บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 252 รู้สึกผิด

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 252 รู้สึกผิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 252 รู้สึกผิด

 

“พี่หลง พี่หลง” หยิงสาวในกลุ่มคุ้มกันตะโกนพลางตบ หลังของหลงอู่อย่างแรงเมื่อเห็นว่าหลงอู่เอา แต่เดินก้มหน้าก้มตาไม่เป็นอันทํางานเลย

 

“อะไรของพี่เนี่ย วันก่อนเอาแต่มองสาว มาวันนี้ก็เอาแต่มองพื้น นี้ท่านเป็นอะไรกันแน่” หญิงสาวว่าพลางเท้าเอวอย่างไม่พอใจ เมื่อวันก่อนแม้มันจะเอาแต่มองเหม่ยหลิน แต่มันก็ยังตั้งใจทํางาน นางเลยไม่ว่าอะไร แต่วันนี้มันเล่นแต่มองพื้น เดินราวกับคนหลงทางกลางทะเลทรายไม่มีผิด

 

“เอาน่า คนอกหักก็อย่างนั้นล่ะ” หัวหน้าผู้คุ้มกันยิ้ม เงื่อนๆพลางพาหญิงสาวออกมาจากหลงอู่ ตอนนี้คงต้องปล่อยให้มันทําใจเสียหน่อย แถมตอนนี้ก็เข้าเขตปลอดภัยแล้วด้วย อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเมืองหน้าด่านของอาณาจักรชินเสียที แถมเพราะคราวนี้ไม่มีอสุรมาเล่นงานมีเพียงโจรทะเลทรายกลุ่มเดียวเท่านั้น การเดินทางเลยจบลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้

 

ไม่นานกําแพงดินยาวหลายร้อยเมตรก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าขบวนพ่อค้า เพียงแต่กําแพงพวกนี้ไม่ค่อยได้ใช้กันผู้บุกรุกเสียเท่าไหร่ เพราะสาเหตุที่สร้างจริงๆเพราะต้องการป้องกันพายุทรายมากกว่า และเมื่อได้เดินทางผ่านทะเลทรายมาแล้ว ในที่สุดพวกพ่อค้าที่พึ่งเคยมาก็เข้าใจเสียที่ว่าทําไมอาณาจักรชินจึงไม่ตีอาณาจักรซุย นั่นเพราะหากอยากโจมตีอาณาจักรซุยจะต้องผ่านทะเลทรายที่ทั้งร้อนและอันตราย แทบไม่ต่างจากอาณาจักรหลิวที่ไม่อยากเดินทางผ่านเขตอสูรผาไร้กันมาตีอาณาจักรอู๋เลย นั่นเท่ากับว่าสองฝั่งทะเลของอาณาจักร ในตอนนี้นั้นปลอดภัยอย่างมาก แถมทางตะวันตกเฉียงเหนือยังมีอาณาจักรชูป้องกันเอาไว้อีก ตอนนี้อาณาจักรอู๋แทบจะเป็นไข่ในหินเลยก็ว่าได้

 

“เหลืองไปหมดเลย” หลินหลินว่าพลางกระโดดลงจากรถม้า เพราะตอนนี้ขบวนสินค้าต้องต่อคิวเพื่อตรวจสอบก่อนเข้าเมือง ทําให้ไป๋จูเหวินปล่อยให้นางลงไปวิ่งเล่นบ้าง

 

“น่าสงสารคนทําความสะอาดนะเจ้าคะ” หงเยวว่าพลางมองบ้านเรือนตรงหน้า เพราะมันตั้งอยู่ในทะเลทรายทําให้ฝุ่นทรายคละคลุ้งไปทั้งวัน บ้านเมืองส่วนใหญ่จึงแทบจะกลายเป็นสีเหลืองจนหมด ท่าทางพวกมันคงจะยอมแพ้เรื่องทําความสะอาดไปแล้วเสียมากกว่า

 

“เข้ามา” ทหารคนหนึ่งพูดหลังจากรถม้าคันด้านหน้าไป๋จูเหวินเดินทางรอดประตูไป เมื่อเดินรถมาถึงหน้าประตูไป๋จูเหวินจึงเห็นว่าที่หน้าประตูมีของจํานวนหนึ่งวางกองเอาไว้ ท่าทางจะเป็นของที่ห้ามเอาเข้าในในอาณาจักร แต่จํานวนก็ไม่มากนักเพราะพ่อค้าส่วนใหญ่เคยมาที่นี่ประจําอยู่แล้ว

 

“นี่ขอรับ”ไป๋จูเหวินว่าพลางยื่นตราประจําตัวพ่อค้าไปให้ทหารตรงหน้า ทันทีที่แสดงตราไปให้ ทหารคนนั้นก็เอาตราของไป๋จูเหวินมาดูพลางพลิกหน้าพลิกหลังไม่กี่ครั้งก็ส่งคืนให้ไป๋จูเหวิน

