บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 427 ซ่อมคืน

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 427 ซ่อมคืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 427

ซ่อมคืน

วูบ…ร่างของชายหนุ่มชุดขาวค่อยๆหายไปจากเบื้องหน้าเจ้าสำนักจันทร์กระจ่างช้าๆ ทำเอาทั้งเจ้าสำนักจันทร์กระจ่างทั้งเหล่าศิษย์ต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก นี่มันไม่ใช่เคลื่อนไหวรวดเร็วจนเหมือนหายไปต่อหน้า แต่เป็นการหายตัวกันเห็นๆเลยไม่ใช่หรือ

ฟุบ..อยู่ๆไป๋จูล่งที่อยู่ตรงหน้าก็เคลื่อนตัวหลบเสียอย่างนั้น ราวกับกำลังโดนใครบางคนไล่จับไม่มีผิด

“……”ชายชุดขาวที่แต่เดิมคิดจะเข้าไปจับตัวไป๋จูล่งเอาไว้เท่านั้นมีท่าทีประหลาดใจอย่างมาก ชายหนุ่มผู้นี้ทำราวกับมองเห็นว่ามันอยู่ที่ไหน แถมยังหลบหลีกได้อย่างง่ายดายอีกต่างหาก

“พี่ชาย ฟังข้าก่อน”จูล่งพูดพลางมองไปทางพื้นว่างเปล่าเบื้องหน้า ในกลุ่มคนของสำนักจันทร์กระจ่างไม่มีใครเลยที่มองเห็นว่าตรงหน้าจูล่งนั่นคือตำแหน่งที่ชายชุดขาวอยู่นั่นเอง

“เจ้า…มองเห็นงั้นหรือ”ชายชุดขาวพูดพลางมองจูล่งด้วยท่าทีตกใจ ปกติแล้ววิชาล่องหนหายตัวของชายหนุ่มนั้นแม้แต่ผู้ใช้เนตรจิตก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ หลังจากฝึกฝนเพิ่มเติมมานานหลายปี การปิดบังพลังของชายชุดขาวก็เข้าถึงระดับสูงสุด ชนิดที่ว่าแม้แต่เนตรจิตก็ยังไม่สามารถสัมผัสพลังของมันได้ แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้มองเห็นตัวชายชุดขาวได้ นั่นก็คือ เนตรสีม่วง ที่ทั้งไป๋จูเหวินและไป๋หลินมีนั่นเอง แม้จะไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ แต่ตลอดหลายปีที่ชิงชิวท่องยุทธภพมานั้นกลับเจอผู้ใช้วิชาเนตรเหล่านี้มาบ้าง นอกจากไป๋จูเหวิน ไป๋หลิน และ อสูรตาเดียวที่ชิงชิวเคยเจอแล้ว ยังมีอีก 2 คนที่ชิงชิวได้พบเห็นด้วยตนเอง เพียงแต่ท่าทางจะต้องเพิ่มเป็น 3 คนเสียแล้ว

“ขอรับ ท่านก็ยืนอยู่ตรงหน้าข้านี่ไง”ไป๋จูล่งตอบพลางมองชิงชิวที่กำลังยืนอึ้งอยู่เบื้องหน้า ไม่นึกเลยว่าแค่คนที่บุกเข้ามาในหอพักหญิงจะมีวิชาเนตรแบบนี้ด้วย ปกติผู้ครอบครองพลังเนตรเช่นนี้มักจะเป็นผู้กลืนแก่นอสูรของอสูรที่มีพลังนี้มาทั้งสิ้น แต่เด็กหนุ่มเช่นนี้ไปได้พลังแบบนี้มาจากไหนกัน

“ถ้างั้นก็…”ชิงชิวเมื่อได้ทราบว่าอีกฝ่ายสามารถใช้เนตรสีม่วงได้ก็ไม่คิดจะประมาทอีกต่อไป ท่าทางชายหนุ่มผู้นี่จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว

วูบ.. แสงสีขาวเริ่มส่องประกายออกมารอบตัวชิงชิวอย่างรวดเร็ว วิธีการรับมือกับเนตรสีม่วงนั้นคือการใช้พลังเทวะปราบมารที่มีแสงของพลังวิญญาณสว่างกว่าวิชาอื่นๆ หากใช้ต่อหน้าผู้ใช้เนตรสีม่วงละก็ มันจะสว่างจ้าจนทำให้มองไม่เห็นอะไรเลยทีเดียว

