บุตรอสูรบรรพกาล 394 วังหลวงที่เงียบเหงา

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter 394 วังหลวงที่เงียบเหงา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 394

วังหลวงที่เงียบเหงา

“ยินดีต้อนรับบัณฑิตใหม่ทุกท่านสู่วังหลวง”หลังจากผ่านช่วงสอบใหญ่ของวังหลวงมาเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะมีบัณฑิตใหม่เข้ามาทำงานในวังหลวง โดยส่วนใหญ่แล้วบัณฑิตแต่ละคนจะถูกจัดงานตามคะแนนสอบที่สามารถทำได้ตอนเข้ามา แน่นอนว่าชิงจื่อน้องชายของชิงชิวก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน

“ในม้วนกระดาษเหล่านี้จะระบุหน้าที่และหัวหน้าของแต่ละคนให้ทราบ เมื่อรับม้วนกระดาษไปแล้วให้ไปรายงานตัวกับหัวหน้าของแต่ละคนเข้าใจนะ”ขุนนางอสูรพูดพลางวางม้วนกระดาษลงบนโต๊ะ ซึ่งบัณฑิตใหม่ที่เข้ามานั้นมีเพียง 12 คนเท่านั้น แน่นอนว่า 12 คนที่เข้ามาได้ย่อมเป็น 12 คนที่ทำคะแนนในการสอบได้ดีที่สุด แม้จะน่าเสียดายที่ชิงจื่อไม่สามารถสอบได้คะแนนอันดับ 1 แต่การสอบวัดผลระดับเมืองหลวงนั้นได้อยู่ในอันดับ 1 ใน 12ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้วจริงๆ

นับแต่นี้ไปชิงจื่อจะเข้ามาทำงานเป็นบัณฑิตของวังหลวง โดยจะทำงานเป็นลูกน้องของขุนนางชั้นผู้น้อยอีกที แต่สิ่งที่ชิงจื่อเล็งเอาไว้ย่อมไม่ใช่ตำแหน่งบัณฑิตในตอนนี้อย่างแน่นอน มันจะต้องพยายามสอบและเข้าเป็นขุนนางให้ได้ หลังจากนั้นก็จะไต่เต้ายศของตนเองขึ้นไปเรื่อยๆให้จงได้

“หอตำรา?”หลังจากได้รับม้วนกระดาษระบุหน้าที่และตำแหน่งของตนเองมาแล้ว ชิงจื่อก็พบว่าตนเองต้องไปประจำอยู่ที่หอตำราภายในเขตวังหลวง

“…….”ชิงจื่อเดินมาตามเส้นทางที่สอบถามมาจากทหารยาม ดูเหมือนมันจะได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยของขุนนางที่มีหน้าที่เฝ้าหอคำราอีกที แต่เมื่อเดินมาถึงหอตำราที่มันต้องทำงานนับแต่นี้ไปตัวชิงจื่อก็เกิดอาการก้าวไม่ออกขึ้นมาทันที

“นั่นมัน…ทองคำงั้นเหรอ”ชิงจื่อว่าพลางมองไปยังวังทองคำที่อยู่ด้านหลังหอตำราพอดี หากเข้าไปในหอตำราแล้วจะสามารถมองเห็นวังทองคำของท่านน้าไก่ฟ้าจากหน้าต่างหอตำราได้อย่างชัดเจน

“เป็นทิวทัศน์ที่งดงามดีใช่ไหมล่ะ”ชิงจื่อยังยืนอึ้งอยู่หน้าประตูทำให้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในหอตำราเอ่ยทักทายออกมา

“ขะ ขอรับ งดงามมาก”ชิงจื่อตอบพลางมองเครื่องแบบของฝ่ายตรงข้าม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นขุนนางมันจึงรีบประสานมือคารวะอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ใส่ใจนัก

“ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนเลยนะว่าอย่าเข้าไปในวังทองคำเด็ดขาด หากเจ้าแอบเข้าไปต่อให้เป็นตำแหน่งขุนนางก็โดนไล่ออกเข้าใจหรือไม่”ชายตรงหน้าพูดขู่พลางมองมาทางชิงจื่อด้วยท่าทีไม่ไว้ใจนัก

“ขะ ขอรับ”ชิงจื่อรับคำอย่างหนักแน่น บ้านของมันโดนสั่งสอนมาให้ซื่อสัตย์ มันไม่มีความคิดจะเอาของคนอื่นอยู่แล้ว ลำพังที่บ้านมันสุขสบายได้ก็เพราะเงินจากวังหลวง มันไม่มีทางคิดร้ายกับวังหลวงแน่ๆ