 

“ผ่านได้”ไม่จําเป็นต้องตรวจสอบอะไรทั้งสิ้น พ่อค้าที่ได้รับตราจากสมาคมพ่อค้านั้นเหมือนได้รับใบรับรองมาแต่แรกอยู่แล้ว แถมในรถม้าของไป๋จูเหวินก็มีแต่กล่องยาและสมุนไพร ซึ่งไม่ใช่ของต้องห้ามอะไร

 

กกกก…ทันทีที่ไป๋จูเหวินเข้าไปในเมืองหน้าด่านได้ ความกังวลเรื่องข้ามแดนก็หมดลง ความจริงหลังจากนี้พวกมันไม่จําเป็นต้องแสร้งทําเป็นพ่อค้าอีกแล้ว ขอแค่ออกจากเมืองไปก็พอ แต่ดูท่าเหม่ยหลินจะยังอยากเล่นบทนี้ต่ออีกหน่อยกระมัง

 

“พี่ไป๋ เราเดินทางกันแบบนี้ไปเรื่อยๆดีไหม” เหม่ยหลินพูดด้วยท่าที่เสียดาย การได้เดินทางร่วมกันคราวนี้ทําให้พวกนางใกล้ชิดกันมาก แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันนานเหมือนตอนฝึกฝนวิชา แต่คราวกลับรู้สึกดียิ่งกว่าเสียอีก

 

“ทําไมล่ะ พอออกจากเมืองหน้าด่านแล้วพวกเราก็ไม่จําเป็นต้องแกล้งเป็นพ่อค้าแล้วนี่นา”ไป๋จูเหวินถามเสียงเรียบ

 

“ขะ ข้าแค่อยากเห็นเมืองของอาณาจักรชินบ้าง เจ้าค่ะ…มะ ไม่ต้องห่วงเรื่องความเร็วนะเจ้าคะ ข้าจะเรียกม้าที่เร็วกว่านี้มาให้”เหม่ยหลินพยายามหาข้ออ้าง แต่เอาจริงๆแล้วนางไม่คิดว่าไป๋จูเหวินจะเห็นด้วยเท่าไหร่

 

“ข้าขอโทษ เรารีบไปกันเถอะ” เหม่ยหลินว่าพลางสายหน้าเบาๆ นางกําลังทําอะไรทําไมนางต้องทําให้การเดินทางช้าลงด้วย แบบนี้ก็ไม่เท่ากับถ่วงไป๋จูเหวินงั้นหรือ

 

“ไม่เป็นไร เราไปกันช้าๆก็ได้”ไป๋จูเหวินว่าพลางจับมือของเหม่ยหลินเอาไว้ ความจริงก่อนหน้านี้มันได้ย้อนเข้าไปในความทรงจําของตนเอง ทําให้มันได้เห็นบางเหม่ยหลินในมุมมองอื่นมานิดหน่อย ทําให้มันอยากจะตามใจเหม่ยหลินมากกว่ารีบเดินทาง แถมให้พูดตามตรงมันยังต้องการเวลาทําใจอีกนิดหน่อย แล้วกลุ่มเขี้ยวโลหิตก็ไม่ทราบจะเป็นมิตรหรือศัตรู แถมโอกาสที่จะเป็นสัตรูยังสูงมากอีกด้วย

 

“เอ๊ะ”เหม่ยหลินทําสีหน้าเลิกลักพลางมองไป๋จูเหวินราวกับไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อไป๋จูเหวินยอมมีหรือนางจะปล่อยโอกาสนี้ไป ทันทีที่พวกไป๋จูเหวินออกมาจากเมืองหน้าด่านที่แทบจะทําการค้าไม่ได้แล้ว เหม่ยหลินก็เรียกบริวารของตนเองมาอีกครั้ง โดยคราวนี้พวกมันไม่ใช่ม้า แต่เป็นอสูรกิเลนระดับทองที่มีความเร็วมากกว่ามาหลายเท่า

 

“นายหญิง ท่านเรียกข้างั้นหรือ”อสูรกิเลนที่มาโผล่กลางทะเลทรายถามพลางจ้องมองเหม่ยหลินนิ่ง เพราะแก่นอสูรในร่างของนางคือแก่นอสูรกิเลนดําซึ่งอยู่เหนือกิเลนธรรมดาอย่างมัน ทําให้พวกมันยอมรับเหม่ยหลินที่ยามนี้มีพลังสูงกว่าอย่างนอบน้อม

 

