ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน 3121

Now you are reading ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน Chapter 3121 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากนั้น เย่เฉินบอกอย่างละเอียดว่า “ผมจะผนึกจิตสำนึกของคุณทั้งหมด แต่ไม่ต้องกังวล หลังจากผนึกแล้ว จะเก็บความทรงจำทั้งหมดของคุณไว้ แต่ร่างกายของคุณจะขาดการเชื่อมต่อจากจิตสำนึกของคุณโดยสิ้นเชิง ร่างกายของคุณจะปฏิบัติตามมาคำสั่งของผม” “เมื่อถึงเวลานั้น ถึงแม้ว่าจิตสำนึกของคุณเองจะรู้ชัดเจนทุกอย่าง แต่คุณจะไม่สามารถทำอะไรได้” “กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จิตสำนึกของคุณจะถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์อยู่ในสมองของคุณ ขอเพียงแค่ผมไม่ปล่อยคุณไป คุณก็จะไม่มีวันเป็นอิสระ” เฉินจงเหล่ยรู้สึกสิ้นหวัง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร้องไห้และถามว่า “คุณ…..คุณมีปราณทิพย์ได้อย่างไร? นั่นเป็นพลังที่มีอยู่แต่ในตำนานเท่านั้นไม่ใช่หรือ?! คุณ…..คุณเป็นใครกันแน่?!” เย่เฉินส่ายศีรษะและกล่าวเยาะเย้ยว่า “ผมเป็นพ่อของคุณ!” เฉินจงเหล่ยตื่นตระหนกอย่างสิ้นเชิง เขาร้องไห้และกล่าวว่า “ไม่ ได้โปรดอย่าผนึกจิตสำนึกของผมเลย ผมไม่ต้องการที่จะมีชีวิตเหมือนคนที่ตายไปแล้ว โปรดยกโทษให้ผมด้วย ขอเพียงแค่คุณยอมยกโทษให้ผม ผมจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณทั้งหมด! ผมสามารถให้ทหารที่อยู่ข้างนอกทั้งหมดของสำนักว่านหลงปลดอาวุธและยอมจำนนทันที แล้วแต่คุณจะสั่งการ ขอร้องโปรดปล่อยผมไปเถอะ….ขอร้องเถอะ…..” เย่เฉินถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณยอมเชื่อฟังผมทุกอย่างจริงหรือ?” เฉินจงเหล่ยพยักหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลังเล และกล่าวรับประกันว่า “ผมขอสาบานต่อสวรรค์ ผมจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง คุณให้ผมอะไร ผมก็จะทำตามทุกอย่าง!” เย่เฉินยิ้มและกล่าวอย่างจริงจังว่า “บอกตามตรง ผมไม่ค่อยเชื่อคุณ เพราะคนอย่างคุณสามารถฆ่าได้แม้แต่คู่หูของตนเอง แล้วคุณจะทำตามสัญญาได้อย่างไร?” เฉินจงเหล่ยทรุดตัวลงและอ้อนวอน “ผมขอสาบานต่อสวรรค์ ผมจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณทุกอย่างจริง ๆ ได้โปรดเชื่อผม…..ผมไม่ต้องการที่จะติดอยู่ในร่างของตนเองตลอดไปจริง ๆ….ขอร้องได้โปรดเถอะ…..” เย่เฉินหัวเราะและกล่าวว่า “ต้องขอโทษ ผมยังไม่เชื่อคุณ” หลังจากกล่าวจบ นิ้วของเย่เฉินปล่อยปราณทิพย์เข้าไปในสมองของเฉินจงเหล่ยอีกครั้ง ท่าทางของเฉินจงเหล่ยสงบลงอย่างรวดเร็ว จากความตื่นตระหนกสุดขีดและกลายเป็นการแสดงออกเซื่องซึมและมึนงง ตอนนี้เย่เฉินปล่อยมือ แล้วชี้ไปที่ผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลซึ่งนอนอยู่บนพื้น และสั่งเฉินจงเหล่ยว่า “ไปนำเขามาวางไว้บนโต๊ะประชุม” ขณะนี้จิตสำนึกของเฉินจงเหล่ยสามารถได้ยินสิ่งที่เย่เฉินพูด และสามารถรับภาพที่ดวงตาได้ แต่ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้แม้แต่น้อย เขาทำได้เพียงเฝ้าดูร่างกายของตนเองปฏิบัติตามคำสั่งของเย่เฉิน เขาลุกขึ้นทันที เดินไปหาผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาล แล้วอุ้มเขาขึ้นมาด้วยความลำบาก และวางเขาไว้บนโต๊ะประชุมที่อยู่ตรงหน้าของเย่เฉิน เขารู้สึกหวาดกลัวจิตสำนึกของตนเองมาก และขณะเดียวกันก็รู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก เพียงแต่ ตอนนี้เขาไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ เขาทำได้เพียงแค่อยู่ในร่างกายของตนเอง ราวกับเป็นผู้โดยสารที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน และตอนนี้เส้นลมปราณในร่างกายของเขาถูกทำลายไปหมดแล้ว และศักยภาพทางร่างกายนั้นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น สำหรับผู้บัญชากองทัพของรัฐบาลคนนั้น ตอนนี้ผิวของเขากลายเป็นสีม่วงแล้ว หัวใจของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนักจนทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ซึ่งทำให้สมองของเขาขาดออกซิเจน ถ้าตามปกติแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ เวลาดีที่สุดที่จะสามารถช่วยชีวิตได้โดยทั่วไปคือไม่เกิน 4-6 นาที หากสามารถทำให้หัวใจเต้นได้อีกครั้งภายใน 4-6 นาที ก็สามารถมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้ เพียงแต่ ตอนนี้หัวใจของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก อวัยวะในร่างกายของเขาขาดออกซิเจน และมาถึงขอบของความตายทางชีววิทยาแล้ว โดยปกติแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถช่วยชีวิตได้อีกต่อไปแล้ว แต่สำหรับเย่เฉินแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เย่เฉินรู้สึกว่าถ้าไม่ช่วยเขา ก็สามารถให้เฉินจงเหล่ยพาตนเองออกจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่ให้เฉินจงเหล่ยสั่งให้ทหารของสำนักว่านหลงปลดอาวุธ หรือให้เฉินจงเหล่ยคุ้มกันตนเองเพื่อพาซูโสว่เต้าออกไปจากประเทศซีเรียได้ เพียงแต่ หลังจากคิดทบทวนแล้ว เย่เฉินรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยสำนักว่านหลงไปง่าย ๆ ตอนนี้ มีเพียงผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลเท่านั้นที่รู้ความจริงทั้งหมดของสำนักว่านหลง ถ้าช่วยชีวิตเขาแล้ว กองทัพของรัฐบาลจะแตกหักกับสำนักว่านหลงอย่างสิ้นเชิง อีกอย่างตนเองก็สามารถควบคุมเฉินจงเหล่ยได้ หากวางแผนจัดการได้ดีแล้ว ก็จะสามารถส่งทหารของสำนักว่านหลง 15,000 คนนี้ ให้กับกองทัพของรัฐบาลได้อีกด้วย!