“ดี วันนี้เจ้าไล่ดูบนชั้นตำรา จำให้หมดว่าตำราเล่มไหนอยู่ตรงไหน เมื่อมีผู้มาเบิกตำราก็หยิบให้อย่ารอช้า”ได้ยินคำสั่งชิงจื่อก็ประสานมือก้มหัวพลางรับคำอย่างขันแข็ง

“เจ้าเฝ้าไปก่อน ข้ามีธุระต้องไปทำ”ชายตรงหน้าชิงจื่อโบกมือพลางเดินออกจากหอตำราไปปล่อยให้ชิงจื่ออยู่เฝ้าหอตำราตามลำพัง

“……”ชิงจื่อมองหัวหน้าของตนเดินลงจากหอตำราไปก็ได้แต่มองตาปริบๆ แต่เมื่อครู่มันได้รับคำสั่งแล้วก็ไม่มีทางอื่นนอกจากทำตาม

ณะหว่างชิงจื่อกำลังท่องจำว่าตำราเล่มไหนอยู่ตรงไหรบ้าง ชิงจื่อก็พบว่าตำราพวกนี้ต่างเป็นตำราที่ตนคุ้นเคยดี ไม่ได้เป็นตำราลับหรือต้องห้ามอะไร ไม่นานชิงจื่อก็พอจะจำได้ลางๆว่าตำราเล่มไหนอยู่ที่ใดบ้าง แต่ก็มีตำราหลายๆเล่มที่ตัวมันไม่เคยอ่าน มันจึงต้องใช้เวลาอีกมากในการจดจำตำราทั้งหมด

“งานในเมืองหลวงนี่ว่างกว่าที่คิดแฮะ”ชิงจื่อว่าพลางมองไปรอบๆ นอกจากเดินจำตำแหน่งของตำราแล้ว ชิงจื่อก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แถมเมืองหลวงก็ดูเงียบเหงามากอีกต่างหากราวกับไม่มีคนอยู่ในวังเลย

ครืดดด…ประตูหอตำราถูกเปิดออกช้าๆพร้อมร่างของเด็กสาวคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในหอตำราอย่างเคยชิน ดูแล้วนางไม่เหมือนขุนนางเท่าไหร่ อายุราวๆ4 หรือ 5 ขวบเท่านั้น ทำให้ชิงจื่อรู้สึกแปลกใจมากที่เห็นเด็กแบบนี้เดินเข้ามาในหอตำรา

“พี่ชาย ข้ากำลังตามหาตำราอยู่ ท่านช่วยข้าได้หรือไม่”เด็กสาวถามพลางเดินมาทางชิงจื่อที่อยู่เฝ้าหอตำราแต่เพียงผู้เดียว

“…….”ชิงจื่อไม่ได้ตอบอะไร เพราะมัวแต่ตกตะลึงกับภาพตรงหน้าอยู่ เด็กสาวคนนี้ใบหน้างดงามก็จริงอยู่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชิงจื่อประหลาดใจ แต่เพราะเส้นผมของนางเป็นสีทองทั้งหมดต่างหาก ดูแล้วน่าประหลาดใจอย่างมาก แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่อึดใจใหญ่ชิงจื่อก็เดาออกว่าอีกฝ่ายต้องเป็นอสูรแน่ๆ และก็ไม่แปลกเท่าไหร่ที่อสูรจะมีร่างจำแลงที่มีสีผมแปลกตาแบบนี้

“เจ้าหาตำราอะไรหรือ”ชิงจื่อกระพริบตาพลางมองเด็กสาวตรงหน้า เด็กอายุขนาดนี้แม้จะเป็นอสูรก็เถอะแต่กลับมาหาตำราอ่านช่างน่าชื่นชมจริงๆ น้องชายของมันก็อายุไม่ต่างจากนางมากยังเอาแต่เที่ยวเล่นไม่ยอมเรียนเลย

“หลักคำนวณของหลิวเหมาเล่มที่ 5 กับ วิชาหลอมเหลวของหลิวเซียน”ได้ยินชื่อตำราที่เด็กสาวบอกชิงจื่อก็ถึงกับอึ้งไป ตำราพวกนี้ไม่ใช่ว่ามันไม่เคยอ่าน แต่เป็นตำราที่มันยังต้องใช้เวลาทำความเข้าใจนานมากทีเดียว มันไม่ใช่ตำราที่เด็กอายุขนาดนี้จะอ่านได้เลย

“มีอะไรหรือพี่ชาย”เด็กสาวผมทองถามพลางเอียงคอสงสัย

“ปะ เปล่าขอรับ”ชิงจื่อตอบพลางเดินไปหยิบตำราตามที่เด็กสาวขอ

“จินจื่อ เจ้าเอาแต่อ่านตำราอีกแล้วเหรอ”ยังไม่ทันได้เอาตำรามาให้เด็กสาว ชิงจื่อก็พบว่าที่หน้าประตูมีเด็กสาวและเด็กชายอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาเสียแล้ว ไม่ทราบว่าพวกมันเป็นลูกของขุนนางท่านใดหรือไม่ถึงได้สามารถเดินทางไปมาในวังหลวงได้เช่นนี้

“จินจื่อ อย่าเอาแต่อ่านตำราเลย ไปเล่นในสวนกับพวกเราดีกว่า”เด็กชายว่าพลางยิ้มกว้าง เด็กทั้งสองคนมีใบหน้าที่เหมือนกันมาก แต่เด็กผู้หญิงมีผมที่ยาวกว่าและมีท่าทางเรียบร้อยกว่า ส่วนเด็กชายกลับดูซุกซนและมีเส้นผมกระเซาะกระเซิงอย่างประหลาด

“พวกพี่ไปเล่นเถอะ ข้าขออยู่ที่นี่ดีกว่า”เด็กสาวที่ชื่อจินจื่อตอบพลางยิ้มรับด้วยท่าทีอายๆ

“เจ้าแน่ใจนะ”เด็กสาวอีกคนถามด้วยท่าทีเสียดาย

“เจ้าค่ะ วันนี้ข้าอยากจะอ่านตำรา”จินจื่อตอบพลางยิ้มบางๆให้พี่ๆทั้งสอง

“น่าเสียดาย”เด็กชายว่าพลางถอนหายใจออกมา

“งั้นเราไปก่อนนะจินจื่อ”เด็กสาวว่าพลางหันหลังตามเด็กชายไป

เปรี้ยง!!พริบตาเดียวร่างของเด็กทั้งสองก็หายวับไปกับตา ทำเอาชิงจื่อแทบจะทำตำราหลุดมือ แม้เมืองของมันจะมีอสูรและผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณมากมาย แต่มันก็ไม่เคยเห็นใครเคลื่อนไหวได้เร็วเท่านี้มาก่อนเลย

“ขอบคุณเจ้าค่ะ”เห็นชิงจื่อยืนอึ้งไม่ขยับไปไหนจินจื่อก็ได้แต่เดินเข้ามารับตำราในมือชิงจื่อด้วยตนเอง

“ขอรับ…”ชิงจื่อมองจินจื่อที่เดินถือตำราไปนั่งอ่านบนโต๊ะภายในหอตำราเสียอย่างนั้น

หลังจากจินจื่อนำตำราไปอ่าน นางก็ตั้งใจอ่านอย่างมากทีเดียว สำหรับเด็กอายุขนาดนางแล้วทำให้ชิงจื่ออดนับถือไม่ได้ที่อ่านตำราที่ตัวมันพึ่งทำความเข้าใจได้ไม่นานรู้เรื่องเสียแล้ว แม้จะมีท่าทีอ่านติดขัดอยู่บ้าง แต่ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว

“เจ้าชอบอ่านตำรางั้นหรือ”ชิงจื่อถามพลางเดินเข้าไปหาเด็กสาว

“เจ้าค่ะ”ชินจื่อตอบพลางกระพริบตาช้าๆเหมือนไม่ทราบว่าชิงจื่อต้องการอะไรถึงเข้ามาถามตน

“ข้าเห็นเจ้าอ่านติดขัด ข้าเลยอยากจะช่วยเจ้าหน่อย”ชิงจื่อว่าพลางนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับชินจื่อ

“ท่านจะช่วนสอนข้างั้นหรือ”ชินจื่อถามด้วยท่าทีสนใจ ปกตินางจะให้มารดาช่วยสอนแต่เพราะตอนนี้มารดาเดินทางไกลไม่อาจกลับมาหานางได้นางก็เลยต้องพยายามทำความเข้าใจด้วยตนเองไปก่อน

“เท่าที่ข้าพอจะสอนได้นะ”ชิงจื่อว่าพลางยิ้มบางๆออกมา บอกตามตรงว่างานที่มันได้รับมอบหมายให้ทำค่อนข้างน่าเบื่อมันเลยอยากจะอู้เสียหน่อย

