ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน 3011
หลังจากลงเฮลิคอปเตอร์ สวียินตงพาเย่เฉินดินไปที่ห้องประชุมของสำนักว่านหลงที่อยู่โซนด้านหน้า เขาถามเย่เฉินขณะเดิน “พี่ชาย ไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไร? ท่านมาจากที่ไหนของหัวเซี่ย?” เย่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถามในสิ่งที่ควรถาม และอย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรจะถาม” สวียินตงกัดฟันอดทน ทำได้เพียงกล่าวอย่างอึดอัดว่า “ไม่ใช่…….อีกสักครู่ผมต้องแนะนำท่านให้รู้จักกับจอมพลของพวกเรา ยังไงก็ต้องแนะนำชื่อใช่ไหม?” เย่เฉินกล่าวโดยไม่คิด “ผมแซ่เย่ พวกคุณเรียกผมว่าอาจารย์เย่ก็ได้” “อาจารย์……เย่?” สวียินตงมองเย่เฉินด้วยความตกตะลึงตาค้างจนพูดอะไรไม่ออก ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่อย่างน้อยก็สามารถบอกได้จากแววตาของเขาว่าเขาไม่ได้พูดล้อเล่น สวียินตงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก และแอบคิดอยู่ในใจ “แม่งฉิบหายเป็นเซียนอะไรกันแน่? เขาไม่เคยเห็นคนที่เสแสร้งเก่งขนาดนี้มาก่อน ยังมาบอกว่าเป็นอาจารย์เย่ อาจารย์อะไร? อาจารย์กำลังภายในหรือ? แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่สวียินตงยังคงกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ที่แท้คืออาจารย์เย่ ยินดีที่ได้พบท่าน ผมคือสวียินตง นายพลสามดาวของสำนักว่านหลง!” “นายพลสามดาว?” เย่เฉินถามอย่างสงสัย “เกาหลีสนับสนุนคุณเหรอ?” สวียินตงถามด้วยสีหน้าที่มึนงง “คุณเย่…….ไม่ถูก! อาจารย์เย่ ท่าน…….หมายถึงอะไร……ผมไม่เข้าใจ…….” เย่เฉินกล่าวโดยไม่ “คุณบอกว่าคุณเป็นนายพลสามดาวไม่ใช่หรือ? ผมขอถามคุณ ชื่อของคุณได้รับการสนับสนุนโดยซัมซุงกรุปของเกาหลีใช่ไหม?” (*สามดาวออกเสียงเหมือนกับซัมซุงในภาษาจีน) สวียินตงอยากจะบ้าตาย และกล่าวโพล่งออกมาว่า “อาจารย์เย่ ท่านพูดล้อเล่นเก่งจัง นายพลสามดาวคือระดับดาวของสำนักว่านหลง ต่ำสุดคือระดับหนึ่งดาว สูงสุดคือระดับห้าดาว ผมอยู่ในระดับสามดาว ดังนั้นผมจึงเป็นนายพลสามดาว” เมื่อเย่เฉินได้ยินเรื่องนี้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและแอบคิดอยู่ในใจ “สวียินตงเป็นนักบู๊สองดาว ถ้าหากนักบู๊สองดาวนั้นสามารถจัดอันดับเป็นนายพลสามดาวของสำนักว่านหลง งั้นนายพลสี่ดาวอย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนักบู๊สามดาวใช่ไหม? ส่วนความแข็งแกร่งของนายพลห้าดาวน่าจะอยู่ในระดับนักบู๊สี่ดาว แล้วประมุขของพวกเขาอย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนักบู๊ห้าดาวหรือสูงกว่านั้นใช่ไหม?” “หากเป็นเช่นนั้นจริง ความแข็งแกร่งของสำนักว่านหลงนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ ในหัวเซี่ยมีตระกูลศิลปะการต่อสู้มากมาย ตอนนี้มีเพียงท่านเหอแห่งตระกูลเหอเท่านั้น ที่ประสบความสำเร็จสามารถทะลวงไปถึงนักบู๊สี่ดาวจากความช่วยเหลือของผม แต่สำนักว่านหลงอย่างน้อยนั้นมีนักบู๊สี่ดาวและสูงกว่านักบู๊สี่ดาวมากมาย” เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่เฉินจึงถามว่า “ผมได้ยินว่าช่วงสงครามเมื่อหลายวันก่อน ทหารของพวกเราได้ฆ่านายพลห้าดาวของพวกคุณไปหนึ่งคน? คนนั้นน่าจะแข็งแกร่งกว่าคุณมากใช่ไหม?” สวียินตงกัดฟันและกล่าวว่า “คนที่ท่านกล่าวถึงคือหลูจ้านจุน นายพลห้าดาวของพวกเรา เขาแข็งแกร่งกว่าผมมาก และเขายังเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานายพลหลายร้อยคนของพวกเรา……..” เย่เฉินกระเดาะปาก ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “จุ๊ ๆ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ก็กลัวกระสุน เขาทำงานหนักมาครึ่งค่อนชีวิต แต่สุดท้ายถูกคนที่ไม่รู้หนังสือชาวซีเรียยิงตาย คุณคิดว่าขาดทุนไหม?” เมื่อได้ยินประโยคนี้ สวียินตงรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในใจ เขามีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับหลูจ้านจุน และตอนนี้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเหน็บแนมหลูจ้านจุน เขาต้องรู้สึกโกรธแค้นเป็นธรรมดา เพียงแต่ สิ่งที่เย่เฉินกล่าวนั้นเขาไม่สามารถหักล้างได้ ยิ่งไปกว่านั้นการกล่าวเหน็บแนมว่ากองทัพของฮามิดไม่รู้หนังสือ นั่นคือสิ่งที่เขาพลั้งปากกล่าวออกมาเมื่อสักครู่ หลูจ้านจุนเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ถ้าหากทหารหลายคนยิงเขาด้วยปืนกล เขามีโอกาสที่จะหลบหนีและฆ่าคู่ต่อสู้ได้สูง แต่ว่าการสู้รบครั้งสุดท้ายของหลูจ้านจุน เขาและทหารหัวกะทิของสำนักว่านหลงถูกโอบล้อมด้วยจุดยุทธศาสตร์การยิงมากมาย และปืนกลหนักทุกทิศทางจนก่อตัวเป็นเครือข่ายพลังยิงรอบด้าน ซึ่งปืนกลหนักลำกล้องขนาด 12.7 มิลลิเมตรนั้น แม้แต่ช้างแอฟริกายังสามารถถูกฆ่าตายด้วยการยิงนัดเดียว ดังนั้น แม้ว่าหลูจ้านจุนจะเป็นนายพลห้าดาว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ สวียินตงรู้สึกเกลียดชังเย่เฉินมากขึ้นกว่าเดิม จนแทบอดใจไม่ไหวที่จะชักปืนออกมา แต่เขากัดฟันและพาเย่เฉินเดินไปที่ประตูห้องประชุม หลังจากนั้นเขาเคาะประตู คนที่อยู่ข้างในกล่าวว่า “เข้ามา” สวียินตงผลักประตูเข้าไป และกล่าวกับคนจีนที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “จอมพล ผู้แทนเจรจาของฝ่ายฮามิดชื่ออาจารย์เย่มาถึงแล้วครับ!”
