บุตรอสูรบรรพกาล บุตรอสูรบรรพกาล 259 อาวุธลับ

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 259 อาวุธลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 259 อาวุธลับ

 

“ท่าทาง เจ้าจะไม่เหมาะกับวิชากระบี่จริงๆ” หลังจากฝึกฝนพลังวิญญาณกันเสร็จแล้ว ชินหลุนก็เริ่มถ่ายทอดวิชากระบี่ราชวงศ์ชินให้กับไป๋จูเหวินและเหม่ยหลิน แน่นอนว่าไป๋จูเหวินสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ในเชิงกระนั้นไป๋จูเหวินกลับไม่แม้แต่จะเป็นมือกระบี่ระดับเริ่มต้นเสียด้วยซ้ํา

 

“ขอรับ นายน้อยไร้ซึ่งจิตกระบี่โดยสิ้นเชิงจริงๆ” หวังตงพยักหน้าเห็นด้วย แม้จะวาดกระบวนท่าได้อย่างหมดจด แต่สําหรับมือกระบี่ขั้นสูงแล้ว ไป๋จูเหวินกลับไม่สามารถผสานตนเข้ากับกระบี่ได้เลย ตรงกันข้ามกับเหม่ยหลินที่ใช้กระบี่เป็นอาวุธอยู่แล้ว และยิ่งไม่ต้องเทียบกับอู๋หมิงเลย รายนั้นแทบจะผสานเป็นหนึ่งกันอยู่แล้ว

 

“เอาเถอะ คนไม่ถนัดก็คงช่วยไม่ได้ ชินอี้ เจ้าถนัดวิชาอะไร”ชินหลุนถามพลางถอนหายใจออกมา ตัวมันนั้นถนัดวิชากระบี่มากที่สุด แต่บุตรชายกลับใช้กระบี่ไม่ได้มันก็เสียใจอยู่นิดหน่อย

 

“ข้าใช้วิชาฝามือขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มเจื่อนๆ ก็ช่วยไม่ได้นี่นาในเขตอสูรมันไม่มีอาวุธเลย แถมตัวไป๋จูเหวินเองยังเคยจับอาวุธไม่กี่ครั้งอีกต่างหาก

 

“จริงสิ วิชาฝ่ามือของนายน้อยน่าสนใจมากขอรับ นายท่านจะต้องชอบแน่ๆ” หวังตงพูดพลางยิ้มกว้าง มันยังจําฝ่ามือที่ไป๋จูเหวินใช้ใส่ตนได้ มันรุนแรงและทรงพลังอย่างมาก

 

“งั้นหรือ ชินดี้แสดงให้พ่อดูหน่อย”ชินหลุนว่าพลางมองไป๋จูเหวินอย่างตั้งใจ ทําให้ไป๋จูเหวินพยักหน้าครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มแสดงกระบวนท่าออกมาทีละท่าๆ ยกเว้นท่าของท่านน้าจิ้งจอกที่เป็นกระบวนท่าตั้งรับเสียส่วนใหญ่ที่ให้หวังตงช่วยในการแสดง

 

“…”ชินหลุนเงียบไปครู่หนึ่งพลางหลับตาลง ด้วยความทรงจําเหนือมนุษย์และประสบการณ์ฝึกฝนมานาน ทําให้มันสามารถจดจํากระบวนท่าทั้งหมดและวิเคราะห์ได้ในสมองทันที

 

“วิชาพวกนี้ ไม่เหมือนวิชาของมนุษย์เลย” ชินหลุนพูดพลางลืมตาขึ้นมา เพียงมองครั้งเดียวมันก็ทราบแล้วว่าวิชาพวกนี้เป็นวิชาที่อสูรคิดขึ้น ท่าทางพวกอสูรที่เลี้ยงบุตรชาย มันมาจะสร้างบุญคุณให้ไม่น้อย หากวันใดได้ตอบแทนก็คงดี

 

“ชินอี้ เจ้ามีเคล็ดวิชาให้พ่อดูหรือไม่”ชินหลุนถามด้วยท่าทีครุ่นคิด เห็นบิดาตนเองขอเช่นนี้ไป๋จูเหวินก็นําตําราทั้ง 5 เล่มออกมาให้บิดามันดู

 

“วิชาด้านหน้าส่วนใหญ่มนุษย์ไม่สามารถฝึกได้ขอรับ มีเพียงบางวิชาเท่านั้นที่พอจะฝึกฝนได้”ไป๋จูเหวินว่าพลางมอบตําราให้บิดาไป แต่มันกลัวบิดาจะเผลอฝึกส่วนหน้าทําให้เป็นอย่างเฒ่าประทับสวรรค์จึงบอกเอาไว้ก่อน