ฟุบ! ชิงชิวปล่อยพลังเทวะปราบมารออกมาวูบหนึ่งก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาไป๋จูล่ง ยามนี้หากเป็นผู้ใช้เนตรสีม่วงมันจะต้องแสบตามากแน่ๆ ทำให้ชิงชิวมีโอกาสจะเข้าไปจับตัวมันเอาไว้ แน่นอนว่าชิงชิวไม่คิดจะเลยเถิดถึงขั้นเลือดตกยางออก เพียงต้องจับตัวอีกฝ่ายเอาไว้เท่านั้น มันจึงเลือกที่จะเข้าไปข้างหลังแล้วใช้แขนเอื้อมเข้าไปหมายจะจับกุมให้อยู่กับที่

วูบ… จูล่งเดินออกไปนิดหน่อยทำให้ชิงชิวคว้าได้เพียงความว่างเปล่า

ฟุบๆๆ แม้ตอนแรกจะจับพลาด แต่ชิงชิวก็ยังพยายามจับตัวจูล่งเอาไว้ แต่จูล่งกลับขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลบมือของชิงชิวเท่านั้น การกระทำเช่นนี้หากไม่ได้มองเห็นอย่างชัดเจนจะทำได้อย่างไร ยิ่งยามนี้ชิงชิวอยู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 2 ยิ่งมีความเร็วเหนือมนุษย์มาก หากเป็นคนอื่นลำพังหลบให้พ้นก็ยากพอแล้ว ยิ่งมองไม่เห็นตัวชิงชิวยิ่งยากเข้าไปใหญ่

เพี๊ย! จูล่งปัดฝ่ามือของชิงชิวที่กำลังพุ่งเข้ามาหมายจะจับตัวจูล่งเอาไว้ทันที ก่อนจะถอยออกมาสองก้าวทำให้ฝ่ามือต่อไปของชิงชิวเข้าไม่ถึงตัว ยามนี้ไม่ทราบทำไมชิงชิวถึงเหมือนกำลังพยายามคว้าอากาศไม่มีผิด

“……..”ตั้งแต่ชิงชิวก้าวขึ้นระดับเจ้าสวรรค์มาก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แม้อีกฝ่ายจะมีระดับสูงกว่าชิงชิว แต่เพราะความสามารถพิเศษและกระบวนท่าของชิงชิวทำให้การหลบเป็นเรื่องยากมาก แต่ชายหนุ่มผู้นี้กลับทำได้ราวกับเป็นเรื่องปกติ ต่อให้มีเนตรสีม่วงก็ไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนี้

“สีเงิน…”ชิงชิวสะดุ้งโหยงเมื่อมองเข้าไปในดวงตาของไป๋จูล่ง ปกติผู้ใช้เนตรสีม่วงจะมีประกายแสงสีม่วงออกมาจากดวงตา ทั้งไป๋จูเหวิน ไป๋หลิน หรือคนอื่นๆเองก็เป็นเช่นนั้น แต่ยามนี้ที่ดวงตาของจูล่งกลับส่องประกายแสงสีเงินออกมาเสียอย่างนั้น ตัวชิงชิวที่เคยอยู่กับไป๋จูเหวินมาก่อนยังไม่เคยเห็นดวงตาสีนี้เสียด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เวลาไป๋จูเหวินต่อสู้จะเปลี่ยนสีดวงตาไปเรื่อยๆแท้ๆ

หมับ…ขณะที่ชิงชิวกำลังครุ่นคิดกับภาพที่เห็นตรงหน้า มือของจูล่งก็คว้าหมับเข้าที่แขนของมันทันที

“พี่ชาย ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆนะ”จูล่งว่าพลางกำข้อมือของชิงชิวเอาไว้แน่น พริบตานั้นชิงชิวถึงกับปล่อยพลังออกมาหมายจะสลัดมือให้พ้น

กึก….มือของชิงชิวไม่ขยับแม้แต่น้อย ทำเอาชิงชิวสะท้านวาบ อย่าล้อเล่นน่า ตัวมันอยู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 2 ไม่ใช่เท่านั้นตัวมันยังมีพลังอสูรอยู่ระดับบรรพกาลขั้นที่ 2 เหมือนกันอีกต่างหาก ต่อให้เป็นเจ้าสวรรค์ระดับ 3 ก็ไม่น่าจะหยุดกำลังของชิงชิวได้

“พี่ชาย ข้ามาที่นี่เพื่อจะขอโทษเท่านั้น เชื่อข้าเถอะนะ”จูล่งว่าพลางส่งสายตาอ้อนวอนมาทางชิงชิว เรื่องมันบานปลายใหญ่โตไปได้อย่างไรก็ไม่ทราบ จูล่งเพียงต้องการจะมาขอโทษเหล่าลี่ที่ทำกระบี่ของนางหักเท่านั้น

“เจ้าว่าอะไรนะ”ชิงชิวถามพลางมองไป๋จูล่งนิ่ง

“ข้ามาที่นี่เพื่อจะมาขอโทษเท่านั้นเอง”จูล่งตอบด้วยท่าทีจริงจังอย่างมาก

“เจ้าบุกเข้ามาที่นี่เพื่อขอโทษเรื่องอะไรกัน”ชิงชิวถามพลางปลดสภาพล่องหนหายตัวของตนเสีย

“ขอรับ เมื่อเย็นข้าทำกระบี่ของพี่สาวเหล่าลี่หัก ข้าก็เลยจะมาขอโทษนาง”จูล่งตอบด้วยท่าทีสำนึกผิด

“จริงงั้นหรือ”ชิงชิวหันไปถามทางสำนักจันทร์กระจ่างที่อยู่ด้านหลัง

“เอ่อ……”เหล่าลี่ที่กลายเป็นต้นเรื่องไปเสียแล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จูล่งทำกระบี่ของนางหักจริงๆ แถมตอนเปิดประตูห้องเหมือนมันจะพยายามขอโทษอะไรบางอย่างจริงๆเสียด้วย

“มันทำกระบี่ของข้าหักจริงๆ…”เหล่าลี่ตอบได้แค่นั้นเพราะนางไม่มั่นใจว่าก่อนหน้านี้จูล่งมาเพื่อขอโทษจริงหรือไม่

“เจ้าก็เลยบุกมาที่สำนักยามดึกแบบนี้เลยเนี่ยนะ”ชิงชิวถามพลางกะพริบตาปริบๆ

“ข้ากลัวว่าพี่สาวจะโกรธข้านี่นา ข้าก็เลยอยากจะมาขอโทษให้เร็วที่สุด”จูล่งตอบด้วยใบหน้าใสซื่ออย่างมาก ทำเอาชิงชิวไม่ทราบจะพูดอะไรดี

“เจ้ามาเพียงเพื่อขอโทษเท่านั้นงั้นหรือ”อยู่ๆเจ้าสำนักจันทร์กระจ่างก็ลุกขึ้นมา พลางถามมาทางจูล่งด้วยท่าทีหวาดๆ

“ขอรับ ข้ามาเพื่อขอโทษเท่านั้นจริงๆ”จูล่งตอบอย่างหนักแน่น มันพยายามบอกไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ แต่ก็ไม่มีใครฟังเลย

“เช่นนั้นก็มาบอกกับเหล่าลี่ตรงๆซะ”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างว่าพลางบอกให้เหล่าลี่ออกมาข้างหน้า นางไม่ใช่คนโง่ เมื่อครู่ชิงชิวใช้พลังออกมาเต็มที่ทำให้นางสัมผัสได้ว่าชิงชิวอยู่ระดับเหนือชั้นกว่าตนเองแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นชิงชิวก็ยังหลุดจากการจับกุมของจูล่งไม่ได้ นั่นหมายความว่าจูล่งนั้นมีพลังเหนือกว่าชิงชิวเสียอีก เกรงว่าหากจะมีเรื่องกับจูล่งต่อไป มันจะทำลายสำนักจันทร์กระจ่างของนางเสียก็คงง่ายดุจพลิกฝ่ามือ

“พี่สาว ข้าต้องขอโทษด้วยเรื่องกระบี่ของท่าน ข้าจะพยายามหามาชดใช้ท่านให้ได้ ข้าสัญญา”จูล่งว่าพลางประสานมือให้กับเหล่าลี่

“เหล่าลี่”เห็นเหล่าลี่มัวยืนอึ้งอยู่ เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างก็พูดเตือนสติลูกศิษย์ของตนทันที

“มะ ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาเจ้าแล้ว”เหล่าลี่ตอบพลางถอยห่างออกมาจากจูล่งช้าๆ

“เช่นนั้นแล้ว…เรื่องราวคราวนี้ถือว่าเข้าใจผิดก็แล้วกัน ข้าต้องขอโทษท่านด้วยที่ล่วงเกิน”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างรีบขอโทษไป๋จูล่งทันที แม้จะทำอะไรมันไม่ค่อยได้ แต่ก็ฟาดฝ่ามือใส่มันไปครั้งหนึ่ง หวังว่ามันจะไม่เอาเรื่อง