“ท่านช่วยแปลกกายเป็นม้าธรรมดาได้ไหมเจ้าคะ พวกเราอยากจะเข้าไปในเมือง รถเทียมกิเลนอาจจะเด่นเกินไป”เหม่ยหลินว่าพลางยิ้มบางๆ ทําให้กิเลนตรงหน้าแปลงกายเป็นม้าสีน้ําตาลในทันที

 

“งั้น ไปกันเลยนะขอรับ” อสูรกิเลนว่าพลางกระโดดออกไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วขอองกิเลนนั้นเทียบกับม้าไม่ได้ รวมถึงกําลังด้วยเช่นกัน ทําเอารถม้าเก่าๆคันนี้วิ่งจนล้อแทบหลุด บางทีเมื่อไปถึงเมืองหน้ามันควรจะเปลี่ยนรถม้าที่แข็งแรงกว่านี้กระมัง

 

ตุบๆๆ… ไม่นานเมืองต่อไปก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าไป๋จูเหวิน คราวนี้พวกมันออกมาจากเขตทะเลทรายแล้ว ทําให้เห็นปาและภูเขาอยู่บ้าง แม้จะบางกว่าอาณาจักรอู๋ก็ตาม โดยเมืองตรงหน้าไป๋จูเหวินนั้นเป็นเมืองที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ําที่พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกหลังจากออกมาจากทะเลทรายแล้ว

 

“เราแวะที่นี่กันก่อนไหม”ไป๋จูเหวินถามพลางมองเหม่ยหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ

 

“เจ้าค่ะ”เหม่ยหลินยิ้มพลางพยักหน้าด้วยความดีใจ นั่นเพราะเมื่อได้เข้าเมืองนางก็ต้องแกล้งเป็นภรรยาของไป๋จูเหวินอีกนั่นเอง

 

“พอออกจากทะเลทรายมาก็ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่แล้วนะ” หงเยวว่าพลางมองประตูเมืองที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งการผ่านประตูเมืองนั้นก็ไม่ยากอะไร เพียงยืนตราประจําตัว พ่อค้าก็สามารถผ่านประตูไปได้อย่างง่ายดาย

 

เมื่อเทียบกับเมืองหน้าด่านที่เต็มไปด้วยฝุ่นทรายแล้ว เมืองที่พึ่งมาถึงนั้นสะอาดและมีผู้คนมากกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว อาจจะเพราะเป็นเมืองติดแม่น้ําเมืองแรกก็เป็นได้ ทําให้คนที่พึ่งผ่านทะเลทรายมาต่างอยากเข้าไปพักกันถ้วนหน้า

 

ไป๋จูเหวินแวะขายสมุนไพรนิดหน่อยเพื่อให้ดูสมกับเป็นพ่อค้า ก่อนจะพวกหลินหลินเที่ยวชมเมืองจนเกือบเย็น แน่นอนว่าคนที่มีความสุขที่สุดคงหนีไม่พ้นเหม่ยหลินนั่นเอง

 

“พี่ไป๋ ไปร้านนั้นกันเถอะ” หลินหลินว่าพลางชี้ไปทางร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางเมือง แม้จะไม่จําเป็นต้องกิน แต่ไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินก็เดินทางกลางทะเลทรายมาหลายวัน ย่อมอยากกินอาหารดีๆบ้างเป็นธรรมดา พวกมันจึงตัดสินใจหาร้านอาหารสักร้านนั่งกินก่อนจะไปหาโรงเตี้ยม โดนหลินหลินก็ชี้เข้าร้านที่ใหญ่ที่สุดทันที เพราะเป็นร้านที่น่าอร่อยที่สุด เพียงแต่ที่น่าอร่อยของหลินหลินนั้นไม่ใช่อาหาร แต่เป็นรูปปั้นหยกที่ตั้งประดับในร้านต่างหาก

 

“เจ้านี่นะ ไม่เบื่อหยกบ้างหรือไง เห็นเจ้ากินอย่างเดียวมาตลอดเลย”ไป๋จูเหวินว่าพลางหยิกแก้วหลินหลินเบาๆ แม้จะกินแก่นอสูรเป็นอาหารหลัก แต่หลินหลินก็ยังคงกินหยกเป็นขนมคบเขียวอยู่ตลอดเวลาอยู่ดี

 

“แฮ่.” หลินหลินยิ้มด้วยท่าที่น่ารักพลางลากไป๋จูเหวินเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว แต่เพราะร้านนี้ก็เป็นร้ายใหญ่ที่สุดแล้ว แถมยังน่าสนใจดีไม่น้อย ไป๋จูเหวินเลยยอมเข้าไปแต่โดยดี

 

