บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 423 เข้าเมือง

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 423 เข้าเมือง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 423

เข้าเมือง

เปรี้ยง!! ไม้ไผ่ด้ามหนึ่งที่จูล่งเอามาเป็นอาวุธกระแทกเข้าที่แขนของน้ามังกรอย่างแรงจนเกิดเสียงสะเทือนไปทั้งหมู่บ้าน เพียงแต่กำลังของจูล่งกลับไม่ได้ทำให้น้ามังกรบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

“ใช้ไม่ได้ ต้องเบากว่านี้”น้ามังกรว่าพลางมองไปที่ไม้ไผ่ที่ฟาดลงมาใส่ตน

“แต่ข้าเบาแรงสุดๆแล้วนะขอรับ”ไป๋จูล่งว่าพลางทำหน้ามุ่ย

“คนธรรมดาในเมืองไม่ได้มีกำลังเหมือนเจ้า หากเจ้ายังออมมือไม่เป็นน้าก็ไม่ยอมให้เจ้าลงจากหมู่บ้านแน่ๆ”น้ามังกรสั่งพลางบอกให้จูล่งทดลองโจมตีอีกครั้ง แต่เดิมจูล่งเกิดมาพร้อมพลังระดับเจ้าสวรรค์ แต่เพราะคนในหมู่บ้านต่างเต็มไปด้วยคนระดับเจ้าสวรรค์และอสูรระดับบรรพกาลที่อยู่ขั้นสูงกว่าไป๋จูล่งมาก ทำให้จูล่งไม่เคยต้องมานั่งออมแรงแบบที่กำลังทำอยู่เลย ความจริงแล้วไป๋จูล่งก็พึ่งทราบเมื่อวานนี้เองว่าจริงๆแล้วตัวมันเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณอยู่แล้วเสียด้วย

เปรี้ยง!! เสียงไม้ไผ่ที่จูล่งใช้เป็นอาวุธดังไปทั่วจนทำให้ทั้งหลิงจงและลั่วสุนต่างออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“……นั่นออมมือกันอยู่งั้นหรือ”ลั่วสุนถามพลางมองไปทางไป๋จูล่งที่กำลังโจมตีใส่น้ามังกรอย่างต่อเนื่อง พลังโจมตีแต่ละครั้งคงสามารถส่งคนระดับเทียนเซียนขั้นต้นลงไปนอนหมดสติได้แน่ๆ

“ฮ้าๆ น่าจะเป็นอย่างนั้น”หลิงจงว่าพลางหัวเราะเจื่อนๆออกมา ทั้งสองคนดูพูดจาสนิทสนมกับอีกครั้งท่าทางจะแก้ปมในใจกันได้แล้ว

แต่เดิมลั่วสุนลอบโจมตีหลิงจงเพราะอิจฉาที่หลิงจงจะได้ตำราวิชาของอาจารย์ หากได้ตำราเล่มนั้นหลิงจงคงสามารถเลื่อนเป็นระดับเทียนเซียนได้อย่างแน่นอน และเมื่อเป็นแบบนั้นความพยายามที่ตนฝึกฝนมาก็คงไร้ความหมาย ทำให้มันหน้ามืดคิดจะทำร้ายศิษย์พี่ของตนเอง

แต่เมื่อได้เห็นพลังของไป๋จูเหวินรวมทั้งสภาพบ้าๆบอๆของหมู่บ้านแห่งนี้ ลั่วสุนกลับเกิดอาการปลงตก และรู้สึกว่าพวกตนที่แย่งชิงพลังระดับเทียนเซียนนั้นช่างเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ ประกอบกับหลิงจงไม่คิดจะเอาเรื่องลั่วสุน พวกมันจึงพูดคุยกันและขอขมากันเป็นที่เรียบร้อย แถมหลิงจงยังบอกอีกว่าจะช่วยพูดกับเจ้าสำนักเรื่องตำแหน่งเจ้าสำนักคนต่อไปให้ลั่วสุนอีกด้วย เพราะมันนั้นก็ปลงตกไม่ต่างจากลั่วสุนเลย

เปรี้ยง!! ส่วนสาเหตุที่ไป๋จูล่งกำลังฝึกออมมืออยู่นั้นเป็นเพราะคำพูดหลุดปากของลั่วสุนนั่นเอง แต่เดิมลั่วสุนและหลิงจงกำลังจะเดินทางกลับหลังจากไปเยี่ยมสำนักพี่น้องที่เมืองข้างๆ ความจริงพวกมันควรกลับถึงเมืองตั้งแต่ 2 หรือ 3 วันก่อนแล้ว แต่เพราะแผนของลั่วสุนทำให้พวกมันมาอยู่ที่นี่แทน