หลังจากนั้น เย่เฉินบอกอย่างละเอียดว่า “ผมจะผนึกจิตสำนึกของคุณทั้งหมด แต่ไม่ต้องกังวล หลังจากผนึกแล้ว จะเก็บความทรงจำทั้งหมดของคุณไว้ แต่ร่างกายของคุณจะขาดการเชื่อมต่อจากจิตสำนึกของคุณโดยสิ้นเชิง ร่างกายของคุณจะปฏิบัติตามมาคำสั่งของผม”

“เมื่อถึงเวลานั้น ถึงแม้ว่าจิตสำนึกของคุณเองจะรู้ชัดเจนทุกอย่าง แต่คุณจะไม่สามารถทำอะไรได้”

“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จิตสำนึกของคุณจะถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์อยู่ในสมองของคุณ ขอเพียงแค่ผมไม่ปล่อยคุณไป คุณก็จะไม่มีวันเป็นอิสระ”

เฉินจงเหล่ยรู้สึกสิ้นหวัง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร้องไห้และถามว่า “คุณ…..คุณมีปราณทิพย์ได้อย่างไร? นั่นเป็นพลังที่มีอยู่แต่ในตำนานเท่านั้นไม่ใช่หรือ?! คุณ…..คุณเป็นใครกันแน่?!”