“…” เพียงแต่สิ่งที่ไป๋จูเหวินเห็นกลับต่างจากที่มันคิดนิดหน่อย ร้านใหญ่โตที่น่าจะมีผู้คนเนื้องแน่นนั้นกลับเงียบราวกับร้านปิดไม่มีผิด แถมโต๊ะเก้าอี้ยังโดนเก็บเอาไว้ริมร้านอีกต่างหาก ทําให้เหลือที่ว่างตรงกลางเอาไว้เท่านั้น โดยตรงกลางนั้นก็มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ มันแต่งกายซอมซ่อสกปรกเหมือนคนจรจัด แต่รอบกายมันกลับมีเหล้าจํานวนมากวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด แถมเสี่ยวเอ้อของร้านยังยืนอยู่รอบๆอีกต่างหาก

 

“เอาเหล้ามาอีก” ทันทีที่ชายที่นั้งอยู่กลางร้านสั่งเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งก็แทบจะวิ่งเข้าไปส่งไหเหล้าถึงมือมันทันที ไม่ทราบว่าทําไมสถาณการณ์ถึงเป็นเช่นนี้ แต่พวกเสี่ยวเอ้อคงไม่มีทางทําอะไรได้แน่ๆ เพราะคนที่นั่งอยู่กลางร้านนั้นเป็นยอดฝีมือที่อยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 เสียด้วย

 

“ขออภัยขอรับ วันนี้ร้านเราโดนเหมาเอาไว้แล้วขอรับ” ชายคนหนึ่งเห็นไปงูเหวินทําท่าจะเข้าร้านมามันก็รีบเข้ามาห้ามเอาไว้ทันที เหมาร้าน? งั้นหรือ แสดงว่าชายขี้เมา ตรงนั้นจ่ายเงินสินะ จะว่าไปพวกเสี่ยวเอ้อก็ไม่มีท่าที่กลัวเลยนี่นา

 

“ไอ้หนุ่ม” ยังไม่ทันจะเดินออกไป อยู่ๆชายกลางร้านก็ชี้มาทางไป๋จูเหวิน มันมีท่าทีเมาแต่ดวงตาของมันกลับจ้องมองมาทางไป๋จูเหวินนิ่ง

 

“เข้ามาดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อย เสี่ยวเอ้อไปเอาอาหารมาเลี้ยงพวกมันด้วย”ชายขี้เมาว่าพลางกวักมือเรียกไป๋จูเหวินให้เข้าไป

 

“ท่านมาดื่มคนเดียวแบบนี้มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”น่าประหลาด ท่าที่เมายของชายตรงหน้านั้นไม่ดูน่ากลัวเลย มันออกจะน่าสงสารเสียมากกว่า

 

“เรื่องอะไร….คนกินเหล้ามันก็มีไม่กี่เรื่องหรอก” ชายขี้เมาว่าพลางตบพื้นเบื้องหน้ามัน ทําให้ไป๋จูเหวินเดินเข้าไปนั่งด้วยอย่างไม่เกรงกลัว

 

“ข้าน่ะนะ ช่างเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ”ชายขี้เมาพูด พลางดันไหเหล้ามาทางไป๋จูเหวิน

 

“ช่วยนายท่านก็ไม่ได้ ช่วยนายหญิงก็ไม่ได้ แถมยังปกป้องนายน้อยไม่ได้อีกต่างหาก” ชายขี้เมาว่าพลางยกไหเหล้าขึ้นดื่มจนหกไปทั่วพื้น

 

“แถมที่แย่ที่สุด ข้าไม่มีกําลังจะไปแก้แค้นไอ้พวกที่ทําเสียด้วยซ้ํา” ตูม! มือของชายขี้เมาทุบลงบนพื้นอย่างรุนแรง ทําเอาพื้นหินอ่อนแตกกระจายไม่มีชิ้นดี

 

“โทษที เดี๋ยวข้าจ่ายค่าเสียหายให้” ชายขี้เมามองพื้นที่แตกจนเป็นแผ่นพูด ทําให้เสี่ยวเอ้อยิ้มเจื่อนๆออกมาอย่างลําบากใจ

 

“ศัตรูของท่าน เป็นใครงั้นหรือ”ไป๋จูเหวินถามด้วยความสงสัย ชายตรงหน้ามันเป็นคนระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 ไม่ทราบว่าเป็นชนชั้นยอดฝีมือหรือไม่แต่ระดับมันยังแก้แค้นไม่ได้แล้วศัตรูของมันจะน่ากลัวแค่ไหน

 

“ก็กลุ่มเขี้ยวโลหิตยังไงล่ะ ไอ้พวกชั่วนั่นละ”ได้ยินคําตอบของชายขี้เมา ไป๋จูเหวินก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ หากมันเป็นศัตรูของชายคนนี้จริง แสดงว่าชายคนนี้มีข้อมูลของกลุ่มเขี้ยวอสูรแน่ๆ