แน่นอนว่าหลิงจงรับปากจะช่วยสอนเรื่องภายนอกให้ไป๋จูล่ง แต่มันก็อยากจะไปบอกอาจารย์ให้ทราบก่อนทำให้มันและลั่วสุนวางแผนจะกลับเมืองกันในวันพรุ่งนี้ และลั่วสุนก็หลุดปากพูดไปว่า ทำไมไม่พาน้องจูล่งไปเที่ยวในเมืองกับพวกมันด้วยเล่า

แน่นอนว่าตอนแรกไป๋จูเหวินไม่มั่นใจนัก แต่เมื่อได้ทราบว่าตนเองจะได้ไปเที่ยวในเมืองไป๋จูล่งก็มีท่าทีตื่นเต้นมาก จนรบเร้าไป๋จูเหวินจนสำเร็จ แต่เงื่อนไขก็อย่างที่เห็น ไป๋จูล่งต้องรู้วิธีออมมือเสียก่อน เพราะในเมืองของพวกหลิงจง ระดับพลังทั่วไปคือระดับ ชำระเส้นเอ็น พวกก่อกำเนิดพลังเซียนอย่างหลิงจงและลั่วสุนนั้นนับเป็นพวกแถวหน้าแล้ว หากพวกระดับธรรมดาโดนจูล่งซัดฝ่ามือแบบเมื่อวานเข้าไป มีหวังไม่จบแค่บาดเจ็บสาหัสแน่ๆ

เปรี้ยง!! ไม้ไผ่ในมือจูล่งกระแทกเข้ากับร่างของน้ามังกรอีกครั้ง เพียงแต่เสียงคราวนี้ออกจะเบากว่าก่อนหน้านี้นิดหน่อย

“อืม…ลองอีกที”น้ามังกรว่าพลางบอกให้จูล่งโจมตีอีกครั้ง

เปรี้ยง!! คราวนี้เสียงมันเบาลงกว่าเดิมอีก เหมือนจูล่งพอจะจับจุดได้แล้ว การออมมือของผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณไม่ใช่การลดกำลังของกล้ามเนื้อแต่เป็นการลดระดับพลังวิญญาณลงต่างหาก จูล่งเมื่อจับทางได้ก็บังคับพลังของตนทันที ผลที่ได้ก็คือ

เพี๊ย! เสียงครั้งนี้ไร้ซึ่งความหนักแน่นโดยสิ้นเชิง น้ามังกรที่โดนโจมตีก็รู้สึกไม่ต่างจากโดนอสูรระดับต่ำโจมตีเท่าไหร่จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“ไม่เลว”น้ามังกรว่าพลางลูบหัวไป๋จูล่งอย่างเอ็นดู หลังจากนั้นน้ามังกรก็ทดลองให้ไป๋จูล่งโจมตีอีกพักหนึ่งจึงมั่นใจว่าไป๋จูล่งควบคุมพลังได้ดีแล้วจึงไปบอกไป๋จูเหวินเรื่องผลการฝึก

“เอาล่ะ พ่อสัญญากับเจ้าแล้ว พรุ่งนี้ให้เจ้าเดินทางไปกับลั่วสุนและหลิงจงได้”ไป๋จูเหวินตอบพลางถอนหายใจออกมา เห็นจูล่งอยากออกไปเที่ยวขนาดนี้ตัวมันก็คงห้ามไม่ได้ มันอยู่ในหมู่บ้านมาหลายปีแล้วก็ย่อมอยากออกจากหมู่บ้านบ้างเหมือนตอนที่มันขอพวกน้าๆออกจากเขตอสูรนั่นล่ะ

“เย้..พี่ตงฟาง พวกเราจะไปเที่ยวในเมืองกัน”ไป๋จูล่งยิ้มกว้างพลางมองไปทางเจ้าตงฟางที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังน้ามังกร

“ล่งเอ๋อ พาตงฟางไปด้วยอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ ปีกของมัน…”น้ามังกรกำลังจะท้วงเรื่องปีกของตงฟางนั้นเด่นเกินไปสำหรับพาเข้าเมือง เพราะแม้แต่ลั่วสุนและหลิงจงยังตกตะลึงมากเมื่อเห็นม้ามีปีก และพากันเข้าใจว่ามันเป็นอสูรในทันที แสดงว่าในเมืองของพวกหลิงจง อสูรไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้เป็นปกติ ทำให้น้ามังกรไม่อยากให้พาตงฟางไป เพียงแต่….