 

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”ชินหลุนว่าพลางเปิดอ่านตําราที่ละหน้าๆพลางยิ้มมุมปาก

 

“แม่จะฝึกกระบวนท่าไม่ได้ แต่วิธีเดินพลังในกระบวนท่าแรกๆนั้นสามารถดึงออกมาใช้ได้ ชินอี้ ให้เวลาพ่อหน่อย พ่อจะทําให้วิชาของเจ้ากลายเป็นวิชาของมนุษย์”ได้ยินเช่นนั้นไป๋จูเหวินก็เบิกตากว้าง ไป๋จูเหวินเคยแต่เรียนรู้ แต่ยังไม่เคยสรรสร้างเลย มันไม่เคยคิดจะแตะต้องวิชาของพวกท่านน้ามาก่อนเพราะคิดว่ามันดีอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก

 

“ส่วนเจ้า” ชินหลุนพูดพลางหันมามองเหม่ยหลิน

 

“เจ้าคิดว่ากระบี่ราชวงศ์ชิ้นเป็นเช่นไร” ชินหลุนถามเพราะเหม่ยหลินสามารถฝึกกระบี่ราชวงศ์ชินสําเร็จได้ในเวลไม่กี่วันนั่นเอง แถมนางยังมีพรสวรรค์การใช้กระบี่ แม้จะไม่เหนือฟ้าเท่าอู่หมิง แต่ก็น่ากลัวไม่น้อย

 

“ยะ ยอดเยี่ยมมากเจ้าค่ะ เป็นวิชากระบี่ที่…”

 

“ลูกสะใภ้ข้า เจ้าจะเกรงใจข้าไปทําไม” ชินหลุนถามพลางปักกระบี่ลงที่พื้น มันเรียกเหม่ยหลินเช่นนี้เพราะไม่อยากให้เหม่ยหลินมัวแต่เกรงใจจนไม่ยอมพูดความจริง

 

“มัน…ธรรมดา เจ้าค่ะ”เหม่ยหลินตอบเสียงอ้อมแอ้ม เพราะนางก็คิดแบบนี้อยู่แล้ว กระบี่ราชวงศ์ชินนั้นแม้จะชื่อยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นเพียงวิชากระบี่ระดับกลางค่อนมาบนเท่านั้น วิชากระบี่ดาวตกของกลุ่มนักล่าอสูรยังดีเสียกว่าด้วยซ้ํา

 

“ดี ตอบได้ตรงดี” ชินหลุนยิ้มพลางหยิบตําราเล่มหนึ่งออกมา

 

“แต่เดิมกระบี่ราชวงศ์ชินไม่ได้แข็งแกร่งอะไรอยู่แล้ว ข้าให้พวกเจ้าฝึกเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันอีกอย่างเท่านั้น ส่วนนี้ข้ามอบให้เจ้า”ชินหลุนว่าพลางยื่นตํารากระบี่ให้เหม่ยหลิน

 

“ให้ข้า?”เหม่ยหลินเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ แค่เรียนกระบี่ราชวงศ์ชินด้วยกันกับไป๋จูเหวินนางก็เกรงใจมากพอแล้ว แต่นี่ยังจะมอบวิชาให้อีกงั้นหรือ

 

“ถือเป็นของรับขวัญสะใภ้ก็แล้วกัน”ชินหลุนยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางนําตํารามให้เหม่ยหลิน ตําราเล่มนี้เก่ามากแถมเต็มไปด้วยตัวอักษรทั้งเล่ม มีการขีดฆ่าตัวอักษรหลายตัว และเขียนย่อยๆอีกหลายที่ราวกับเป็นตําราเพื่อศึกษาอะไรบางอย่าง

 

“นี่เป็นวิชากระบี่ที่ข้าใช้เวลาในแดนลับแลสร้างขึ้น น่าเสียดายที่บุตรชายข้าคงไม่สามารถฝึกฝนได้” ชินหลุนว่าพลางส่ายหัวเล็กน้อย ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็เสียดายอยู่ดีที่ไป๋จูเหวินฝึกกระบีไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ให้ภรรยาของมันฝึกและสืบทอดอยู่ในตระก็คงได้

 

“เมื่อพวกเจ้ามีทายาท จงให้มันฝึกวิชากระบี่นี้ด้วย” ชินหลุนพูดเหมือนคําขอร้อง แต่มันกลับทําให้เหม่ยหลินหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง นี่ท่านพูดถึงทายาทแล้วงั้นหรือ นางยังไม่ได้ทําใจเลย

 

“ปล่อยมันลงมา” หลังจากเดินทางมานานนับเดือน ในที่สุดกลุ่มเขี้ยวโลหิตที่ไปบุกผาไร้กันก็กลับมาถึงเมืองของพวกมันเสียที

 

“เดินไป อย่าขัดขืน” อาวุโสของกลุ่มเขี้ยวโลหิตว่าพลางล่ามโซ่บนคอของพยัคฆ์อัสนีเอาไว้ น่าประหลาด พยัคฆ์อัสนีกลับไม่มีท่าที่ต่อต้านเลย

 

“ที่นี่เหรอ เมืองของพวกเจ้า” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางเดินตามอาวุโสไปอย่างว่าง่าย แต่ถึงอย่างนั้นพยัคฆ์อัสนีก็ไม่มีท่าที่สลดแต่อย่างไร มันยิ้มและเดินตามราวกับคนที่ล่ามโซ่เอาไว้ พามันมาเดินเที่ยวเสียอย่างนั้น

 

“นี่เป็นกรงของเจ้า เข้าไป” อาวุโสกลุ่มเขี้ยวโลหิตว่าพลาง เปิดกรงขนาดใหญ่กรงหนึ่งให้พยัคฆ์อัสนี พริบตานั้นพยัคฆ์อัสนี้เหล่มองกรงตนเองพลางมองเพื่อนข้างกรงอย่างครุ่นคิด

 

“พวกเจ้าคิดจะทําอะไรกันแน่ถึงจับอสูรมามากมายเช่นนี้” พยัคฆ์อัสนีถามพลางมองกรงจํานวนมากที่เรียงรายอยู่ในชั้นใต้ดิน อสูรส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ต่างเป็นระดับมายากันทั้งนั้น เรียกได้ว่าเป็นเหล่าราชาของเขตอสูรต่างๆก็ว่าได้ พวกมันเหมือนพยัคฆ์อัสนี้ไม่มีผิด แข็งแกร่งและสามารถแหกกรงพวกนี้ออกไปได้ทันที และโซ่ตรวนเพียงเท่านี้ก็ไม่สามารถหยุดพวกมันได้ แต่พวกมันไม่ทํา

 

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า นั่งเงียบๆไป” อาวุโสของกลุ่มเขี้ยวโลหิตว่าพลางล็อคกุญแจให้เรียบร้อย ก่อนที่มันและลูกน้องจะเดินจากไป

 

แกรัง…พยัคฆ์อัสนีเปลี่ยนร่างตนเองเป็นสายฟ้าทําให้ปลอกคอโลหะบนร่างของมันร่วงหล่นลงไปบนพื้น

 

วูบ.ร่างของพยัคฆ์อัสนีเดินทะลุกรงออกมาโดยกรงไม่เสียหายแม้แต่น้อย -nนให้มันอยู่แต่ในกรงคงเบื่อตายแน่ๆ

 

“เจ้า เจ้าจะทําอะไร ห้ามหนีนะ”อสูรตนหนึ่งในกรงตรง ข้ามว่าพลางปล่อยพลังอสูรออกมาขู่พยัคฆ์อัสนี

 

“แล้วจะทําไม ข้าจะไปไหนมันเรื่องของข้า” พยัคฆ์อัสนีว่า พลางทําท่าจะเดินจากไป

 

“ไม่ได้ หากเจ้าหนีไปเจ้าจะทําให้เดือดร้อน” อยู่ๆอสูรในกรงแทบทุกตนก็ปล่อยพลังอสูรออกมากดดันพยัคฆ์อัสนี้เอาไว้ แม้จะอยู่ระดับมายากันทั้งหมด แต่จํานวนมากขนาดนี้ ให้เป็นพยัคฆ์อัสนีก็ไม่ควรประมาท แถมในกลุ่มนี้ไม่ได้มีแต่อสูรระดับมายาเสียด้วย

 

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไปเดินเล่นเท่านั้น เดี๋ยวก็กลับมา” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางเดินออกไปจากห้องขังใต้ดิน พลางทะยานตัวไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว หากมันจะหนีก็สามารถทําได้อย่างง่ายดาย แต่หากมันทําอย่างนั้นมันก็คงไม่หายข้องใจเสียที

 

ฟุบร่างของพยัคฆ์อัสนีพุ่งไปที่สวนแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของกลุ่มเขี้ยวโลหิต ที่นี่ตกแต่งอย่างสวยงามมากกว่าปราสาทตรงกลางเสียอีก

 

คลื่นนนนน…. พยัคฆ์อัสนีเข้ามาถึงเขตสวน พลังอสูรจํานวนมากก็แผ่ออกมา

 