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 252 รู้สึกผิด

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 252 รู้สึกผิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 252 รู้สึกผิด

 

“พี่หลง พี่หลง” หยิงสาวในกลุ่มคุ้มกันตะโกนพลางตบ หลังของหลงอู่อย่างแรงเมื่อเห็นว่าหลงอู่เอา แต่เดินก้มหน้าก้มตาไม่เป็นอันทํางานเลย

 

“อะไรของพี่เนี่ย วันก่อนเอาแต่มองสาว มาวันนี้ก็เอาแต่มองพื้น นี้ท่านเป็นอะไรกันแน่” หญิงสาวว่าพลางเท้าเอวอย่างไม่พอใจ เมื่อวันก่อนแม้มันจะเอาแต่มองเหม่ยหลิน แต่มันก็ยังตั้งใจทํางาน นางเลยไม่ว่าอะไร แต่วันนี้มันเล่นแต่มองพื้น เดินราวกับคนหลงทางกลางทะเลทรายไม่มีผิด

 

“เอาน่า คนอกหักก็อย่างนั้นล่ะ” หัวหน้าผู้คุ้มกันยิ้ม เงื่อนๆพลางพาหญิงสาวออกมาจากหลงอู่ ตอนนี้คงต้องปล่อยให้มันทําใจเสียหน่อย แถมตอนนี้ก็เข้าเขตปลอดภัยแล้วด้วย อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเมืองหน้าด่านของอาณาจักรชินเสียที แถมเพราะคราวนี้ไม่มีอสุรมาเล่นงานมีเพียงโจรทะเลทรายกลุ่มเดียวเท่านั้น การเดินทางเลยจบลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้

 

ไม่นานกําแพงดินยาวหลายร้อยเมตรก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าขบวนพ่อค้า เพียงแต่กําแพงพวกนี้ไม่ค่อยได้ใช้กันผู้บุกรุกเสียเท่าไหร่ เพราะสาเหตุที่สร้างจริงๆเพราะต้องการป้องกันพายุทรายมากกว่า และเมื่อได้เดินทางผ่านทะเลทรายมาแล้ว ในที่สุดพวกพ่อค้าที่พึ่งเคยมาก็เข้าใจเสียที่ว่าทําไมอาณาจักรชินจึงไม่ตีอาณาจักรซุย นั่นเพราะหากอยากโจมตีอาณาจักรซุยจะต้องผ่านทะเลทรายที่ทั้งร้อนและอันตราย แทบไม่ต่างจากอาณาจักรหลิวที่ไม่อยากเดินทางผ่านเขตอสูรผาไร้กันมาตีอาณาจักรอู๋เลย นั่นเท่ากับว่าสองฝั่งทะเลของอาณาจักร ในตอนนี้นั้นปลอดภัยอย่างมาก แถมทางตะวันตกเฉียงเหนือยังมีอาณาจักรชูป้องกันเอาไว้อีก ตอนนี้อาณาจักรอู๋แทบจะเป็นไข่ในหินเลยก็ว่าได้

 

“เหลืองไปหมดเลย” หลินหลินว่าพลางกระโดดลงจากรถม้า เพราะตอนนี้ขบวนสินค้าต้องต่อคิวเพื่อตรวจสอบก่อนเข้าเมือง ทําให้ไป๋จูเหวินปล่อยให้นางลงไปวิ่งเล่นบ้าง

 

“น่าสงสารคนทําความสะอาดนะเจ้าคะ” หงเยวว่าพลางมองบ้านเรือนตรงหน้า เพราะมันตั้งอยู่ในทะเลทรายทําให้ฝุ่นทรายคละคลุ้งไปทั้งวัน บ้านเมืองส่วนใหญ่จึงแทบจะกลายเป็นสีเหลืองจนหมด ท่าทางพวกมันคงจะยอมแพ้เรื่องทําความสะอาดไปแล้วเสียมากกว่า

 

“เข้ามา” ทหารคนหนึ่งพูดหลังจากรถม้าคันด้านหน้าไป๋จูเหวินเดินทางรอดประตูไป เมื่อเดินรถมาถึงหน้าประตูไป๋จูเหวินจึงเห็นว่าที่หน้าประตูมีของจํานวนหนึ่งวางกองเอาไว้ ท่าทางจะเป็นของที่ห้ามเอาเข้าในในอาณาจักร แต่จํานวนก็ไม่มากนักเพราะพ่อค้าส่วนใหญ่เคยมาที่นี่ประจําอยู่แล้ว

 

“นี่ขอรับ”ไป๋จูเหวินว่าพลางยื่นตราประจําตัวพ่อค้าไปให้ทหารตรงหน้า ทันทีที่แสดงตราไปให้ ทหารคนนั้นก็เอาตราของไป๋จูเหวินมาดูพลางพลิกหน้าพลิกหลังไม่กี่ครั้งก็ส่งคืนให้ไป๋จูเหวิน