“กิ้ว….”เจ้าตงฟางเหมือนจะทราบว่าน้ามังกรจะห้ามไม่ให้มันไป อยู่ๆมันก็หุบปีกหายเข้าไปในลำตัว แปลงกายเป็นม้าสีขาวธรรมดาตนหนึ่งในพริบตา

“เจ้า…..”มังกรธรณีไม่ทราบจะต่อว่าอะไรมัน เกือบ 70 ปีที่ผ่านมามันไม่เคยแปลงกายให้เห็น ไม่ทราบเสียด้วยซ้ำว่ามันเก็บปีกได้ พอห้ามไม่ให้ไปเที่ยวเข้าหน่อยถึงกับเก็บปีกปลอมเป็นม้าธรรมดาขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ท่านน้า ให้พี่ตงฟางไปกับข้าเถอะ ถ้าพี่ตงฟางไม่ไปด้วยข้าคงเหงาแย่”จูล่งว่าพลางส่งสายตาอ้อนมาทางมังกรธรณี

“ก็ได้…ยังไงตงฟางก็เก็บปีกไปแล้ว”มังกรธรณีถอนหายใจออกมา ไม่ทราบเพราะจูล่งมีพลังตกค้างจากน้ำตาของตงฟางหรือไม่ แต่ตงฟางก็ติดไป๋จูล่งแจไม่ยอมห่างตั้งแต่มันยังเด็กๆ ทั้งๆที่มันไม่น่าจะได้รับผลจากพลังดึงดูดอสูรแท้ๆ

“ขอบคุณขอรับ”จูล่งยิ้มกว้างพลางมองไปทางตงฟางที่กำลังยกขาหน้าอย่างดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่จูล่งจะได้ออกจาหมู่บ้านไปที่อื่น ทั้งจูล่งทั้งตงฟางต่างตื่นเต้นกันไม่น้อย

.

.

ฟุบ!!ในเช้าวันต่อมา ลั่วสุนและหลิงจงโดนจับขึ้นหลังจงฟางบินก่อนจะออกวิ่งด้วยความเร็วสูงจนทั้งสองยังตั้งตัวแทบไม่ทัน เรียกได้ว่าเพียงชั่วโมงเดียวก็มาถึงเมืองของพวกมันแล้ว ทั้งๆที่ปกติต้องใช้เวลากว่า 3 วันในการเดินเท้าแท้ๆ

“พี่หลิงจง ที่นี่คือเมืองที่พวกท่านอยู่งั้นหรือ”จูล่งถามพลางมองไปทางเมืองที่อยู่เบื้องหน้า พอเข้ามาในระยะเมืองแล้วตงฟางก็ลดความเร็วลงเท่าม้าปกติทันทีอย่างรู้งาน

“ชะ ใช่”หลิงจงและลั่วสุนยังอึ้งกับความเร็วของตงฟางไม่หาย แถมพวกมันนั่งซ้อนกันมา 3 คนยังไม่มีท่าทีจะทำให้ความเร็วของตงฟางตกลงเลย แม้แต่ม้าในหมู่บ้านของไป๋จูเหวินก็ยังไม่ธรรมดางั้นหรือ

“คนเต็มไปหมดเลย นี่นะเหรอเมือง”จูล่งตาเป็นประกายพลางมองไปรอบๆ จำนวนคนภายในเมืองนั้นมากกว่าในหมู่บ้านหลายพันหลายหมื่นเท่า ทำให้จูล่งรู้สึกแปลกตาตั้งแต่เข้ามาในเมืองเลยก็ว่าได้

“ท่านหลิงจง ท่านลั่วสุน ยินดีต้อนรับกลับขอรับ”ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าเมืองพูดพลางประสานมือรับลั่วสุนและหลิงจงทันที ในเมืองแห่งนี้สำนักของหลิงจงนับว่าเป็นสำนักใหญ่ทีเดียว ทำให้หลิงจงและลั่วสุนได้รับความนับถือไม่น้อย

“เด็กคนนี้เป็นสหายพวกเรา เจ้าทำบัตรผ่านให้มันหน่อยได้หรือไม่”หลิงจงว่าพลางลงจากหลังของตงฟางช้าๆ

“ได้ขอรับ กรุณารอสักครู่”ทหารยามว่าพลางเดินหายไปเข้าในห้องที่อยู่ข้างประตู ไม่นานมันก็กลับออกมาพร้อมแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดเล็กแผ่นหนึ่งออกมา

“น้องชาย เก็บนี้ติดตัวเอาไว้ ถ้าทหารยามถามว่ามาจากไหนก็ส่งบัตรนี่ให้ดู เข้าใจนะ”บัตรที่ชายคนนั้นส่งมาให้มีรูปสัญลักษณ์ดวงตะวันอยู่ ซึ่งหมายความว่าผู้ถือบัตรเป็นแขกของสำนักคร่าตะวันนั่นเอง