“2 ตนเชียว” พยัคฆ์อัสนีกัดฟันกรอดพลางมองร่างของมังกรสีดําและสีขาวที่ลอยขึ้นมาจากท้องฟ้า เจ้าสองตนนี้มีพลังระดับบรรพกาล แถมยังอยู่ระดับสูงกว่าพยัคฆ์อัสนี้ทั้งคู่อีกต่างหาก

 

“ออกไปซะ”มังกรสีดําว่าพลางคืบคลานผ่านอากาศอ้อมมาด้านหลังของพยัคฆ์อัสนี

 

“ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางมองมังกรทั้งสองที่วนเวียนอยู่รอบๆตัวมัน

 

“แล้วเจ้ามาที่นี่ทําไม”ได้ยินคําถามของมังกรขาว พยัคฆ์อัสนีก็มองไปที่กลางส่วน ที่นั่นมีศาลาแห่งหนึ่งที่ตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ที่ประตูรอบๆกลับลงกลอนเอาไว้อย่างแน่นหนาราวกับไม่ยอมให้อะไรก็ตามที่อยู่ด้านในหลุดออกมา

 

“ข้ามีธุระกับอาวุธลับ” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางชี้ไปที่ศาลา

 

“ไม่ใช่ใครก็เข้ามาได้ หากอยากเข้าไปต้องข้ามศพพวกข้าก่อน”มังกรทั้งสองว่าพลางเตรียมตัวจะต่อสู้กับพยัคฆ์อัสนี

 

“เดี๋ยว” อยู่ๆเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาจากภายในศาลา ทําให้มังกรทั้งสองชะงักไปทันที

 

“ให้ชายผู้นั้นเข้ามา” หญิงสาวพูดพลางเดินออกมาที่ริมหน้าต่าง ไม่ว่าจะมองอย่างไรหญิงสาวในกรงนั่นก็เป็นมนุษย์อย่างแน่นอน

 

“แต่ว่า นายหญิง…”มังกรสีขาวว่าพลางมองมาทางหญิงสาว

 

“ข้าอยากคุยกับมัน” หญิงสาวพูดด้วยท่าที่หนักแน่น ที่มันอยากคุยกับพยัคฆ์อัสนีนั่นเพราะพยัคฆ์อัสนี้ไม่ได้มีท่าทีเหมือนอสูรตนอื่นๆยามได้พบกับนาง

 

“ขอรับ” มังกรสีดําตอบ ก่อนที่ทั้งสองตนจะเปิดทางให้พยัคฆ์อัสนีเข้ามา

 

“เจ้าคืออาวุธลับของกลุ่มเขี้ยวโลหิตงั้นหรือ” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางกระโดดลงไปที่หน้าต่างของหญิงสาว

 

“เจ้าค่ะ…” หญิงสาวว่าพลางยิ้มบางๆ นางมองพยัคฆ์อัสนีครู่หนึ่งก่อนจะทําท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา

 

“ตอนที่ท่านพบข้า ทําไมท่านจึงทําท่าตกใจล่ะ” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย ปกติแล้วเวลาอสูรได้พบนาง พวกมันจะมีท่าที่เชื่องลงเท่านั้น แต่พยัคฆ์อัสนี้ไม่ใช่แบบนั้น มันตกใจและเอาแต่มองนางด้วยความงุนงงแทน

 

“เพราะข้ารู้จักคนที่มีพลังเช่นเจ้า” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางหายใจเข้าลึกๆ มันอยากจะถามว่าหญิงสาวตรงหน้ารู้จักกับไป๋จูเหวินหรือไม่ แต่ก็ไม่กล้า

 

“ท่าน…ท่านเจอบุตรชายข้างั้นหรือ” หญิงสาวถามด้วยใบหน้าตื่นตกใจ นั่นเพราะนางรู้ดีว่าครอบครัวของนางได้ตายไปหมดแล้ว หากจะมีคนมีพลังเช่นนางก็มีเพียงชินอี้บุตรชายของนางเท่านั้น แต่เพราะนางโดนกลุ่มเขียวโลหิตจับเอาไว้เพื่อทําให้อสูรเชื่อง นางจึงไม่เคยทราบข่าวเลยว่าบุตรชายเป็นตายร้ายดีอย่างไร

 

“ได้โปรด บอกข้าเถิดว่าบุตรชายของข้าเป็นอย่างไร ได้โปรด ข้าขอร้อง” หญิงสาวร้องให้ออกมาพลางกุมมือของพยัคฆ์อัสนีเอาไว้ พลังของนางเป็นแบบเดียวกับไป๋จูเหวินแน่ๆ แล้วพยัคฆ์อัสนีจะทนต่อคําขอร้องของนางได้อย่างไร

