บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 56 เข้าร่วมสำนักเขี้ยวมังกร

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 56 เข้าร่วมสำนักเขี้ยวมังกร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 56

เข้าร่วมสำนักเขี้ยวมังกร

 

“นะ นี่เจ้าค่ะแหวนมิติที่คุณชายต้องการ”หลังจากเคลียปัญหาเรื่องเสือดำเสร็จ ไป๋จูเหวินก็บอกจื่อลู่ถึงเรื่องที่ทำให้ตนกลับมาเร็วขนาดนี้

“ขอบใจ นี่ค่าแหวนของเจ้า”ไป๋จูเหวินว่าพลางส่งเหรียญทองจำนวนกว่า 1000 เหรียญไปให้จื่อลู่อย่างสบายใจ

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ หากคุณชายมีสิ่งใดต้องการสามารถมาบอกข้าได้โดนตรงนะเจ้าคะ”จื่อลู่ยิ้มพลางรับเหรียญทองมาอย่างเบิกบานใจ แม้ไป๋จูเหวินจะช่วยทำให้เสือดำเชื่อง แต่ในฐานะแม่ค้านางกลับเป็นฝ่ายขาดทุนไปเสียได้ เพราะนางกลับถูกใจเจ้าเสือดำที่เชื่องราวกับลูกแมวตนนี้เอามากๆ มันถึงขนาดสามารถมานอนเล่นข้างๆจื่อลู่ตอนเจรจาซื้อขายได้เลยทีเดียว แต่เพราะเสือดำเป็นอสูรที่นางเสียเงินจ้างผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณไปจับมาให้ เท่ากับนางต้องเสียเงินเพิ่มเพี่อซื้อจับอสูรตัวใหม่มาส่งให้กับสำนักเขี้ยวมังกร และคราวนี้นางจะกำชับเป็นอย่างดีว่าห้ามให้ยาสลบหมดฤทธิ์กลางทางเช่นนี้อีก

“เอาไว้อยากได้อะไรข้าจะมาอีกแล้วกัน”ไป๋จูเหวินว่าพลางลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีพอใจ แหวนมิติทั้งสองวงเป็นระดับดีที่สุดที่ในร้านสามารถหามาได้ ภายในเก็บของได้มากกว่าร้อยตารางเมตร มันเป็นเหมือนโกดังเก็บของเคลื่อนที่ไม่มีผิด

“นายหญิง…จะเลี้ยงมันเอาไว้จริงๆหรือขอรับ”ลูกน้องของจื่อลู่ถามด้วยท่าทีระแวง แม้ตอนนี้มันจะเชื่องแต่เหล่าลุกน้องยังจำตอนมันอาลาวาดได้ดี

“ก็ไม่เห็นเสียหายนี่ จะว่าไปอสูรเลี้ยงต้องใส่เครื่องประดับสินะ เจ้าไปหาปลอกคอมาสักเส้นไป เอาที่ทำจากหยกแล้วกัน”จื่อลู่ยิ้มพลางมองเจ้าเสือดำที่นอนเล่นอยู่ข้างกาย แบบนี้มันคงช่วยข่มพวกผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่มาขอซื้อขายได้มากทีเดียว

“นายน้อย….”ทันทีที่กลับมาถึงห้องพัก ไป๋จูเหวินก็นำแหวนมิติออกมาให้ต้าชิงและต้าเฉินคนละวง ก่อนจะนำกระบี่และดาบระดับตำนานออกมาอย่างละเล่มให้ทั้งสองเอาไว้

“ของพวกนี้พี่ชิงพี่เฉินเลือกเอาเถอะว่าชอบอันไหน”ไป๋จูเหวินวางเกราะวิเศษทั้ง 8 ชิ้นลงบนพื้น หากนำทั้ง 8 มาประกอบกันจะได้เกราะครบชุด 1 ชุดกับอีก 2 ชิ้นที่ซ้ำกัน ทำให้ไป๋จูเหวินบอกให้พวกต้าชิงต้าเฉินแบ่งกันเอง

“แล้วนายน้อยละขอรับ”ต้าเฉินถามด้วยความเป็นห่วง เกราะวิเศษเหล่านี้นายน้อยเองก็สามารถใส่ได้ไม่เหมือนกับอาวุธที่ไป๋จูเหวินไม่ได้ใช้งาน

“ข้ามีอยู่แล้ว”ไป๋จูเหวินตอบพลางเปิดเสื้อให้ต้าชิงต้าเฉินเห็นเสื้อสีขาวที่อยู่ด้านใน

“จะว่าไปตอนประลองเสื้อตัวนี้ก็ไม่ขาดเลยนี่นา”ต้าชิงพูดพลางนึกถึงตอนประลองกับอู๋หมิง ตอนนั้นเครื่องแบบของไป๋จูเหวินยับเยินเสียหายอย่างมากแต่กลับมีเพียงเสื้อสีขาวด้านในเท่านั้นที่ไม่เป็นอะไรเลย แต่พอมาคิดดูอีกทีผิวหนังของนายน้อยก็แข็งแกร่งมาก บางทีอาจจะไม่ต้องใช้เกราะพวกนี้ก็ได้

“ถ้าเช่นนั้น”ต้าชิงพูดพลางมองเกราะวิเศษตรงหน้า ทั้ง 8 ชิ้นแบ่งออกเป็น เกราะส่วนอก 1 ชิ้น ไหล่ 1 ชิ้น เกราะแขน 2 คู่ เกราะขา 2 คู่ และเข็มขัดอีก 2 ชิ้น โดยพวกมันมีการออกแบบเหมือนกันทั้งหมดราวกับสร้างมาให้เข้าชุดกันแต่แรกแล้ว ที่เกราะอกและเกราะไหล่หายไปอาจจะเพราะเจ้าของแหวนโดนเล่นงานจนที่ใส่อยู่แต่เดิมเสียหายจึงต้องทำการเปลี่ยนเท่านั้น ทำให้ต้าชิงและต้าเฉินสวมปลอกแขนปลอกขาและเข็มขัดกันคนละชุดโดยต้าชิงให้ต้าเฉินสวมเกราะส่วนอกเอาไว้ ส่วนตนเองก็ใส่เกราะส่วนไหล่เอง

“ข้าอยากจะร้องให้”ต้าเฉินว่าพลางเช็ดน้ำตาของตนเอง เกราะวิเศษดาบวิเศษเหล่านี้มันทำได้แค่ฝันถึงเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ตนได้สวมใส่มันจริงๆ

“คืนนี้พวกท่านจะฝึกฝนพลังต่อหรือไม่”ไป๋จูเหวินถามพลางนั่งลงบนเตียงราวกับจะเข้านอน

“ขอรับ ข้าว่าจะฝึกต่อจนกว่าจะเช้า”ต้าชิงตอบพลางประสานมือรับอย่างอ่อนน้อม

“งั้นข้าขอพักก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้เราจะไปสำนักเขี้ยวมังกรกัน”ไป๋จูเหวินพูดจบก็เอนตัวลงนอน อาจจะเพราะมันเริ่มคุ้นเคยกับทักษะการ หมุน พลังวิญญาณและพลังอสูรในตัวแล้วก็ได้ ต่อให้ไม่ต้องนั่งสมาธิก็สามารถฝึกฝนพลังได้ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ตอนหลับ ทำให้ในเมืองที่ไม่สามารถปล่อยเคล็ดวิชาโลหิตมังกรออกมาได้ไม่ว่าจะนอนหรือไม่ก็มีค่าเท่ากัน

.

.

ในเช้าวันต่อมา ต้าชิงและต้าเฉินก็ก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 10 ของระดับก่อกำเนิดเท่านี้ก็เหลือแต่รอให้พวกเขาหลอมผลึกวิญญาณขึ้นมาได้ไป๋จูเหวินจะได้นำยาให้พวกมันกินเสียที

หลังจากทานอาหารเช้าไป๋จูเหวินและบ่าวรับใช้ทั้งสองก็เดินทางมาที่เขตตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเดินทางมายังสำนักเขี้ยวมังกรซึ่งเป็นเป้าหมายแต่แรก

“กรรรร”ทันทีที่เดินทางมาถึงหน้าประตูสำนักเขี้ยวมังกร สิ่งแรกที่เด่นชัดที่สุดก็คงหนีไม่พ้นอสูรหมาป่าสีขาวและสีดำที่นั่งอยู่หน้าประตูราวกับสุนัขเฝ้าประตู ที่คอของพวกมันมีปลอกคอสวมเอาไว้แต่ไม่มีโซ่ล่าม นั่นหมายความว่ามันเป็นอสูรเลี้ยงของสำนักแน่นอน