“ขอรับ ข้าทราบแล้ว”จูล่งตอบพลางยิ้มรับอย่างร่าเริง แต่ยามนี้ความสนใจของมันไม่ได้อยู่ที่บัตรเลย แต่เป็นบ้านเมืองรอบๆต่างหาก

เมืองของลั่วสุนและหลิงจงนั้นไม่เหมือนหมู่บ้านของไป๋จูเหวินเลย ที่นี่บ้านเมืองแทบไม่ได้สร้างจากไม้แล้ว แต่กลับเป็นสิ่งปลูกสร้างทรงสี่เหลี่ยมเสียมากกว่า แถมยังมีการใช้แผ่นกระจกตกแต่ง ทำให้สามารถมองเห็นภายในร้านค้าได้ชัดเจน

“น้องจูล่ง เจ้าสนใจอะไรก็แวะดูได้เลยนะ”หลิงจงว่าพลางมองจูล่งที่เอาแต่หันซ้ายหันขวาด้วยท่าทีตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ นอกจากระบบขนส่งอย่างรถไฟที่รูบี้เริ่มพัฒนาขึ้น ห้องทดลองของรูบี้ก็ยังพัฒนาสิ่งต่างๆออกมามากมายตั้งแต่รุ่นของหลิวเซียน จนมาถึงรุ่นของชิงจื่อ ยามนี้แม้แต่อาณาจักรห่างไกลจากอาณาจักรไป๋มากมายเช่นนี้ก็ยังได้รับผลของเทคโนโลยีที่พัฒนามาไกลขึ้นมาก ทำให้ตามเมืองมีสิ่งของที่จูล่งไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดทาง

“รูปวาดนี้สวยจริงๆ ท่านวาดเองงั้นหรือ”จูล่งถามพลางหยุดมองที่ร้านขายรูปแห่งหนึ่ง ที่ร้านนี้เต็มไปด้วยภาพทิวทัศน์มากมายดูแล้วสวยงามราวกับได้ไปเห็นด้วยตาตนเอง

“น้องจูล่ง นั่นไม่ใช่ภาพวาดหรอก แต่เป็นภาพถ่ายต่างหาก”หลิงจงตอบพลางยิ้มบางๆออกมา

“ภาพถ่าย?”จูล่งขมวดคิ้วพลางมองเหล่ารูปถ่ายที่เรียงกันอยู่ในร้าน นอกจากรูปของวิวทิวทัศน์แล้ว ยังมีรูปคนอีกจำนวนมากอีกด้วย

“มันคือรูปที่บันทึกจากภาพจริงๆยังไงล่ะโดยใช้สิ่งที่เรียกว่ากล้องถ่ายรูป อย่างรูปนี้ก็เป็นรูปของยอดฝีมือท่านหนึ่งในอาณาจักรเรา”หลิงจงว่าพลางชี้ไปที่รูปของชายคนหนึ่ง ในมือของมันมีดาบเล่มใหญ่กำลังยืนอยู่บนโขดหิน ให้อารมณ์ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งไม่น้อย

“แล้วภาพนี้ละขอรับ”จูล่งถามพลางชี้ไปที่ภาพๆหนึ่ง ภาพนั้นมีเพียงเงาดำๆไม่เห็นว่าคนในรูปเป็นใคร แต่รูปแบบนี้กลับมีจำนวนมากกว่าชายที่ถือดาบคนเมื่อครู่เสียอีก

“พวกเราไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร แต่ท่านเป็นยอดฝีมือที่คอยช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ท่านไปมาไร้ร่องรอยหาทางพบเจอได้ยาก ภาพที่เห็นนั่นคือภาพที่ชัดที่สุดเท่าที่จะหามาได้แล้ว”หลิงจงตอบ ภาพที่จูล่งชี้นั้นเป็นภาพของยอดฝีมือลึกลับที่ปรากฏตัวเมื่อหลายสิบปีก่อน ตำนานของท่านเกิดขึ้นตั้งแต่หลิงจงยังไม่เกิดเสียอีก แต่ตราบจนทุกวันก็ยังไม่มีใครทราบว่าชายผู้นี้คือใคร ทุกคนในอาณาจักรจึงเรียกท่านด้วยฉายาบุรุษไร้ลักษณ์ และนับถือท่านเป็นดั่งวีรบุรุษในเงามืดที่คอยช่วยเหลือผู้คน

“ยอดเลย ข้าอยากเจอท่านสักครั้งบ้าง”จูล่งว่าพลางทำตาเป็นประกาย ทำให้หลิงจงและลั่วสุนอมยิ้มออกมา เด็กผู้ชายทุกคนในอาณาจักรต่างก็พูดแบบนี้เช่นกัน แต่หลายสิบปีแล้วก็ไม่เคยมีใครเห็นตัวท่านสักคน แค่เรื่องที่ว่าท่านหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครทราบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 423 เข้าเมือง