“ถ้างั้น..”จินจื่อยิ้มหวานพลางชี้ไปบนตำราพลางเริ่มถามคำถามกับชิงจื่อเป็นชุดๆ ทำเอาชิงจื่อเหงื่อตก นางมีคำถามต่อเนื้อหาในตำราที่มากมายเหลือเกิน แถมยังเป็นคำถามที่ตัวชิงจื่อยังไม่เคยคิดมาก่อนเสียด้วยซ้ำ ทำให้กว่าจะหาคำตอบมาอธิบายให้จินจื่อได้ก็ใช้เวลานานมากทีเดียว

“จินจื่อ เจ้าอยู่ที่นี่หรือเปล่า”หลังจากอ่านตำรากันได้นับชั่วโมง อยู่ๆหญิงสาวผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย

“ท่านน้า”จินจื่อตอบรับพลางลุกขึ้นไปหาหญิงสาวที่เดินเข้ามา

“วันนี้พ่อกับแม่ของเจ้าจะกลับมาแล้วนะ ดูเหมือนจะออกเดินทางมาสักพักแล้ว”หญิงสาวว่าพลางยิ้มมองเด็กสาวด้วยท่าทีเอ็นดู

“จริงเหรอ”จินจื่อมีท่าทีดีใจอย่างมากเมื่อได้ทราบข่าวว่าบิดามารดาของตนจะกลับมาแล้ว ทำให่ชิงจื่อที่นั่งสอนนางอยู่จนถึงเมื่อครู่ยิ้มออกมาบางๆ แม้นางจะตั้งใจเรียนดี แต่ชิงจื่อกลับมองว่านางมีท่าทีเหงาๆอย่างเห็นได้ชัด พอทราบว่าบิดามารดาของตนจะกลับมานางก็ยิ้มออกมาทำให้ชิงจื่อเข้าใจทันทีว่าทำไมนางถึงมีอาการเช่นนั้น

“ชิงจื่อ เจ้าอยู่ที่นี่หรือเปล่า”อยู่ๆเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังมาจากหน้าหอตำรา ทำเอาชิงจื่อต้องหันไปมองด้วยความสงสัยทันที

“พี่อวิ๋นอี้?”ชิงจื่อเบิกตามองอวิ๋นอี้พี่ชายในหมู่บ้านวิ่งเข้ามาในหอตำราด้วยท่าทางรีบร้อน

“เจ้าอยู่นี่เอง พี่ชายของเจ้าฝากมาให้ข้าช่วยแนะนำเมืองหลวงให้เจ้า แต่พอข้าไปหาเจ้าบัณฑิตใหม่ก็แยกย้ายกันแล้ว”อวิ๋นอี้ว่าพลางหอบหายใจหนักๆออกมา

“ไม่ต้องหรอกขอรับ ข้าไม่หลงทางหรอก”ชิงจื่อว่าพลางพูดกับอวิ๋นอี้อย่างสุภาพ ที่หมู่บ้านยังไม่ทราบว่าจริงๆแล้วอวิ๋นอี้เป็นเพียงบ่าวรับใช้ ในใจชิงจื่อยังแอบนับถืออวิ๋นอี้อยู่มากเพราะตัวมันเองยังไม่อาจสอบได้อันดับ 1 อย่างพี่อวิ๋นอี้เลย

“ไม่ได้ พี่ชายเจ้าขอมาทั้งที….”อวิ๋นอี้ว่าพลางมองไปทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆตนเองกับเด็กสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับชิงจื่อ

“ข้าน้อยขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ”อวิ๋นอี้ขนลุกวาบก่อนจะทิ้งตัวก้มลงคุกเข่ากับพื้นในทันที

“พี่อวิ๋นอี้ มีอะไรงั้นเหรอ”ชิงจื่อถามพลางมองไปทางจินจื่อกับหญิงสาวที่มาตามนางด้วยท่าทีงงๆ

“เจ้าบ้า คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ รู้หรือเปล่าว่าพวกนางเป็นใคร”อวิ๋นอี้ว่าพลางจับตัวชิงจื่อให้คุกเข่าลง

“พวกท่านคือพระมาตุจฉากับพระราชนัดดาขององค์จักรพรรดิเชียวนะ เจ้ากล้านั่งคุยเป็นคนปกติได้อย่างไร”อวิ๋นอี้ว่าพลางก้มหัวปรกๆอย่างตกใจไม่นึกว่าชิงจื่อจะมาวันแรกก็นั่งคุยกับผู้มีฐานะเป็นน้าขององค์จักรพรรดิกับหลานสาวขององค์จักรพรรดิเสียแล้ว ทำเอาข่าวที่ชิงชิวจะกลับมาในวันพรุ่งนี้มลายหายไปในความคิดของมันไปเสียแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด