองบนท้องฟ้า ไม่ว่าจะไปทางไหนเจ้าอสูรปักเป้าก็ตามไปตลอด แถมไม่ฟังที่ไป๋จูเหวินพูดอีกต่างหาก 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 183

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 183 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุตรอสูรบรรพกาล บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 183 โชคชะตา

 

“องค์ชาย หากท่านมีเวลาสักครู่ ตามอาตมามาได้หรือไม่” เจ้าอาวาสว่าพลางมองไปทางอู๋หมิงด้วยท่าที่ใจเย็น ยามนี้อู๋หมิงยังไม่เก็บกระบี่เสียด้วยซ้ํา เห็นได้ชัดว่ายังไม่ตัดใจ

 

“ขอรับ”อู๋หมิงตอบพลางมองหยงเวยครู่หนึ่ง มันไม่มีท่าที่จะต่อสู้แถมเจ้าอาวาสยังขอร้องเอาไว้อีก อู๋หมิงจึงเก็บกระบี่ไปอย่างช่วยไม่ได้

 

“ท่านทราบหรือไม่องค์ชาย ว่าวิชามารนั้นมีทั้งหมดกี่เล่ม”เจ้าอาวาสถามพลางพาอู๋หมิงเข้าไปในหอตําราของวัด

 

“ไม่ทราบขอรับ” คู่หมิงตอบเพราะเอาเข้าจริงแล้ว หยงเวย เป็นมารตนแรกที่อู๋หมิงรู้จักเลย

 

“ตําราวิชามารมีทั้งหมด 108 เล่มนอกจากนี้ยังมีวิชามารที่แยกออกมาจากตําราเหล่านั้นอยู่อีก 7 เล่ม”เจ้าอาวาสพูดพลางเปิดประตูบานหนึ่งในหอตําราออกมา ประตูบานนั้นมันทั้งหนักและหนาราวกับใช้กําแพงทําประตูก็ไม่ปาน หากไม่ใช่กําลังของเจ้าอาวาสอู๋หมิงก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถเปิดประตูได้แม้มันจะไม่ลงกรอนไว้ก็ตาม

 

“นี่มัน” อู๋หมิงอึ้งไปพักหนึ่งหลังจากเดินเข้ามาในห้องที่เจ้าอาวาสเปิดให้ชม ในห้องแห่งนี้มีตําราหลายสิบเล่มเรียงรายกันอยู่รอบๆห้อง แถมอู๋หมิงยังสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่อยู่รอบๆห้องอย่างเด่นชัดราวกับสามารถสัมผัสได้ถึงพลังมารไม่ผิด

 

“ขอรับ ตําราเหล่านี้คือวิชามารที่ท่านเจ้าอาวาสแต่ละรุ่นรวบรวมมาได้”เจ้าอาวาสว่าพลางเดินไปตรงกลางห้อง ทําให้อู๋หมิงพึ่งสังเกตเห็นว่ากลางห้องมีตําราอีกเล่มวางอยู่ เพียงแต่ตําราเล่มนั้นไม่ได้ส่งไอเย็นออกมาแต่อย่างไร

 

“ทําไมท่านไม่ทําลายมันเสียละ” อู๋หมิงถามอย่างสงสัยเพราะตํารามารเหล่านี้คือต้นกําเนิดแห่งมาร หากทําลายเสียก็จะกําจัดปัญหาไปได้

 

“หากทําลายได้ พวกเราคงทําไปนานแล้ว แต่ในตํารามารแต่ละเล่มต่างสลักวิญญาณมารเอาไว้อย่างเหนียวแน่น พวกเราไม่อาจทําลายได้จริงๆ”เจ้าอาวาสว่าพลางเรียกลูกไฟจาก พลังวิญญาณออกมาลูกหนึ่ง ก่อนจะปามันใส่ชั้นตําราจนมันเผาชั้นตําราจนไหม้ แต่จนกระทั่งชั้นตําราไหม้จนเหลือแต่เถ้าตําราก็ยังไม่เป็นอะไรเลย

 

ฉีก! อู๋หมิงเห็นเช่นนั้นจึงลองนํากระบี่ออกมาแทงใส่ตําราดู แต่กระบี่ของมันกลับแทงไม่เข้าเสียอย่างนั้น

 

“พวกเราทําได้แค่ปิดผนึกพวกมันเอาไว้ในห้องนี้เท่านั้นจริงๆ”เจ้าอาวาสว่าพลางเก็บตําราขึ้นมาพลางน้ํามันไปใส่ในชั้นด้านอื่นแทน

