บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 228 อาณาจักรใหม่

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 228 อาณาจักรใหม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 228 อาณาจักรใหม่

 

“ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี”เหล่าขุนนางจํานวนมากที่กลับมาจากสงคราม ทั้งของอาณาจักรอู๋และอาณาจักรชูต่างนั่งอยู่บนพื้นที่ถูกปูด้วยพรมอย่างดีกลางลานกว้างซึ่งเป็นลานพิธีของวังหลวงแห่งอาณาจักรที่ใช้ประกอบพิธีสําคัญๆมาแล้วมากมาย

 

“โห ยิ่งใหญ่จริงๆแฮะ” อู๋เทียนเหวินว่าพลางมองงานพิธีตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ งานพิธีครั้งนี้ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่างานพิธีอภิเษกของซูหลานเสียอีก เพราะนอกจากคนของอาณาจักรอู๋และชูแล้วยังมีคนของอดีตอาณาจักรฮัว อดีตคนของอาณาจักรจง และคนของอดีตอาณาจักรซุย มาร่วมงานพิธีด้วย

 

“ในที่สุดสงครามก็จบแล้วนี่นา โชคดีจริงๆที่ไม่ได้เป็นสงครามยามนานเสียเท่าไหร่ ความแค้นเลยยังไม่ก่อตัวขึ้น” จื่อหลานพี่สาวคนโตแห่งราชวงศ์อู๋ว่าพลางมองเหล่าขุนนางจากอาณาจักรจง ยามนี้พวกมันเข้าร่วมกับอาณาจักรอู๋แล้ว และถวายหัวรับใช้อู๋หมิงตั้งแต่นั้นมา แน่นอนว่าพวกมันเคยหันคบดาบใส่พวกตน แต่จะให้ดูแลอาณาจักรที่ใหญ่กว่าเดิมเกือบ 3 เท่าโดยใช้ขุนนางเท่าเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องรับมันเข้ามาเป็นพวกและให้มันดูแลงานในเขตของตนเองโดยรายงานมาให้อู๋หมิงเป็นระยะๆ และนั่นก็ทําให้หน้าที่ของอูหมิงยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะมันต้องคอยจัดการขุนนางต่างถิ่นพวกนี้อีกทีนั่นเอง

 

“แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นอาณาจักรใหญ่ไปแล้วสิ พี่ใหญ่จะรับมือไหวรหรือเปล่านะ”อู๋ซูหลานถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง เพราะเกิดเรื่องตั้งมากมายในที่สุดอาณาจักรทั้ง 5 ก็รวมกันเหลือเพียง 2 อาณาจักร แถมอาณาจักรชูยังร่างสัญญาเป็นเมืองขึ้นอีกต่างหาก ทําให้ตอนนี้อาณาจักรที่เคยมี 5 อาณาจักรกลายเป็นของอาณาจักรอู๋แทบทั้งหมด

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ใหญ่เป็นคนแบบนั้นล่ะ” จื่อหลานว่าพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นางได้เห็นการทํางานของอู๋หมิงแล้ว นางมั่นใจในระดับหนึ่งเลยว่าอู๋หมิงสามารถแบกรับอาณาจักรขนาดนี้ได้ และโชคดีก็ตกไปเป็นของอูเต่อที่ไม่ต้องโดนพี่สาวของมันเขี้ยวเข็นให้ร่ำเรียนอีกแล้ว

 

“เริ่มแล้วไง”อู๋เทียนเหวินว่าพลางมองไปที่ประตูของลานพิธี หลังจากถวายความเคารพแล้ว ก็เริ่มจัดการแสดงอย่างเอิกเกริก ท่าทางเหล่าขุนนางของอาณาจักรที่โดนยึดจะอยู่เป็นไม่น้อย พวกมันจัดหาโชว์อันตระการตามากันทุกฝ่ายเล่นเอาลานพิธียามนี้ดูคล้ายโรงละครไปในพริบตา

 

“องค์จักรพรรดิ ข้าน้อย”เมื่อการแสดงเริ่ม เหล่าขุนนางก็เริ่มทําตัวตามสบายขึ้น เมื่อทุกคนเริ่มทําตัวตามสบายก็มีบางคนเริ่มแผนการของมันในทันที

 

“ทางนี้คือบุตรสาวของข้าน้อยขอรับ นางเป็นเด็กสาวเรียบร้อยอ่อนหวานและอาจจะขี้อายไปสักหน่อย”เหล่าขุนนางที่ทราบว่าอู๋หมิงยังไม่มีมเหสี พวกมันจึงแทบจะแย่งกันพาบุตรสาวของตนเข้ามาแนะนํากันอย่างออกนอกหน้า เล่นเอาอู๋หมิงได้แต่ทําความรู้จักและพยายามเลี่ยงการสนธนายืดยาวแบบสุดชีวิต