 

“ผ่านได้”ไม่จําเป็นต้องตรวจสอบอะไรทั้งสิ้น พ่อค้าที่ได้รับตราจากสมาคมพ่อค้านั้นเหมือนได้รับใบรับรองมาแต่แรกอยู่แล้ว แถมในรถม้าของไป๋จูเหวินก็มีแต่กล่องยาและสมุนไพร ซึ่งไม่ใช่ของต้องห้ามอะไร

 

กกกก…ทันทีที่ไป๋จูเหวินเข้าไปในเมืองหน้าด่านได้ ความกังวลเรื่องข้ามแดนก็หมดลง ความจริงหลังจากนี้พวกมันไม่จําเป็นต้องแสร้งทําเป็นพ่อค้าอีกแล้ว ขอแค่ออกจากเมืองไปก็พอ แต่ดูท่าเหม่ยหลินจะยังอยากเล่นบทนี้ต่ออีกหน่อยกระมัง

 

“พี่ไป๋ เราเดินทางกันแบบนี้ไปเรื่อยๆดีไหม” เหม่ยหลินพูดด้วยท่าที่เสียดาย การได้เดินทางร่วมกันคราวนี้ทําให้พวกนางใกล้ชิดกันมาก แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันนานเหมือนตอนฝึกฝนวิชา แต่คราวกลับรู้สึกดียิ่งกว่าเสียอีก

 

“ทําไมล่ะ พอออกจากเมืองหน้าด่านแล้วพวกเราก็ไม่จําเป็นต้องแกล้งเป็นพ่อค้าแล้วนี่นา”ไป๋จูเหวินถามเสียงเรียบ

 

“ขะ ข้าแค่อยากเห็นเมืองของอาณาจักรชินบ้าง เจ้าค่ะ…มะ ไม่ต้องห่วงเรื่องความเร็วนะเจ้าคะ ข้าจะเรียกม้าที่เร็วกว่านี้มาให้”เหม่ยหลินพยายามหาข้ออ้าง แต่เอาจริงๆแล้วนางไม่คิดว่าไป๋จูเหวินจะเห็นด้วยเท่าไหร่

 

“ข้าขอโทษ เรารีบไปกันเถอะ” เหม่ยหลินว่าพลางสายหน้าเบาๆ นางกําลังทําอะไรทําไมนางต้องทําให้การเดินทางช้าลงด้วย แบบนี้ก็ไม่เท่ากับถ่วงไป๋จูเหวินงั้นหรือ

 

“ไม่เป็นไร เราไปกันช้าๆก็ได้”ไป๋จูเหวินว่าพลางจับมือของเหม่ยหลินเอาไว้ ความจริงก่อนหน้านี้มันได้ย้อนเข้าไปในความทรงจําของตนเอง ทําให้มันได้เห็นบางเหม่ยหลินในมุมมองอื่นมานิดหน่อย ทําให้มันอยากจะตามใจเหม่ยหลินมากกว่ารีบเดินทาง แถมให้พูดตามตรงมันยังต้องการเวลาทําใจอีกนิดหน่อย แล้วกลุ่มเขี้ยวโลหิตก็ไม่ทราบจะเป็นมิตรหรือศัตรู แถมโอกาสที่จะเป็นสัตรูยังสูงมากอีกด้วย

 

“เอ๊ะ”เหม่ยหลินทําสีหน้าเลิกลักพลางมองไป๋จูเหวินราวกับไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อไป๋จูเหวินยอมมีหรือนางจะปล่อยโอกาสนี้ไป ทันทีที่พวกไป๋จูเหวินออกมาจากเมืองหน้าด่านที่แทบจะทําการค้าไม่ได้แล้ว เหม่ยหลินก็เรียกบริวารของตนเองมาอีกครั้ง โดยคราวนี้พวกมันไม่ใช่ม้า แต่เป็นอสูรกิเลนระดับทองที่มีความเร็วมากกว่ามาหลายเท่า

 

“นายหญิง ท่านเรียกข้างั้นหรือ”อสูรกิเลนที่มาโผล่กลางทะเลทรายถามพลางจ้องมองเหม่ยหลินนิ่ง เพราะแก่นอสูรในร่างของนางคือแก่นอสูรกิเลนดําซึ่งอยู่เหนือกิเลนธรรมดาอย่างมัน ทําให้พวกมันยอมรับเหม่ยหลินที่ยามนี้มีพลังสูงกว่าอย่างนอบน้อม

 