เย่เฉินส่ายศีรษะและกล่าวเยาะเย้ยว่า “ผมเป็นพ่อของคุณ!”

เฉินจงเหล่ยตื่นตระหนกอย่างสิ้นเชิง เขาร้องไห้และกล่าวว่า “ไม่ ได้โปรดอย่าผนึกจิตสำนึกของผมเลย ผมไม่ต้องการที่จะมีชีวิตเหมือนคนที่ตายไปแล้ว โปรดยกโทษให้ผมด้วย ขอเพียงแค่คุณยอมยกโทษให้ผม ผมจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณทั้งหมด! ผมสามารถให้ทหารที่อยู่ข้างนอกทั้งหมดของสำนักว่านหลงปลดอาวุธและยอมจำนนทันที แล้วแต่คุณจะสั่งการ ขอร้องโปรดปล่อยผมไปเถอะ….ขอร้องเถอะ…..”

เย่เฉินถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณยอมเชื่อฟังผมทุกอย่างจริงหรือ?”

เฉินจงเหล่ยพยักหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลังเล และกล่าวรับประกันว่า “ผมขอสาบานต่อสวรรค์ ผมจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง คุณให้ผมอะไร ผมก็จะทำตามทุกอย่าง!”

เย่เฉินยิ้มและกล่าวอย่างจริงจังว่า “บอกตามตรง ผมไม่ค่อยเชื่อคุณ เพราะคนอย่างคุณสามารถฆ่าได้แม้แต่คู่หูของตนเอง แล้วคุณจะทำตามสัญญาได้อย่างไร?”

เฉินจงเหล่ยทรุดตัวลงและอ้อนวอน “ผมขอสาบานต่อสวรรค์ ผมจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณทุกอย่างจริง ๆ ได้โปรดเชื่อผม…..ผมไม่ต้องการที่จะติดอยู่ในร่างของตนเองตลอดไปจริง ๆ….ขอร้องได้โปรดเถอะ…..”

เย่เฉินหัวเราะและกล่าวว่า “ต้องขอโทษ ผมยังไม่เชื่อคุณ”

หลังจากกล่าวจบ นิ้วของเย่เฉินปล่อยปราณทิพย์เข้าไปในสมองของเฉินจงเหล่ยอีกครั้ง

ท่าทางของเฉินจงเหล่ยสงบลงอย่างรวดเร็ว จากความตื่นตระหนกสุดขีดและกลายเป็นการแสดงออกเซื่องซึมและมึนงง

ตอนนี้เย่เฉินปล่อยมือ แล้วชี้ไปที่ผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลซึ่งนอนอยู่บนพื้น และสั่งเฉินจงเหล่ยว่า “ไปนำเขามาวางไว้บนโต๊ะประชุม”

ขณะนี้จิตสำนึกของเฉินจงเหล่ยสามารถได้ยินสิ่งที่เย่เฉินพูด และสามารถรับภาพที่ดวงตาได้ แต่ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้แม้แต่น้อย

เขาทำได้เพียงเฝ้าดูร่างกายของตนเองปฏิบัติตามคำสั่งของเย่เฉิน เขาลุกขึ้นทันที เดินไปหาผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาล แล้วอุ้มเขาขึ้นมาด้วยความลำบาก และวางเขาไว้บนโต๊ะประชุมที่อยู่ตรงหน้าของเย่เฉิน

เขารู้สึกหวาดกลัวจิตสำนึกของตนเองมาก และขณะเดียวกันก็รู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก

เพียงแต่ ตอนนี้เขาไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ เขาทำได้เพียงแค่อยู่ในร่างกายของตนเอง ราวกับเป็นผู้โดยสารที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน

และตอนนี้เส้นลมปราณในร่างกายของเขาถูกทำลายไปหมดแล้ว และศักยภาพทางร่างกายนั้นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น