“หุบปาก”ขณะไป๋จูเหวินจะเดินเข้าสำนัก ชายร่างใหญ่คนหนึ่งก็ตะโกนใส่หมาป่าทั้งสองตัวอย่างดุดัน ที่หลังของมันปรากฏดาบวิเศษเล่มหนึ่งแขวนเอาไว้ท่าทางเอาเรื่องไม่ใช่เล่น

“กรร”แต่ดูเหมือนเสียงตะโกนของชายคนนั้นจะไม่เป็นผล หมาป่าทั้งสองยังคงส่งเสียงคำรามพลางจ้องมายังตัวชายคนนั้นด้วยท่าทีไม่ชอบใจนัก

“ถ้าพวกเจ้าไม่ใช่อสูรเลี้ยง ข้าจะถลกหนังพวกเจ้าออกมาซะ”ชายคนนั้นว่าพลางชักดาบออกมาจากฝัก วินาทีนั้นมันก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาอย่างหนาแน่นจนหมาป่าทั้งสองถอยออกไปสองสามก้าว แต่ท่าทีดุร้ายก็ไม่ลดลงไปเลย

“หลอมรวมปฐพี…ขั้น 5”ไป๋จูเหวินพึมพำพลางมองชายร่างใหญ่ที่หน้าประตู

“หยุดก่อน”ก่อนที่ชายร่างใหญ่จะทำอะไร ชายชราคนหนึ่งก็ออกมาห้ามเสียก่อน เพียงแต่ทันทีที่ชายชราพูดออกมาหมาป่าสีขาวและดำก็ถอยกลับมายืนที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว

“มีเรื่องอะไรกัน”ชายชราถามพลางใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองเดินออกมาจากสำนักเขี้ยวมังกร

“ข้าจะมาสมัครเข้าสำนัก แต่อสูรหมาป่าสองตัวนั่นมาขวางข้าเอาไว้”ได้ยินคำพูดของชายร่างใหญ่ ชายชราก็ขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ

“เจ้าต้องการเป้นนักล่าอสูรงั้นหรือ”ชายชราถามพลางมองร่างของชายหนุ่มตรงอน้าอย่างพิจารณา

“ถูกต้อง”ชายร่างใหญ่ตอบอย่างองอาจผ่าเผย

“อืม…กลิ่นคาวเลือดบนตัวเจ้าคงกระตุ้นให้สุนัขเฝ้าประตูระแวง เจ้าเข้ามาได้แล้วพวกมันไม่ขวางเจ้าอีกต่อไป”ชายชราพูดพลางจ้องมองหมาป่ารอบๆ ทำให้พวกมันคอตกกลับไปเฝ้าเสาประตูของพวกมันต่อ

“เหอะ”ชายร่างใหญ่ส่งเสียงไม่พอใจก่อนจะจ้องมองหมาป่าอย่างอารมเสีย

“พวกเราก็ไปกันเถอะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินเข้าไปหาชายชราที่ยืนอยู่หน้าสำนักเขี้ยวมังกร ที่นี่มีกลิ่นไอของมนุษย์และสัตว์อสูรปะปนกันอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางภายในจะมีอสูรอยู่หลายตัวทีเดียว

“ฮ่ง….”ทันทีที่ไป๋จูเหวินเข้ามาใกล้ หมาป่าที่นั่งหงอยจากการโดนดุเมื่อครู่ก็วิ่งเข้ามาหาไป๋จูเหวินทันที เพียงแต่คราวนี้พวกมันไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเช่นเดียวกับชายร่างใหญ่ แต่กลับเข้ามาดมร่างของไป๋จูเหวินด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น แต่พอจมูกมาใกล้สร้อยคอของไป๋จูเหวินมันก็หยุดดมแต่เพียงเท่านี้ก่อนจะกลับมายืนตัวตรงต่อหน้าไป๋จูเหวินแทน

“…..”เห็นภาพตรงหน้าชายชราก็มองไป๋จูเหวินอย่างสนใจทันที ไม่ใช่เพราะท่าทีของหมาป่า แต่เพราะพลังอสูรที่ไหลออกมาจากตัวไป๋จูเหวิน