 

“แหม พี่ใหญ่ ไม่สิองค์จักรพรรดิ พระองค์ควรจะคิดเรื่องหามเหสีได้แล้วนะ” จื่อหลานที่เห็นเช่นนั้นจึงเดินเข้ามาทักอู๋หมิงเข้า เห็นมันปัดสาวงามทิ้งเป็นว่าเล่นทําเอานางปวดใจแทนพวกนางจริงๆ

 

“ระ เรื่องนั้นข้าบอกแล้วไงว่าไม่ต้องรีบ”อู๋หมิงส่ายหน้าพลางกลับไปนั่งที่บัลลังก์ แม้แต่ขุนนางของอาณาจักรอื่นยังพาบุตรสาวมาแนะนําตัว ทําเอามันเหนื่อยใจจริงๆ

 

“แล้วท่านชอบหญิงสาวแบบไหนล่ะ” จื่อหลานถามพลางยิ้มกว้าง แม้อู๋หมิงจะไม่อยากตอบนัก แต่เพราะมีจื่อหลานเข้ามาคุยทําให้ขุนนางที่อยากจะแนะนําบุตรสาวตนเองจนตัวสั่นไม่กล้าเข้ามาขัด

 

“อย่างน้อยข้าก็อยากให้นางมีวิชาตัวตัวละนะ”อู๋หมิงตอบพลางมองเหล่าบุตรสาวของพวกขุนนาง พวกนางมีพลังวิญญาณกันทุกคน แต่ก็เป็นแค่พลังวิญญาณระดับพื้นฐานเท่านั้น อาจจะมีบางคนสูงกว่าปกตินิดหน่อย แต่อู๋หมิงไม่คิดว่าจะมีใครสูงกว่าระดับหลอมรวมวิญญาณเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะอูหมิงชอบผู้หญิงใช้กําลัง แต่เพราะมันเข้าสู่ระดับพลังเซียนมานานแล้ว นั่นหมายความว่าอายุขัยของมันจะนานกว่ามนุษย์ปกติมาก อย่างน้อยหากมันจะหาคนรักก็อยากจะให้เป็นคนที่สามารถอยู่กับมันได้จนแก่เฒ่ากระมัง

 

“ท่านนี่รสนิยมแปลกจริงๆ”จื่อหลานถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวที่มาล้อมบัลลังก์อยู่ยามนึ่งดงามราวกับสวนดอกไม้อันล้ำค่า แต่อู๋หมิงกลับมองหาไม้ยืนต้นเสียอย่างนั้น

 

“นั่นมันเรื่องของข้าน่า”อูหมิงว่าพลางมองเหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ พอได้ยินความชอบของอู๋หมิงแล้วหญิงสาวพวกนั้นก็พากันแสดงสีหน้าผิดหวังกันไปหมด นั้นเพราะพวกนางถูกเลี้ยงมาในฐานะคุณหนู แทบไม่มีใครในที่นี้เคยฝึกวิชาอย่างจริงจังเลย

 

“ท่าทางงานจะไม่จบง่ายๆ ข้าขอไปพักหน่อยก็แล้วกัน”อู๋หมิงว่าพลางมองงานพิธีที่ถูกจัดขึ้นอย่างอลังการ เหล่าขุนนางเริ่มดื่มสุรากันแล้ว ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็คงไม่เลิกกันแน่ๆ แถมพิธีสําคัญในช่วงเช้าอย่างการร่างจดหมายและประทับตราหนังสือสัญญาก็จบไปแล้วด้วย อู๋หมิงไม่จําเป็นต้องอยู่ที่นี่ก็ได้

 

“น่าเสียดาย การแสดงออกจะสนุก แท้ๆ” จื่อหลานว่าพลางยิ้มบางๆ

 

“งั้นเจ้าก็นั่งดูไปแล้วกัน”อู๋หมิงตอบเสียงเรียบพลางเดินออกมาจากงานท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนาง ท่าทางพวกมันจะเร่งเร้าองค์จักรพรรดิเกินไปกระมัง

 

“ตําแหน่งองค์จักรพรรดินี่ดีจังเลยนะ มีสาวงามมาต่อแถวกันเต็มไปหมดเลย” อยู่ๆระหว่างทางที่อู๋หมิงกําลังเดินออกไปก็ปรากฏร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในชุดที่อู๋หมิงไม่ค่อยคุ้นตาเสียเท่าไหร่ ปกตินางไม่ได้แต่งหน้าเลยเสียด้วยซ้ำ

 

“เจ้าเองก็มากับเขาด้วยงั้นเหรอ” อู๋หมิงถามพลางมองหญิงสาวตรงหน้า

 

“ก็ช่วยไม่ได้นี่นา อาจารย์บอกให้ข้ามาเป็นเพื่อน ข้าก็เลยต้องมาด้วย”เจ้าหยุนฟางตอบพลางจับต่างหูของตนด้วยความไม่ชิน ปกตินางไม่เคยสวมเครื่องประดับแบบนี้มาก่อน ทําให้รู้สึกไม่ชินอย่างไรก็ไม่ทราบ แถมเพราะในช่วงสงครามที่ผ่านมานางยังออกศึกเขี้ยงข้างอาจารย์ทําให้ได้รับชื่อเสียงไม่น้อย จึงไม่แปลกเลยที่นางจะได้รับเชิญมาเป็นแขกในงานพิธีครั้งนี้

 

“งั้นเหรอ แล้วเจ้าว่างหรือเปล่า”อู๋หมิงถามพลางเดินไปทางประตูที่นําไปสู่ลานด้านนอก

 

“เจ้าคิดว่าข้าจะมีอะไรทําในงานพิธีแบบนี้เหรอ” หยุนฟางว่าพลางส่ายหัวไปมา

 

“งั้นไปเดินเล่นกันหน่อยก็แล้วกัน”อู๋หมิงตอบพลางเดินนําออกไปโดยมีหยุนฟางที่ยอมเดินตามมาอย่างช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้ในงานมีแต่คนที่นางไม่รู้จักล่ะ แถมอาจารย์ก็เข้ากลุ่มยอดฝีมือไปแล้ว แถมยังคุยเพลินไม่มีท่าที่จะกลับอีกต่างหาก

 

“หลังจากนี้เจ้าก็สบายแล้วสินะ กลายเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรใหญ่แบบนี้” หยุนฟางว่าพลางเดินตามอู๋หมิงมาจนเสมอกัน

 

“ก็ไม่ซะทีเดียว ยังมีงานอีกไม่น้อยที่ต้องสะสาง” อู๋หมิงว่าพลางพาหยุนฟางเข้ามาในสวนดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก

 

“แบบนี้เจ้าก็ไม่ได้ฝึกวิชาเลยนะสิ แบบนั้นไม่เสียดายเหรอ” หยุนฟางถามพลางมองอู๋หมิงที่อยู่ข้างๆ มันเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยาก ยุคสมัยหน้ามันอาจจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 หรือ 2 เสียด้วยซ้ำ แต่กลับไม่ได้ฝึกวิชาเลยแบบนี้คงจะไม่ไหวกระมัง

 

“ข้าก็หาเวลาฝึกบ้าง ถึงจะไม่มากเหมื่นเมื่อก่อนก็เถอะ” หมิงตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาของมันพูดออกมาชัดเจนเลย่าเสียดายอย่างมาก

 

“มาประลองกันเถอะ” หยุนฟางเห็นท่าทีของอู๋หมิง แล้วกลับรู้สึกประหลาด นางเป็นหนึ่งในยอดฝีมือยุคใหม่เช่นเดียวกัน ทําให้นางเสียใจไม่น้อยที่อู๋หมิงไม่ได้เดินบนทางเดียวกันกับนางแล้ว

 

“พูดอะไรของเจ้า ประลองในชุดแบบนั้นเนี่ยนะ”อู๋หมิงว่าพลางชี้ไปที่ชุดของหยุนฟาง นางสวมชุดที่ 1 เต็มไปด้วยเครื่องประดับและผ้าจํานวนมาก ประลองในชุดแบบนั้นต้องเคลื่อนไหวไม่สะดวกแน่ๆ

 

“ก็แค่เล่นๆน่า” หยุนฟางว่าพลางถอดเครื่องประดับออกแล้วเก็บมันเอาไว้ในมิติของนาง ก่อนจะเอาดาบราชันศาสตราออกมาแทน

 

“ฮะๆ” อยู่ๆอู๋หมิงก็หัวเราะออกมา แต่มันก็เอากระบี่ทัณฑ์สวรรค์ออกมาเช่นกัน

 

“หัวเราะอะไรของเจ้า” หยุนฟางถามพลางเริ่มฟันดาบใส่อู๋หมิง การประลองกันเล่นๆของนางแม้จะไม่ได้ใช้พลังวิญญาณแต่ก็เป็นการประลองฝีมือกันโดยตรง วิธีดาบของนางจึงหมายเอาชีวิตตั้งแต่แรก เพียงแต่อู๋หมิงก็รับมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

 

“ข้าก็แค่รู้สึกว่าดาบเป็นเครื่องประดับที่เหมาะกับเจ้ามากกว่าเท่านั้นเอง”อู๋หมิงหัวเราะพลางแทงกระบี่ไปที่หยุนฟางอย่างรวดเร็ว อาจจะเพราะผ่านสงครามมาหรือไม่ แต่ฝีมือดาบของหยุนฟางรุดหน้าไปมาก อู๋หมิงคงไม่สามารถตีมือนางเล่นแบบสมัยก่อนได้แล้วแน่ๆ

 

เครั้ง! ในที่สุดดาบในมือของหยุนฟางก็เป็นฝ่ายตกลงไปบนพื้นหลังจากทั้งสองประลองกันมาได้ครู่ใหญ่

 

“เจ้านี่แย่จริงๆ ทั้งๆที่เอาเวลาไปทําหน้าที่จักรพรรดิเสียหมด ยังจะมีฝีมือน่ากลัวเหมือนเดิมไม่มีผิด” หยุนฟางว่าพลางถอนหายใจอออกมา นางผ่านประสบการณ์มาขนาดนั้นยังโดนอู๋หมิงปลดอาวุธได้อีก ท่าทางคงต้องหางานห้อู๋หมิงเยอะๆเสียแล้ว นางจะได้เอาชนะมันได้สักที

 

“ที่นี่มัน ที่ไหนกัน” ณ ชายฝั่งแห่งหนึ่งซึ่งไม่ทราบว่าคือที่ไหน ร่างของไป๋จูเหวินที่พึ่งได้สติกําลังค่อยๆเดินขึ้นมาอย่างช้าๆ ร่างกายของมันไร้ซึ่งบาดแผลอย่างน่าประหลาด ทั้งๆ ที่ระดับเจ้าสวรรค์ยังไม่เหลือซาก แต่ไป๋จูเหวินกลับยังมีชีวิตอยู่เสียอย่างนั้น ช่างเป็นเรื่องที่ประหลาดจริงๆ

 

“XXXXXXXX” ระหว่างไป๋จูเหวินกําลังงงอยู่นั่นเอง อยู่ๆก็มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ชายฝั่ง ท่าทางมันจะเป็นชาวประมงหรืออะไรสักอย่าง

 

“XXXXXXXXX” ชายคนนั้นพยายามพูดอะไรสักอย่าง แต่ไป๋จูเหวินกลับฟังไม่เข้าใจเสียอย่างนั้น

 

“xxxxอะไรxxx” อยู่ๆไป๋จูเหวินก็เหมือนจะฟังบางประโยคน์ของชายคนนั้นออก

 

“เจ้าxx เป็นอะไรxxx” ชายคนนั้นยังคงพูดซ้ำๆ ทําให้ไป๋จูเหวินเริ่มฟังออกทีละน้อย

 

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”ในที่สุดไป๋จูเหวินก็เข้าใจเสียทีว่าชายคนนั้นพยายามจะถามอะไร มันถามว่ามันเป็นอะไรหรือเปล่างั้นเหรอ

 

“ข้า…”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองร่างกายของตนเอง เสื้อผ้าของมันขาดจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้เหลือแค่กางเกงขาดๆเท่านั้นส่วนบนเองก็เหลือแต่เศษเสื้อชิ้นเล็กๆ ไม่แปลกเลยที่ชายคนนั้นจะตกใจและเข้ามาถาม

 

“ข้าไม่เป็นไร”ไป๋จูเหวินตอบออกไป ไม่ทราบเหมือนกันว่าทําไมไป๋จูเหวินถึงสื่อสารกับชายตรงหน้าได้ทันที แถมภาษาที่ไป๋จูเหวินพูดออกไปยังไม่ใช่ภาษาที่มันคุ้นเคยเสียด้วย

 

“งั้นเหรอ ข้าเห็นเจ้าสภาพอย่างกับไปขูดกับหินโสโครกมาเสียอีก เอานี่ไปห่มก่อนมันหนาว” ชายตรงหน้าไป๋จูเหวินว่าพลางเอาเสื้อที่มีขนสัตว์ติดอยู่มาให้ไป๋จูเหวิน

 

“แล้วเจ้าลงไปทําอะไรในนั้น” ชายตรงหน้าถามพลางมองร่างกายของไป๋จูเหวินอย่างสงสัย เสื้อผ้าสภาพเช่นนั้นเหตุใดร่างกายของมันถึงไม่มีบาดแผลเลย แต่ตัวของมันซีดมากท่าทางจะแช่น้ำมานานเลย

 

“ข้าจําไม่ได้”ไป๋จูเหวินตอบเพราะมันนึกไม่ออกจริงๆว่าทําไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้ ความทรงจําที่มันจําได้ล่าสุดคือ…

 

“ข้าจําอะไรไม่ได้เลย”ไป๋จูเหวินว่าพลางขมวดคิ้วมุ่น ทําไมมันถึงไปอยู่ในทะเล แล้วทําไมมันถึงตกลงไปในทะเล มันจําไม่ได้เลย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 228 อาณาจักรใหม่

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 228 อาณาจักรใหม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 228 อาณาจักรใหม่

 

“ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี”เหล่าขุนนางจํานวนมากที่กลับมาจากสงคราม ทั้งของอาณาจักรอู๋และอาณาจักรชูต่างนั่งอยู่บนพื้นที่ถูกปูด้วยพรมอย่างดีกลางลานกว้างซึ่งเป็นลานพิธีของวังหลวงแห่งอาณาจักรที่ใช้ประกอบพิธีสําคัญๆมาแล้วมากมาย

 

“โห ยิ่งใหญ่จริงๆแฮะ” อู๋เทียนเหวินว่าพลางมองงานพิธีตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ งานพิธีครั้งนี้ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่างานพิธีอภิเษกของซูหลานเสียอีก เพราะนอกจากคนของอาณาจักรอู๋และชูแล้วยังมีคนของอดีตอาณาจักรฮัว อดีตคนของอาณาจักรจง และคนของอดีตอาณาจักรซุย มาร่วมงานพิธีด้วย

 

“ในที่สุดสงครามก็จบแล้วนี่นา โชคดีจริงๆที่ไม่ได้เป็นสงครามยามนานเสียเท่าไหร่ ความแค้นเลยยังไม่ก่อตัวขึ้น” จื่อหลานพี่สาวคนโตแห่งราชวงศ์อู๋ว่าพลางมองเหล่าขุนนางจากอาณาจักรจง ยามนี้พวกมันเข้าร่วมกับอาณาจักรอู๋แล้ว และถวายหัวรับใช้อู๋หมิงตั้งแต่นั้นมา แน่นอนว่าพวกมันเคยหันคบดาบใส่พวกตน แต่จะให้ดูแลอาณาจักรที่ใหญ่กว่าเดิมเกือบ 3 เท่าโดยใช้ขุนนางเท่าเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องรับมันเข้ามาเป็นพวกและให้มันดูแลงานในเขตของตนเองโดยรายงานมาให้อู๋หมิงเป็นระยะๆ และนั่นก็ทําให้หน้าที่ของอูหมิงยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะมันต้องคอยจัดการขุนนางต่างถิ่นพวกนี้อีกทีนั่นเอง

 

“แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นอาณาจักรใหญ่ไปแล้วสิ พี่ใหญ่จะรับมือไหวรหรือเปล่านะ”อู๋ซูหลานถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง เพราะเกิดเรื่องตั้งมากมายในที่สุดอาณาจักรทั้ง 5 ก็รวมกันเหลือเพียง 2 อาณาจักร แถมอาณาจักรชูยังร่างสัญญาเป็นเมืองขึ้นอีกต่างหาก ทําให้ตอนนี้อาณาจักรที่เคยมี 5 อาณาจักรกลายเป็นของอาณาจักรอู๋แทบทั้งหมด

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ใหญ่เป็นคนแบบนั้นล่ะ” จื่อหลานว่าพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นางได้เห็นการทํางานของอู๋หมิงแล้ว นางมั่นใจในระดับหนึ่งเลยว่าอู๋หมิงสามารถแบกรับอาณาจักรขนาดนี้ได้ และโชคดีก็ตกไปเป็นของอูเต่อที่ไม่ต้องโดนพี่สาวของมันเขี้ยวเข็นให้ร่ำเรียนอีกแล้ว

 

“เริ่มแล้วไง”อู๋เทียนเหวินว่าพลางมองไปที่ประตูของลานพิธี หลังจากถวายความเคารพแล้ว ก็เริ่มจัดการแสดงอย่างเอิกเกริก ท่าทางเหล่าขุนนางของอาณาจักรที่โดนยึดจะอยู่เป็นไม่น้อย พวกมันจัดหาโชว์อันตระการตามากันทุกฝ่ายเล่นเอาลานพิธียามนี้ดูคล้ายโรงละครไปในพริบตา

 

“องค์จักรพรรดิ ข้าน้อย”เมื่อการแสดงเริ่ม เหล่าขุนนางก็เริ่มทําตัวตามสบายขึ้น เมื่อทุกคนเริ่มทําตัวตามสบายก็มีบางคนเริ่มแผนการของมันในทันที

 

“ทางนี้คือบุตรสาวของข้าน้อยขอรับ นางเป็นเด็กสาวเรียบร้อยอ่อนหวานและอาจจะขี้อายไปสักหน่อย”เหล่าขุนนางที่ทราบว่าอู๋หมิงยังไม่มีมเหสี พวกมันจึงแทบจะแย่งกันพาบุตรสาวของตนเข้ามาแนะนํากันอย่างออกนอกหน้า เล่นเอาอู๋หมิงได้แต่ทําความรู้จักและพยายามเลี่ยงการสนธนายืดยาวแบบสุดชีวิต