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 423 เข้าเมือง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 423

เข้าเมือง

เปรี้ยง!! ไม้ไผ่ด้ามหนึ่งที่จูล่งเอามาเป็นอาวุธกระแทกเข้าที่แขนของน้ามังกรอย่างแรงจนเกิดเสียงสะเทือนไปทั้งหมู่บ้าน เพียงแต่กำลังของจูล่งกลับไม่ได้ทำให้น้ามังกรบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

“ใช้ไม่ได้ ต้องเบากว่านี้”น้ามังกรว่าพลางมองไปที่ไม้ไผ่ที่ฟาดลงมาใส่ตน

“แต่ข้าเบาแรงสุดๆแล้วนะขอรับ”ไป๋จูล่งว่าพลางทำหน้ามุ่ย

“คนธรรมดาในเมืองไม่ได้มีกำลังเหมือนเจ้า หากเจ้ายังออมมือไม่เป็นน้าก็ไม่ยอมให้เจ้าลงจากหมู่บ้านแน่ๆ”น้ามังกรสั่งพลางบอกให้จูล่งทดลองโจมตีอีกครั้ง แต่เดิมจูล่งเกิดมาพร้อมพลังระดับเจ้าสวรรค์ แต่เพราะคนในหมู่บ้านต่างเต็มไปด้วยคนระดับเจ้าสวรรค์และอสูรระดับบรรพกาลที่อยู่ขั้นสูงกว่าไป๋จูล่งมาก ทำให้จูล่งไม่เคยต้องมานั่งออมแรงแบบที่กำลังทำอยู่เลย ความจริงแล้วไป๋จูล่งก็พึ่งทราบเมื่อวานนี้เองว่าจริงๆแล้วตัวมันเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณอยู่แล้วเสียด้วย

เปรี้ยง!! เสียงไม้ไผ่ที่จูล่งใช้เป็นอาวุธดังไปทั่วจนทำให้ทั้งหลิงจงและลั่วสุนต่างออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“……นั่นออมมือกันอยู่งั้นหรือ”ลั่วสุนถามพลางมองไปทางไป๋จูล่งที่กำลังโจมตีใส่น้ามังกรอย่างต่อเนื่อง พลังโจมตีแต่ละครั้งคงสามารถส่งคนระดับเทียนเซียนขั้นต้นลงไปนอนหมดสติได้แน่ๆ

“ฮ้าๆ น่าจะเป็นอย่างนั้น”หลิงจงว่าพลางหัวเราะเจื่อนๆออกมา ทั้งสองคนดูพูดจาสนิทสนมกับอีกครั้งท่าทางจะแก้ปมในใจกันได้แล้ว

แต่เดิมลั่วสุนลอบโจมตีหลิงจงเพราะอิจฉาที่หลิงจงจะได้ตำราวิชาของอาจารย์ หากได้ตำราเล่มนั้นหลิงจงคงสามารถเลื่อนเป็นระดับเทียนเซียนได้อย่างแน่นอน และเมื่อเป็นแบบนั้นความพยายามที่ตนฝึกฝนมาก็คงไร้ความหมาย ทำให้มันหน้ามืดคิดจะทำร้ายศิษย์พี่ของตนเอง

แต่เมื่อได้เห็นพลังของไป๋จูเหวินรวมทั้งสภาพบ้าๆบอๆของหมู่บ้านแห่งนี้ ลั่วสุนกลับเกิดอาการปลงตก และรู้สึกว่าพวกตนที่แย่งชิงพลังระดับเทียนเซียนนั้นช่างเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ ประกอบกับหลิงจงไม่คิดจะเอาเรื่องลั่วสุน พวกมันจึงพูดคุยกันและขอขมากันเป็นที่เรียบร้อย แถมหลิงจงยังบอกอีกว่าจะช่วยพูดกับเจ้าสำนักเรื่องตำแหน่งเจ้าสำนักคนต่อไปให้ลั่วสุนอีกด้วย เพราะมันนั้นก็ปลงตกไม่ต่างจากลั่วสุนเลย

เปรี้ยง!! ส่วนสาเหตุที่ไป๋จูล่งกำลังฝึกออมมืออยู่นั้นเป็นเพราะคำพูดหลุดปากของลั่วสุนนั่นเอง แต่เดิมลั่วสุนและหลิงจงกำลังจะเดินทางกลับหลังจากไปเยี่ยมสำนักพี่น้องที่เมืองข้างๆ ความจริงพวกมันควรกลับถึงเมืองตั้งแต่ 2 หรือ 3 วันก่อนแล้ว แต่เพราะแผนของลั่วสุนทำให้พวกมันมาอยู่ที่นี่แทน

แน่นอนว่าหลิงจงรับปากจะช่วยสอนเรื่องภายนอกให้ไป๋จูล่ง แต่มันก็อยากจะไปบอกอาจารย์ให้ทราบก่อนทำให้มันและลั่วสุนวางแผนจะกลับเมืองกันในวันพรุ่งนี้ และลั่วสุนก็หลุดปากพูดไปว่า ทำไมไม่พาน้องจูล่งไปเที่ยวในเมืองกับพวกมันด้วยเล่า

แน่นอนว่าตอนแรกไป๋จูเหวินไม่มั่นใจนัก แต่เมื่อได้ทราบว่าตนเองจะได้ไปเที่ยวในเมืองไป๋จูล่งก็มีท่าทีตื่นเต้นมาก จนรบเร้าไป๋จูเหวินจนสำเร็จ แต่เงื่อนไขก็อย่างที่เห็น ไป๋จูล่งต้องรู้วิธีออมมือเสียก่อน เพราะในเมืองของพวกหลิงจง ระดับพลังทั่วไปคือระดับ ชำระเส้นเอ็น พวกก่อกำเนิดพลังเซียนอย่างหลิงจงและลั่วสุนนั้นนับเป็นพวกแถวหน้าแล้ว หากพวกระดับธรรมดาโดนจูล่งซัดฝ่ามือแบบเมื่อวานเข้าไป มีหวังไม่จบแค่บาดเจ็บสาหัสแน่ๆ

เปรี้ยง!! ไม้ไผ่ในมือจูล่งกระแทกเข้ากับร่างของน้ามังกรอีกครั้ง เพียงแต่เสียงคราวนี้ออกจะเบากว่าก่อนหน้านี้นิดหน่อย

“อืม…ลองอีกที”น้ามังกรว่าพลางบอกให้จูล่งโจมตีอีกครั้ง

เปรี้ยง!! คราวนี้เสียงมันเบาลงกว่าเดิมอีก เหมือนจูล่งพอจะจับจุดได้แล้ว การออมมือของผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณไม่ใช่การลดกำลังของกล้ามเนื้อแต่เป็นการลดระดับพลังวิญญาณลงต่างหาก จูล่งเมื่อจับทางได้ก็บังคับพลังของตนทันที ผลที่ได้ก็คือ

เพี๊ย! เสียงครั้งนี้ไร้ซึ่งความหนักแน่นโดยสิ้นเชิง น้ามังกรที่โดนโจมตีก็รู้สึกไม่ต่างจากโดนอสูรระดับต่ำโจมตีเท่าไหร่จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“ไม่เลว”น้ามังกรว่าพลางลูบหัวไป๋จูล่งอย่างเอ็นดู หลังจากนั้นน้ามังกรก็ทดลองให้ไป๋จูล่งโจมตีอีกพักหนึ่งจึงมั่นใจว่าไป๋จูล่งควบคุมพลังได้ดีแล้วจึงไปบอกไป๋จูเหวินเรื่องผลการฝึก

“เอาล่ะ พ่อสัญญากับเจ้าแล้ว พรุ่งนี้ให้เจ้าเดินทางไปกับลั่วสุนและหลิงจงได้”ไป๋จูเหวินตอบพลางถอนหายใจออกมา เห็นจูล่งอยากออกไปเที่ยวขนาดนี้ตัวมันก็คงห้ามไม่ได้ มันอยู่ในหมู่บ้านมาหลายปีแล้วก็ย่อมอยากออกจากหมู่บ้านบ้างเหมือนตอนที่มันขอพวกน้าๆออกจากเขตอสูรนั่นล่ะ

“เย้..พี่ตงฟาง พวกเราจะไปเที่ยวในเมืองกัน”ไป๋จูล่งยิ้มกว้างพลางมองไปทางเจ้าตงฟางที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังน้ามังกร

“ล่งเอ๋อ พาตงฟางไปด้วยอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ ปีกของมัน…”น้ามังกรกำลังจะท้วงเรื่องปีกของตงฟางนั้นเด่นเกินไปสำหรับพาเข้าเมือง เพราะแม้แต่ลั่วสุนและหลิงจงยังตกตะลึงมากเมื่อเห็นม้ามีปีก และพากันเข้าใจว่ามันเป็นอสูรในทันที แสดงว่าในเมืองของพวกหลิงจง อสูรไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้เป็นปกติ ทำให้น้ามังกรไม่อยากให้พาตงฟางไป เพียงแต่….

“กิ้ว….”เจ้าตงฟางเหมือนจะทราบว่าน้ามังกรจะห้ามไม่ให้มันไป อยู่ๆมันก็หุบปีกหายเข้าไปในลำตัว แปลงกายเป็นม้าสีขาวธรรมดาตนหนึ่งในพริบตา

“เจ้า…..”มังกรธรณีไม่ทราบจะต่อว่าอะไรมัน เกือบ 70 ปีที่ผ่านมามันไม่เคยแปลงกายให้เห็น ไม่ทราบเสียด้วยซ้ำว่ามันเก็บปีกได้ พอห้ามไม่ให้ไปเที่ยวเข้าหน่อยถึงกับเก็บปีกปลอมเป็นม้าธรรมดาขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ท่านน้า ให้พี่ตงฟางไปกับข้าเถอะ ถ้าพี่ตงฟางไม่ไปด้วยข้าคงเหงาแย่”จูล่งว่าพลางส่งสายตาอ้อนมาทางมังกรธรณี

“ก็ได้…ยังไงตงฟางก็เก็บปีกไปแล้ว”มังกรธรณีถอนหายใจออกมา ไม่ทราบเพราะจูล่งมีพลังตกค้างจากน้ำตาของตงฟางหรือไม่ แต่ตงฟางก็ติดไป๋จูล่งแจไม่ยอมห่างตั้งแต่มันยังเด็กๆ ทั้งๆที่มันไม่น่าจะได้รับผลจากพลังดึงดูดอสูรแท้ๆ

“ขอบคุณขอรับ”จูล่งยิ้มกว้างพลางมองไปทางตงฟางที่กำลังยกขาหน้าอย่างดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่จูล่งจะได้ออกจาหมู่บ้านไปที่อื่น ทั้งจูล่งทั้งตงฟางต่างตื่นเต้นกันไม่น้อย

.

.

ฟุบ!!ในเช้าวันต่อมา ลั่วสุนและหลิงจงโดนจับขึ้นหลังจงฟางบินก่อนจะออกวิ่งด้วยความเร็วสูงจนทั้งสองยังตั้งตัวแทบไม่ทัน เรียกได้ว่าเพียงชั่วโมงเดียวก็มาถึงเมืองของพวกมันแล้ว ทั้งๆที่ปกติต้องใช้เวลากว่า 3 วันในการเดินเท้าแท้ๆ

“พี่หลิงจง ที่นี่คือเมืองที่พวกท่านอยู่งั้นหรือ”จูล่งถามพลางมองไปทางเมืองที่อยู่เบื้องหน้า พอเข้ามาในระยะเมืองแล้วตงฟางก็ลดความเร็วลงเท่าม้าปกติทันทีอย่างรู้งาน

“ชะ ใช่”หลิงจงและลั่วสุนยังอึ้งกับความเร็วของตงฟางไม่หาย แถมพวกมันนั่งซ้อนกันมา 3 คนยังไม่มีท่าทีจะทำให้ความเร็วของตงฟางตกลงเลย แม้แต่ม้าในหมู่บ้านของไป๋จูเหวินก็ยังไม่ธรรมดางั้นหรือ

“คนเต็มไปหมดเลย นี่นะเหรอเมือง”จูล่งตาเป็นประกายพลางมองไปรอบๆ จำนวนคนภายในเมืองนั้นมากกว่าในหมู่บ้านหลายพันหลายหมื่นเท่า ทำให้จูล่งรู้สึกแปลกตาตั้งแต่เข้ามาในเมืองเลยก็ว่าได้

“ท่านหลิงจง ท่านลั่วสุน ยินดีต้อนรับกลับขอรับ”ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าเมืองพูดพลางประสานมือรับลั่วสุนและหลิงจงทันที ในเมืองแห่งนี้สำนักของหลิงจงนับว่าเป็นสำนักใหญ่ทีเดียว ทำให้หลิงจงและลั่วสุนได้รับความนับถือไม่น้อย

“เด็กคนนี้เป็นสหายพวกเรา เจ้าทำบัตรผ่านให้มันหน่อยได้หรือไม่”หลิงจงว่าพลางลงจากหลังของตงฟางช้าๆ

“ได้ขอรับ กรุณารอสักครู่”ทหารยามว่าพลางเดินหายไปเข้าในห้องที่อยู่ข้างประตู ไม่นานมันก็กลับออกมาพร้อมแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดเล็กแผ่นหนึ่งออกมา

“น้องชาย เก็บนี้ติดตัวเอาไว้ ถ้าทหารยามถามว่ามาจากไหนก็ส่งบัตรนี่ให้ดู เข้าใจนะ”บัตรที่ชายคนนั้นส่งมาให้มีรูปสัญลักษณ์ดวงตะวันอยู่ ซึ่งหมายความว่าผู้ถือบัตรเป็นแขกของสำนักคร่าตะวันนั่นเอง

“ขอรับ ข้าทราบแล้ว”จูล่งตอบพลางยิ้มรับอย่างร่าเริง แต่ยามนี้ความสนใจของมันไม่ได้อยู่ที่บัตรเลย แต่เป็นบ้านเมืองรอบๆต่างหาก

เมืองของลั่วสุนและหลิงจงนั้นไม่เหมือนหมู่บ้านของไป๋จูเหวินเลย ที่นี่บ้านเมืองแทบไม่ได้สร้างจากไม้แล้ว แต่กลับเป็นสิ่งปลูกสร้างทรงสี่เหลี่ยมเสียมากกว่า แถมยังมีการใช้แผ่นกระจกตกแต่ง ทำให้สามารถมองเห็นภายในร้านค้าได้ชัดเจน

“น้องจูล่ง เจ้าสนใจอะไรก็แวะดูได้เลยนะ”หลิงจงว่าพลางมองจูล่งที่เอาแต่หันซ้ายหันขวาด้วยท่าทีตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ นอกจากระบบขนส่งอย่างรถไฟที่รูบี้เริ่มพัฒนาขึ้น ห้องทดลองของรูบี้ก็ยังพัฒนาสิ่งต่างๆออกมามากมายตั้งแต่รุ่นของหลิวเซียน จนมาถึงรุ่นของชิงจื่อ ยามนี้แม้แต่อาณาจักรห่างไกลจากอาณาจักรไป๋มากมายเช่นนี้ก็ยังได้รับผลของเทคโนโลยีที่พัฒนามาไกลขึ้นมาก ทำให้ตามเมืองมีสิ่งของที่จูล่งไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดทาง

“รูปวาดนี้สวยจริงๆ ท่านวาดเองงั้นหรือ”จูล่งถามพลางหยุดมองที่ร้านขายรูปแห่งหนึ่ง ที่ร้านนี้เต็มไปด้วยภาพทิวทัศน์มากมายดูแล้วสวยงามราวกับได้ไปเห็นด้วยตาตนเอง

“น้องจูล่ง นั่นไม่ใช่ภาพวาดหรอก แต่เป็นภาพถ่ายต่างหาก”หลิงจงตอบพลางยิ้มบางๆออกมา

“ภาพถ่าย?”จูล่งขมวดคิ้วพลางมองเหล่ารูปถ่ายที่เรียงกันอยู่ในร้าน นอกจากรูปของวิวทิวทัศน์แล้ว ยังมีรูปคนอีกจำนวนมากอีกด้วย

“มันคือรูปที่บันทึกจากภาพจริงๆยังไงล่ะโดยใช้สิ่งที่เรียกว่ากล้องถ่ายรูป อย่างรูปนี้ก็เป็นรูปของยอดฝีมือท่านหนึ่งในอาณาจักรเรา”หลิงจงว่าพลางชี้ไปที่รูปของชายคนหนึ่ง ในมือของมันมีดาบเล่มใหญ่กำลังยืนอยู่บนโขดหิน ให้อารมณ์ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งไม่น้อย

“แล้วภาพนี้ละขอรับ”จูล่งถามพลางชี้ไปที่ภาพๆหนึ่ง ภาพนั้นมีเพียงเงาดำๆไม่เห็นว่าคนในรูปเป็นใคร แต่รูปแบบนี้กลับมีจำนวนมากกว่าชายที่ถือดาบคนเมื่อครู่เสียอีก

“พวกเราไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร แต่ท่านเป็นยอดฝีมือที่คอยช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ท่านไปมาไร้ร่องรอยหาทางพบเจอได้ยาก ภาพที่เห็นนั่นคือภาพที่ชัดที่สุดเท่าที่จะหามาได้แล้ว”หลิงจงตอบ ภาพที่จูล่งชี้นั้นเป็นภาพของยอดฝีมือลึกลับที่ปรากฏตัวเมื่อหลายสิบปีก่อน ตำนานของท่านเกิดขึ้นตั้งแต่หลิงจงยังไม่เกิดเสียอีก แต่ตราบจนทุกวันก็ยังไม่มีใครทราบว่าชายผู้นี้คือใคร ทุกคนในอาณาจักรจึงเรียกท่านด้วยฉายาบุรุษไร้ลักษณ์ และนับถือท่านเป็นดั่งวีรบุรุษในเงามืดที่คอยช่วยเหลือผู้คน

“ยอดเลย ข้าอยากเจอท่านสักครั้งบ้าง”จูล่งว่าพลางทำตาเป็นประกาย ทำให้หลิงจงและลั่วสุนอมยิ้มออกมา เด็กผู้ชายทุกคนในอาณาจักรต่างก็พูดแบบนี้เช่นกัน แต่หลายสิบปีแล้วก็ไม่เคยมีใครเห็นตัวท่านสักคน แค่เรื่องที่ว่าท่านหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครทราบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+