 

“เช่นนั้นโลกภายนอกก็ยังมีตํารามารแบบนี้อยู่อีกงั้นเหรอ”อู๋หมิงถามพลางขมวดคิ้วสงสัย เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไรในห้องก็ไม่มีตําราถึง 108 เล่มอย่างแน่นอน

 

“ถูกแล้ว”เจ้าอาวาสพูดพลางเดินกลับมายืนตรงหน้าอู๋หมิงอีกครั้ง

 

“อย่างที่ข้าบอก นอกจากตํารามารธรรมดาอีก 108 เล่ม แล้วยังมีตํารามารที่พิเศษกว่าตําราเล่มอื่นๆอีก 7 เล่ม”ได้ยินเจ้าอาวาสพูดเช่นนั้นอู๋หมิงก็พลันหันไปมองทางที่หยงเวยเคยอยู่ทันที

 

“มารทั้ง 7 คือจุดสูงสุดของวิชามารโดยแบ่งออกเป็น ราคะ ตะกละ โลภะ เกียจคร้าน โทสะ ริษยา และ อัตตา…”เจ้าอาวาสเว้นช่วงไปพักหนึ่งพลางมองสีหน้าของอู๋หมิงเพราะตอนนี้อู๋หมิงน่าจะเดาออกแล้ว

 

“ประสกหยงเวยเป็นผู้ถือครองตําราโทสะ 1 ใน 7 ตํารามารที่อาตมาบอกมา”ได้ยินเช่นนั้นหมิงก็ยิ่งใจไม่ดี ไม่ใช่ว่าสิ่งที่หยงเวยครอบครองอยู่นั้นคือสิ่งที่อันตรายมากๆหรือ

 

“องค์ชาย ท่านได้ฟังชื่อมารเหล่านั้นแล้วท่านไม่คิดอะไรบ้างหรือ”เจ้าอาวาสถามพลางยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

 

“ชื่อ?”อู๋หมิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทําไมเจ้าอาวาสถึงมาพูดเรื่องชื่อเอาตอนนี้

 

“มารทั้ง 7 นั้นแม้จะเป็นมาร แต่ว่าเดิมที่แล้วพวกมันก็คืออารมของมนุษย์ เพียงแต่มารแต่ละตัวต่างก็กระตุ้นความอยากของมันเองให้มากขึ้น”

 

“เพียงแต่ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากมนุษย์ ต่อให้ไม่มีมาร หากควบคุมโทสะไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ประสกหยงเวยลงมือกระทําเลย”เจ้าอาวาสส่ายหน้าด้วยท่าที่เห็นอกเห็นใจ เอาเข้าจริงแล้วหยงเวยที่โดนวิชามารครอบงํานั้นนับได้ว่าดีกว่าคนธรรมดาที่ไม่ได้โดนมารครอบงําแต่ปล่อยให้อารมซักน้ําเสียอีก

 

“ไม่ว่าจะโดนมารเข้าครอบงําหรือไม่ วิธีการรับมือกับโทสะก็คือการใช้ธรรมะเข้าข่มเช่นกัน หากท่านอยากจะฆ่าประสกหยงเวยเพราะท่านกลัวว่าประสกหยงเวยจะอาลาวาด เช่นนั้นท่านก็มต้องฆ่ามนุษย์ผู้มีโทสะทุกคนหรือได้ยินเช่นนั้นอู๋หมิงก็ชะงักไป ทั้งๆที่หยงเวยควบคุมมารในร่างได้แล้ว แต่มันยังคิดจะฆ่าหยงเวยอยู่อีกงั้นหรือ

 

“แต่ วันหนึ่งมันอาจจะควบคุมไม่ได้” อู๋หมิงตอบพลางกําหมัดแน่น ยิ่งตอนนี้มันกําลังจะขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิมัน ยิ่งต้องกังวลเกี่ยวกับอาณาจักรให้มากขึ้น หากมันปล่อยให้หยงเวยเติบใหญ่จนเจ้าอาวาสไม่อาจจัดการได้

 

“หากองค์ชายยังกังวล ข้าก็จะมอบสิ่งนี้ให้ท่าน” เจ้าอาวาสว่าพลางหยิบตําราที่อยู่กลางห้องขึ้นมา

 

“นี่คือ?” อู๋หมิงขมวดคิ้วพลางมองตําราตรงหน้า

 

“นี่ไม่ใช่ตํารามารหรอกองค์ชาย แต่เป็นตําราที่คอยสะกดกลิ่นอายมารของตํารามารพวกนี้” พูดจบเจ้าอาวาสก็วางตําราลงบนมือของอู๋หมิง ที่หน้าปกของมันสลักเอาไว้ว่า วิชาเทวะ ดูแล้วไม่น่าจะใช้วิชามารจริงๆ

 

“นี่คือวิชาที่เอาไว้ใช้ปราบมารโดยเฉพาะ หากวันหนึ่งประสกหยงเวยไม่อาจควบคุมพลังมารได้ ท่านสามารใช้วิชาภายในตําราเล่มนี้เพื่อจัดการมันได้”เจ้าอาวาสว่า พลางยิ้มอย่างเช่นเคย

 

“ทําไมท่านถึง…”อู๋หมิงเกิดความรู้สึกไม่เข้าใจขึ้นมาในทันที ทําไมเจ้าอาวาสถึงไม่ฝึกวิชานี้ด้วยตนเองกัน แล้วเหตุใดท่านถึงให้ตําราตนเองมาฝึกฝน

 

“อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาก็ได้”เจ้าอาวาสหัวเราะ พลางมองตําราในมือของอู๋หมิง แต่เดิมวิชาเทวะเป็นวิชาปราบมารที่ตกทอดมาในวัดของเจ้าอาวาส แต่ในยุคก่อนเจ้าอาวาสที่ฝึกฝนเกิดเหลิงตนในอํานาจจนถูกอาจารย์ของตนเองไล่ออกจากวัด ตั้งแต่นั้นมาตําราเล่มนี้ก็ไม่เคยเปิดเผยให้ใครฝึกฝนอีกเลย โดยอาจารย์ของเจ้าอาวาสท่านนั้นได้บอกว่า หากไม่มีมารปรากฏออกมาห้ามนําวิชาเทวะออกมาฝึกฝนโดยเด็ดขาด แต่เมื่อหยงเวยปรากฏออกมาแล้ว เจ้าอาวาสจึงเปิดตําราออกฝึกฝน น่าเสียดายที่เจ้าอาวาสไม่สามารถฝึกฝนวิชาเทวะได้สําเร็จ จนกระทั่งวันนี้มันได้พบกับองค์ชายอู๋หมิง ทั้งเรื่องที่ชักนําหยงเวยเข้ามาในวัด ทั้งเรื่องที่อู๋หมิงเข้ามาพบหยงเวยก็เช่นกัน ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นโชคชะตาของอู๋หมิงก็เป็นได้

 

“นายน้อย เป็นอย่างไรบ้าง” ต้าชิงถามขณะช่วยไป๋จูเหวินฝึกฝนวิชาเทพประสาน

 

“ไม่คืบหน้าเลย”ไปจูเหวินส่ายหน้าพลางละมือที่ประสานกับต้าชิงเอาไว้ออกมา หลังจากได้ฟังเรื่องของต้าชิงและต้าเฉิน พวกมันก็พยายามจะบอกให้ไป๋จูเหวินเริ่มฝึกอย่างพวก มันบ้างเพราะพวกมันเชื่อว่าหากเป็นไปจูเหวินละก็ จะต้องสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่ เพียงแต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น

 

แม้ไป๋จูเหวินจะสามารถฝึกวิชาเทพจุติได้ในเวลาไม่กี่วัน แต่เมื่อเริ่มฝึกวิชาเทพประสานไป๋จูเหวินกลับพบว่าผลของมันน้อยกว่าวิชาโลหิตมังกรเสียอีก ทําให้ไป๋จูเหวินได้แต่งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

“หรืออาจจะเพราะโชคชะตาของข้ากัน”ไป๋จูเหวินว่าพลางส่ายหัวเบาๆ เพราะมันไม่อาจหาสาเหตุอื่นได้เลย

 

“โชคชะตา?”ต้าชิงต้าเฉินทวนคําอย่างประหลาดใจ

 

“พวกท่านจําเนื้อความที่ว่า ร่วมฝึกฝนวิชาก่อเกิดพลังตามโชคชะตาหรือ”ไป๋จูเหวินว่าพลางถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่าการฝึกวิชาเทพประสานจะต้องพึ่งพาโชคและวาสนาด้วย หรือก็คือวิชาเทพประสานนั้นอาจจะเป็นวิชาที่เหมาะสมกับต้าชิงต้าเฉินที่สุดก็ได้

 

“น่าเสียดายจริงๆ”ต้าชิงถอนหายใจออกมาไม่นึกเลยว่า นายน้อยของมันจะไม่สามารถฝึกได้

 

“บางทีอาจจะเป็นเพราะคู่ฝึกก็ได้นะ”ต้าเฉินว่าพลางเสนอความคิดออกมา

 

“จริงด้วย บางทีพวกเราอาจจะไม่เหมาะจะเป็นคู่ฝึกกับนายน้อยก็ได้” ต้าชิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

 

“เช่นนั้นนายน้อยก็ต้องหาคนมาฝึกด้วยนะสิ”ต้าเฉินว่าพลางยิ้มออกมา

 

“แบบนี้ข้าคงต้องเอาวชาทั้ง 2 ไปให้คุณหนูเหม่ยหลินกระมัง” ต้าชิงยิ้มกว้างกว่าเดิมพลางแย่งตํารามาจากมือของต้าชิงไปเก็บเอาไว้ในมิติของตนเอง

 

“ทําไมต้องเป็นเหมยหลินด้วยละ”ไป๋จูเหวินถามด้วยความไม่เข้าใจ ทําไมทุกคนถึงเอาแต่โยงมันเข้ากับเหม่ยหลินตลอดกัน

 

“เรื่องนั้น…”ต้าเฉินเงียบไปพักหนึ่ง เพราะครั้งล่าสุดที่มันออกมาจากสํานักก็ได้ข่าวแต่ว่านายน้อยพาคุณหนูเหมยหลินหนีไปด้วยกัน มันก็นึกว่ามีเรื่องโน้นเรื่องนี้เรื่องนั้นเกิดขึ้นแล้วเสียอีก ใครจะไปคิดว่านายน้อยของมันจะตอบมาด้วยสีเฉยเมยเช่นนี้

 

“นะ นางเป็นผู้มีพลังวิญญาณและพลังอสูรสูงมากเหมือนนายน้อย บางทีอาจจะเหมาะกับการฝึกร่วมกันกับนายน้อยก็ได้” ต้าชิงตอบพลางยิ้มเงื่อนๆ

 

“เป็นเช่นนี้เอง”ไป๋จูเหวินพยักหน้าอย่างเข้าใจ

 

“เช่นนั้นพอเรากลับไปแล้วข้าจะลองชวนเหม่ยหลินดูก็แล้วกัน”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางมองเหล่าอสูรที่กําลังวิ่งตามร่างของหลินหลินมาอย่างตั้งใจ น่าแปลกที่พวกอสูรที่ไป๋จูเหวินไปช่วยมาวิ่งตามหลินหลินไม่ค่อยทันทั้งๆที่หลินหลินพึ่งจะอยู่ระดับหยกขาวและพวกมันอยู่ระดับตํานานขั้นปลายและมายาขันปลายกันหมดแล้วแท้ๆ หรืออาจจะเพราะหลินหลินเดินทางบ่อยจนชินกระมัง

 

“ไม่ได้เจอเถ้าแก่หวังมานานแล้ว ข้าคิดถึงท่านจริงๆ”ต้าชิงว่าพลางยิ้มกว้าง

 

“นั่นสิ ท่านจะสบายดีหรือเปล่านะ”ต้าเฉินเองก็อยากเจอเถ้าแก่หวังเช่นกัน เพราะเป้าหมายที่ไป๋จูเหวินจะไปก็คือเขตอสูรผาไร้ก้นนั่นเอง ทั้งนี้เพราะไป๋จูเหวินไม่ได้กลับไปเยี่ยมพวกท่านน้ามาพักใหญ่แล้ว แถมจะพาอสูรพวกนี้กลับเมืองร้อยแปดอสุรไปก็คงไม่ดี ไป๋จูเหวินเลยพาพวกมันไปฝากท่านน้าด้วยอีกแรง

 

“แล้วจะเอายังไงกับเจ้านี้ดีละ” ไป๋จูเหวินว่าพลางแหงนหน้ามองบนท้องฟ้า ไม่ว่าจะไปทางไหนเจ้าอสูรปักเป้าก็ตามไปตลอด แถมไม่ฟังที่ไป๋จูเหวินพูดอีกต่างหาก 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+