 

“แหม พี่ใหญ่ ไม่สิองค์จักรพรรดิ พระองค์ควรจะคิดเรื่องหามเหสีได้แล้วนะ” จื่อหลานที่เห็นเช่นนั้นจึงเดินเข้ามาทักอู๋หมิงเข้า เห็นมันปัดสาวงามทิ้งเป็นว่าเล่นทําเอานางปวดใจแทนพวกนางจริงๆ

 

“ระ เรื่องนั้นข้าบอกแล้วไงว่าไม่ต้องรีบ”อู๋หมิงส่ายหน้าพลางกลับไปนั่งที่บัลลังก์ แม้แต่ขุนนางของอาณาจักรอื่นยังพาบุตรสาวมาแนะนําตัว ทําเอามันเหนื่อยใจจริงๆ

 

“แล้วท่านชอบหญิงสาวแบบไหนล่ะ” จื่อหลานถามพลางยิ้มกว้าง แม้อู๋หมิงจะไม่อยากตอบนัก แต่เพราะมีจื่อหลานเข้ามาคุยทําให้ขุนนางที่อยากจะแนะนําบุตรสาวตนเองจนตัวสั่นไม่กล้าเข้ามาขัด

 

“อย่างน้อยข้าก็อยากให้นางมีวิชาตัวตัวละนะ”อู๋หมิงตอบพลางมองเหล่าบุตรสาวของพวกขุนนาง พวกนางมีพลังวิญญาณกันทุกคน แต่ก็เป็นแค่พลังวิญญาณระดับพื้นฐานเท่านั้น อาจจะมีบางคนสูงกว่าปกตินิดหน่อย แต่อู๋หมิงไม่คิดว่าจะมีใครสูงกว่าระดับหลอมรวมวิญญาณเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะอูหมิงชอบผู้หญิงใช้กําลัง แต่เพราะมันเข้าสู่ระดับพลังเซียนมานานแล้ว นั่นหมายความว่าอายุขัยของมันจะนานกว่ามนุษย์ปกติมาก อย่างน้อยหากมันจะหาคนรักก็อยากจะให้เป็นคนที่สามารถอยู่กับมันได้จนแก่เฒ่ากระมัง

 

“ท่านนี่รสนิยมแปลกจริงๆ”จื่อหลานถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวที่มาล้อมบัลลังก์อยู่ยามนึ่งดงามราวกับสวนดอกไม้อันล้ำค่า แต่อู๋หมิงกลับมองหาไม้ยืนต้นเสียอย่างนั้น

 

“นั่นมันเรื่องของข้าน่า”อูหมิงว่าพลางมองเหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ พอได้ยินความชอบของอู๋หมิงแล้วหญิงสาวพวกนั้นก็พากันแสดงสีหน้าผิดหวังกันไปหมด นั้นเพราะพวกนางถูกเลี้ยงมาในฐานะคุณหนู แทบไม่มีใครในที่นี้เคยฝึกวิชาอย่างจริงจังเลย

 

“ท่าทางงานจะไม่จบง่ายๆ ข้าขอไปพักหน่อยก็แล้วกัน”อู๋หมิงว่าพลางมองงานพิธีที่ถูกจัดขึ้นอย่างอลังการ เหล่าขุนนางเริ่มดื่มสุรากันแล้ว ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็คงไม่เลิกกันแน่ๆ แถมพิธีสําคัญในช่วงเช้าอย่างการร่างจดหมายและประทับตราหนังสือสัญญาก็จบไปแล้วด้วย อู๋หมิงไม่จําเป็นต้องอยู่ที่นี่ก็ได้

 

“น่าเสียดาย การแสดงออกจะสนุก แท้ๆ” จื่อหลานว่าพลางยิ้มบางๆ

 

“งั้นเจ้าก็นั่งดูไปแล้วกัน”อู๋หมิงตอบเสียงเรียบพลางเดินออกมาจากงานท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนาง ท่าทางพวกมันจะเร่งเร้าองค์จักรพรรดิเกินไปกระมัง

 

“ตําแหน่งองค์จักรพรรดินี่ดีจังเลยนะ มีสาวงามมาต่อแถวกันเต็มไปหมดเลย” อยู่ๆระหว่างทางที่อู๋หมิงกําลังเดินออกไปก็ปรากฏร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในชุดที่อู๋หมิงไม่ค่อยคุ้นตาเสียเท่าไหร่ ปกตินางไม่ได้แต่งหน้าเลยเสียด้วยซ้ำ

 

“เจ้าเองก็มากับเขาด้วยงั้นเหรอ” อู๋หมิงถามพลางมองหญิงสาวตรงหน้า

 