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรอสูรบรรพกาล บุตรอสูรบรรพกาล 259 อาวุธลับ

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 259 อาวุธลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 259 อาวุธลับ

 

“ท่าทาง เจ้าจะไม่เหมาะกับวิชากระบี่จริงๆ” หลังจากฝึกฝนพลังวิญญาณกันเสร็จแล้ว ชินหลุนก็เริ่มถ่ายทอดวิชากระบี่ราชวงศ์ชินให้กับไป๋จูเหวินและเหม่ยหลิน แน่นอนว่าไป๋จูเหวินสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ในเชิงกระนั้นไป๋จูเหวินกลับไม่แม้แต่จะเป็นมือกระบี่ระดับเริ่มต้นเสียด้วยซ้ํา

 

“ขอรับ นายน้อยไร้ซึ่งจิตกระบี่โดยสิ้นเชิงจริงๆ” หวังตงพยักหน้าเห็นด้วย แม้จะวาดกระบวนท่าได้อย่างหมดจด แต่สําหรับมือกระบี่ขั้นสูงแล้ว ไป๋จูเหวินกลับไม่สามารถผสานตนเข้ากับกระบี่ได้เลย ตรงกันข้ามกับเหม่ยหลินที่ใช้กระบี่เป็นอาวุธอยู่แล้ว และยิ่งไม่ต้องเทียบกับอู๋หมิงเลย รายนั้นแทบจะผสานเป็นหนึ่งกันอยู่แล้ว

 

“เอาเถอะ คนไม่ถนัดก็คงช่วยไม่ได้ ชินอี้ เจ้าถนัดวิชาอะไร”ชินหลุนถามพลางถอนหายใจออกมา ตัวมันนั้นถนัดวิชากระบี่มากที่สุด แต่บุตรชายกลับใช้กระบี่ไม่ได้มันก็เสียใจอยู่นิดหน่อย

 

“ข้าใช้วิชาฝามือขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มเจื่อนๆ ก็ช่วยไม่ได้นี่นาในเขตอสูรมันไม่มีอาวุธเลย แถมตัวไป๋จูเหวินเองยังเคยจับอาวุธไม่กี่ครั้งอีกต่างหาก

 

“จริงสิ วิชาฝ่ามือของนายน้อยน่าสนใจมากขอรับ นายท่านจะต้องชอบแน่ๆ” หวังตงพูดพลางยิ้มกว้าง มันยังจําฝ่ามือที่ไป๋จูเหวินใช้ใส่ตนได้ มันรุนแรงและทรงพลังอย่างมาก

 

“งั้นหรือ ชินดี้แสดงให้พ่อดูหน่อย”ชินหลุนว่าพลางมองไป๋จูเหวินอย่างตั้งใจ ทําให้ไป๋จูเหวินพยักหน้าครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มแสดงกระบวนท่าออกมาทีละท่าๆ ยกเว้นท่าของท่านน้าจิ้งจอกที่เป็นกระบวนท่าตั้งรับเสียส่วนใหญ่ที่ให้หวังตงช่วยในการแสดง

 

“…”ชินหลุนเงียบไปครู่หนึ่งพลางหลับตาลง ด้วยความทรงจําเหนือมนุษย์และประสบการณ์ฝึกฝนมานาน ทําให้มันสามารถจดจํากระบวนท่าทั้งหมดและวิเคราะห์ได้ในสมองทันที

 

“วิชาพวกนี้ ไม่เหมือนวิชาของมนุษย์เลย” ชินหลุนพูดพลางลืมตาขึ้นมา เพียงมองครั้งเดียวมันก็ทราบแล้วว่าวิชาพวกนี้เป็นวิชาที่อสูรคิดขึ้น ท่าทางพวกอสูรที่เลี้ยงบุตรชาย มันมาจะสร้างบุญคุณให้ไม่น้อย หากวันใดได้ตอบแทนก็คงดี

 

“ชินอี้ เจ้ามีเคล็ดวิชาให้พ่อดูหรือไม่”ชินหลุนถามด้วยท่าทีครุ่นคิด เห็นบิดาตนเองขอเช่นนี้ไป๋จูเหวินก็นําตําราทั้ง 5 เล่มออกมาให้บิดามันดู

 

“วิชาด้านหน้าส่วนใหญ่มนุษย์ไม่สามารถฝึกได้ขอรับ มีเพียงบางวิชาเท่านั้นที่พอจะฝึกฝนได้”ไป๋จูเหวินว่าพลางมอบตําราให้บิดาไป แต่มันกลัวบิดาจะเผลอฝึกส่วนหน้าทําให้เป็นอย่างเฒ่าประทับสวรรค์จึงบอกเอาไว้ก่อน

 

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”ชินหลุนว่าพลางเปิดอ่านตําราที่ละหน้าๆพลางยิ้มมุมปาก

 

“แม่จะฝึกกระบวนท่าไม่ได้ แต่วิธีเดินพลังในกระบวนท่าแรกๆนั้นสามารถดึงออกมาใช้ได้ ชินอี้ ให้เวลาพ่อหน่อย พ่อจะทําให้วิชาของเจ้ากลายเป็นวิชาของมนุษย์”ได้ยินเช่นนั้นไป๋จูเหวินก็เบิกตากว้าง ไป๋จูเหวินเคยแต่เรียนรู้ แต่ยังไม่เคยสรรสร้างเลย มันไม่เคยคิดจะแตะต้องวิชาของพวกท่านน้ามาก่อนเพราะคิดว่ามันดีอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก

 

“ส่วนเจ้า” ชินหลุนพูดพลางหันมามองเหม่ยหลิน

 

“เจ้าคิดว่ากระบี่ราชวงศ์ชิ้นเป็นเช่นไร” ชินหลุนถามเพราะเหม่ยหลินสามารถฝึกกระบี่ราชวงศ์ชินสําเร็จได้ในเวลไม่กี่วันนั่นเอง แถมนางยังมีพรสวรรค์การใช้กระบี่ แม้จะไม่เหนือฟ้าเท่าอู่หมิง แต่ก็น่ากลัวไม่น้อย

 

“ยะ ยอดเยี่ยมมากเจ้าค่ะ เป็นวิชากระบี่ที่…”

 

“ลูกสะใภ้ข้า เจ้าจะเกรงใจข้าไปทําไม” ชินหลุนถามพลางปักกระบี่ลงที่พื้น มันเรียกเหม่ยหลินเช่นนี้เพราะไม่อยากให้เหม่ยหลินมัวแต่เกรงใจจนไม่ยอมพูดความจริง

 

“มัน…ธรรมดา เจ้าค่ะ”เหม่ยหลินตอบเสียงอ้อมแอ้ม เพราะนางก็คิดแบบนี้อยู่แล้ว กระบี่ราชวงศ์ชินนั้นแม้จะชื่อยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นเพียงวิชากระบี่ระดับกลางค่อนมาบนเท่านั้น วิชากระบี่ดาวตกของกลุ่มนักล่าอสูรยังดีเสียกว่าด้วยซ้ํา

 

“ดี ตอบได้ตรงดี” ชินหลุนยิ้มพลางหยิบตําราเล่มหนึ่งออกมา

 

“แต่เดิมกระบี่ราชวงศ์ชินไม่ได้แข็งแกร่งอะไรอยู่แล้ว ข้าให้พวกเจ้าฝึกเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันอีกอย่างเท่านั้น ส่วนนี้ข้ามอบให้เจ้า”ชินหลุนว่าพลางยื่นตํารากระบี่ให้เหม่ยหลิน

 

“ให้ข้า?”เหม่ยหลินเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ แค่เรียนกระบี่ราชวงศ์ชินด้วยกันกับไป๋จูเหวินนางก็เกรงใจมากพอแล้ว แต่นี่ยังจะมอบวิชาให้อีกงั้นหรือ

 

“ถือเป็นของรับขวัญสะใภ้ก็แล้วกัน”ชินหลุนยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางนําตํารามให้เหม่ยหลิน ตําราเล่มนี้เก่ามากแถมเต็มไปด้วยตัวอักษรทั้งเล่ม มีการขีดฆ่าตัวอักษรหลายตัว และเขียนย่อยๆอีกหลายที่ราวกับเป็นตําราเพื่อศึกษาอะไรบางอย่าง

 

“นี่เป็นวิชากระบี่ที่ข้าใช้เวลาในแดนลับแลสร้างขึ้น น่าเสียดายที่บุตรชายข้าคงไม่สามารถฝึกฝนได้” ชินหลุนว่าพลางส่ายหัวเล็กน้อย ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็เสียดายอยู่ดีที่ไป๋จูเหวินฝึกกระบีไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ให้ภรรยาของมันฝึกและสืบทอดอยู่ในตระก็คงได้

 

“เมื่อพวกเจ้ามีทายาท จงให้มันฝึกวิชากระบี่นี้ด้วย” ชินหลุนพูดเหมือนคําขอร้อง แต่มันกลับทําให้เหม่ยหลินหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง นี่ท่านพูดถึงทายาทแล้วงั้นหรือ นางยังไม่ได้ทําใจเลย

 

“ปล่อยมันลงมา” หลังจากเดินทางมานานนับเดือน ในที่สุดกลุ่มเขี้ยวโลหิตที่ไปบุกผาไร้กันก็กลับมาถึงเมืองของพวกมันเสียที

 

“เดินไป อย่าขัดขืน” อาวุโสของกลุ่มเขี้ยวโลหิตว่าพลางล่ามโซ่บนคอของพยัคฆ์อัสนีเอาไว้ น่าประหลาด พยัคฆ์อัสนีกลับไม่มีท่าที่ต่อต้านเลย

 

“ที่นี่เหรอ เมืองของพวกเจ้า” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางเดินตามอาวุโสไปอย่างว่าง่าย แต่ถึงอย่างนั้นพยัคฆ์อัสนีก็ไม่มีท่าที่สลดแต่อย่างไร มันยิ้มและเดินตามราวกับคนที่ล่ามโซ่เอาไว้ พามันมาเดินเที่ยวเสียอย่างนั้น

 

“นี่เป็นกรงของเจ้า เข้าไป” อาวุโสกลุ่มเขี้ยวโลหิตว่าพลาง เปิดกรงขนาดใหญ่กรงหนึ่งให้พยัคฆ์อัสนี พริบตานั้นพยัคฆ์อัสนี้เหล่มองกรงตนเองพลางมองเพื่อนข้างกรงอย่างครุ่นคิด

 

“พวกเจ้าคิดจะทําอะไรกันแน่ถึงจับอสูรมามากมายเช่นนี้” พยัคฆ์อัสนีถามพลางมองกรงจํานวนมากที่เรียงรายอยู่ในชั้นใต้ดิน อสูรส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ต่างเป็นระดับมายากันทั้งนั้น เรียกได้ว่าเป็นเหล่าราชาของเขตอสูรต่างๆก็ว่าได้ พวกมันเหมือนพยัคฆ์อัสนี้ไม่มีผิด แข็งแกร่งและสามารถแหกกรงพวกนี้ออกไปได้ทันที และโซ่ตรวนเพียงเท่านี้ก็ไม่สามารถหยุดพวกมันได้ แต่พวกมันไม่ทํา

 

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า นั่งเงียบๆไป” อาวุโสของกลุ่มเขี้ยวโลหิตว่าพลางล็อคกุญแจให้เรียบร้อย ก่อนที่มันและลูกน้องจะเดินจากไป

 

แกรัง…พยัคฆ์อัสนีเปลี่ยนร่างตนเองเป็นสายฟ้าทําให้ปลอกคอโลหะบนร่างของมันร่วงหล่นลงไปบนพื้น

 

วูบ.ร่างของพยัคฆ์อัสนีเดินทะลุกรงออกมาโดยกรงไม่เสียหายแม้แต่น้อย -nนให้มันอยู่แต่ในกรงคงเบื่อตายแน่ๆ

 

“เจ้า เจ้าจะทําอะไร ห้ามหนีนะ”อสูรตนหนึ่งในกรงตรง ข้ามว่าพลางปล่อยพลังอสูรออกมาขู่พยัคฆ์อัสนี

 

“แล้วจะทําไม ข้าจะไปไหนมันเรื่องของข้า” พยัคฆ์อัสนีว่า พลางทําท่าจะเดินจากไป

 

“ไม่ได้ หากเจ้าหนีไปเจ้าจะทําให้เดือดร้อน” อยู่ๆอสูรในกรงแทบทุกตนก็ปล่อยพลังอสูรออกมากดดันพยัคฆ์อัสนี้เอาไว้ แม้จะอยู่ระดับมายากันทั้งหมด แต่จํานวนมากขนาดนี้ ให้เป็นพยัคฆ์อัสนีก็ไม่ควรประมาท แถมในกลุ่มนี้ไม่ได้มีแต่อสูรระดับมายาเสียด้วย

 

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไปเดินเล่นเท่านั้น เดี๋ยวก็กลับมา” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางเดินออกไปจากห้องขังใต้ดิน พลางทะยานตัวไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว หากมันจะหนีก็สามารถทําได้อย่างง่ายดาย แต่หากมันทําอย่างนั้นมันก็คงไม่หายข้องใจเสียที

 

ฟุบร่างของพยัคฆ์อัสนีพุ่งไปที่สวนแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของกลุ่มเขี้ยวโลหิต ที่นี่ตกแต่งอย่างสวยงามมากกว่าปราสาทตรงกลางเสียอีก

 

คลื่นนนนน…. พยัคฆ์อัสนีเข้ามาถึงเขตสวน พลังอสูรจํานวนมากก็แผ่ออกมา

 

“2 ตนเชียว” พยัคฆ์อัสนีกัดฟันกรอดพลางมองร่างของมังกรสีดําและสีขาวที่ลอยขึ้นมาจากท้องฟ้า เจ้าสองตนนี้มีพลังระดับบรรพกาล แถมยังอยู่ระดับสูงกว่าพยัคฆ์อัสนี้ทั้งคู่อีกต่างหาก

 

“ออกไปซะ”มังกรสีดําว่าพลางคืบคลานผ่านอากาศอ้อมมาด้านหลังของพยัคฆ์อัสนี

 

“ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางมองมังกรทั้งสองที่วนเวียนอยู่รอบๆตัวมัน

 

“แล้วเจ้ามาที่นี่ทําไม”ได้ยินคําถามของมังกรขาว พยัคฆ์อัสนีก็มองไปที่กลางส่วน ที่นั่นมีศาลาแห่งหนึ่งที่ตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ที่ประตูรอบๆกลับลงกลอนเอาไว้อย่างแน่นหนาราวกับไม่ยอมให้อะไรก็ตามที่อยู่ด้านในหลุดออกมา

 

“ข้ามีธุระกับอาวุธลับ” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางชี้ไปที่ศาลา

 

“ไม่ใช่ใครก็เข้ามาได้ หากอยากเข้าไปต้องข้ามศพพวกข้าก่อน”มังกรทั้งสองว่าพลางเตรียมตัวจะต่อสู้กับพยัคฆ์อัสนี

 

“เดี๋ยว” อยู่ๆเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาจากภายในศาลา ทําให้มังกรทั้งสองชะงักไปทันที

 

“ให้ชายผู้นั้นเข้ามา” หญิงสาวพูดพลางเดินออกมาที่ริมหน้าต่าง ไม่ว่าจะมองอย่างไรหญิงสาวในกรงนั่นก็เป็นมนุษย์อย่างแน่นอน

 

“แต่ว่า นายหญิง…”มังกรสีขาวว่าพลางมองมาทางหญิงสาว

 

“ข้าอยากคุยกับมัน” หญิงสาวพูดด้วยท่าที่หนักแน่น ที่มันอยากคุยกับพยัคฆ์อัสนีนั่นเพราะพยัคฆ์อัสนี้ไม่ได้มีท่าทีเหมือนอสูรตนอื่นๆยามได้พบกับนาง

 

“ขอรับ” มังกรสีดําตอบ ก่อนที่ทั้งสองตนจะเปิดทางให้พยัคฆ์อัสนีเข้ามา

 

“เจ้าคืออาวุธลับของกลุ่มเขี้ยวโลหิตงั้นหรือ” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางกระโดดลงไปที่หน้าต่างของหญิงสาว

 

“เจ้าค่ะ…” หญิงสาวว่าพลางยิ้มบางๆ นางมองพยัคฆ์อัสนีครู่หนึ่งก่อนจะทําท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา

 

“ตอนที่ท่านพบข้า ทําไมท่านจึงทําท่าตกใจล่ะ” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย ปกติแล้วเวลาอสูรได้พบนาง พวกมันจะมีท่าที่เชื่องลงเท่านั้น แต่พยัคฆ์อัสนี้ไม่ใช่แบบนั้น มันตกใจและเอาแต่มองนางด้วยความงุนงงแทน

 

“เพราะข้ารู้จักคนที่มีพลังเช่นเจ้า” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางหายใจเข้าลึกๆ มันอยากจะถามว่าหญิงสาวตรงหน้ารู้จักกับไป๋จูเหวินหรือไม่ แต่ก็ไม่กล้า

 

“ท่าน…ท่านเจอบุตรชายข้างั้นหรือ” หญิงสาวถามด้วยใบหน้าตื่นตกใจ นั่นเพราะนางรู้ดีว่าครอบครัวของนางได้ตายไปหมดแล้ว หากจะมีคนมีพลังเช่นนางก็มีเพียงชินอี้บุตรชายของนางเท่านั้น แต่เพราะนางโดนกลุ่มเขียวโลหิตจับเอาไว้เพื่อทําให้อสูรเชื่อง นางจึงไม่เคยทราบข่าวเลยว่าบุตรชายเป็นตายร้ายดีอย่างไร

 

“ได้โปรด บอกข้าเถิดว่าบุตรชายของข้าเป็นอย่างไร ได้โปรด ข้าขอร้อง” หญิงสาวร้องให้ออกมาพลางกุมมือของพยัคฆ์อัสนีเอาไว้ พลังของนางเป็นแบบเดียวกับไป๋จูเหวินแน่ๆ แล้วพยัคฆ์อัสนีจะทนต่อคําขอร้องของนางได้อย่างไร

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+