พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 170 ลืม

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 170 ลืม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อากาศในเดือนสามยังคงหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย แต่ท่านชายโจวหกกลับยกมือขึ้นพัดด้านหน้า ราวกับกำลังปัดเป่าความร้อนในร่างกาย

“เจ้าจะบอกว่า เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ” เขาถาม

สาวใช้ที่รออยู่รับใช้บนระเบียงทางเดินและบ่าวข้างกายท่านชายฉินต่างก็พากันถอยออกไปยืนอยู่ห่างๆ

ทั้งสามต่างยังคงนั่งอยู่ในทางเดินระเบียงซ้ายขวา

“ถ้าข้ารู้ ข้า ข้า…เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้น” ท่านชายฉินพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ท่านแม่ของข้า ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางแล้ว“

แต่ก่อนนางเคยเอาน้ำขี้เถ้าที่เผาจากตำรายาแปลกๆ แล้วหาเหตุผลต่างๆ นานามากล่อมให้เขาดื่ม หรือบางครั้งก็แอบวางของแก้เคล็ดบางอย่างในห้องของเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าไปบูชามาจากไหน

แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่แม่ทำก่อนที่เขาจะอายุสิบขวบ นางทำสิ่งเหล่านี้แล้วยังมาถามปริศนาธรรมกับเขาอีก

หลังจากอายุสิบขวบ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้ว่าลูกชายโตแล้ว ยากที่จะหลอกล่อ หรือเพราะหมดหวังไปแล้วจึงไม่ถูกคนอื่นหลอกอีก สิ่งแปลกประหลาดเหล่านั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

แต่นึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากเงียบไปหลายปี จู่ๆ ท่านแม่ก็ทำเช่นนี้กับเขาอีกแล้ว

ในวันที่มีปากเสียงครั้งนั้น เฉิงเจียวเหนียงบอกว่าสามารถรักษาขาของเขาได้ ท่านชายฉินรู้ว่าเขาไม่สามารถซ่อนความจริงจากท่านแม่ได้ และไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง เขาเองก็รอคำถามอ้อมโลกที่ท่านแม่จะมาถามเขา หรือหลอกล่อให้เฉิงเจียวเหนียงมาหา แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านแม่จะเด็ดขาดเช่นนี้ นางไม่ซักไซ้ไล่เลียงใดๆ แต่กลับสู่ขอนางเข้าบ้านเสียอย่างนั้น

ในสายตาท่านแม่ หากเชิญนางไปอยู่ที่บ้านของตนเพื่อแก้เคล็ด คงขลังกว่ารูปปั้นหินโบราณอีกกระมัง

“เป็นเพราะข้าประมาทเอง ข้าคิดว่าในที่สุดท่านแม่ก็ปล่อยวางความหมกมุ่นที่มีมาหลายปี แต่คิดไม่ถึงเลยว่า…”

เขาส่ายหัวพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เช่นนี้นี่เอง ท่านชายโจวหกถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทันใดก็ผงะอีกครั้ง ทำไมเขาต้องโล่งอกด้วยเล่า

“เรื่องแบบนี้ ใครจะไปปล่อยวางได้กัน” เขาพูดด้วยเสียงที่ขุ่นมัว แต่ก็ต้องกัดฟันอย่างอดไม่ได้ “เจ้าคนเจียงโจวช่างโง่เขลานัก!”

ท่านชายฉินยิ้ม

“ข้าไม่เสียเวลากับเจ้าแล้ว ข้าต้องรีบแก้ไขเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นวันหน้าจะไม่สามารถพูดอะไรได้อีก” เขาพูดพลางยืนขึ้น ก่อนจะหยุดลงอีกครั้ง “ข้าควรอธิบายให้เฉิงเจียวเหนียงฟังก่อน เจ้าไปบอกข่าวที”

เมื่อเขาพูดจบ สีหน้าของท่านชายโจวหกก็แปลกไปอีกครั้ง

“นางไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว” ท่านชายโจวหกเอ่ย

“โกรธเพราะเหตุนี้หรือ” ท่านชายฉินถามด้วยความประหลาดใจ “แม่นางเฉิงคนนี้ดูไม่เหมือนกับคนที่โมโหง่ายเลยนี่”

ท่านชายโจวหกไม่ได้พูดอะไร ก้มศีรษะลง สีหน้าดูเคร่งขรึม

สายตาของท่านชายฉินยังคงวนเวียนอยู่ที่ใบหน้าของเขา

“ชายหก เจ้าเพิ่งพูดออกมาว่าเดิมทีไม่ต้องให้ข้าทำเช่นนี้ เรื่องนี้เจ้าจัดการเองก็พอแล้ว หรือว่าเจ้าทำไปแล้วอย่างนั้นหรือ” เขาถาม

สีหน้าของท่านชายโจวหกแดงก่ำในทันที

“ใช่ ถูกต้อง” เขาพึมพำด้วยความลำบากใจที่ต้องเปิดเผย “ที่นางย้ายออกไป ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

ท่านชายฉินมองไปที่เขา กลั้นหัวเราะเอาไม่อยู่

“เจ้าเนี่ยนะ คิดอยากจะอุทิศหัวใจและชีวิตให้ เจ้าคิดได้อย่างไร” เขาหัวเราะและนั่งลงอีกครั้ง “อย่าบอกนะว่าเจ้าถูกใจนางมานานแล้ว”

ประโยคนี้ราวกับเหยียบหางของท่านชายโจวหก ชายหนุ่มกระเด้งตัวขึ้นมาในทันใด

“ข้าเปล่า ข้าเปล่านะ นี่ข้าทำเพื่อเจ้านะ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าไม่สนใจนางหรอก!” เขาตะโกนพลางถลึงตาใบหน้าแดงก่ำ

ท่านชายฉินมองเขาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ใช่ก็ดี” เขาเอ่ยขึ้นมาในทันใด ก่อนรอยยิ้มจะจางหายไป เขาเองก็ครุ่นคิดและเห็นใจท่านชายโจวหกอยู่ไม่น้อย

“ไม่ใช่ก็ดี”

เขาพูดย้ำอีกครั้ง

ยังไม่ทันถึงเรือนไท่ผิง สาวใช้ก็เปิดม่านขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ ทั้งยังส่งเสียงร้องประหลาดใจออกมา

“คนเยอะถึงเพียงนี้เชียวหรือ” นางเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงมองลอดม่านหน้าต่าง มองเห็นคนมากมายส่งเสียงโหวกเหวกอยู่หน้าร้าน

“คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม” สาวใช้หันมาพูดด้วยความกังวลใจ

“ไม่หรอก” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

ตอนนี้รถม้าของพวกนางเลี้ยวกลับมาแล้ว ทำให้มองเห็นกลุ่มคนหน้าร้านได้อย่างชัดเจน ล้วนแต่เป็นชายหนุ่ม

แต่งกายสะอาดสะอ้าน ทั้งหนุ่มทั้งแก่ ท่าทางดูเป็นผู้คงแก่เรียนทั้งนั้น บางคนถึงกับกำกระดาษและพู่กันอยู่ในมือ

จะว่าไป…

“พวกท่านพี่ไม่ออกมากันเลยหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

หากมีคนมาก่อเรื่องวุ่นวาย พวกสวีเม่าซิวคงมาเฝ้าอยู่ที่ประตูแน่นอน แต่ตอนนี้หน้าประตูไม่มีแม้แต่ผู้ดูแลร้านเลยด้วยซ้ำ

รถม้าจอดอยู่บริเวณใกล้เคียง สาวใช้และเฉิงเจียวเหนียงลงจากรถ ผู้คนหน้าประตูหันมองมา

“ถอยไป อย่ามาขวาง คนเขาจะค้าจะขาย” มีคนตะโกนออกมา

ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ด้วย สาวใช้พยุงเฉิงเจียวเหนียงเดินฝ่าเข้าไป ก่อนจะมองสำรวจกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยความประหลาดใจ

ภายในร้านนั้นว่างเปล่า ผู้ดูแลร้านนั่งทำบัญชีอยู่ที่โต๊ะ

“ด้านนอกเกิดอะไรขึ้นหรือ” สาวใช้ถามด้วยความสงสัย

“นายหญิงมาแล้วหรือ” ผู้ดูแลร้านยิ้มก่อนจะกล่าวต้อนรับ จากนั้นจึงมองออกไปด้านนอก สีหน้าดูแปลกประหลาด “มาดูตัวอักษรกันน่ะ”

ดูตัวอักษรอย่างนั้นหรือ

สาวใช้หันกลับไปมองด้านนอก นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้

นางลืมไปเสียสนิท แม่นางสิบแปดเคยบอกว่าตัวอักษรสี่ห้าตัวที่เคยเขียนไว้ที่วัดเฉี่ยถิง บัดนี้เป็นที่เลื่องลือกันทั้งเมืองหลวงไปแล้ว

แผ่นป้ายหน้าประตูนี้เขียนด้วยลายมือของนายหญิงเอง แต่ใช่ว่าจะดูออกได้ง่ายๆ

มีคนเดินเข้ามาจากด้านนอก

“ผู้ดูแลร้าน นำอาหารเหล่านี้ไปวางไว้ด้านนอกได้หรือไม่” ชายหนุ่มทั้งสองคนถาม

นำไปวางด้านนอกอย่างนั้นหรือ

ผู้ดูแลร้านหัวเราะ

“ได้สิ ได้สิ” เขาเอ่ย พลางตะโกนไปทางด้านหลัง “มาจัดโต๊ะตรงนี้สักสองสามคนหน่อย”

เขาเอ่ยพลางเดินไปข้างนอก

“ข้าดูก่อนว่าจะจัดอย่างไรถึงจะเหมาะสม”

เมื่อได้ยินคำตอบรับของเขา กลุ่มคนด้านนอกก็ยิ่งคึกคักยิ่งกว่าเดิม

“ผู้ดูแลร้าน แขวนป้ายนี้ไว้ด้านนอกเช่นนี้ น่าเสียดายนัก”

“นั่นสิ นั่นสิ ตากแดดตากฝน ท่านทนดูอยู่ได้อย่างไร!”

“ควรจะแขวนไว้ในห้อง!”

ทุกคนพากันตะโกน ผู้ดูแลร้านเพียงแค่หัวเราะ  อีกด้านหนึ่งสวีเม่าซิวและคนอื่นๆ อีกเจ็ดคนก็ทำหน้าที่เคลื่อนย้ายโต๊ะและวางหมอนอิง

ด้านนอกมีบัณฑิตสิบกว่าคนนั่งอยู่บนพื้นที่โล่ง ทั้งหัวเราะและส่งเสียงดัง ดึงดูดผู้คนบนท้องถนนให้จ้องมองด้วยความสงสัย

ให้น้องสี่เพียงคนเดียวรับรายการอาหารคงไม่ไหวแล้ว นอกจากจะต้องคอยดูแลม้า พี่น้องหลายคนต่างก็เริ่มยุ่งกัน

“นายหญิงเจ้าคะ ตัวอักษรนี้ได้กลายเป็นของดีประจำร้านไปแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันกลับมา

“ไม่เคยเห็นร้านอาหารใดใช้ตัวอักษรมาเป็นของดีประจำร้านมาก่อนเลย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางส่ายหัว

สาวใช้นั่งลงข้างกายนาง หัวเราะคิกคัก มีเพียงพวกนางสองคนในห้องโถงเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเลี่ยงไปที่ชั้นสอง

“บัณฑิตกลุ่มนี้ จะออกไปกินข้าวข้างนอกจริงๆ ด้วย ดีที่อากาศอบอุ่นแล้ว หากมีแต่หิมะเหมือนยามหน้าหนาวจะกินอย่างไรเล่า” สวีปั้งฉุยเดินเข้ามาพูด

“นั่นยิ่งดีเลย นั่งอยู่บนหิมะ ดื่มเหล้าและชมตัวอักษร พร้อมกับโปเสียก้ง อีกหม้อหนึ่ง นั้นต่างหากคือความงดงามที่สุดในโลกมนุษย์” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“โปเสียก้งคืออะไรหรือ” สวีปั้งฉุยถาม

“ก็คือนางฟ้าผ่านทาง” สาวใช้เปล่งเสียงฮึ ก่อนจะเอ่ยออกมา

“นางฟ้าผ่านทางอย่างนั้นหรือ”

มีคนพูดแทรกขึ้น

สาวใช้หันไปมอง เห็นบัณฑิตสองสามคนที่รอไม่ไหวเข้ามาย้ายโต๊ะและเบาะรองนั่งด้วยตัวเอง

“พวกท่านก็รู้จักนางฟ้าผ่านทางด้วยหรือ” พวกเขาถาม พลางดีใจหน้าบานเป็นกระด้ง “อยากจะบอกว่านางฟ้าผ่านทางของเรือนนางฟ้านั้นช่างรสเลิศเสียจริง แทบอยากจะกินทุกวันจนอดใจไม่ไหว น่าเสียดายที่มีเงินไม่พอ”

สาวใช้ส่งเสียง เฮอะ

“รสเลิศอะไรกันเล่า ผู้ใดก็ทำได้ทั้งนั้น” นางกระซิบ

“ผู้ใดก็ทำได้อย่างนั้นหรือ” ใครบางคนหูผึ่ง ขณะมองไปยังผู้ดูแลร้าน “สั่งนางฟ้าผ่านทางที่ร้านของท่านได้หรือไม่”

ผู้ดูแลร้านมองเฉิงเจียวเหนียง นางส่ายหัวเบาๆ ให้เขา

“ไม่ได้” เขายิ้มพลางส่ายหัว

เหล่าบัณฑิตพากันหัวเราะ แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีก

“เห็นไหมเล่า ลักษณะเด่นของเรือนนางฟ้าคืออาหารอันโอชะที่นางฟ้ามอบให้ จะมีอยู่ทั่วไปทุกร้านได้อย่างไร” พวกเขาพูดติดตลก ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับย้ายโต๊ะและเบาะรองนั่ง

ห้องโถงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง แต่สาวใช้นั้นนั่งลงด้วยความโกรธเต็มอก

“นายหญิง” นางพูด “เช่นนี้เป็นการกลั่นแกล้งเกินไปแล้วกระมัง เห็นชัดๆ ว่าเป็นของท่าน พวกเขาเอามันไปใช้เองอย่างไร้ยางอาย แถมยังทำหลังจากที่ท่านเผยแพร่มันออกไปด้วย เช่นนั้นน่าจะเก็บเงินของพวกเขาไปตั้งแต่ตอนนั้น”

“นั่นไม่ใช่ของข้า ข้าจะเอากำไรจากตรงนั้นได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงพูด พร้อมกับจับโต๊ะเขียนหนังสือไว้พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

นายหญิงพูดเช่นนี้อีกแล้ว!

ท้ายที่สุดนายหญิงก็คือหญิงคนหนึ่ง ยอมใจอ่อนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา

สาวใช้ขุ่นเคือง

เฉิงเจียวเหนียงมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง

“อาหารกลางแจ้งในฤดูใบไม้ผลิ แม้จะไม่น่าสนใจเท่าหิมะในฤดูหนาว แต่ก็ดีเหมือนกัน” จู่ๆ นางก็พูดขึ้น “ปั้นฉิน เราก็กินข้างนอกกันเถอะ”

สาวใช้ตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ก็ขานตอบทันที

เมื่อเห็นหญิงสาวออกมาข้างนอกเช่นกัน เหล่าบัณฑิตหันมามองกันสองสามที แต่ก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลก

ทุกวันนี้สังคมเปิดกว้าง มีผู้หญิงดีๆ มากมายออกไปตามท้องถนน เป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงจะไปเดินเล่นชมดอกไม้ เยี่ยมญาติ พบปะเพื่อนฝูงหรือเข้าชมรมกวี

นอกจากนี้การเขียนพู่กันเป็นที่นิยมของตระกูลร่ำรวย สตรีหลายคนยังมีความภาคภูมิใจในการอ่านหนังสือ เขียนบทกวี และเขียนตัวอักษร มีสตรีหลายคนในเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงในด้านกวี การเขียนตัวอักษรและภาพวาด

ตัวอักษรห้าตัวแห่งวัดเฉี่ยถิงก็มีผู้หญิงจำนวนมากไปเข้าชม ณ ตอนนี้ ที่แห่งนี้ได้ให้กำเนิดตัวอักษรใหม่อีกสองตัว ย่อมดึงดูดให้หญิงผู้ที่ออกมาชื่นชม เป็นเรื่องปกตินัก

เพียงแต่การกระทำของหญิงสาวผู้นี้นั้นเริ่มดึงดูดความสนใจของทุกคน

“ใช่ แค่นั้นเอง เปลี่ยนถ้วยเงินบนเตาถ่านที่พวกเจ้าใช้ประจำเป็นหม้อทรงตื้น ง่ายจะตายไป…” สาวใช้พูด ปล่อยให้ชายหนุ่มผู้เป็นบริกรตั้งหม้อลงบนโต๊ะ

ภายใต้หม้อมีไฟถ่านที่กำลังลุกโชนอยู่ในเตากระเบื้อง

“ขอเต้าหู้ ปวยเล้ง ผักกาดกวางตุ้งอีกนิดหน่อย มีเนื้ออะไรบ้างหรือ” สาวใช้ถามอีกครั้ง

“ไก่ เป็ด เนื้อแกะ เนื้อลา…” ชายหนุ่มเอ่ย ท่าทางจริงจังราวกับปฏิบัติต่อแขกทุกคนเหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็ดมาหนึ่งตัวแล้วกัน” สาวใช้ถามเฉิงเจียวเหนียงก่อนจะพูด

ชายหนุ่มตะโกนสั่งเข้าไปด้านใน

ยามอาหารที่สาวใช้สั่งเริ่มทะยอยมา บัณฑิตมากมายก็ละสายตาจากตัวอัษรนั้นแล้วมองมา

“นางกำลังกินอะไร”

“ดูเหมือนจะเป็น…”

เสียงถกเถียงเบาๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสาวใช้ใส่ไก่หั่นลงไปในหม้อก็มีเสียงเอะอะโวยวายขึ้นมา

“นั่นนางฟ้าผ่านทางนี่!”

“ใช่แล้ว แม้จะไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่ แต่ต้องมีรสชาติของนางฟ้าผ่านทางอยู่บ้างเป็นแน่!”

“คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีนางฟ้าผ่านทางด้วย?”

เสียงเรียกเจ้าของร้านก็ดังขึ้นทันทีทันใดในบริเวณนั้น

ชายหนุ่มสองสามคนที่ถูกเรียกออกมารู้สึกสับสนนิดหน่อย ทยอยกันวิ่งเข้ามาถามว่าพวกเขาต้องการอะไร

“พวกเราก็ต้องการนางฟ้าผ่านทางหนึ่งที่” บัณฑิตหลายคนเอ่ย

น้องสี่ผงะ

“นางฟ้าผ่านทางหรือ นางฟ้าผ่านทางของเรือนนางฟ้าน่ะหรือ” เขาถาม

เหล่าบัณฑิตรีบพยักหน้า

“ที่นี่คือเรือนไท่ผิง ไม่มีนางฟ้าผ่านทาง แล้วก็ทำไม่เป็นด้วย” น้องสี่ยิ้มด้วยความใสซื่อ ก่อนจะเอ่ยขอโทษด้วยความรู้สึกผิด

เหล่าบัณฑิตงุนงง

“เช่นนั้นนางกินอะไร” พวกเขาชี้นิ้วออกไปทางเฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่ด้านนอกคนเดียว ห่างจากฝูงชนใต้ป้ายหน้าร้าน

ใต้ต้นฉัตรจีนที่ยังไม่เขียวขจีนัก มีหญิงสาวสวมหมวกคลุมศีรษะนั่งอยู่บนเสื่อ สาวใช้ข้างกายงามพริ้ม มีโต๊ะหนึ่งตัว และหม้อหนึ่งใบที่กำลังเดือดปุดๆ ราวกับภาพวาดรูปคนกำลังกินอาหารกลางแจ้ง

เหตุใดถึงได้กินอาหารได้อย่างน่าหลงใหลเช่นนี้ ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง

“นั่นน่ะหรือ นั่นคือสิ่งที่นางนั้นสั่งขึ้นมาเอง พวกเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร” น้องสี่เอ่ย

สั่งขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ

บัณฑิตสีหน้าประหลาดใจ ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมีผู้กล้าสองสามคนที่ไม่อาจห้ามใจต่ออาหารอันโอชะได้ จึงเข้าไปถาม

“แม่นาง ไม่ทราบว่านี่คือนางฟ้าผ่านทางแห่งเรือนนางฟ้าใช่หรือไม่”

สาวใช้มองพวกเขาด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความเหยียดหยาม

“นางฟ้าผ่าทางอะไรเล่า นายหญิงของข้ากำลังเร่งรีบ รอให้พวกเขาทำอาหารไม่ไหว จึงทำอาหารแล้วกินเลยก็เท่านั้น” นางเอ่ย “ก็แค่หม้อหนึ่งใบกับไฟหนึ่งกอง เติมน้ำต้มกระดูก ใส่เนื้อและผักลงไป แล้วก็ต้มเข้าด้วยกัน ง่ายมาก อาหารง่ายๆ สำหรับคนขี้เกียจ เอาไปวางบนโต๊ะไม่ได้หรอก ขายหน้าเหล่าท่านชายเข้าแล้ว”

พูดจบ นางก็หยิบปวยเล้งบนโต๊ะออกมาหนึ่งกำมือ ก่อนจะใช้สองมือฉีกออกแล้วโยนลงไปในหม้อ

น้ำแกงใสกำลังเดือดปุด ผักใบเขียว เนื้อสีขาว และเต้าหู้กำลังผลัดกันลอยขึ้นมาอยู่ด้านบน ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว

ง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ

“เจ้าของร้าน พวกเราขอด้วยหนึ่งหม้อ”

“แล้วก็ขอผักด้วย…”

ผู้ดูแลร้านยืนอยู่นอกประตู มองผู้คนต้องการสิ่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เขายิ้มเจื่อนออกมาอย่าอดไม่ได้

“ท่านชายทุกท่าน อาหารที่สั่งไปแล้วคืนไม่ได้ หากสั่งแค่พวกนี้ พวกเราขาดทุนตายกันพอดี” เขาพูด พลางมองไปทางเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง “แม่นาง ท่านกำลังทำลายการค้าขายของพวกเราอยู่นะ”

ผักหนึ่งมัด เป็ดหนึ่งตัว เต้าหู้ดิบหนึ่งจาน และน้ำแกงหนึ่งหม้อ ล้วนไม่ต้องใช้กำลังคน ย่อมไม่แพงเท่าอาหารปรุงสุกอยู่แล้ว

เหล่าบัณฑิตที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันหัวเราะ

“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว อาหารที่สั่งแล้วไม่คืนหรอก” พวกเขาเอ่ยพลางหัวเราะ