“ก็ช่วยไม่ได้นี่นา อาจารย์บอกให้ข้ามาเป็นเพื่อน ข้าก็เลยต้องมาด้วย”เจ้าหยุนฟางตอบพลางจับต่างหูของตนด้วยความไม่ชิน ปกตินางไม่เคยสวมเครื่องประดับแบบนี้มาก่อน ทําให้รู้สึกไม่ชินอย่างไรก็ไม่ทราบ แถมเพราะในช่วงสงครามที่ผ่านมานางยังออกศึกเขี้ยงข้างอาจารย์ทําให้ได้รับชื่อเสียงไม่น้อย จึงไม่แปลกเลยที่นางจะได้รับเชิญมาเป็นแขกในงานพิธีครั้งนี้

 

“งั้นเหรอ แล้วเจ้าว่างหรือเปล่า”อู๋หมิงถามพลางเดินไปทางประตูที่นําไปสู่ลานด้านนอก

 

“เจ้าคิดว่าข้าจะมีอะไรทําในงานพิธีแบบนี้เหรอ” หยุนฟางว่าพลางส่ายหัวไปมา

 

“งั้นไปเดินเล่นกันหน่อยก็แล้วกัน”อู๋หมิงตอบพลางเดินนําออกไปโดยมีหยุนฟางที่ยอมเดินตามมาอย่างช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้ในงานมีแต่คนที่นางไม่รู้จักล่ะ แถมอาจารย์ก็เข้ากลุ่มยอดฝีมือไปแล้ว แถมยังคุยเพลินไม่มีท่าที่จะกลับอีกต่างหาก

 

“หลังจากนี้เจ้าก็สบายแล้วสินะ กลายเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรใหญ่แบบนี้” หยุนฟางว่าพลางเดินตามอู๋หมิงมาจนเสมอกัน

 

“ก็ไม่ซะทีเดียว ยังมีงานอีกไม่น้อยที่ต้องสะสาง” อู๋หมิงว่าพลางพาหยุนฟางเข้ามาในสวนดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก

 

“แบบนี้เจ้าก็ไม่ได้ฝึกวิชาเลยนะสิ แบบนั้นไม่เสียดายเหรอ” หยุนฟางถามพลางมองอู๋หมิงที่อยู่ข้างๆ มันเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยาก ยุคสมัยหน้ามันอาจจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 หรือ 2 เสียด้วยซ้ำ แต่กลับไม่ได้ฝึกวิชาเลยแบบนี้คงจะไม่ไหวกระมัง

 

“ข้าก็หาเวลาฝึกบ้าง ถึงจะไม่มากเหมื่นเมื่อก่อนก็เถอะ” หมิงตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาของมันพูดออกมาชัดเจนเลย่าเสียดายอย่างมาก

 

“มาประลองกันเถอะ” หยุนฟางเห็นท่าทีของอู๋หมิง แล้วกลับรู้สึกประหลาด นางเป็นหนึ่งในยอดฝีมือยุคใหม่เช่นเดียวกัน ทําให้นางเสียใจไม่น้อยที่อู๋หมิงไม่ได้เดินบนทางเดียวกันกับนางแล้ว

 

“พูดอะไรของเจ้า ประลองในชุดแบบนั้นเนี่ยนะ”อู๋หมิงว่าพลางชี้ไปที่ชุดของหยุนฟาง นางสวมชุดที่ 1 เต็มไปด้วยเครื่องประดับและผ้าจํานวนมาก ประลองในชุดแบบนั้นต้องเคลื่อนไหวไม่สะดวกแน่ๆ

 

“ก็แค่เล่นๆน่า” หยุนฟางว่าพลางถอดเครื่องประดับออกแล้วเก็บมันเอาไว้ในมิติของนาง ก่อนจะเอาดาบราชันศาสตราออกมาแทน

 

“ฮะๆ” อยู่ๆอู๋หมิงก็หัวเราะออกมา แต่มันก็เอากระบี่ทัณฑ์สวรรค์ออกมาเช่นกัน

 

“หัวเราะอะไรของเจ้า” หยุนฟางถามพลางเริ่มฟันดาบใส่อู๋หมิง การประลองกันเล่นๆของนางแม้จะไม่ได้ใช้พลังวิญญาณแต่ก็เป็นการประลองฝีมือกันโดยตรง วิธีดาบของนางจึงหมายเอาชีวิตตั้งแต่แรก เพียงแต่อู๋หมิงก็รับมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

 

“ข้าก็แค่รู้สึกว่าดาบเป็นเครื่องประดับที่เหมาะกับเจ้ามากกว่าเท่านั้นเอง”อู๋หมิงหัวเราะพลางแทงกระบี่ไปที่หยุนฟางอย่างรวดเร็ว อาจจะเพราะผ่านสงครามมาหรือไม่ แต่ฝีมือดาบของหยุนฟางรุดหน้าไปมาก อู๋หมิงคงไม่สามารถตีมือนางเล่นแบบสมัยก่อนได้แล้วแน่ๆ

 

เครั้ง! ในที่สุดดาบในมือของหยุนฟางก็เป็นฝ่ายตกลงไปบนพื้นหลังจากทั้งสองประลองกันมาได้ครู่ใหญ่

 

“เจ้านี่แย่จริงๆ ทั้งๆที่เอาเวลาไปทําหน้าที่จักรพรรดิเสียหมด ยังจะมีฝีมือน่ากลัวเหมือนเดิมไม่มีผิด” หยุนฟางว่าพลางถอนหายใจอออกมา นางผ่านประสบการณ์มาขนาดนั้นยังโดนอู๋หมิงปลดอาวุธได้อีก ท่าทางคงต้องหางานห้อู๋หมิงเยอะๆเสียแล้ว นางจะได้เอาชนะมันได้สักที

 

“ที่นี่มัน ที่ไหนกัน” ณ ชายฝั่งแห่งหนึ่งซึ่งไม่ทราบว่าคือที่ไหน ร่างของไป๋จูเหวินที่พึ่งได้สติกําลังค่อยๆเดินขึ้นมาอย่างช้าๆ ร่างกายของมันไร้ซึ่งบาดแผลอย่างน่าประหลาด ทั้งๆ ที่ระดับเจ้าสวรรค์ยังไม่เหลือซาก แต่ไป๋จูเหวินกลับยังมีชีวิตอยู่เสียอย่างนั้น ช่างเป็นเรื่องที่ประหลาดจริงๆ

 

“XXXXXXXX” ระหว่างไป๋จูเหวินกําลังงงอยู่นั่นเอง อยู่ๆก็มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ชายฝั่ง ท่าทางมันจะเป็นชาวประมงหรืออะไรสักอย่าง

 

“XXXXXXXXX” ชายคนนั้นพยายามพูดอะไรสักอย่าง แต่ไป๋จูเหวินกลับฟังไม่เข้าใจเสียอย่างนั้น

 

“xxxxอะไรxxx” อยู่ๆไป๋จูเหวินก็เหมือนจะฟังบางประโยคน์ของชายคนนั้นออก

 

“เจ้าxx เป็นอะไรxxx” ชายคนนั้นยังคงพูดซ้ำๆ ทําให้ไป๋จูเหวินเริ่มฟังออกทีละน้อย

 

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”ในที่สุดไป๋จูเหวินก็เข้าใจเสียทีว่าชายคนนั้นพยายามจะถามอะไร มันถามว่ามันเป็นอะไรหรือเปล่างั้นเหรอ

 

“ข้า…”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองร่างกายของตนเอง เสื้อผ้าของมันขาดจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้เหลือแค่กางเกงขาดๆเท่านั้นส่วนบนเองก็เหลือแต่เศษเสื้อชิ้นเล็กๆ ไม่แปลกเลยที่ชายคนนั้นจะตกใจและเข้ามาถาม

 

“ข้าไม่เป็นไร”ไป๋จูเหวินตอบออกไป ไม่ทราบเหมือนกันว่าทําไมไป๋จูเหวินถึงสื่อสารกับชายตรงหน้าได้ทันที แถมภาษาที่ไป๋จูเหวินพูดออกไปยังไม่ใช่ภาษาที่มันคุ้นเคยเสียด้วย

 

“งั้นเหรอ ข้าเห็นเจ้าสภาพอย่างกับไปขูดกับหินโสโครกมาเสียอีก เอานี่ไปห่มก่อนมันหนาว” ชายตรงหน้าไป๋จูเหวินว่าพลางเอาเสื้อที่มีขนสัตว์ติดอยู่มาให้ไป๋จูเหวิน

 

“แล้วเจ้าลงไปทําอะไรในนั้น” ชายตรงหน้าถามพลางมองร่างกายของไป๋จูเหวินอย่างสงสัย เสื้อผ้าสภาพเช่นนั้นเหตุใดร่างกายของมันถึงไม่มีบาดแผลเลย แต่ตัวของมันซีดมากท่าทางจะแช่น้ำมานานเลย

 

“ข้าจําไม่ได้”ไป๋จูเหวินตอบเพราะมันนึกไม่ออกจริงๆว่าทําไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้ ความทรงจําที่มันจําได้ล่าสุดคือ…

 

“ข้าจําอะไรไม่ได้เลย”ไป๋จูเหวินว่าพลางขมวดคิ้วมุ่น ทําไมมันถึงไปอยู่ในทะเล แล้วทําไมมันถึงตกลงไปในทะเล มันจําไม่ได้เลย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+