หลังจากลงเฮลิคอปเตอร์ สวียินตงพาเย่เฉินดินไปที่ห้องประชุมของสำนักว่านหลงที่อยู่โซนด้านหน้า เขาถามเย่เฉินขณะเดิน “พี่ชาย ไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไร? ท่านมาจากที่ไหนของหัวเซี่ย?”
เย่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถามในสิ่งที่ควรถาม และอย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรจะถาม”
สวียินตงกัดฟันอดทน ทำได้เพียงกล่าวอย่างอึดอัดว่า “ไม่ใช่…….อีกสักครู่ผมต้องแนะนำท่านให้รู้จักกับจอมพลของพวกเรา ยังไงก็ต้องแนะนำชื่อใช่ไหม?”
เย่เฉินกล่าวโดยไม่คิด “ผมแซ่เย่ พวกคุณเรียกผมว่าอาจารย์เย่ก็ได้”
“อาจารย์……เย่?” สวียินตงมองเย่เฉินด้วยความตกตะลึงตาค้างจนพูดอะไรไม่ออก ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่อย่างน้อยก็สามารถบอกได้จากแววตาของเขาว่าเขาไม่ได้พูดล้อเล่น
สวียินตงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก และแอบคิดอยู่ในใจ “แม่งฉิบหายเป็นเซียนอะไรกันแน่? เขาไม่เคยเห็นคนที่เสแสร้งเก่งขนาดนี้มาก่อน ยังมาบอกว่าเป็นอาจารย์เย่ อาจารย์อะไร? อาจารย์กำลังภายในหรือ?
แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่สวียินตงยังคงกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ที่แท้คืออาจารย์เย่ ยินดีที่ได้พบท่าน ผมคือสวียินตง นายพลสามดาวของสำนักว่านหลง!”
“นายพลสามดาว?” เย่เฉินถามอย่างสงสัย “เกาหลีสนับสนุนคุณเหรอ?”
สวียินตงถามด้วยสีหน้าที่มึนงง “คุณเย่…….ไม่ถูก! อาจารย์เย่ ท่าน…….หมายถึงอะไร……ผมไม่เข้าใจ…….”
เย่เฉินกล่าวโดยไม่ “คุณบอกว่าคุณเป็นนายพลสามดาวไม่ใช่หรือ? ผมขอถามคุณ ชื่อของคุณได้รับการสนับสนุนโดยซัมซุงกรุปของเกาหลีใช่ไหม?” (*สามดาวออกเสียงเหมือนกับซัมซุงในภาษาจีน)
สวียินตงอยากจะบ้าตาย และกล่าวโพล่งออกมาว่า “อาจารย์เย่ ท่านพูดล้อเล่นเก่งจัง นายพลสามดาวคือระดับดาวของสำนักว่านหลง ต่ำสุดคือระดับหนึ่งดาว สูงสุดคือระดับห้าดาว ผมอยู่ในระดับสามดาว ดังนั้นผมจึงเป็นนายพลสามดาว”
เมื่อเย่เฉินได้ยินเรื่องนี้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและแอบคิดอยู่ในใจ “สวียินตงเป็นนักบู๊สองดาว ถ้าหากนักบู๊สองดาวนั้นสามารถจัดอันดับเป็นนายพลสามดาวของสำนักว่านหลง งั้นนายพลสี่ดาวอย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนักบู๊สามดาวใช่ไหม? ส่วนความแข็งแกร่งของนายพลห้าดาวน่าจะอยู่ในระดับนักบู๊สี่ดาว แล้วประมุขของพวกเขาอย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนักบู๊ห้าดาวหรือสูงกว่านั้นใช่ไหม?”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ความแข็งแกร่งของสำนักว่านหลงนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ ในหัวเซี่ยมีตระกูลศิลปะการต่อสู้มากมาย ตอนนี้มีเพียงท่านเหอแห่งตระกูลเหอเท่านั้น ที่ประสบความสำเร็จสามารถทะลวงไปถึงนักบู๊สี่ดาวจากความช่วยเหลือของผม แต่สำนักว่านหลงอย่างน้อยนั้นมีนักบู๊สี่ดาวและสูงกว่านักบู๊สี่ดาวมากมาย”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่เฉินจึงถามว่า “ผมได้ยินว่าช่วงสงครามเมื่อหลายวันก่อน ทหารของพวกเราได้ฆ่านายพลห้าดาวของพวกคุณไปหนึ่งคน? คนนั้นน่าจะแข็งแกร่งกว่าคุณมากใช่ไหม?”
สวียินตงกัดฟันและกล่าวว่า “คนที่ท่านกล่าวถึงคือหลูจ้านจุน นายพลห้าดาวของพวกเรา เขาแข็งแกร่งกว่าผมมาก และเขายังเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานายพลหลายร้อยคนของพวกเรา……..”
เย่เฉินกระเดาะปาก ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “จุ๊ ๆ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ก็กลัวกระสุน เขาทำงานหนักมาครึ่งค่อนชีวิต แต่สุดท้ายถูกคนที่ไม่รู้หนังสือชาวซีเรียยิงตาย คุณคิดว่าขาดทุนไหม?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สวียินตงรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในใจ
เขามีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับหลูจ้านจุน และตอนนี้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเหน็บแนมหลูจ้านจุน เขาต้องรู้สึกโกรธแค้นเป็นธรรมดา
เพียงแต่ สิ่งที่เย่เฉินกล่าวนั้นเขาไม่สามารถหักล้างได้ ยิ่งไปกว่านั้นการกล่าวเหน็บแนมว่ากองทัพของฮามิดไม่รู้หนังสือ นั่นคือสิ่งที่เขาพลั้งปากกล่าวออกมาเมื่อสักครู่
หลูจ้านจุนเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ถ้าหากทหารหลายคนยิงเขาด้วยปืนกล เขามีโอกาสที่จะหลบหนีและฆ่าคู่ต่อสู้ได้สูง
แต่ว่าการสู้รบครั้งสุดท้ายของหลูจ้านจุน เขาและทหารหัวกะทิของสำนักว่านหลงถูกโอบล้อมด้วยจุดยุทธศาสตร์การยิงมากมาย และปืนกลหนักทุกทิศทางจนก่อตัวเป็นเครือข่ายพลังยิงรอบด้าน ซึ่งปืนกลหนักลำกล้องขนาด 12.7 มิลลิเมตรนั้น แม้แต่ช้างแอฟริกายังสามารถถูกฆ่าตายด้วยการยิงนัดเดียว
ดังนั้น แม้ว่าหลูจ้านจุนจะเป็นนายพลห้าดาว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
สวียินตงรู้สึกเกลียดชังเย่เฉินมากขึ้นกว่าเดิม จนแทบอดใจไม่ไหวที่จะชักปืนออกมา แต่เขากัดฟันและพาเย่เฉินเดินไปที่ประตูห้องประชุม
หลังจากนั้นเขาเคาะประตู คนที่อยู่ข้างในกล่าวว่า “เข้ามา”
สวียินตงผลักประตูเข้าไป และกล่าวกับคนจีนที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “จอมพล ผู้แทนเจรจาของฝ่ายฮามิดชื่ออาจารย์เย่มาถึงแล้วครับ!”
Comments
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน 3011
หลังจากลงเฮลิคอปเตอร์ สวียินตงพาเย่เฉินดินไปที่ห้องประชุมของสำนักว่านหลงที่อยู่โซนด้านหน้า เขาถามเย่เฉินขณะเดิน “พี่ชาย ไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไร? ท่านมาจากที่ไหนของหัวเซี่ย?” เย่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถามในสิ่งที่ควรถาม และอย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรจะถาม” สวียินตงกัดฟันอดทน ทำได้เพียงกล่าวอย่างอึดอัดว่า “ไม่ใช่…….อีกสักครู่ผมต้องแนะนำท่านให้รู้จักกับจอมพลของพวกเรา ยังไงก็ต้องแนะนำชื่อใช่ไหม?” เย่เฉินกล่าวโดยไม่คิด “ผมแซ่เย่ พวกคุณเรียกผมว่าอาจารย์เย่ก็ได้” “อาจารย์……เย่?” สวียินตงมองเย่เฉินด้วยความตกตะลึงตาค้างจนพูดอะไรไม่ออก ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่อย่างน้อยก็สามารถบอกได้จากแววตาของเขาว่าเขาไม่ได้พูดล้อเล่น สวียินตงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก และแอบคิดอยู่ในใจ “แม่งฉิบหายเป็นเซียนอะไรกันแน่? เขาไม่เคยเห็นคนที่เสแสร้งเก่งขนาดนี้มาก่อน ยังมาบอกว่าเป็นอาจารย์เย่ อาจารย์อะไร? อาจารย์กำลังภายในหรือ? แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่สวียินตงยังคงกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ที่แท้คืออาจารย์เย่ ยินดีที่ได้พบท่าน ผมคือสวียินตง นายพลสามดาวของสำนักว่านหลง!” “นายพลสามดาว?” เย่เฉินถามอย่างสงสัย “เกาหลีสนับสนุนคุณเหรอ?” สวียินตงถามด้วยสีหน้าที่มึนงง “คุณเย่…….ไม่ถูก! อาจารย์เย่ ท่าน…….หมายถึงอะไร……ผมไม่เข้าใจ…….” เย่เฉินกล่าวโดยไม่ “คุณบอกว่าคุณเป็นนายพลสามดาวไม่ใช่หรือ? ผมขอถามคุณ ชื่อของคุณได้รับการสนับสนุนโดยซัมซุงกรุปของเกาหลีใช่ไหม?” (*สามดาวออกเสียงเหมือนกับซัมซุงในภาษาจีน) สวียินตงอยากจะบ้าตาย และกล่าวโพล่งออกมาว่า “อาจารย์เย่ ท่านพูดล้อเล่นเก่งจัง นายพลสามดาวคือระดับดาวของสำนักว่านหลง ต่ำสุดคือระดับหนึ่งดาว สูงสุดคือระดับห้าดาว ผมอยู่ในระดับสามดาว ดังนั้นผมจึงเป็นนายพลสามดาว” เมื่อเย่เฉินได้ยินเรื่องนี้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและแอบคิดอยู่ในใจ “สวียินตงเป็นนักบู๊สองดาว ถ้าหากนักบู๊สองดาวนั้นสามารถจัดอันดับเป็นนายพลสามดาวของสำนักว่านหลง งั้นนายพลสี่ดาวอย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนักบู๊สามดาวใช่ไหม? ส่วนความแข็งแกร่งของนายพลห้าดาวน่าจะอยู่ในระดับนักบู๊สี่ดาว แล้วประมุขของพวกเขาอย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนักบู๊ห้าดาวหรือสูงกว่านั้นใช่ไหม?” “หากเป็นเช่นนั้นจริง ความแข็งแกร่งของสำนักว่านหลงนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ ในหัวเซี่ยมีตระกูลศิลปะการต่อสู้มากมาย ตอนนี้มีเพียงท่านเหอแห่งตระกูลเหอเท่านั้น ที่ประสบความสำเร็จสามารถทะลวงไปถึงนักบู๊สี่ดาวจากความช่วยเหลือของผม แต่สำนักว่านหลงอย่างน้อยนั้นมีนักบู๊สี่ดาวและสูงกว่านักบู๊สี่ดาวมากมาย” เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่เฉินจึงถามว่า “ผมได้ยินว่าช่วงสงครามเมื่อหลายวันก่อน ทหารของพวกเราได้ฆ่านายพลห้าดาวของพวกคุณไปหนึ่งคน? คนนั้นน่าจะแข็งแกร่งกว่าคุณมากใช่ไหม?” สวียินตงกัดฟันและกล่าวว่า “คนที่ท่านกล่าวถึงคือหลูจ้านจุน นายพลห้าดาวของพวกเรา เขาแข็งแกร่งกว่าผมมาก และเขายังเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานายพลหลายร้อยคนของพวกเรา……..” เย่เฉินกระเดาะปาก ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “จุ๊ ๆ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ก็กลัวกระสุน เขาทำงานหนักมาครึ่งค่อนชีวิต แต่สุดท้ายถูกคนที่ไม่รู้หนังสือชาวซีเรียยิงตาย คุณคิดว่าขาดทุนไหม?” เมื่อได้ยินประโยคนี้ สวียินตงรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในใจ เขามีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับหลูจ้านจุน และตอนนี้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเหน็บแนมหลูจ้านจุน เขาต้องรู้สึกโกรธแค้นเป็นธรรมดา เพียงแต่ สิ่งที่เย่เฉินกล่าวนั้นเขาไม่สามารถหักล้างได้ ยิ่งไปกว่านั้นการกล่าวเหน็บแนมว่ากองทัพของฮามิดไม่รู้หนังสือ นั่นคือสิ่งที่เขาพลั้งปากกล่าวออกมาเมื่อสักครู่ หลูจ้านจุนเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ถ้าหากทหารหลายคนยิงเขาด้วยปืนกล เขามีโอกาสที่จะหลบหนีและฆ่าคู่ต่อสู้ได้สูง แต่ว่าการสู้รบครั้งสุดท้ายของหลูจ้านจุน เขาและทหารหัวกะทิของสำนักว่านหลงถูกโอบล้อมด้วยจุดยุทธศาสตร์การยิงมากมาย และปืนกลหนักทุกทิศทางจนก่อตัวเป็นเครือข่ายพลังยิงรอบด้าน ซึ่งปืนกลหนักลำกล้องขนาด 12.7 มิลลิเมตรนั้น แม้แต่ช้างแอฟริกายังสามารถถูกฆ่าตายด้วยการยิงนัดเดียว ดังนั้น แม้ว่าหลูจ้านจุนจะเป็นนายพลห้าดาว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ สวียินตงรู้สึกเกลียดชังเย่เฉินมากขึ้นกว่าเดิม จนแทบอดใจไม่ไหวที่จะชักปืนออกมา แต่เขากัดฟันและพาเย่เฉินเดินไปที่ประตูห้องประชุม หลังจากนั้นเขาเคาะประตู คนที่อยู่ข้างในกล่าวว่า “เข้ามา” สวียินตงผลักประตูเข้าไป และกล่าวกับคนจีนที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “จอมพล ผู้แทนเจรจาของฝ่ายฮามิดชื่ออาจารย์เย่มาถึงแล้วครับ!”
หลังจากลงเฮลิคอปเตอร์ สวียินตงพาเย่เฉินดินไปที่ห้องประชุมของสำนักว่านหลงที่อยู่โซนด้านหน้า เขาถามเย่เฉินขณะเดิน “พี่ชาย ไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไร? ท่านมาจากที่ไหนของหัวเซี่ย?”
เย่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถามในสิ่งที่ควรถาม และอย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรจะถาม”
สวียินตงกัดฟันอดทน ทำได้เพียงกล่าวอย่างอึดอัดว่า “ไม่ใช่…….อีกสักครู่ผมต้องแนะนำท่านให้รู้จักกับจอมพลของพวกเรา ยังไงก็ต้องแนะนำชื่อใช่ไหม?”
เย่เฉินกล่าวโดยไม่คิด “ผมแซ่เย่ พวกคุณเรียกผมว่าอาจารย์เย่ก็ได้”
“อาจารย์……เย่?” สวียินตงมองเย่เฉินด้วยความตกตะลึงตาค้างจนพูดอะไรไม่ออก ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่อย่างน้อยก็สามารถบอกได้จากแววตาของเขาว่าเขาไม่ได้พูดล้อเล่น
สวียินตงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก และแอบคิดอยู่ในใจ “แม่งฉิบหายเป็นเซียนอะไรกันแน่? เขาไม่เคยเห็นคนที่เสแสร้งเก่งขนาดนี้มาก่อน ยังมาบอกว่าเป็นอาจารย์เย่ อาจารย์อะไร? อาจารย์กำลังภายในหรือ?
แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่สวียินตงยังคงกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ที่แท้คืออาจารย์เย่ ยินดีที่ได้พบท่าน ผมคือสวียินตง นายพลสามดาวของสำนักว่านหลง!”
“นายพลสามดาว?” เย่เฉินถามอย่างสงสัย “เกาหลีสนับสนุนคุณเหรอ?”
สวียินตงถามด้วยสีหน้าที่มึนงง “คุณเย่…….ไม่ถูก! อาจารย์เย่ ท่าน…….หมายถึงอะไร……ผมไม่เข้าใจ…….”
เย่เฉินกล่าวโดยไม่ “คุณบอกว่าคุณเป็นนายพลสามดาวไม่ใช่หรือ? ผมขอถามคุณ ชื่อของคุณได้รับการสนับสนุนโดยซัมซุงกรุปของเกาหลีใช่ไหม?” (*สามดาวออกเสียงเหมือนกับซัมซุงในภาษาจีน)
สวียินตงอยากจะบ้าตาย และกล่าวโพล่งออกมาว่า “อาจารย์เย่ ท่านพูดล้อเล่นเก่งจัง นายพลสามดาวคือระดับดาวของสำนักว่านหลง ต่ำสุดคือระดับหนึ่งดาว สูงสุดคือระดับห้าดาว ผมอยู่ในระดับสามดาว ดังนั้นผมจึงเป็นนายพลสามดาว”
เมื่อเย่เฉินได้ยินเรื่องนี้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและแอบคิดอยู่ในใจ “สวียินตงเป็นนักบู๊สองดาว ถ้าหากนักบู๊สองดาวนั้นสามารถจัดอันดับเป็นนายพลสามดาวของสำนักว่านหลง งั้นนายพลสี่ดาวอย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนักบู๊สามดาวใช่ไหม? ส่วนความแข็งแกร่งของนายพลห้าดาวน่าจะอยู่ในระดับนักบู๊สี่ดาว แล้วประมุขของพวกเขาอย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนักบู๊ห้าดาวหรือสูงกว่านั้นใช่ไหม?”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ความแข็งแกร่งของสำนักว่านหลงนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ ในหัวเซี่ยมีตระกูลศิลปะการต่อสู้มากมาย ตอนนี้มีเพียงท่านเหอแห่งตระกูลเหอเท่านั้น ที่ประสบความสำเร็จสามารถทะลวงไปถึงนักบู๊สี่ดาวจากความช่วยเหลือของผม แต่สำนักว่านหลงอย่างน้อยนั้นมีนักบู๊สี่ดาวและสูงกว่านักบู๊สี่ดาวมากมาย”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่เฉินจึงถามว่า “ผมได้ยินว่าช่วงสงครามเมื่อหลายวันก่อน ทหารของพวกเราได้ฆ่านายพลห้าดาวของพวกคุณไปหนึ่งคน? คนนั้นน่าจะแข็งแกร่งกว่าคุณมากใช่ไหม?”
สวียินตงกัดฟันและกล่าวว่า “คนที่ท่านกล่าวถึงคือหลูจ้านจุน นายพลห้าดาวของพวกเรา เขาแข็งแกร่งกว่าผมมาก และเขายังเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานายพลหลายร้อยคนของพวกเรา……..”
เย่เฉินกระเดาะปาก ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “จุ๊ ๆ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ก็กลัวกระสุน เขาทำงานหนักมาครึ่งค่อนชีวิต แต่สุดท้ายถูกคนที่ไม่รู้หนังสือชาวซีเรียยิงตาย คุณคิดว่าขาดทุนไหม?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สวียินตงรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในใจ
เขามีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับหลูจ้านจุน และตอนนี้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเหน็บแนมหลูจ้านจุน เขาต้องรู้สึกโกรธแค้นเป็นธรรมดา
เพียงแต่ สิ่งที่เย่เฉินกล่าวนั้นเขาไม่สามารถหักล้างได้ ยิ่งไปกว่านั้นการกล่าวเหน็บแนมว่ากองทัพของฮามิดไม่รู้หนังสือ นั่นคือสิ่งที่เขาพลั้งปากกล่าวออกมาเมื่อสักครู่
หลูจ้านจุนเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ถ้าหากทหารหลายคนยิงเขาด้วยปืนกล เขามีโอกาสที่จะหลบหนีและฆ่าคู่ต่อสู้ได้สูง
แต่ว่าการสู้รบครั้งสุดท้ายของหลูจ้านจุน เขาและทหารหัวกะทิของสำนักว่านหลงถูกโอบล้อมด้วยจุดยุทธศาสตร์การยิงมากมาย และปืนกลหนักทุกทิศทางจนก่อตัวเป็นเครือข่ายพลังยิงรอบด้าน ซึ่งปืนกลหนักลำกล้องขนาด 12.7 มิลลิเมตรนั้น แม้แต่ช้างแอฟริกายังสามารถถูกฆ่าตายด้วยการยิงนัดเดียว
ดังนั้น แม้ว่าหลูจ้านจุนจะเป็นนายพลห้าดาว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
สวียินตงรู้สึกเกลียดชังเย่เฉินมากขึ้นกว่าเดิม จนแทบอดใจไม่ไหวที่จะชักปืนออกมา แต่เขากัดฟันและพาเย่เฉินเดินไปที่ประตูห้องประชุม
หลังจากนั้นเขาเคาะประตู คนที่อยู่ข้างในกล่าวว่า “เข้ามา”
สวียินตงผลักประตูเข้าไป และกล่าวกับคนจีนที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “จอมพล ผู้แทนเจรจาของฝ่ายฮามิดชื่ออาจารย์เย่มาถึงแล้วครับ!”
Comments
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน 3011
พูดแล้ว ซ่งหวั่นถิงก็บอกเรื่องที่ตอนนั้นตัวเองเพราะว่าเคราะห์ร้าย ถูกอาจารย์ล่ายฮ่องกงจอมปลอมคนนั้นหลอกลวง จนถึงไอ้สกุลล่ายถูกเย่เฉินจับได้ สุดท้ายประสบการณ์ที่เย่เฉินช่วยตัวเองทำลายค่ายล็อกมังกร ตั้งแต่ต้นจนจบให้กับเซียวชูหรัน
เซียวชูหรันได้ยินจนตกตะลึงอ้าปากค้าง เดิมทีเธอคิดว่าอุบายที่สามีตัวเองเรียกว่าฮวงจุ้ยนั้น ก็มีความหมายค่อนข้างหลอกลวงไม่มากก็น้อย
แต่ตอนนี้ได้ยินซ่งหวั่นถิงแนะนำแบบนี้ เธอถึงได้เข้าใจว่า เดิมทีสิ่งของอุบายนั้นของเย่เฉินเป็นเพียงแค่ของไม่มีอยู่จริง แต่มีผลอย่างแท้จริง
ดังนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ: “เมื่อก่อนฉันกังวลเป็นพิเศษว่าสามีของฉันดูฮวงจุ้ยให้คนอื่นโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นการหลอกลวงยุทธภพอย่างหนึ่ง กลัวว่าคนเหล่านั้นจะย้อนกลับมาคิดบัญชีกับเขา ตอนนี้ได้ยินคุณพูดแบบนี้ ฉันก็วางใจมากขึ้น”
ซ่งหวั่นถิงยิ้มเล็กน้อย พูดด้วยความจริงใจเป็นอย่างมาก: “อาจารย์เย่แตกต่างกับมิจฉาชีพยุทธภพเหล่านั้นเป็นอย่างมาก อาจารย์เย่พรสวรรค์ที่แท้จริง นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทุกคนก็เคารพกันอย่างทั่วถึงทุกด้าน”
พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของซ่งหวั่นถิงเปล่งประกายด้วยแสงระยิบระยับ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ใช่แล้วนายหญิงเย่ ฉันสงสัยมาโดยตลอด ฐานะเดิมและอาจารย์ถ่ายทอดวิชาของอาจารย์เย่คืออะไรกันแน่ เขาอายุขนาดนี้ จะชำนาญทักษะที่ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูกมาขนาดนี้ได้ยังไง?”
เซียวชูหรันตอบด้วยความจริงจัง: “บอกกับคุณอย่างไม่ปิดบังนะคุณซ่ง สามีของฉันเท่าที่ฉันรู้จักเขา ไม่ได้มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งนานมากแล้ว กลายเป็นเด็กกำพร้า เติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจินหลิงตั้งแต่เด็ก ฉันคิดว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ไม่น่าจะสอนสิ่งเหล่าให้กับเขา สำหรับว่าเขาเรียนรู้ทักษะเหล่านี้จากไหนกันแน่ ฉันก็ไม่ค่อยรู้”
ซ่งหวั่นถิงก็ถามไปตามสถานการณ์: “นายหญิงเย่ คุณบอกว่าอาจารย์เย่เขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งนานมากแล้ว งั้นทักษะเหล่านี้ของเขา ก็อาจจะก่อนหน้าที่พ่อแม่ของเขาเสียไป มีพ่อแม่ของเขาส่งต่อให้เขา ถ้าหากเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิด ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย”
เซียวชูหรันรู้ความหมายในคำพูดของซ่งหวั่นถิงที่ไหนกัน และพูดอย่างโง่เขลาว่า: “แต่ว่าตอนที่เย่เฉินเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพิ่งจะอายุแปดปี เด็กคนหนึ่งที่อายุแปดปีต่อให้มีความสามารถมากเพียงแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้ทักษะอะไรที่ลึกซึ้งได้นะ”
“อายุแปดปี?!”ซ่งหวั่นถิงตกใจ และอ้าปากถามว่า: “อาจารย์เย่เขา……เขาเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนที่อายุแปดปีจริงๆเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”เซียวชูหรันพยักหน้าอย่างหนักแน่นและพูดว่า: “เรื่องราวนี้เมื่อก่อนเขาเคยบอกกับฉันหลายครั้งมาก ตามที่เขาพูด ตอนที่เขาอายุแปดปีพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุ และเขาไม่มีญาติคนอื่นในโลก ดังนั้นก็ถูกรับเลี้ยงโดยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนเติบโต”
ซ่งหวั่นถิงย้อนคิดถึงเมื่อคืนนี้ อิโตะ นานาโกะวิเคราะห์รายละเอียดต่างๆ และร้องอุทานในใจว่า: “คราวนี้ ตอนที่อาจารย์เย่เข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่กู้ชิวอี๋เริ่มตามหาเจ้าชายขี่ม้าขาว งั้นนี่ก็สามารถที่จะพิสูจน์ได้มากยิ่งขึ้น อาจารย์เย่ก็เจ้าชายขี่ม้าขาวคนนั้นของกู้ชิวอี๋!”
“นี่เป็นการพิสูจน์ว่าอาจารย์เย่ไม่ใช่คนเมืองจินหลิงด้วยซ้ำ แต่เป็นคนเย่นจิง!”
“ที่สำคัญกว่านั้นคือ กู้ชิวอี๋ไม่ได้เป็นเพียงแค่ดาราธรรมดา ผู้คนมากมายรู้ว่า ภูมิหลังครอบครัวของเธอแข็งแกร่งมาก เป็นตระกูลกู้ห้าอันดับแรกในประเทศ! ยิ่งไปกว่านั้นเป็นลูกสาวคนเดียวของกู้เย้นจงประธานกู้ซื่อกรุ๊ป!”
“อาจารย์เย่สามารถมีการหมั้นหมายกับกู้ชิวอี๋ที่หน้าดีร่ำรวยแบบนี้ สามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวของอาจารย์เย่ก็เป็นทายาทของตระกูลที่มีชื่อเสียง!”
“และเมื่อมองดูในประเทศแล้ว มีตระกูลใหญ่จำนวนไม่มากสามารถที่คู่ควรเหมาะสมกับตระกูลกู้ และภายในขอบเขตของเย่นจิง ตระกูลใหญ่แบบนี้ก็น้อยมาก มีเพียงตระกูลซูและตระกูลเย่……”
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ในใจของซ่งหวั่นถิงก็กระตุกหนึ่งที คำถามภายในส่วนลึกของหัวใจก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น: “ตระกูลเย่?! อาจารย์เย่?! หรือว่า……”
Comments
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน 3011
พูดแล้ว ซ่งหวั่นถิงก็บอกเรื่องที่ตอนนั้นตัวเองเพราะว่าเคราะห์ร้าย ถูกอาจารย์ล่ายฮ่องกงจอมปลอมคนนั้นหลอกลวง จนถึงไอ้สกุลล่ายถูกเย่เฉินจับได้ สุดท้ายประสบการณ์ที่เย่เฉินช่วยตัวเองทำลายค่ายล็อกมังกร ตั้งแต่ต้นจนจบให้กับเซียวชูหรัน
เซียวชูหรันได้ยินจนตกตะลึงอ้าปากค้าง เดิมทีเธอคิดว่าอุบายที่สามีตัวเองเรียกว่าฮวงจุ้ยนั้น ก็มีความหมายค่อนข้างหลอกลวงไม่มากก็น้อย
แต่ตอนนี้ได้ยินซ่งหวั่นถิงแนะนำแบบนี้ เธอถึงได้เข้าใจว่า เดิมทีสิ่งของอุบายนั้นของเย่เฉินเป็นเพียงแค่ของไม่มีอยู่จริง แต่มีผลอย่างแท้จริง
ดังนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ: “เมื่อก่อนฉันกังวลเป็นพิเศษว่าสามีของฉันดูฮวงจุ้ยให้คนอื่นโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นการหลอกลวงยุทธภพอย่างหนึ่ง กลัวว่าคนเหล่านั้นจะย้อนกลับมาคิดบัญชีกับเขา ตอนนี้ได้ยินคุณพูดแบบนี้ ฉันก็วางใจมากขึ้น”
ซ่งหวั่นถิงยิ้มเล็กน้อย พูดด้วยความจริงใจเป็นอย่างมาก: “อาจารย์เย่แตกต่างกับมิจฉาชีพยุทธภพเหล่านั้นเป็นอย่างมาก อาจารย์เย่พรสวรรค์ที่แท้จริง นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทุกคนก็เคารพกันอย่างทั่วถึงทุกด้าน”
พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของซ่งหวั่นถิงเปล่งประกายด้วยแสงระยิบระยับ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ใช่แล้วนายหญิงเย่ ฉันสงสัยมาโดยตลอด ฐานะเดิมและอาจารย์ถ่ายทอดวิชาของอาจารย์เย่คืออะไรกันแน่ เขาอายุขนาดนี้ จะชำนาญทักษะที่ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูกมาขนาดนี้ได้ยังไง?”
เซียวชูหรันตอบด้วยความจริงจัง: “บอกกับคุณอย่างไม่ปิดบังนะคุณซ่ง สามีของฉันเท่าที่ฉันรู้จักเขา ไม่ได้มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งนานมากแล้ว กลายเป็นเด็กกำพร้า เติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจินหลิงตั้งแต่เด็ก ฉันคิดว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ไม่น่าจะสอนสิ่งเหล่าให้กับเขา สำหรับว่าเขาเรียนรู้ทักษะเหล่านี้จากไหนกันแน่ ฉันก็ไม่ค่อยรู้”
ซ่งหวั่นถิงก็ถามไปตามสถานการณ์: “นายหญิงเย่ คุณบอกว่าอาจารย์เย่เขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งนานมากแล้ว งั้นทักษะเหล่านี้ของเขา ก็อาจจะก่อนหน้าที่พ่อแม่ของเขาเสียไป มีพ่อแม่ของเขาส่งต่อให้เขา ถ้าหากเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิด ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย”
เซียวชูหรันรู้ความหมายในคำพูดของซ่งหวั่นถิงที่ไหนกัน และพูดอย่างโง่เขลาว่า: “แต่ว่าตอนที่เย่เฉินเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพิ่งจะอายุแปดปี เด็กคนหนึ่งที่อายุแปดปีต่อให้มีความสามารถมากเพียงแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้ทักษะอะไรที่ลึกซึ้งได้นะ”
“อายุแปดปี?!”ซ่งหวั่นถิงตกใจ และอ้าปากถามว่า: “อาจารย์เย่เขา……เขาเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนที่อายุแปดปีจริงๆเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”เซียวชูหรันพยักหน้าอย่างหนักแน่นและพูดว่า: “เรื่องราวนี้เมื่อก่อนเขาเคยบอกกับฉันหลายครั้งมาก ตามที่เขาพูด ตอนที่เขาอายุแปดปีพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุ และเขาไม่มีญาติคนอื่นในโลก ดังนั้นก็ถูกรับเลี้ยงโดยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนเติบโต”
ซ่งหวั่นถิงย้อนคิดถึงเมื่อคืนนี้ อิโตะ นานาโกะวิเคราะห์รายละเอียดต่างๆ และร้องอุทานในใจว่า: “คราวนี้ ตอนที่อาจารย์เย่เข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่กู้ชิวอี๋เริ่มตามหาเจ้าชายขี่ม้าขาว งั้นนี่ก็สามารถที่จะพิสูจน์ได้มากยิ่งขึ้น อาจารย์เย่ก็เจ้าชายขี่ม้าขาวคนนั้นของกู้ชิวอี๋!”
“นี่เป็นการพิสูจน์ว่าอาจารย์เย่ไม่ใช่คนเมืองจินหลิงด้วยซ้ำ แต่เป็นคนเย่นจิง!”
“ที่สำคัญกว่านั้นคือ กู้ชิวอี๋ไม่ได้เป็นเพียงแค่ดาราธรรมดา ผู้คนมากมายรู้ว่า ภูมิหลังครอบครัวของเธอแข็งแกร่งมาก เป็นตระกูลกู้ห้าอันดับแรกในประเทศ! ยิ่งไปกว่านั้นเป็นลูกสาวคนเดียวของกู้เย้นจงประธานกู้ซื่อกรุ๊ป!”
“อาจารย์เย่สามารถมีการหมั้นหมายกับกู้ชิวอี๋ที่หน้าดีร่ำรวยแบบนี้ สามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวของอาจารย์เย่ก็เป็นทายาทของตระกูลที่มีชื่อเสียง!”
“และเมื่อมองดูในประเทศแล้ว มีตระกูลใหญ่จำนวนไม่มากสามารถที่คู่ควรเหมาะสมกับตระกูลกู้ และภายในขอบเขตของเย่นจิง ตระกูลใหญ่แบบนี้ก็น้อยมาก มีเพียงตระกูลซูและตระกูลเย่……”
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ในใจของซ่งหวั่นถิงก็กระตุกหนึ่งที คำถามภายในส่วนลึกของหัวใจก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น: “ตระกูลเย่?! อาจารย์เย่?! หรือว่า……”
Comments
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน 3011
พูดแล้ว ซ่งหวั่นถิงก็บอกเรื่องที่ตอนนั้นตัวเองเพราะว่าเคราะห์ร้าย ถูกอาจารย์ล่ายฮ่องกงจอมปลอมคนนั้นหลอกลวง จนถึงไอ้สกุลล่ายถูกเย่เฉินจับได้ สุดท้ายประสบการณ์ที่เย่เฉินช่วยตัวเองทำลายค่ายล็อกมังกร ตั้งแต่ต้นจนจบให้กับเซียวชูหรัน
เซียวชูหรันได้ยินจนตกตะลึงอ้าปากค้าง เดิมทีเธอคิดว่าอุบายที่สามีตัวเองเรียกว่าฮวงจุ้ยนั้น ก็มีความหมายค่อนข้างหลอกลวงไม่มากก็น้อย
แต่ตอนนี้ได้ยินซ่งหวั่นถิงแนะนำแบบนี้ เธอถึงได้เข้าใจว่า เดิมทีสิ่งของอุบายนั้นของเย่เฉินเป็นเพียงแค่ของไม่มีอยู่จริง แต่มีผลอย่างแท้จริง
ดังนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ: “เมื่อก่อนฉันกังวลเป็นพิเศษว่าสามีของฉันดูฮวงจุ้ยให้คนอื่นโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นการหลอกลวงยุทธภพอย่างหนึ่ง กลัวว่าคนเหล่านั้นจะย้อนกลับมาคิดบัญชีกับเขา ตอนนี้ได้ยินคุณพูดแบบนี้ ฉันก็วางใจมากขึ้น”
ซ่งหวั่นถิงยิ้มเล็กน้อย พูดด้วยความจริงใจเป็นอย่างมาก: “อาจารย์เย่แตกต่างกับมิจฉาชีพยุทธภพเหล่านั้นเป็นอย่างมาก อาจารย์เย่พรสวรรค์ที่แท้จริง นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทุกคนก็เคารพกันอย่างทั่วถึงทุกด้าน”
พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของซ่งหวั่นถิงเปล่งประกายด้วยแสงระยิบระยับ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ใช่แล้วนายหญิงเย่ ฉันสงสัยมาโดยตลอด ฐานะเดิมและอาจารย์ถ่ายทอดวิชาของอาจารย์เย่คืออะไรกันแน่ เขาอายุขนาดนี้ จะชำนาญทักษะที่ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูกมาขนาดนี้ได้ยังไง?”
เซียวชูหรันตอบด้วยความจริงจัง: “บอกกับคุณอย่างไม่ปิดบังนะคุณซ่ง สามีของฉันเท่าที่ฉันรู้จักเขา ไม่ได้มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งนานมากแล้ว กลายเป็นเด็กกำพร้า เติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจินหลิงตั้งแต่เด็ก ฉันคิดว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ไม่น่าจะสอนสิ่งเหล่าให้กับเขา สำหรับว่าเขาเรียนรู้ทักษะเหล่านี้จากไหนกันแน่ ฉันก็ไม่ค่อยรู้”
ซ่งหวั่นถิงก็ถามไปตามสถานการณ์: “นายหญิงเย่ คุณบอกว่าอาจารย์เย่เขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งนานมากแล้ว งั้นทักษะเหล่านี้ของเขา ก็อาจจะก่อนหน้าที่พ่อแม่ของเขาเสียไป มีพ่อแม่ของเขาส่งต่อให้เขา ถ้าหากเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิด ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย”
เซียวชูหรันรู้ความหมายในคำพูดของซ่งหวั่นถิงที่ไหนกัน และพูดอย่างโง่เขลาว่า: “แต่ว่าตอนที่เย่เฉินเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพิ่งจะอายุแปดปี เด็กคนหนึ่งที่อายุแปดปีต่อให้มีความสามารถมากเพียงแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้ทักษะอะไรที่ลึกซึ้งได้นะ”
“อายุแปดปี?!”ซ่งหวั่นถิงตกใจ และอ้าปากถามว่า: “อาจารย์เย่เขา……เขาเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนที่อายุแปดปีจริงๆเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”เซียวชูหรันพยักหน้าอย่างหนักแน่นและพูดว่า: “เรื่องราวนี้เมื่อก่อนเขาเคยบอกกับฉันหลายครั้งมาก ตามที่เขาพูด ตอนที่เขาอายุแปดปีพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุ และเขาไม่มีญาติคนอื่นในโลก ดังนั้นก็ถูกรับเลี้ยงโดยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนเติบโต”
ซ่งหวั่นถิงย้อนคิดถึงเมื่อคืนนี้ อิโตะ นานาโกะวิเคราะห์รายละเอียดต่างๆ และร้องอุทานในใจว่า: “คราวนี้ ตอนที่อาจารย์เย่เข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่กู้ชิวอี๋เริ่มตามหาเจ้าชายขี่ม้าขาว งั้นนี่ก็สามารถที่จะพิสูจน์ได้มากยิ่งขึ้น อาจารย์เย่ก็เจ้าชายขี่ม้าขาวคนนั้นของกู้ชิวอี๋!”
“นี่เป็นการพิสูจน์ว่าอาจารย์เย่ไม่ใช่คนเมืองจินหลิงด้วยซ้ำ แต่เป็นคนเย่นจิง!”
“ที่สำคัญกว่านั้นคือ กู้ชิวอี๋ไม่ได้เป็นเพียงแค่ดาราธรรมดา ผู้คนมากมายรู้ว่า ภูมิหลังครอบครัวของเธอแข็งแกร่งมาก เป็นตระกูลกู้ห้าอันดับแรกในประเทศ! ยิ่งไปกว่านั้นเป็นลูกสาวคนเดียวของกู้เย้นจงประธานกู้ซื่อกรุ๊ป!”
“อาจารย์เย่สามารถมีการหมั้นหมายกับกู้ชิวอี๋ที่หน้าดีร่ำรวยแบบนี้ สามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวของอาจารย์เย่ก็เป็นทายาทของตระกูลที่มีชื่อเสียง!”
“และเมื่อมองดูในประเทศแล้ว มีตระกูลใหญ่จำนวนไม่มากสามารถที่คู่ควรเหมาะสมกับตระกูลกู้ และภายในขอบเขตของเย่นจิง ตระกูลใหญ่แบบนี้ก็น้อยมาก มีเพียงตระกูลซูและตระกูลเย่……”
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ในใจของซ่งหวั่นถิงก็กระตุกหนึ่งที คำถามภายในส่วนลึกของหัวใจก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น: “ตระกูลเย่?! อาจารย์เย่?! หรือว่า……”
Comments
Pengaturan Membaca
The quick brown fox jumps over the lazy dog
Background :
Font :
Size :