เมื่อผู้ดูแลร้านได้ยินดังนั้นก็ใจชื้นขึ้นมา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว น้ำแกงหม้อนี้กับผักไม่กี่กำมือ ก็ราคาไม่เท่าไร ข้าไม่คิดเงินเหล่าท่านชายแล้วกัน ขอเก็บแค่ค่าเป็ดกับไก่  คิดราคาตามน้ำหนัก” เขาเอ่ยพลางยิ้ม

เหล่าบัณฑิตขานรับเสียงดัง บ้างก็พูดว่า ‘ดี‘ บ้างก็บอกว่าอาหารแปลกใหม่ แต่ที่สำคัญคือไม่คิดเงิน นี่มันสวรรค์ชัดๆ หลังจากสุราเข้าท้องไปสองสามจอก เหล่าบัณฑิตก็เริ่มต่อบทกวี ทั้งยังมีบางคนถือโอกาสดึงธนูที่พกติดตัวออกมาเพื่อยิงต้นหลิว

หน้าเรือนไท่ผิงคึกคักราวกับสำนักบัณฑิตมิปาน

สาวใช้ละสายตากลับมามองเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังยิ้มกว้าง

“เอ่อ นายหญิงเจ้าคะ…” นางพูดอย่างมีความนัย

แผนการครั้งนี้ ทำให้ผู้คนได้ลิ้มรสความงามของอาหาร ทั้งยังทำให้ได้รู้ว่ากรรมวิธีนั้นง่ายแสนง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบัณฑิตที่ชอบความสง่างามเหล่านี้ คงจะเป็นที่นิยมในอีกไม่ช้า หนึ่งคนกระจายไปอีกสิบคน สิบคนกระจายไปอีกร้อยคน เกรงว่าการค้าของเรือนนางฟ้าในเมืองหลวงคงจะได้รับผลกระทบไม่น้อย

ที่แท้นายหญิงไม่ใช่ผู้หญิงที่ใจอ่อนและหนีปัญหา

หากเป็นคนซื่อสัตย์แต่แรกก็คงไม่เป็นอะไร แต่ทว่าโต้วชีผู้นั้นไม่เพียงแต่กล้าขโมยเอามาเป็นของตัวเองโดยไม่รู้สึกผิด แถมยังเอาคนสนับสนุนออกมาข่มขู่และกลั่นแกล้ง นี่ไม่ใช่การหาเหาใส่หัวให้ตัวเองหรอกหรือ

นายหญิงของนาง ถ้าไม่รำคาญก็ไม่เป็นอะไร แต่หากเมื่อรำคาญขึ้นมา…

ดูอย่างท่านชายหกแห่งตระกูลโจวจอมดื้อรั้น จอมบ้าอำนาจนั่นสิว่าตอนนี้เป็นอย่างไร คงจะนอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน ทรมานไม่รู้จบไปแล้ว

“นายหญิง เป็นเช่นนี้นี่เอง” สาวใช้หัวเราะคิกคัก ก่อนจะรินน้ำให้นาง “นายหญิงฉลาดหลักแหลมนัก”

“ข้าฉลาดหลักแหลมหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย สีหน้าเฉยชา

“นายหญิง ถึงท่านไม่พูด ข้าก็รู้แล้ว” สาวใช้เอ่ยเสียงแง่งอน

เฉิงเจียวเหนียงคีบเต้าหู้ขึ้นจากหม้อ โดยใช้มือข้างหนึ่งจับแขนเสื้อไว้

“ข้าพูดอะไรหรือ เจ้าไม่ได้รู้อยู่แต่แรกหรอกหรือ” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าบอกตั้งนานแล้ว นั่นไม่ใช่ของข้า จะเอาจะไปเอากำไรจากสิ่งนั้นได้อย่างไร”

ไม่ใช่ของนาง แล้วก็ไม่ใช่ของคนอื่นด้วย หากนางหากำไรจากสิ่งนี้ไม่ได้ คนอื่นย่อมหากำไรไม่ได้ด้วยเช่นกัน

นางไม่ได้บอกแต่แรกหรอกหรือ หรือว่าทุกคนไม่ได้ใส่ใจแถมยังจำไม่ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ

………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด