พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 260 ไม่เชื่อ

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 260 ไม่เชื่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไรล่ะ

คำพูดของท่านชายฉินสิบสามที่โพล่งออกมา ทำเขานิ่งชะงักไป แต่ก็เพียงแค่ตกใจเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกอับอายอะไร

“เจ้าว่าตระกูลข้าเป็นเช่นไร” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง

“ฉินสิบสาม เหลวไหลอะไรของเจ้า!”

ท่านชายโจวหกตะโกนขึ้นอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป พลางย่างเท้าเข้ามา

ท่านชายฉินสิบสามหันไปมองเขา

“ข้าไม่ได้เหลวไหล” เขาบอก “เจ้าเห็นว่าอย่างไรล่ะ”

ท่านชายโจวหกมองเขาไม่รู้จะเอ่ยคำใด

“หรือจะเป็นคนตระกูลอื่นก็ได้นะ เจ้ายังมีผู้ใดที่รู้สึกว่าเหมาะสมอีกหรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามถามขึ้นอีก

ชายชาตรีเช่นเขา ไหนเลยจะเคยไปสนใจเรื่องเหล่านี้ แถมเขายังไม่ใช่แม่สื่อแม่ชัก! คงจะมีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าที่ใดยังมีตระกูลที่เหมาะสมอยู่อีก

ท่านชายโจวหกนิ่งเงียบแล้วนั่งลงอย่างหัวเสีย

“เรื่องนี้จะว่ารีบร้อนก็ใช่ จะว่าไม่รีบก็ไม่เชิง” ท่านชายฉินสิบสามไม่สนใจท่านชายโจวหก เขาพูดกับเฉิงเจียวเหนียงต่อว่า “ไม่ต้องกลัวเรื่องที่ทางบ้านเจ้ารีบจดทะเบียนสมรสกับตระกูลหวัง ข้าจะรีบให้ท่านแม่ไปขอเจ้า เพียงแค่เอ่ยขอเจ้า บ้านเจ้าต้องไตร่ตรองดูแน่ เช่นนี้แล้วก็จะพักเรื่องการแต่งงานกับตระกูลหวังไว้ก่อน พวกเขาก็จะมีเวลามาเลือกสรรอย่างละเอียดอีกที”

“เจ้าแค่พูดมันก็ง่ายน่ะสิ” ท่านชายโจวหกกล่าวเสียงอู้อี้ “ท่านแม่เจ้าจะยอมหรือ”

“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” ท่านชายฉินสิบสามมองเขาแล้วย้อนถาม

แม้จะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน แต่เท่าที่เคยพบหน้าอยู่สองสามหน ท่านแม่ของท่านชายฉินสิบสามนิสัยเช่นเดียวกับฉินสิบสาม! ในเมื่อฉินสิบสามกล้าพูดเช่นนี้ ท่านแม่ของเขาย่อมต้องกล้าทำแน่นอน

ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮัดฮัด

“ยามนี้ก็เจ้าให้ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าหาแม่สื่อมา ตั้งใจเลือกเสียหน่อย เมืองหลวงกว้างใหญ่เพียงนี้ ตระกูลดีๆ ล้วนมีมากมาย” ท่านชายฉินสิบสามกล่าว ยิ่งพูดก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นเรื่อยๆ

เขารู้สึกว่าความคิดนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก!

สาวใช้กับปั้นฉินหายตกใจแล้ว พวกนางมองหน้ากันอย่างสงสัย

ยามนี้ท่านชายทั้งสองกำลังวางแผนเรื่องการแต่งงานของนายหญิงอย่างนั้นหรือ…

แม้มองแล้วจะดูน่าขัน แต่เมื่อไตร่ตรองให้ถี่ถ้วยแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด

“นอกจากตระกูลเจ้าแล้ว ยังมีตระกูลอื่นที่ดีด้วยหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านแม่เจ้าไปสู่ขอ หากตระกูลเฉิงตอบตกลงขึ้นมาเจ้าจะทำอย่างไร”

“ตอบตกลงก็ตกลงสิ” ท่านชายฉินสิบสามบอก

กล่าวจบ ทั้งคู่ก็สบตากัน

“แม่นางเฉิง เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไร” ท่านชายฉินสิบสามมองไปยังเฉิงเจียวเหนียงแล้วถามอีกครั้ง

เฉิงเจียวเหนียงที่เอาแต่เงียบมาโดยตลอด ยามนี้เห็นเขามองมาจึงได้ส่งยิ้มบางให้

“เจ้าไม่ผ่าน” นางเอ่ย

ฮ่าๆ!

ท่านชายโจวหกก้มหน้ามุมปากยกยิ้มแล้วรีบหุบลง

ท่านชายฉินสิบสามนิ่งชะงักไป

“เพราะเหตุใด” เขาถาม “เป็นข้าที่ไม่ผ่าน หรือตระกูลข้าที่ไม่ผ่าน”

เป็นข้าที่สู้เจ้าหวังสิบเจ็ดนั่นไม่ได้ หรือเป็นตระกูลข้าที่สู้ตระกูลหวังไม่ได้กัน

การเปรียบเทียบเช่นนี้ ท่านชายฉินสิบสามไม่เคยคิดจะทำเลยสักครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาเขาแข่งแค่เพียงกับตนเอง

“พอได้แล้ว” ท่านชายโจวหกกระซิบบอก “ถามอะไรของเจ้ากัน!”

ถามหญิงสาวผู้หนึ่งว่าเรามาแต่งงานกันดีหรือไม่อย่างนั้นหรือ

พอหญิงสาวตอบว่าไม่ได้ ยังจะถามต่ออีกว่าเหตุใดจึงไม่ได้

เรื่องเช่นนี้ ท่านชายฉินสิบสามคิดว่าชาตินี้คงไม่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง

แต่งงานกับคนเช่นไร ก็เป็นเรื่องที่ท่านชายอย่างเขาไม่เคยคิดคำนึงเช่นกัน

เรื่องเช่นนี้ให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นคนจัดการก็สิ้นเรื่องแล้ว สิ่งที่เขาต้องเรียนรู้มีเพียงแค่ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของคนในบ้านพ่อตา รวมถึงพิธีเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวของตัวเองยามเข้าเรือนหอ แล้วก็ทำความรู้จักกับภรรยาเขาเพียงเท่านั้น

แต่ยามนี้เขากำลังทำอะไรน่ะหรือ กำลังขอหญิงสาวผู้นี้แต่งงานหรือ

ท่านชายฉินสิบสามตะลึงไม่น้อย

อันที่จริงแล้วถึงถามออกไป ก็เห็นจะเป็นอะไรนี่…

เขายิ้มบางอีกครา มองหญิงสาวตรงหน้า

สีหน้าของนางยังคงนิ่งเฉยดังเดิม นั่งนิ่งต่อหน้าผู้คนราวกับบนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่สามารถทำนางให้ตกใจจนหน้าถอดสีได้

นางพูดไม่เก่ง แต่ล้วนรู้แจ้งในทุกเรื่อง ดูแล้วเหมือนจะเป็นคนแปลกประหลาด ทว่าไร้เดียงสาและตรงไปตรงมาที่สุด

นางรักษาขาที่พิการของเขาให้หาย เขากับนางร่วมมือกันเปิดโปงขุนนางบุ๋นที่มีประวัติมายาวนานผู้หนึ่งด้วยกัน

เขาพูดอะไร นางล้วนเข้าใจ

นางคิดอะไรก็ไม่ต้องให้เขาคาดเดา

หากต้องใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าผมหงอกขาวไปกับคนผู้นี้…

“ข้าพูดจริงๆ นะ” เขาเอ่ยทว่ารอยยิ้มเริ่มจางหาย ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “แม่นางเห็นเช่นไร”

สาวใช้และปั้นฉินสบตากันอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง นี่เขา…กำลังขอนายหญิงแต่งงานหรือ

แม้ยามนี้ได้ยินว่างานชมดอกไม้และงานเทศกาลกลอนกวีจะมีคุณชายคุณหนูแอบถูกใจกันเงียบๆ แต่คนเขาก็ไม่ได้ถามออกมาซึ่งๆ หน้ากันเช่นนี้กระมัง

นะ…นี่มันเรื่องอะไรกัน!

เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วยิ้มบาง

“เจ้า ไม่ผ่าน” นางบอกอีกครั้ง

ครั้งนี้ท่านชายโจวหกไม่ได้ยิ้มออกมาอีก แต่มีสีหน้าที่ซับซ้อนขึ้น

“แม่นาง จะไม่ไตร่ตรองดูอีกหน่อยหรือ” ท่านชายฉินสิบสามแย้มยิ้มพลางถามขึ้น

“ไม่ต้องไตร่ตรองหรอก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

“เหตุใดจึงไม่ไตร่ตรองดูเล่า” ท่านชายฉินสิบสามถามขึ้นอีก

ซักไซ้ไล่เรียงเช่นนี้ก็เริ่มจะละลาบละล้วงเกินไปแล้ว!

“เจ้าสิบสาม!” ท่านชายโจวหกกระซิบปราม

“ท่านชายเจ้าคะ” สาวใช้ที่นั่งอยู่นอกระเบียงเอ่ยขึ้น “นายหญิงของเรามีกฎในการรักษา”

ท่านชายฉินสิบสามและท่านชายโจวหกเหลียวไปมองฟังสาวใช้พูด

“ข้อแรก ไม่ไปรักษาถึงที่ ข้อสอง รักษาแต่คนที่ใกล้จะตาย ส่วนข้อสาม…” สาวใช้กล่าว “ไม่แต่งกับคนที่เคยรักษาให้”

ไม่แต่งกับคนที่เคยรักษาให้

ท่านชายฉินสิบสามตะลึงค้าง

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้นี่เอง…

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ท่านชานฉินสิบสามยิ้มแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว”

เขาหันไปมองทางท่านชายโจวหก

“พวกเราจำข้อนี้เอาไว้ เวลาเลือกเจ้าบ่าวให้นาง สกุลเฉิน สกุลถงพวกนั้นล้วนตัดออกไปให้หมด” เขาเอ่ย

ปล่อยผ่านไปเช่นนี้…

ราวกับการซักไซ้เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ท่านชายโจวหกมองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน

ประตูเรือนถูกปิดลง บดบังเงาร่างของหญิงสาวที่ยืนส่งอยู่บนระเบียงจนมิด ท่านชายโจวหกดึงสายตากลับมา ก้มหน้าก้าวเดินไป ท่านชายฉินสิบสามเองก็เดินตามหลังมาอย่างช้าๆ

“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรีบขัดขวางการหมั้นระหว่างตระกูลเฉิงและตระกูลหวังก่อน” เขาเอ่ยพลางครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ตระกูลเจ้าก็ดี ตระกูลข้าก็ดี ไม่บังคับว่าจะเป็นใครที่ไป หรืออาจจะไปด้วยกันทั้งคู่ก็ได้”

“ไม่ใช่ว่านางไม่ถูกใจหรอกหรือ” ท่านชายโจวหกหันหน้ามาส่งเสียงเย้ยหยัน

“ข้าเชื่อเรื่องโชคชะตา” ท่านชายฉินสิบสามมองเขาเช่นกัน แต่กลับตอบไม่ตรงคำถาม “ข้าเชื่อว่าแม่นางเฉิงจะโชคดี ดังนั้นตระกูลหวังไม่ใช่โชคของนางอย่างแน่นอน หรือเจ้าเชื่อว่าตระกูลหวังจะเป็นโชคชะตาของนาง”

ตระกูลหวัง…

นับจากนี้ไป ไม่มีเฉิงเจียวเหนียงอีกต่อไปแล้ว จะมีก็แต่หวังเจียวเหนียง…

นามสกุลที่อยู่หน้าชื่อของนางถูกแทนที่ด้วยนามสกุลของชายอื่น…

ไม่เชื่อ…

ท่านชายโจวหกกำหมัดแน่น

ไม่เชื่อ!

“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ…”

แม่ทัพหลิวที่ยังเมาค้างไม่ได้สติถูกตะโกนเรียกเสียจนเริ่มจะอารมณ์เสีย

“เรียกหาที่ตายหรือ!” เขาหันไปตะคอก

ขุนนางชั้นผู้น้อยคนหนึ่งหอบจดหมายราชการปึกหนึ่งเดินเข้ามาใกล้อย่างขลาดกลัว

“นี่เป็นรายชื่อของขโมยขโจรที่พึ่งออกมาขอรับ” เขากล่าวขึ้น

ทหารม้าที่ตรวจตราบ้านเมือง นอกจากจะลาดตะเวนตรวจดูตามท้องถนนในยามค่ำคืนแล้ว ยังมีหน้าที่ดับเพลิง จับโจรผู้ร้ายและอื่นๆ อีกด้วย

แม่ทัพหลิวถุยออกมาคำหนึ่ง

“อ่าน” เขาสั่งอย่างอารมณ์เสียพลางเอนกายลงนอน พาดขาทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะยาว

ขุนนางแกะจดหมายเปิดออกแล้วเริ่มอ่านอย่างเยิ่นเย้อ

อ่านไปได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงกรนของแม่ทัพหลิวดังขึ้นเบาๆ

ขุนนางผู้นั้นแค่นยิ้มออกมา

แม่ทัพหลิวผู้นี้ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยม เกิดที่ไท่โจวในตระกูลใหญ่สกุลหลิวผู้ห้าวหาญ ฝึกฝนเป็นอย่างดี นิสัยกล้าหาญ แต่มักจะขี้โมโหอยู่บ่อยๆ เขาไปล่วงเกินขุนนางชั้นผู้ใหญ่เข้า ยังไม่ทันได้สร้างคุณูปการใดก็ถูกลงโทษให้ลดตำแหน่งมาคุ้มครองตรวจตราบ้านเมือง แต่สุดท้ายเป็นถึงคนในตระกูลหลิว จึงไม่มีใครมาทำอะไรเขาได้ ทำได้เพียงหลับตาข้างเปิดตาข้างไม่สนใจเขาเท่านั้น

ทหารที่มาจากตะวันตกเฉียงเหนือเหล่านี้ล้วนไม่ได้เรื่องได้ราว

ขุนนางน้อยส่ายหน้าพลางมองจดหมายในมือ ทันใดนั้นก็เห็นรอยอักษรแถวหนึ่ง

“วันนี้มีค่ายทหารจากตะวันตกเฉียงเหนือ…” เขาเบะปากอ่านได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดลง “ทหารหนีทัพที่รอลงอาญาพวกนี้ส่งมาให้พวกเราเพื่ออะไร…ควรส่งไปให้กรมทหารจึงจะถูก…”

พูดยังไม่จบประโยคก็เห็นแม่ทัพหลิวที่เดิมทีกรนเสียอย่างกับฟ้ากำลังถล่มลุกขึ้นนั่งอย่างฉับพลัน

“ไหนๆ ค่ายทหารจากตะวันตกเฉียงเหนือหรือ” เขากล่าว “รับสั่งอย่างไร ข้าน้อยรับคำสั่ง!”

ขุนนางมองเขานิ่งค้าง อยากจะขำแต่ก็ไม่กล้า

แม่ทัพหลิวได้สติมองไปทางขุนนางผู้นั้น แววตาสับสนหายไป ถูกแทนที่ด้วยความกระจ่างชัดเจน สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยน

“ให้เจ้าอ่านจดหมายขโมยขโจร เจ้าจะพูดถึงค่ายทหารจากตะวันตกเฉียงเหนือเพื่ออะไร” เขาตะคอก น้ำเสียงแฝงความโมโห “ตั้งใจจะหาเรื่องสนุกมาแกล้งข้าใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่นะขอรับ” ขุนนางคนนั้นรีบตอบอย่างตกใจ “นะ…ในจดหมายมี…”

“จะไปมีจดหมายค่ายทหารตะวันตกเฉียงเหนือมาที่เราทางนี้ได้อย่างไร” แม่ทักหลิวตะคอก

“มีจริงๆ นะขอรับ” ขุนนางน้อยรีบตอบ แล้วส่งจดหมายในมือไปให้ “ท่านดูสิ ไม่รู้ว่าใครเอามาใส่ไว้ บอกว่าสมาชิกในค่ายทหารตะวันตกเฉียงเหนือ ฟ่านเจียงหลิน สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ อีก จำนวนทั้งสิ้นเจ็ดคนหลบตัวซุกซ่อนอยู่ที่เมืองหลวง…”

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 260 ไม่เชื่อ

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 260 ไม่เชื่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไรล่ะ

คำพูดของท่านชายฉินสิบสามที่โพล่งออกมา ทำเขานิ่งชะงักไป แต่ก็เพียงแค่ตกใจเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกอับอายอะไร

“เจ้าว่าตระกูลข้าเป็นเช่นไร” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง

“ฉินสิบสาม เหลวไหลอะไรของเจ้า!”

ท่านชายโจวหกตะโกนขึ้นอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป พลางย่างเท้าเข้ามา

ท่านชายฉินสิบสามหันไปมองเขา

“ข้าไม่ได้เหลวไหล” เขาบอก “เจ้าเห็นว่าอย่างไรล่ะ”

ท่านชายโจวหกมองเขาไม่รู้จะเอ่ยคำใด

“หรือจะเป็นคนตระกูลอื่นก็ได้นะ เจ้ายังมีผู้ใดที่รู้สึกว่าเหมาะสมอีกหรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามถามขึ้นอีก

ชายชาตรีเช่นเขา ไหนเลยจะเคยไปสนใจเรื่องเหล่านี้ แถมเขายังไม่ใช่แม่สื่อแม่ชัก! คงจะมีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าที่ใดยังมีตระกูลที่เหมาะสมอยู่อีก

ท่านชายโจวหกนิ่งเงียบแล้วนั่งลงอย่างหัวเสีย

“เรื่องนี้จะว่ารีบร้อนก็ใช่ จะว่าไม่รีบก็ไม่เชิง” ท่านชายฉินสิบสามไม่สนใจท่านชายโจวหก เขาพูดกับเฉิงเจียวเหนียงต่อว่า “ไม่ต้องกลัวเรื่องที่ทางบ้านเจ้ารีบจดทะเบียนสมรสกับตระกูลหวัง ข้าจะรีบให้ท่านแม่ไปขอเจ้า เพียงแค่เอ่ยขอเจ้า บ้านเจ้าต้องไตร่ตรองดูแน่ เช่นนี้แล้วก็จะพักเรื่องการแต่งงานกับตระกูลหวังไว้ก่อน พวกเขาก็จะมีเวลามาเลือกสรรอย่างละเอียดอีกที”

“เจ้าแค่พูดมันก็ง่ายน่ะสิ” ท่านชายโจวหกกล่าวเสียงอู้อี้ “ท่านแม่เจ้าจะยอมหรือ”

“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” ท่านชายฉินสิบสามมองเขาแล้วย้อนถาม

แม้จะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน แต่เท่าที่เคยพบหน้าอยู่สองสามหน ท่านแม่ของท่านชายฉินสิบสามนิสัยเช่นเดียวกับฉินสิบสาม! ในเมื่อฉินสิบสามกล้าพูดเช่นนี้ ท่านแม่ของเขาย่อมต้องกล้าทำแน่นอน

ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮัดฮัด

“ยามนี้ก็เจ้าให้ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าหาแม่สื่อมา ตั้งใจเลือกเสียหน่อย เมืองหลวงกว้างใหญ่เพียงนี้ ตระกูลดีๆ ล้วนมีมากมาย” ท่านชายฉินสิบสามกล่าว ยิ่งพูดก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นเรื่อยๆ

เขารู้สึกว่าความคิดนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก!

สาวใช้กับปั้นฉินหายตกใจแล้ว พวกนางมองหน้ากันอย่างสงสัย

ยามนี้ท่านชายทั้งสองกำลังวางแผนเรื่องการแต่งงานของนายหญิงอย่างนั้นหรือ…

แม้มองแล้วจะดูน่าขัน แต่เมื่อไตร่ตรองให้ถี่ถ้วยแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด

“นอกจากตระกูลเจ้าแล้ว ยังมีตระกูลอื่นที่ดีด้วยหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านแม่เจ้าไปสู่ขอ หากตระกูลเฉิงตอบตกลงขึ้นมาเจ้าจะทำอย่างไร”

“ตอบตกลงก็ตกลงสิ” ท่านชายฉินสิบสามบอก

กล่าวจบ ทั้งคู่ก็สบตากัน

“แม่นางเฉิง เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไร” ท่านชายฉินสิบสามมองไปยังเฉิงเจียวเหนียงแล้วถามอีกครั้ง

เฉิงเจียวเหนียงที่เอาแต่เงียบมาโดยตลอด ยามนี้เห็นเขามองมาจึงได้ส่งยิ้มบางให้

“เจ้าไม่ผ่าน” นางเอ่ย

ฮ่าๆ!

ท่านชายโจวหกก้มหน้ามุมปากยกยิ้มแล้วรีบหุบลง

ท่านชายฉินสิบสามนิ่งชะงักไป

“เพราะเหตุใด” เขาถาม “เป็นข้าที่ไม่ผ่าน หรือตระกูลข้าที่ไม่ผ่าน”

เป็นข้าที่สู้เจ้าหวังสิบเจ็ดนั่นไม่ได้ หรือเป็นตระกูลข้าที่สู้ตระกูลหวังไม่ได้กัน

การเปรียบเทียบเช่นนี้ ท่านชายฉินสิบสามไม่เคยคิดจะทำเลยสักครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาเขาแข่งแค่เพียงกับตนเอง

“พอได้แล้ว” ท่านชายโจวหกกระซิบบอก “ถามอะไรของเจ้ากัน!”

ถามหญิงสาวผู้หนึ่งว่าเรามาแต่งงานกันดีหรือไม่อย่างนั้นหรือ

พอหญิงสาวตอบว่าไม่ได้ ยังจะถามต่ออีกว่าเหตุใดจึงไม่ได้

เรื่องเช่นนี้ ท่านชายฉินสิบสามคิดว่าชาตินี้คงไม่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง

แต่งงานกับคนเช่นไร ก็เป็นเรื่องที่ท่านชายอย่างเขาไม่เคยคิดคำนึงเช่นกัน

เรื่องเช่นนี้ให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นคนจัดการก็สิ้นเรื่องแล้ว สิ่งที่เขาต้องเรียนรู้มีเพียงแค่ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของคนในบ้านพ่อตา รวมถึงพิธีเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวของตัวเองยามเข้าเรือนหอ แล้วก็ทำความรู้จักกับภรรยาเขาเพียงเท่านั้น

แต่ยามนี้เขากำลังทำอะไรน่ะหรือ กำลังขอหญิงสาวผู้นี้แต่งงานหรือ

ท่านชายฉินสิบสามตะลึงไม่น้อย

อันที่จริงแล้วถึงถามออกไป ก็เห็นจะเป็นอะไรนี่…

เขายิ้มบางอีกครา มองหญิงสาวตรงหน้า

สีหน้าของนางยังคงนิ่งเฉยดังเดิม นั่งนิ่งต่อหน้าผู้คนราวกับบนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่สามารถทำนางให้ตกใจจนหน้าถอดสีได้

นางพูดไม่เก่ง แต่ล้วนรู้แจ้งในทุกเรื่อง ดูแล้วเหมือนจะเป็นคนแปลกประหลาด ทว่าไร้เดียงสาและตรงไปตรงมาที่สุด

นางรักษาขาที่พิการของเขาให้หาย เขากับนางร่วมมือกันเปิดโปงขุนนางบุ๋นที่มีประวัติมายาวนานผู้หนึ่งด้วยกัน

เขาพูดอะไร นางล้วนเข้าใจ

นางคิดอะไรก็ไม่ต้องให้เขาคาดเดา

หากต้องใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าผมหงอกขาวไปกับคนผู้นี้…

“ข้าพูดจริงๆ นะ” เขาเอ่ยทว่ารอยยิ้มเริ่มจางหาย ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “แม่นางเห็นเช่นไร”

สาวใช้และปั้นฉินสบตากันอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง นี่เขา…กำลังขอนายหญิงแต่งงานหรือ

แม้ยามนี้ได้ยินว่างานชมดอกไม้และงานเทศกาลกลอนกวีจะมีคุณชายคุณหนูแอบถูกใจกันเงียบๆ แต่คนเขาก็ไม่ได้ถามออกมาซึ่งๆ หน้ากันเช่นนี้กระมัง

นะ…นี่มันเรื่องอะไรกัน!

เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วยิ้มบาง

“เจ้า ไม่ผ่าน” นางบอกอีกครั้ง

ครั้งนี้ท่านชายโจวหกไม่ได้ยิ้มออกมาอีก แต่มีสีหน้าที่ซับซ้อนขึ้น

“แม่นาง จะไม่ไตร่ตรองดูอีกหน่อยหรือ” ท่านชายฉินสิบสามแย้มยิ้มพลางถามขึ้น

“ไม่ต้องไตร่ตรองหรอก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

“เหตุใดจึงไม่ไตร่ตรองดูเล่า” ท่านชายฉินสิบสามถามขึ้นอีก

ซักไซ้ไล่เรียงเช่นนี้ก็เริ่มจะละลาบละล้วงเกินไปแล้ว!

“เจ้าสิบสาม!” ท่านชายโจวหกกระซิบปราม

“ท่านชายเจ้าคะ” สาวใช้ที่นั่งอยู่นอกระเบียงเอ่ยขึ้น “นายหญิงของเรามีกฎในการรักษา”

ท่านชายฉินสิบสามและท่านชายโจวหกเหลียวไปมองฟังสาวใช้พูด

“ข้อแรก ไม่ไปรักษาถึงที่ ข้อสอง รักษาแต่คนที่ใกล้จะตาย ส่วนข้อสาม…” สาวใช้กล่าว “ไม่แต่งกับคนที่เคยรักษาให้”

ไม่แต่งกับคนที่เคยรักษาให้

ท่านชายฉินสิบสามตะลึงค้าง

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้นี่เอง…

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ท่านชานฉินสิบสามยิ้มแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว”

เขาหันไปมองทางท่านชายโจวหก

“พวกเราจำข้อนี้เอาไว้ เวลาเลือกเจ้าบ่าวให้นาง สกุลเฉิน สกุลถงพวกนั้นล้วนตัดออกไปให้หมด” เขาเอ่ย

ปล่อยผ่านไปเช่นนี้…

ราวกับการซักไซ้เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ท่านชายโจวหกมองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน

ประตูเรือนถูกปิดลง บดบังเงาร่างของหญิงสาวที่ยืนส่งอยู่บนระเบียงจนมิด ท่านชายโจวหกดึงสายตากลับมา ก้มหน้าก้าวเดินไป ท่านชายฉินสิบสามเองก็เดินตามหลังมาอย่างช้าๆ

“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรีบขัดขวางการหมั้นระหว่างตระกูลเฉิงและตระกูลหวังก่อน” เขาเอ่ยพลางครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ตระกูลเจ้าก็ดี ตระกูลข้าก็ดี ไม่บังคับว่าจะเป็นใครที่ไป หรืออาจจะไปด้วยกันทั้งคู่ก็ได้”

“ไม่ใช่ว่านางไม่ถูกใจหรอกหรือ” ท่านชายโจวหกหันหน้ามาส่งเสียงเย้ยหยัน

“ข้าเชื่อเรื่องโชคชะตา” ท่านชายฉินสิบสามมองเขาเช่นกัน แต่กลับตอบไม่ตรงคำถาม “ข้าเชื่อว่าแม่นางเฉิงจะโชคดี ดังนั้นตระกูลหวังไม่ใช่โชคของนางอย่างแน่นอน หรือเจ้าเชื่อว่าตระกูลหวังจะเป็นโชคชะตาของนาง”

ตระกูลหวัง…

นับจากนี้ไป ไม่มีเฉิงเจียวเหนียงอีกต่อไปแล้ว จะมีก็แต่หวังเจียวเหนียง…

นามสกุลที่อยู่หน้าชื่อของนางถูกแทนที่ด้วยนามสกุลของชายอื่น…

ไม่เชื่อ…

ท่านชายโจวหกกำหมัดแน่น

ไม่เชื่อ!

“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ…”

แม่ทัพหลิวที่ยังเมาค้างไม่ได้สติถูกตะโกนเรียกเสียจนเริ่มจะอารมณ์เสีย

“เรียกหาที่ตายหรือ!” เขาหันไปตะคอก

ขุนนางชั้นผู้น้อยคนหนึ่งหอบจดหมายราชการปึกหนึ่งเดินเข้ามาใกล้อย่างขลาดกลัว

“นี่เป็นรายชื่อของขโมยขโจรที่พึ่งออกมาขอรับ” เขากล่าวขึ้น

ทหารม้าที่ตรวจตราบ้านเมือง นอกจากจะลาดตะเวนตรวจดูตามท้องถนนในยามค่ำคืนแล้ว ยังมีหน้าที่ดับเพลิง จับโจรผู้ร้ายและอื่นๆ อีกด้วย

แม่ทัพหลิวถุยออกมาคำหนึ่ง

“อ่าน” เขาสั่งอย่างอารมณ์เสียพลางเอนกายลงนอน พาดขาทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะยาว

ขุนนางแกะจดหมายเปิดออกแล้วเริ่มอ่านอย่างเยิ่นเย้อ

อ่านไปได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงกรนของแม่ทัพหลิวดังขึ้นเบาๆ

ขุนนางผู้นั้นแค่นยิ้มออกมา

แม่ทัพหลิวผู้นี้ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยม เกิดที่ไท่โจวในตระกูลใหญ่สกุลหลิวผู้ห้าวหาญ ฝึกฝนเป็นอย่างดี นิสัยกล้าหาญ แต่มักจะขี้โมโหอยู่บ่อยๆ เขาไปล่วงเกินขุนนางชั้นผู้ใหญ่เข้า ยังไม่ทันได้สร้างคุณูปการใดก็ถูกลงโทษให้ลดตำแหน่งมาคุ้มครองตรวจตราบ้านเมือง แต่สุดท้ายเป็นถึงคนในตระกูลหลิว จึงไม่มีใครมาทำอะไรเขาได้ ทำได้เพียงหลับตาข้างเปิดตาข้างไม่สนใจเขาเท่านั้น

ทหารที่มาจากตะวันตกเฉียงเหนือเหล่านี้ล้วนไม่ได้เรื่องได้ราว

ขุนนางน้อยส่ายหน้าพลางมองจดหมายในมือ ทันใดนั้นก็เห็นรอยอักษรแถวหนึ่ง

“วันนี้มีค่ายทหารจากตะวันตกเฉียงเหนือ…” เขาเบะปากอ่านได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดลง “ทหารหนีทัพที่รอลงอาญาพวกนี้ส่งมาให้พวกเราเพื่ออะไร…ควรส่งไปให้กรมทหารจึงจะถูก…”

พูดยังไม่จบประโยคก็เห็นแม่ทัพหลิวที่เดิมทีกรนเสียอย่างกับฟ้ากำลังถล่มลุกขึ้นนั่งอย่างฉับพลัน

“ไหนๆ ค่ายทหารจากตะวันตกเฉียงเหนือหรือ” เขากล่าว “รับสั่งอย่างไร ข้าน้อยรับคำสั่ง!”

ขุนนางมองเขานิ่งค้าง อยากจะขำแต่ก็ไม่กล้า

แม่ทัพหลิวได้สติมองไปทางขุนนางผู้นั้น แววตาสับสนหายไป ถูกแทนที่ด้วยความกระจ่างชัดเจน สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยน

“ให้เจ้าอ่านจดหมายขโมยขโจร เจ้าจะพูดถึงค่ายทหารจากตะวันตกเฉียงเหนือเพื่ออะไร” เขาตะคอก น้ำเสียงแฝงความโมโห “ตั้งใจจะหาเรื่องสนุกมาแกล้งข้าใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่นะขอรับ” ขุนนางคนนั้นรีบตอบอย่างตกใจ “นะ…ในจดหมายมี…”

“จะไปมีจดหมายค่ายทหารตะวันตกเฉียงเหนือมาที่เราทางนี้ได้อย่างไร” แม่ทักหลิวตะคอก

“มีจริงๆ นะขอรับ” ขุนนางน้อยรีบตอบ แล้วส่งจดหมายในมือไปให้ “ท่านดูสิ ไม่รู้ว่าใครเอามาใส่ไว้ บอกว่าสมาชิกในค่ายทหารตะวันตกเฉียงเหนือ ฟ่านเจียงหลิน สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ อีก จำนวนทั้งสิ้นเจ็ดคนหลบตัวซุกซ่อนอยู่ที่เมืองหลวง…”

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+