“ขอโทษข้า….เรื่องอะไรหรือ”จูล่งทำหน้างงพลางมองไปทางเจ้าสำนักจันทร์กระจ่าง ตัวมันเป็นฝ่ายขอโทษแล้วเหตุใดเจ้าสำนักจันทร์กระจ่างถึงต้องมาขอโทษมันด้วยเล่า

“น้องจูล่ง เจ้าอยู่นี่เอง”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างยังไม่ทันตอบคำถาม หลิงจง ลั่วสุน และพี่สาวซูก็ตามมาจนทันเสียที

“น้องจูล่ง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”หลิงจงถามพลางมองมาที่จูล่ง แต่หากถามว่าเกิดเรื่องอะไรหรือไม่ก็คงต้องตอบว่าเกิดขึ้นแล้วเสียมากกว่า เพราะนอกจากไป๋จูล่งแล้ว รอบๆยังมีเหล่าศิษย์และอาจารย์ของสำนักจันทร์กระจ่าง รวมทั้งชิงชิวอีกต่างหาก ดูจากสภาพลานหินแล้วจะบอกว่าไม่เกิดเรื่องมันก็ไม่เชื่อแล้วล่ะ

“ไม่มีอะไรทั้งสิ้น พวกเราจัดการปัญหากันได้แล้ว”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างว่าพลางเดินเข้ามาแตะไปที่บ่าของจูล่ง ราวกับจะบอกว่าตนเองไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกับจูล่งอีกแล้ว

“ท่านเจ้าสำนักจันทร์กระจ่าง ไม่ได้พบกันนาน”หลิงจงตอบพลางประสานมือคารวะอีกฝ่าย แม้สองสำนักจะไม่ถูกกัน แต่เจ้าสำนักของอีกฝ่ายก็ยังเป็นที่เคารพของชาวเมือง มันต้องคารวะเป็นเรื่องธรรมดา

“น้องชายของข้าผู้นี้พึ่งมาจากหมู่บ้านนอกเมือง ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวนัก หวังว่าจะไม่ก่อเรื่องให้ท่าน”หลิงจงว่าพลางเดินเข้ามาหาไป๋จูล่งเช่นกัน

“ไม่หรอก แม้ตอนแรกจะเข้าใจผิดไปบ้าง แต่ก็นับว่าแก้ไขความเข้าใจผิดไปแล้ว วันนี้สำนักจันทร์กระจ่างได้ทราบความจริงใจของน้องจูล่งแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างตอบพลางพยักหน้าน้อยๆ แม้ความจริงนางจะแค่กลัวพลังของจูล่ง แต่คำพูดของนางทำให้กลายเป็นสำนักจันทร์กระจ่างยกโทษให้จูล่งไปเสียอย่างนั้น

“เช่นนั้นเรากลับกันเถอะ”ลั่วสุนว่าพลางมองเหล่าศิษย์ของสำนักจันทร์กระจ่าง เห็นแววตาหวาดกลัวของพวกมันแล้วลั่วสุนก็เดาออกว่าจริงๆแล้วเป็นเช่นไร

“ตายแล้ว ทำไมพื้นถึงได้พังยับเยินขนาดนี้กัน”อยู่ๆพี่สาวซูก็พูดขึ้นมาทำเอาจูล่งที่ยืนอยู่สะดุ้งวาบ

“ท่านเจ้าสำนักเรื่องพื้นข้าจะซ่อมให้นะ”จูล่งว่าพลางวิ่งไปที่กลางลานหินทันที

“ไม่จำเป….”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างยังไม่ทันพูดปัด ไป๋จูล่งก็ก้มลงเอามือทาบบนพื้น ก่อนที่พื้นหินที่แตกกระจายเพราะฝ่ามือของจูล่งก่อนหน้านี้จะเริ่มกลับเป็นเหมือนเดิมในไม่ช้า แม้การใช้พลังวิญญาณควบคุมพลังธาตุจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่การทำให้ลานหินที่แต่เดิมมีทั้งการตกแต่งและสลักลวดลายเอาไว้กลับมาเป็นเช่นเดิมจำเป็นต้องใช้พลังจินตนาการขนาดไหนนั้นคงไม่มีใครทราบ แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นสภาพของลานหินกลางสำนักจันทร์กระจ่างก็กลับมาเป็นแบบเดิมทุกระเบียบนิ้วราวกับจูล่งจดจำภาพมันก่อนจะพังได้หมดจดไม่มีผิด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 427 ซ่อมคืน

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 427 ซ่อมคืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 427

ซ่อมคืน

วูบ…ร่างของชายหนุ่มชุดขาวค่อยๆหายไปจากเบื้องหน้าเจ้าสำนักจันทร์กระจ่างช้าๆ ทำเอาทั้งเจ้าสำนักจันทร์กระจ่างทั้งเหล่าศิษย์ต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก นี่มันไม่ใช่เคลื่อนไหวรวดเร็วจนเหมือนหายไปต่อหน้า แต่เป็นการหายตัวกันเห็นๆเลยไม่ใช่หรือ

ฟุบ..อยู่ๆไป๋จูล่งที่อยู่ตรงหน้าก็เคลื่อนตัวหลบเสียอย่างนั้น ราวกับกำลังโดนใครบางคนไล่จับไม่มีผิด

“……”ชายชุดขาวที่แต่เดิมคิดจะเข้าไปจับตัวไป๋จูล่งเอาไว้เท่านั้นมีท่าทีประหลาดใจอย่างมาก ชายหนุ่มผู้นี้ทำราวกับมองเห็นว่ามันอยู่ที่ไหน แถมยังหลบหลีกได้อย่างง่ายดายอีกต่างหาก

“พี่ชาย ฟังข้าก่อน”จูล่งพูดพลางมองไปทางพื้นว่างเปล่าเบื้องหน้า ในกลุ่มคนของสำนักจันทร์กระจ่างไม่มีใครเลยที่มองเห็นว่าตรงหน้าจูล่งนั่นคือตำแหน่งที่ชายชุดขาวอยู่นั่นเอง

“เจ้า…มองเห็นงั้นหรือ”ชายชุดขาวพูดพลางมองจูล่งด้วยท่าทีตกใจ ปกติแล้ววิชาล่องหนหายตัวของชายหนุ่มนั้นแม้แต่ผู้ใช้เนตรจิตก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ หลังจากฝึกฝนเพิ่มเติมมานานหลายปี การปิดบังพลังของชายชุดขาวก็เข้าถึงระดับสูงสุด ชนิดที่ว่าแม้แต่เนตรจิตก็ยังไม่สามารถสัมผัสพลังของมันได้ แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้มองเห็นตัวชายชุดขาวได้ นั่นก็คือ เนตรสีม่วง ที่ทั้งไป๋จูเหวินและไป๋หลินมีนั่นเอง แม้จะไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ แต่ตลอดหลายปีที่ชิงชิวท่องยุทธภพมานั้นกลับเจอผู้ใช้วิชาเนตรเหล่านี้มาบ้าง นอกจากไป๋จูเหวิน ไป๋หลิน และ อสูรตาเดียวที่ชิงชิวเคยเจอแล้ว ยังมีอีก 2 คนที่ชิงชิวได้พบเห็นด้วยตนเอง เพียงแต่ท่าทางจะต้องเพิ่มเป็น 3 คนเสียแล้ว

“ขอรับ ท่านก็ยืนอยู่ตรงหน้าข้านี่ไง”ไป๋จูล่งตอบพลางมองชิงชิวที่กำลังยืนอึ้งอยู่เบื้องหน้า ไม่นึกเลยว่าแค่คนที่บุกเข้ามาในหอพักหญิงจะมีวิชาเนตรแบบนี้ด้วย ปกติผู้ครอบครองพลังเนตรเช่นนี้มักจะเป็นผู้กลืนแก่นอสูรของอสูรที่มีพลังนี้มาทั้งสิ้น แต่เด็กหนุ่มเช่นนี้ไปได้พลังแบบนี้มาจากไหนกัน

“ถ้างั้นก็…”ชิงชิวเมื่อได้ทราบว่าอีกฝ่ายสามารถใช้เนตรสีม่วงได้ก็ไม่คิดจะประมาทอีกต่อไป ท่าทางชายหนุ่มผู้นี่จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว

วูบ.. แสงสีขาวเริ่มส่องประกายออกมารอบตัวชิงชิวอย่างรวดเร็ว วิธีการรับมือกับเนตรสีม่วงนั้นคือการใช้พลังเทวะปราบมารที่มีแสงของพลังวิญญาณสว่างกว่าวิชาอื่นๆ หากใช้ต่อหน้าผู้ใช้เนตรสีม่วงละก็ มันจะสว่างจ้าจนทำให้มองไม่เห็นอะไรเลยทีเดียว

ฟุบ! ชิงชิวปล่อยพลังเทวะปราบมารออกมาวูบหนึ่งก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาไป๋จูล่ง ยามนี้หากเป็นผู้ใช้เนตรสีม่วงมันจะต้องแสบตามากแน่ๆ ทำให้ชิงชิวมีโอกาสจะเข้าไปจับตัวมันเอาไว้ แน่นอนว่าชิงชิวไม่คิดจะเลยเถิดถึงขั้นเลือดตกยางออก เพียงต้องจับตัวอีกฝ่ายเอาไว้เท่านั้น มันจึงเลือกที่จะเข้าไปข้างหลังแล้วใช้แขนเอื้อมเข้าไปหมายจะจับกุมให้อยู่กับที่

วูบ… จูล่งเดินออกไปนิดหน่อยทำให้ชิงชิวคว้าได้เพียงความว่างเปล่า

ฟุบๆๆ แม้ตอนแรกจะจับพลาด แต่ชิงชิวก็ยังพยายามจับตัวจูล่งเอาไว้ แต่จูล่งกลับขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลบมือของชิงชิวเท่านั้น การกระทำเช่นนี้หากไม่ได้มองเห็นอย่างชัดเจนจะทำได้อย่างไร ยิ่งยามนี้ชิงชิวอยู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 2 ยิ่งมีความเร็วเหนือมนุษย์มาก หากเป็นคนอื่นลำพังหลบให้พ้นก็ยากพอแล้ว ยิ่งมองไม่เห็นตัวชิงชิวยิ่งยากเข้าไปใหญ่

เพี๊ย! จูล่งปัดฝ่ามือของชิงชิวที่กำลังพุ่งเข้ามาหมายจะจับตัวจูล่งเอาไว้ทันที ก่อนจะถอยออกมาสองก้าวทำให้ฝ่ามือต่อไปของชิงชิวเข้าไม่ถึงตัว ยามนี้ไม่ทราบทำไมชิงชิวถึงเหมือนกำลังพยายามคว้าอากาศไม่มีผิด

“……..”ตั้งแต่ชิงชิวก้าวขึ้นระดับเจ้าสวรรค์มาก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แม้อีกฝ่ายจะมีระดับสูงกว่าชิงชิว แต่เพราะความสามารถพิเศษและกระบวนท่าของชิงชิวทำให้การหลบเป็นเรื่องยากมาก แต่ชายหนุ่มผู้นี้กลับทำได้ราวกับเป็นเรื่องปกติ ต่อให้มีเนตรสีม่วงก็ไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนี้

“สีเงิน…”ชิงชิวสะดุ้งโหยงเมื่อมองเข้าไปในดวงตาของไป๋จูล่ง ปกติผู้ใช้เนตรสีม่วงจะมีประกายแสงสีม่วงออกมาจากดวงตา ทั้งไป๋จูเหวิน ไป๋หลิน หรือคนอื่นๆเองก็เป็นเช่นนั้น แต่ยามนี้ที่ดวงตาของจูล่งกลับส่องประกายแสงสีเงินออกมาเสียอย่างนั้น ตัวชิงชิวที่เคยอยู่กับไป๋จูเหวินมาก่อนยังไม่เคยเห็นดวงตาสีนี้เสียด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เวลาไป๋จูเหวินต่อสู้จะเปลี่ยนสีดวงตาไปเรื่อยๆแท้ๆ

หมับ…ขณะที่ชิงชิวกำลังครุ่นคิดกับภาพที่เห็นตรงหน้า มือของจูล่งก็คว้าหมับเข้าที่แขนของมันทันที

“พี่ชาย ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆนะ”จูล่งว่าพลางกำข้อมือของชิงชิวเอาไว้แน่น พริบตานั้นชิงชิวถึงกับปล่อยพลังออกมาหมายจะสลัดมือให้พ้น

กึก….มือของชิงชิวไม่ขยับแม้แต่น้อย ทำเอาชิงชิวสะท้านวาบ อย่าล้อเล่นน่า ตัวมันอยู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 2 ไม่ใช่เท่านั้นตัวมันยังมีพลังอสูรอยู่ระดับบรรพกาลขั้นที่ 2 เหมือนกันอีกต่างหาก ต่อให้เป็นเจ้าสวรรค์ระดับ 3 ก็ไม่น่าจะหยุดกำลังของชิงชิวได้

“พี่ชาย ข้ามาที่นี่เพื่อจะขอโทษเท่านั้น เชื่อข้าเถอะนะ”จูล่งว่าพลางส่งสายตาอ้อนวอนมาทางชิงชิว เรื่องมันบานปลายใหญ่โตไปได้อย่างไรก็ไม่ทราบ จูล่งเพียงต้องการจะมาขอโทษเหล่าลี่ที่ทำกระบี่ของนางหักเท่านั้น

“เจ้าว่าอะไรนะ”ชิงชิวถามพลางมองไป๋จูล่งนิ่ง

“ข้ามาที่นี่เพื่อจะมาขอโทษเท่านั้นเอง”จูล่งตอบด้วยท่าทีจริงจังอย่างมาก

“เจ้าบุกเข้ามาที่นี่เพื่อขอโทษเรื่องอะไรกัน”ชิงชิวถามพลางปลดสภาพล่องหนหายตัวของตนเสีย

“ขอรับ เมื่อเย็นข้าทำกระบี่ของพี่สาวเหล่าลี่หัก ข้าก็เลยจะมาขอโทษนาง”จูล่งตอบด้วยท่าทีสำนึกผิด

“จริงงั้นหรือ”ชิงชิวหันไปถามทางสำนักจันทร์กระจ่างที่อยู่ด้านหลัง

“เอ่อ……”เหล่าลี่ที่กลายเป็นต้นเรื่องไปเสียแล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จูล่งทำกระบี่ของนางหักจริงๆ แถมตอนเปิดประตูห้องเหมือนมันจะพยายามขอโทษอะไรบางอย่างจริงๆเสียด้วย

“มันทำกระบี่ของข้าหักจริงๆ…”เหล่าลี่ตอบได้แค่นั้นเพราะนางไม่มั่นใจว่าก่อนหน้านี้จูล่งมาเพื่อขอโทษจริงหรือไม่

“เจ้าก็เลยบุกมาที่สำนักยามดึกแบบนี้เลยเนี่ยนะ”ชิงชิวถามพลางกะพริบตาปริบๆ

“ข้ากลัวว่าพี่สาวจะโกรธข้านี่นา ข้าก็เลยอยากจะมาขอโทษให้เร็วที่สุด”จูล่งตอบด้วยใบหน้าใสซื่ออย่างมาก ทำเอาชิงชิวไม่ทราบจะพูดอะไรดี

“เจ้ามาเพียงเพื่อขอโทษเท่านั้นงั้นหรือ”อยู่ๆเจ้าสำนักจันทร์กระจ่างก็ลุกขึ้นมา พลางถามมาทางจูล่งด้วยท่าทีหวาดๆ

“ขอรับ ข้ามาเพื่อขอโทษเท่านั้นจริงๆ”จูล่งตอบอย่างหนักแน่น มันพยายามบอกไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ แต่ก็ไม่มีใครฟังเลย

“เช่นนั้นก็มาบอกกับเหล่าลี่ตรงๆซะ”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างว่าพลางบอกให้เหล่าลี่ออกมาข้างหน้า นางไม่ใช่คนโง่ เมื่อครู่ชิงชิวใช้พลังออกมาเต็มที่ทำให้นางสัมผัสได้ว่าชิงชิวอยู่ระดับเหนือชั้นกว่าตนเองแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นชิงชิวก็ยังหลุดจากการจับกุมของจูล่งไม่ได้ นั่นหมายความว่าจูล่งนั้นมีพลังเหนือกว่าชิงชิวเสียอีก เกรงว่าหากจะมีเรื่องกับจูล่งต่อไป มันจะทำลายสำนักจันทร์กระจ่างของนางเสียก็คงง่ายดุจพลิกฝ่ามือ

“พี่สาว ข้าต้องขอโทษด้วยเรื่องกระบี่ของท่าน ข้าจะพยายามหามาชดใช้ท่านให้ได้ ข้าสัญญา”จูล่งว่าพลางประสานมือให้กับเหล่าลี่

“เหล่าลี่”เห็นเหล่าลี่มัวยืนอึ้งอยู่ เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างก็พูดเตือนสติลูกศิษย์ของตนทันที

“มะ ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาเจ้าแล้ว”เหล่าลี่ตอบพลางถอยห่างออกมาจากจูล่งช้าๆ

“เช่นนั้นแล้ว…เรื่องราวคราวนี้ถือว่าเข้าใจผิดก็แล้วกัน ข้าต้องขอโทษท่านด้วยที่ล่วงเกิน”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างรีบขอโทษไป๋จูล่งทันที แม้จะทำอะไรมันไม่ค่อยได้ แต่ก็ฟาดฝ่ามือใส่มันไปครั้งหนึ่ง หวังว่ามันจะไม่เอาเรื่อง