“ท่านช่วยแปลกกายเป็นม้าธรรมดาได้ไหมเจ้าคะ พวกเราอยากจะเข้าไปในเมือง รถเทียมกิเลนอาจจะเด่นเกินไป”เหม่ยหลินว่าพลางยิ้มบางๆ ทําให้กิเลนตรงหน้าแปลงกายเป็นม้าสีน้ําตาลในทันที

 

“งั้น ไปกันเลยนะขอรับ” อสูรกิเลนว่าพลางกระโดดออกไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วขอองกิเลนนั้นเทียบกับม้าไม่ได้ รวมถึงกําลังด้วยเช่นกัน ทําเอารถม้าเก่าๆคันนี้วิ่งจนล้อแทบหลุด บางทีเมื่อไปถึงเมืองหน้ามันควรจะเปลี่ยนรถม้าที่แข็งแรงกว่านี้กระมัง

 

ตุบๆๆ… ไม่นานเมืองต่อไปก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าไป๋จูเหวิน คราวนี้พวกมันออกมาจากเขตทะเลทรายแล้ว ทําให้เห็นปาและภูเขาอยู่บ้าง แม้จะบางกว่าอาณาจักรอู๋ก็ตาม โดยเมืองตรงหน้าไป๋จูเหวินนั้นเป็นเมืองที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ําที่พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกหลังจากออกมาจากทะเลทรายแล้ว

 

“เราแวะที่นี่กันก่อนไหม”ไป๋จูเหวินถามพลางมองเหม่ยหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ

 

“เจ้าค่ะ”เหม่ยหลินยิ้มพลางพยักหน้าด้วยความดีใจ นั่นเพราะเมื่อได้เข้าเมืองนางก็ต้องแกล้งเป็นภรรยาของไป๋จูเหวินอีกนั่นเอง

 

“พอออกจากทะเลทรายมาก็ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่แล้วนะ” หงเยวว่าพลางมองประตูเมืองที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งการผ่านประตูเมืองนั้นก็ไม่ยากอะไร เพียงยืนตราประจําตัว พ่อค้าก็สามารถผ่านประตูไปได้อย่างง่ายดาย

 

เมื่อเทียบกับเมืองหน้าด่านที่เต็มไปด้วยฝุ่นทรายแล้ว เมืองที่พึ่งมาถึงนั้นสะอาดและมีผู้คนมากกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว อาจจะเพราะเป็นเมืองติดแม่น้ําเมืองแรกก็เป็นได้ ทําให้คนที่พึ่งผ่านทะเลทรายมาต่างอยากเข้าไปพักกันถ้วนหน้า

 

ไป๋จูเหวินแวะขายสมุนไพรนิดหน่อยเพื่อให้ดูสมกับเป็นพ่อค้า ก่อนจะพวกหลินหลินเที่ยวชมเมืองจนเกือบเย็น แน่นอนว่าคนที่มีความสุขที่สุดคงหนีไม่พ้นเหม่ยหลินนั่นเอง

 

“พี่ไป๋ ไปร้านนั้นกันเถอะ” หลินหลินว่าพลางชี้ไปทางร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางเมือง แม้จะไม่จําเป็นต้องกิน แต่ไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินก็เดินทางกลางทะเลทรายมาหลายวัน ย่อมอยากกินอาหารดีๆบ้างเป็นธรรมดา พวกมันจึงตัดสินใจหาร้านอาหารสักร้านนั่งกินก่อนจะไปหาโรงเตี้ยม โดนหลินหลินก็ชี้เข้าร้านที่ใหญ่ที่สุดทันที เพราะเป็นร้านที่น่าอร่อยที่สุด เพียงแต่ที่น่าอร่อยของหลินหลินนั้นไม่ใช่อาหาร แต่เป็นรูปปั้นหยกที่ตั้งประดับในร้านต่างหาก

 

“เจ้านี่นะ ไม่เบื่อหยกบ้างหรือไง เห็นเจ้ากินอย่างเดียวมาตลอดเลย”ไป๋จูเหวินว่าพลางหยิกแก้วหลินหลินเบาๆ แม้จะกินแก่นอสูรเป็นอาหารหลัก แต่หลินหลินก็ยังคงกินหยกเป็นขนมคบเขียวอยู่ตลอดเวลาอยู่ดี

 

“แฮ่.” หลินหลินยิ้มด้วยท่าที่น่ารักพลางลากไป๋จูเหวินเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว แต่เพราะร้านนี้ก็เป็นร้ายใหญ่ที่สุดแล้ว แถมยังน่าสนใจดีไม่น้อย ไป๋จูเหวินเลยยอมเข้าไปแต่โดยดี

 

“…” เพียงแต่สิ่งที่ไป๋จูเหวินเห็นกลับต่างจากที่มันคิดนิดหน่อย ร้านใหญ่โตที่น่าจะมีผู้คนเนื้องแน่นนั้นกลับเงียบราวกับร้านปิดไม่มีผิด แถมโต๊ะเก้าอี้ยังโดนเก็บเอาไว้ริมร้านอีกต่างหาก ทําให้เหลือที่ว่างตรงกลางเอาไว้เท่านั้น โดยตรงกลางนั้นก็มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ มันแต่งกายซอมซ่อสกปรกเหมือนคนจรจัด แต่รอบกายมันกลับมีเหล้าจํานวนมากวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด แถมเสี่ยวเอ้อของร้านยังยืนอยู่รอบๆอีกต่างหาก

 

“เอาเหล้ามาอีก” ทันทีที่ชายที่นั้งอยู่กลางร้านสั่งเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งก็แทบจะวิ่งเข้าไปส่งไหเหล้าถึงมือมันทันที ไม่ทราบว่าทําไมสถาณการณ์ถึงเป็นเช่นนี้ แต่พวกเสี่ยวเอ้อคงไม่มีทางทําอะไรได้แน่ๆ เพราะคนที่นั่งอยู่กลางร้านนั้นเป็นยอดฝีมือที่อยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 เสียด้วย

 

“ขออภัยขอรับ วันนี้ร้านเราโดนเหมาเอาไว้แล้วขอรับ” ชายคนหนึ่งเห็นไปงูเหวินทําท่าจะเข้าร้านมามันก็รีบเข้ามาห้ามเอาไว้ทันที เหมาร้าน? งั้นหรือ แสดงว่าชายขี้เมา ตรงนั้นจ่ายเงินสินะ จะว่าไปพวกเสี่ยวเอ้อก็ไม่มีท่าที่กลัวเลยนี่นา

 

“ไอ้หนุ่ม” ยังไม่ทันจะเดินออกไป อยู่ๆชายกลางร้านก็ชี้มาทางไป๋จูเหวิน มันมีท่าทีเมาแต่ดวงตาของมันกลับจ้องมองมาทางไป๋จูเหวินนิ่ง

 

“เข้ามาดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อย เสี่ยวเอ้อไปเอาอาหารมาเลี้ยงพวกมันด้วย”ชายขี้เมาว่าพลางกวักมือเรียกไป๋จูเหวินให้เข้าไป

 

“ท่านมาดื่มคนเดียวแบบนี้มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”น่าประหลาด ท่าที่เมายของชายตรงหน้านั้นไม่ดูน่ากลัวเลย มันออกจะน่าสงสารเสียมากกว่า

 

“เรื่องอะไร….คนกินเหล้ามันก็มีไม่กี่เรื่องหรอก” ชายขี้เมาว่าพลางตบพื้นเบื้องหน้ามัน ทําให้ไป๋จูเหวินเดินเข้าไปนั่งด้วยอย่างไม่เกรงกลัว

 

“ข้าน่ะนะ ช่างเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ”ชายขี้เมาพูด พลางดันไหเหล้ามาทางไป๋จูเหวิน

 

“ช่วยนายท่านก็ไม่ได้ ช่วยนายหญิงก็ไม่ได้ แถมยังปกป้องนายน้อยไม่ได้อีกต่างหาก” ชายขี้เมาว่าพลางยกไหเหล้าขึ้นดื่มจนหกไปทั่วพื้น

 

“แถมที่แย่ที่สุด ข้าไม่มีกําลังจะไปแก้แค้นไอ้พวกที่ทําเสียด้วยซ้ํา” ตูม! มือของชายขี้เมาทุบลงบนพื้นอย่างรุนแรง ทําเอาพื้นหินอ่อนแตกกระจายไม่มีชิ้นดี

 

“โทษที เดี๋ยวข้าจ่ายค่าเสียหายให้” ชายขี้เมามองพื้นที่แตกจนเป็นแผ่นพูด ทําให้เสี่ยวเอ้อยิ้มเจื่อนๆออกมาอย่างลําบากใจ

 

“ศัตรูของท่าน เป็นใครงั้นหรือ”ไป๋จูเหวินถามด้วยความสงสัย ชายตรงหน้ามันเป็นคนระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 ไม่ทราบว่าเป็นชนชั้นยอดฝีมือหรือไม่แต่ระดับมันยังแก้แค้นไม่ได้แล้วศัตรูของมันจะน่ากลัวแค่ไหน

 

“ก็กลุ่มเขี้ยวโลหิตยังไงล่ะ ไอ้พวกชั่วนั่นละ”ได้ยินคําตอบของชายขี้เมา ไป๋จูเหวินก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ หากมันเป็นศัตรูของชายคนนี้จริง แสดงว่าชายคนนี้มีข้อมูลของกลุ่มเขี้ยวอสูรแน่ๆ

 

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+