สำหรับผู้บัญชากองทัพของรัฐบาลคนนั้น ตอนนี้ผิวของเขากลายเป็นสีม่วงแล้ว

หัวใจของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนักจนทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ซึ่งทำให้สมองของเขาขาดออกซิเจน ถ้าตามปกติแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ เวลาดีที่สุดที่จะสามารถช่วยชีวิตได้โดยทั่วไปคือไม่เกิน 4-6 นาที

หากสามารถทำให้หัวใจเต้นได้อีกครั้งภายใน 4-6 นาที ก็สามารถมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้

เพียงแต่ ตอนนี้หัวใจของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก อวัยวะในร่างกายของเขาขาดออกซิเจน และมาถึงขอบของความตายทางชีววิทยาแล้ว

โดยปกติแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถช่วยชีวิตได้อีกต่อไปแล้ว

แต่สำหรับเย่เฉินแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่

เย่เฉินรู้สึกว่าถ้าไม่ช่วยเขา ก็สามารถให้เฉินจงเหล่ยพาตนเองออกจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่ให้เฉินจงเหล่ยสั่งให้ทหารของสำนักว่านหลงปลดอาวุธ หรือให้เฉินจงเหล่ยคุ้มกันตนเองเพื่อพาซูโสว่เต้าออกไปจากประเทศซีเรียได้

เพียงแต่ หลังจากคิดทบทวนแล้ว เย่เฉินรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยสำนักว่านหลงไปง่าย ๆ

ตอนนี้ มีเพียงผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลเท่านั้นที่รู้ความจริงทั้งหมดของสำนักว่านหลง

ถ้าช่วยชีวิตเขาแล้ว กองทัพของรัฐบาลจะแตกหักกับสำนักว่านหลงอย่างสิ้นเชิง

อีกอย่างตนเองก็สามารถควบคุมเฉินจงเหล่ยได้

หากวางแผนจัดการได้ดีแล้ว ก็จะสามารถส่งทหารของสำนักว่านหลง 15,000 คนนี้ ให้กับกองทัพของรัฐบาลได้อีกด้วย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน 3121

Now you are reading ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน Chapter 3121 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากนั้น เย่เฉินบอกอย่างละเอียดว่า “ผมจะผนึกจิตสำนึกของคุณทั้งหมด แต่ไม่ต้องกังวล หลังจากผนึกแล้ว จะเก็บความทรงจำทั้งหมดของคุณไว้ แต่ร่างกายของคุณจะขาดการเชื่อมต่อจากจิตสำนึกของคุณโดยสิ้นเชิง ร่างกายของคุณจะปฏิบัติตามมาคำสั่งของผม” “เมื่อถึงเวลานั้น ถึงแม้ว่าจิตสำนึกของคุณเองจะรู้ชัดเจนทุกอย่าง แต่คุณจะไม่สามารถทำอะไรได้” “กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จิตสำนึกของคุณจะถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์อยู่ในสมองของคุณ ขอเพียงแค่ผมไม่ปล่อยคุณไป คุณก็จะไม่มีวันเป็นอิสระ” เฉินจงเหล่ยรู้สึกสิ้นหวัง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร้องไห้และถามว่า “คุณ…..คุณมีปราณทิพย์ได้อย่างไร? นั่นเป็นพลังที่มีอยู่แต่ในตำนานเท่านั้นไม่ใช่หรือ?! คุณ…..คุณเป็นใครกันแน่?!” เย่เฉินส่ายศีรษะและกล่าวเยาะเย้ยว่า “ผมเป็นพ่อของคุณ!” เฉินจงเหล่ยตื่นตระหนกอย่างสิ้นเชิง เขาร้องไห้และกล่าวว่า “ไม่ ได้โปรดอย่าผนึกจิตสำนึกของผมเลย ผมไม่ต้องการที่จะมีชีวิตเหมือนคนที่ตายไปแล้ว โปรดยกโทษให้ผมด้วย ขอเพียงแค่คุณยอมยกโทษให้ผม ผมจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณทั้งหมด! ผมสามารถให้ทหารที่อยู่ข้างนอกทั้งหมดของสำนักว่านหลงปลดอาวุธและยอมจำนนทันที แล้วแต่คุณจะสั่งการ ขอร้องโปรดปล่อยผมไปเถอะ….ขอร้องเถอะ…..” เย่เฉินถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณยอมเชื่อฟังผมทุกอย่างจริงหรือ?” เฉินจงเหล่ยพยักหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลังเล และกล่าวรับประกันว่า “ผมขอสาบานต่อสวรรค์ ผมจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง คุณให้ผมอะไร ผมก็จะทำตามทุกอย่าง!” เย่เฉินยิ้มและกล่าวอย่างจริงจังว่า “บอกตามตรง ผมไม่ค่อยเชื่อคุณ เพราะคนอย่างคุณสามารถฆ่าได้แม้แต่คู่หูของตนเอง แล้วคุณจะทำตามสัญญาได้อย่างไร?” เฉินจงเหล่ยทรุดตัวลงและอ้อนวอน “ผมขอสาบานต่อสวรรค์ ผมจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณทุกอย่างจริง ๆ ได้โปรดเชื่อผม…..ผมไม่ต้องการที่จะติดอยู่ในร่างของตนเองตลอดไปจริง ๆ….ขอร้องได้โปรดเถอะ…..” เย่เฉินหัวเราะและกล่าวว่า “ต้องขอโทษ ผมยังไม่เชื่อคุณ” หลังจากกล่าวจบ นิ้วของเย่เฉินปล่อยปราณทิพย์เข้าไปในสมองของเฉินจงเหล่ยอีกครั้ง ท่าทางของเฉินจงเหล่ยสงบลงอย่างรวดเร็ว จากความตื่นตระหนกสุดขีดและกลายเป็นการแสดงออกเซื่องซึมและมึนงง ตอนนี้เย่เฉินปล่อยมือ แล้วชี้ไปที่ผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลซึ่งนอนอยู่บนพื้น และสั่งเฉินจงเหล่ยว่า “ไปนำเขามาวางไว้บนโต๊ะประชุม” ขณะนี้จิตสำนึกของเฉินจงเหล่ยสามารถได้ยินสิ่งที่เย่เฉินพูด และสามารถรับภาพที่ดวงตาได้ แต่ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้แม้แต่น้อย เขาทำได้เพียงเฝ้าดูร่างกายของตนเองปฏิบัติตามคำสั่งของเย่เฉิน เขาลุกขึ้นทันที เดินไปหาผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาล แล้วอุ้มเขาขึ้นมาด้วยความลำบาก และวางเขาไว้บนโต๊ะประชุมที่อยู่ตรงหน้าของเย่เฉิน เขารู้สึกหวาดกลัวจิตสำนึกของตนเองมาก และขณะเดียวกันก็รู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก เพียงแต่ ตอนนี้เขาไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ เขาทำได้เพียงแค่อยู่ในร่างกายของตนเอง ราวกับเป็นผู้โดยสารที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน และตอนนี้เส้นลมปราณในร่างกายของเขาถูกทำลายไปหมดแล้ว และศักยภาพทางร่างกายนั้นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น สำหรับผู้บัญชากองทัพของรัฐบาลคนนั้น ตอนนี้ผิวของเขากลายเป็นสีม่วงแล้ว หัวใจของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนักจนทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ซึ่งทำให้สมองของเขาขาดออกซิเจน ถ้าตามปกติแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ เวลาดีที่สุดที่จะสามารถช่วยชีวิตได้โดยทั่วไปคือไม่เกิน 4-6 นาที หากสามารถทำให้หัวใจเต้นได้อีกครั้งภายใน 4-6 นาที ก็สามารถมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้ เพียงแต่ ตอนนี้หัวใจของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก อวัยวะในร่างกายของเขาขาดออกซิเจน และมาถึงขอบของความตายทางชีววิทยาแล้ว โดยปกติแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถช่วยชีวิตได้อีกต่อไปแล้ว แต่สำหรับเย่เฉินแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เย่เฉินรู้สึกว่าถ้าไม่ช่วยเขา ก็สามารถให้เฉินจงเหล่ยพาตนเองออกจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่ให้เฉินจงเหล่ยสั่งให้ทหารของสำนักว่านหลงปลดอาวุธ หรือให้เฉินจงเหล่ยคุ้มกันตนเองเพื่อพาซูโสว่เต้าออกไปจากประเทศซีเรียได้ เพียงแต่ หลังจากคิดทบทวนแล้ว เย่เฉินรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยสำนักว่านหลงไปง่าย ๆ ตอนนี้ มีเพียงผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลเท่านั้นที่รู้ความจริงทั้งหมดของสำนักว่านหลง ถ้าช่วยชีวิตเขาแล้ว กองทัพของรัฐบาลจะแตกหักกับสำนักว่านหลงอย่างสิ้นเชิง อีกอย่างตนเองก็สามารถควบคุมเฉินจงเหล่ยได้ หากวางแผนจัดการได้ดีแล้ว ก็จะสามารถส่งทหารของสำนักว่านหลง 15,000 คนนี้ ให้กับกองทัพของรัฐบาลได้อีกด้วย!

หลังจากนั้น เย่เฉินบอกอย่างละเอียดว่า “ผมจะผนึกจิตสำนึกของคุณทั้งหมด แต่ไม่ต้องกังวล หลังจากผนึกแล้ว จะเก็บความทรงจำทั้งหมดของคุณไว้ แต่ร่างกายของคุณจะขาดการเชื่อมต่อจากจิตสำนึกของคุณโดยสิ้นเชิง ร่างกายของคุณจะปฏิบัติตามมาคำสั่งของผม”

“เมื่อถึงเวลานั้น ถึงแม้ว่าจิตสำนึกของคุณเองจะรู้ชัดเจนทุกอย่าง แต่คุณจะไม่สามารถทำอะไรได้”

“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จิตสำนึกของคุณจะถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์อยู่ในสมองของคุณ ขอเพียงแค่ผมไม่ปล่อยคุณไป คุณก็จะไม่มีวันเป็นอิสระ”

เฉินจงเหล่ยรู้สึกสิ้นหวัง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร้องไห้และถามว่า “คุณ…..คุณมีปราณทิพย์ได้อย่างไร? นั่นเป็นพลังที่มีอยู่แต่ในตำนานเท่านั้นไม่ใช่หรือ?! คุณ…..คุณเป็นใครกันแน่?!”

เย่เฉินส่ายศีรษะและกล่าวเยาะเย้ยว่า “ผมเป็นพ่อของคุณ!”

เฉินจงเหล่ยตื่นตระหนกอย่างสิ้นเชิง เขาร้องไห้และกล่าวว่า “ไม่ ได้โปรดอย่าผนึกจิตสำนึกของผมเลย ผมไม่ต้องการที่จะมีชีวิตเหมือนคนที่ตายไปแล้ว โปรดยกโทษให้ผมด้วย ขอเพียงแค่คุณยอมยกโทษให้ผม ผมจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณทั้งหมด! ผมสามารถให้ทหารที่อยู่ข้างนอกทั้งหมดของสำนักว่านหลงปลดอาวุธและยอมจำนนทันที แล้วแต่คุณจะสั่งการ ขอร้องโปรดปล่อยผมไปเถอะ….ขอร้องเถอะ…..”

เย่เฉินถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณยอมเชื่อฟังผมทุกอย่างจริงหรือ?”

เฉินจงเหล่ยพยักหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลังเล และกล่าวรับประกันว่า “ผมขอสาบานต่อสวรรค์ ผมจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง คุณให้ผมอะไร ผมก็จะทำตามทุกอย่าง!”

เย่เฉินยิ้มและกล่าวอย่างจริงจังว่า “บอกตามตรง ผมไม่ค่อยเชื่อคุณ เพราะคนอย่างคุณสามารถฆ่าได้แม้แต่คู่หูของตนเอง แล้วคุณจะทำตามสัญญาได้อย่างไร?”

เฉินจงเหล่ยทรุดตัวลงและอ้อนวอน “ผมขอสาบานต่อสวรรค์ ผมจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณทุกอย่างจริง ๆ ได้โปรดเชื่อผม…..ผมไม่ต้องการที่จะติดอยู่ในร่างของตนเองตลอดไปจริง ๆ….ขอร้องได้โปรดเถอะ…..”

เย่เฉินหัวเราะและกล่าวว่า “ต้องขอโทษ ผมยังไม่เชื่อคุณ”

หลังจากกล่าวจบ นิ้วของเย่เฉินปล่อยปราณทิพย์เข้าไปในสมองของเฉินจงเหล่ยอีกครั้ง

ท่าทางของเฉินจงเหล่ยสงบลงอย่างรวดเร็ว จากความตื่นตระหนกสุดขีดและกลายเป็นการแสดงออกเซื่องซึมและมึนงง

ตอนนี้เย่เฉินปล่อยมือ แล้วชี้ไปที่ผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลซึ่งนอนอยู่บนพื้น และสั่งเฉินจงเหล่ยว่า “ไปนำเขามาวางไว้บนโต๊ะประชุม”

ขณะนี้จิตสำนึกของเฉินจงเหล่ยสามารถได้ยินสิ่งที่เย่เฉินพูด และสามารถรับภาพที่ดวงตาได้ แต่ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้แม้แต่น้อย

เขาทำได้เพียงเฝ้าดูร่างกายของตนเองปฏิบัติตามคำสั่งของเย่เฉิน เขาลุกขึ้นทันที เดินไปหาผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาล แล้วอุ้มเขาขึ้นมาด้วยความลำบาก และวางเขาไว้บนโต๊ะประชุมที่อยู่ตรงหน้าของเย่เฉิน

เขารู้สึกหวาดกลัวจิตสำนึกของตนเองมาก และขณะเดียวกันก็รู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก

เพียงแต่ ตอนนี้เขาไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ เขาทำได้เพียงแค่อยู่ในร่างกายของตนเอง ราวกับเป็นผู้โดยสารที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน

และตอนนี้เส้นลมปราณในร่างกายของเขาถูกทำลายไปหมดแล้ว และศักยภาพทางร่างกายนั้นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น

สำหรับผู้บัญชากองทัพของรัฐบาลคนนั้น ตอนนี้ผิวของเขากลายเป็นสีม่วงแล้ว

หัวใจของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนักจนทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ซึ่งทำให้สมองของเขาขาดออกซิเจน ถ้าตามปกติแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ เวลาดีที่สุดที่จะสามารถช่วยชีวิตได้โดยทั่วไปคือไม่เกิน 4-6 นาที

หากสามารถทำให้หัวใจเต้นได้อีกครั้งภายใน 4-6 นาที ก็สามารถมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้

เพียงแต่ ตอนนี้หัวใจของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก อวัยวะในร่างกายของเขาขาดออกซิเจน และมาถึงขอบของความตายทางชีววิทยาแล้ว

โดยปกติแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถช่วยชีวิตได้อีกต่อไปแล้ว

แต่สำหรับเย่เฉินแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่

เย่เฉินรู้สึกว่าถ้าไม่ช่วยเขา ก็สามารถให้เฉินจงเหล่ยพาตนเองออกจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่ให้เฉินจงเหล่ยสั่งให้ทหารของสำนักว่านหลงปลดอาวุธ หรือให้เฉินจงเหล่ยคุ้มกันตนเองเพื่อพาซูโสว่เต้าออกไปจากประเทศซีเรียได้

เพียงแต่ หลังจากคิดทบทวนแล้ว เย่เฉินรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยสำนักว่านหลงไปง่าย ๆ

ตอนนี้ มีเพียงผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลเท่านั้นที่รู้ความจริงทั้งหมดของสำนักว่านหลง

ถ้าช่วยชีวิตเขาแล้ว กองทัพของรัฐบาลจะแตกหักกับสำนักว่านหลงอย่างสิ้นเชิง

อีกอย่างตนเองก็สามารถควบคุมเฉินจงเหล่ยได้

หากวางแผนจัดการได้ดีแล้ว ก็จะสามารถส่งทหารของสำนักว่านหลง 15,000 คนนี้ ให้กับกองทัพของรัฐบาลได้อีกด้วย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+