“ขอโทษข้า….เรื่องอะไรหรือ”จูล่งทำหน้างงพลางมองไปทางเจ้าสำนักจันทร์กระจ่าง ตัวมันเป็นฝ่ายขอโทษแล้วเหตุใดเจ้าสำนักจันทร์กระจ่างถึงต้องมาขอโทษมันด้วยเล่า

“น้องจูล่ง เจ้าอยู่นี่เอง”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างยังไม่ทันตอบคำถาม หลิงจง ลั่วสุน และพี่สาวซูก็ตามมาจนทันเสียที

“น้องจูล่ง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”หลิงจงถามพลางมองมาที่จูล่ง แต่หากถามว่าเกิดเรื่องอะไรหรือไม่ก็คงต้องตอบว่าเกิดขึ้นแล้วเสียมากกว่า เพราะนอกจากไป๋จูล่งแล้ว รอบๆยังมีเหล่าศิษย์และอาจารย์ของสำนักจันทร์กระจ่าง รวมทั้งชิงชิวอีกต่างหาก ดูจากสภาพลานหินแล้วจะบอกว่าไม่เกิดเรื่องมันก็ไม่เชื่อแล้วล่ะ

“ไม่มีอะไรทั้งสิ้น พวกเราจัดการปัญหากันได้แล้ว”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างว่าพลางเดินเข้ามาแตะไปที่บ่าของจูล่ง ราวกับจะบอกว่าตนเองไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกับจูล่งอีกแล้ว

“ท่านเจ้าสำนักจันทร์กระจ่าง ไม่ได้พบกันนาน”หลิงจงตอบพลางประสานมือคารวะอีกฝ่าย แม้สองสำนักจะไม่ถูกกัน แต่เจ้าสำนักของอีกฝ่ายก็ยังเป็นที่เคารพของชาวเมือง มันต้องคารวะเป็นเรื่องธรรมดา

“น้องชายของข้าผู้นี้พึ่งมาจากหมู่บ้านนอกเมือง ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวนัก หวังว่าจะไม่ก่อเรื่องให้ท่าน”หลิงจงว่าพลางเดินเข้ามาหาไป๋จูล่งเช่นกัน

“ไม่หรอก แม้ตอนแรกจะเข้าใจผิดไปบ้าง แต่ก็นับว่าแก้ไขความเข้าใจผิดไปแล้ว วันนี้สำนักจันทร์กระจ่างได้ทราบความจริงใจของน้องจูล่งแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างตอบพลางพยักหน้าน้อยๆ แม้ความจริงนางจะแค่กลัวพลังของจูล่ง แต่คำพูดของนางทำให้กลายเป็นสำนักจันทร์กระจ่างยกโทษให้จูล่งไปเสียอย่างนั้น

“เช่นนั้นเรากลับกันเถอะ”ลั่วสุนว่าพลางมองเหล่าศิษย์ของสำนักจันทร์กระจ่าง เห็นแววตาหวาดกลัวของพวกมันแล้วลั่วสุนก็เดาออกว่าจริงๆแล้วเป็นเช่นไร

“ตายแล้ว ทำไมพื้นถึงได้พังยับเยินขนาดนี้กัน”อยู่ๆพี่สาวซูก็พูดขึ้นมาทำเอาจูล่งที่ยืนอยู่สะดุ้งวาบ

“ท่านเจ้าสำนักเรื่องพื้นข้าจะซ่อมให้นะ”จูล่งว่าพลางวิ่งไปที่กลางลานหินทันที

“ไม่จำเป….”เจ้าสำนักจันทร์กระจ่างยังไม่ทันพูดปัด ไป๋จูล่งก็ก้มลงเอามือทาบบนพื้น ก่อนที่พื้นหินที่แตกกระจายเพราะฝ่ามือของจูล่งก่อนหน้านี้จะเริ่มกลับเป็นเหมือนเดิมในไม่ช้า แม้การใช้พลังวิญญาณควบคุมพลังธาตุจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่การทำให้ลานหินที่แต่เดิมมีทั้งการตกแต่งและสลักลวดลายเอาไว้กลับมาเป็นเช่นเดิมจำเป็นต้องใช้พลังจินตนาการขนาดไหนนั้นคงไม่มีใครทราบ แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นสภาพของลานหินกลางสำนักจันทร์กระจ่างก็กลับมาเป็นแบบเดิมทุกระเบียบนิ้วราวกับจูล่งจดจำภาพมันก่อนจะพังได้หมดจดไม่มีผิด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+