“เจ้าหนู เจ้าเป็นนักล่าอสูรงั้นหรือ”ชายชราถามออกมาอย่างประหลาดใจ เพราะปกติแล้วคนที่จะมีพลังอสูรได้ย่อมต้องเป็นนักล่าอสูร หรือ อดีตนักล่าอสูรเช่นตัวมันเท่านั้น แต่ตัวมันที่เคยเป้นนักล่าอสูรรู้ดีว่าการจะเป็นนักล่าอสูรต้องมีพลังระดับหลอมรวมปฐพีเสียก่อน เพราะหากพลังไม่ถึงขั้นหลอมรวมปฐพีแล้วละก็ต่อให้กินยาผสานจิตอสูรของกลุ่มนักล่าอสูรเข้าไปก็ไม่อาจรอดชีวิตได้ ทำให้ไป๋จูเหวินที่พลังวิญญาณอ่อนด้อยเช่นนี้จึงเป็นเรื่องน่าสงสัยอย่างมาก

“ข้ายังไม่ใช่นักล่าอสูรขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบพลางประสานมือให้ชายชรา แม้จะทำท่าอ่อนแอแต่ภายในชายชรากลับมะพลังวิญญาณและพลังอสูรที่แข็งแกร่งไม่น้อย แม้พลังอสูรจะอยู่เพียงระดับ เงิน ขั้น 1 แต่พลังวิญญาณกลับอยู่ถึงขั้นหลอมรวมวิญญาณเลยทีเดียว เรียกได้ว่าระดับเหนือกว่าอู๋หมิงขั้นหนึ่งเลยทีเดียว

“นั่นหมายความว่าเจ้าอยากจะเป็นสินะ”ชายชรายิ้มพลางมองไป๋จูเหวินอย่างคาดหวัง สำนักย่อยของกลุ่มนักล่าอสูรมีจำนวนมากมายในนครต่างๆเพราะกลุ่มนักล่าอสูรถือเป็นนครเป็นกลางที่ส่งคนออกล่าอสูรได้ทั่วทั้งประเทศ การปั้นนักล่าอสูรถือเป็นหน้าที่หลักของสำนักย่อยเหล่านี้ ทำให้มันต้องการเหล่าศิษย์มีพรสวรรค์อย่างมากจริงๆ

“ขอรับ ข้าเดินทางมาเพื่อสมัครเข้าสำนักเขี้ยวมังกรร่วมกับสหายของข้า”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน

“สหายของเจ้า”ชายชราได้ยินเช่นนั้นก็มองไปที่ต้าชิงและต้าเฉิน ดูจากอายุกับระดับพลังวิญญาณคงบอกได้ว่าไม่เลว แม้จะไม่โดดเด่นเท่าไป๋จูเหวินแต่ก็ผ่านเกณอย่างเหลือเฟือ เพียงฝึกฝนอยู่ที่สำนักสัก 5 หรือ 10 ปีเพื่อก้าวขึ้นเป็นระดับหลอมรวมปฐพีพวกมันก็สามารถสมัครเข้ากลุ่มนักล่าอสูรในนามของสำนักเขี้ยวมังกรได้ทันที

“ดี พวกเจ้าเข้าไปในสำนักเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เมื่อถึงเวลาจะเริ่มการทดสอบ”พูดจบชายชราก็เดินกลับเข้าไปในประตูพลางลอบมองไป๋จูเหวินอีกครั้ง แต่เดิมหมาป่าทั้งสองตัวที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเป็นด่านทดสอบแรกว่าจะสามารถเดินผ่านสัตว์อสูรเลี้ยงเข้ามาในสำนักได้หรือไม่ เรียกได้ว่าเป็นการทดสอบว่าจะกล้าเผชิญหน้ากับอสูรหรือไม่นั่นเอง

ตามปกติพวกมันทั้งสองตัวไม่ได้โดนสั่งให้โจมตีคนที่เข้าประตูมาตรงๆ แต่เพราะชายคนก่อนหน้านี้มีกลิ่นคาวเลือดแรงเกินไปทำให้ทั้งสองตัวหวาดระแวง แต่การที่ชายร่างใหญ่ยังตรงเข้ามาหาอสูรทั้งสองนับว่ามีความกล้าเผชิญหน้าเหลือเฟือ ส่วนพวกไป๋จูเหวิน ต้าชิง และ ต้าเฉินที่เดินเข้ามาง่ายๆนั้นนับว่าสอบผ่านไป 1 ด่านอย่างง่ายดายแล้ว

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด