พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง บทที่ 68 ดูข้า

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 68 ดูข้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สาวใช้มองไปที่วังไท่ผิง แม้ว่าจะเพียงเดือนกว่า แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งต้นไม้ ใบหญ้า ราวกับว่าเป็นความคุ้นเคยที่สลักลึกลงในหัวใจของนางแล้ว

นางมีส่วนทำให้เกิดการทำลายล้าง ส่วนการสร้างชีวิตใหม่ นางก็มีส่วนด้วยเช่นกัน

ณ ที่แห่งนี้ นางเคยหัวเราะ ร้องไห้ ตกใจ กลัวและตื่นเต้นมาก่อน ประสบการณ์เพียงหนึ่งเดือนกลับมากกว่าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาเสียอีก

ถนนเส้นนี้ นางเคยเดินผ่านไปมาอย่างสบายใจ ทว่า บัดนี้ ช่างยากเหลือเกินที่จะเดินก้าวเข้าไป

หากไม่ไป คงไม่ได้พบกันอีกแน่ นายหญิงจะเสียใจมากเพียงใด หากไป…

สาวใช้กัดริมฝีปากล่าง

เป็นเรื่องที่คนเราต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากในชีวิตอยู่เสมอ แต่ชีวิตหนึ่งหากไม่สนใจใยดีสักครั้งก็เป็นเรื่องที่ควรทำเช่นกัน

สาวใช้ยกเท้าเพื่อเดินขึ้นเขา จากที่เริ่มต้นเดินอย่างช้าๆ จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ ไปและในที่สุดก็วิ่งตามขั้นบันไดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงเจ้าคะ

สองสาวใช้ถอยตัวออกจากห้องครัวด้วยความตื่นตระหนก

นางบ้านี่เรียกได้ว่าเป็นกาลกิณีของที่บ้าน หากข้องเกี่ยวก็จะทำให้โชคร้ายไปด้วย ยังดีที่เหล่าบรรดาแม่ชีดูแลปรนนิบัติยู่ พวกนางแสร้งทำก็พอแล้ว ไม่คิดว่านางบ้าเจียวเหนียงที่ไม่แต่ชายตามองพวกนาง จะเดินเข้ามาห้องครัวอย่างกระทันหัน และไล่พวกนางที่กำลังเตรียมอาหารอยู่ออกไป

“ไฟนี่เล่นไม่ได้นะเจ้าคะ” หนึ่งในสาวใช้ตะโกน แล้วมองไปที่หญิงสาวในห้องครัวด้วยความกลัวและวิตกกังวลเล็กน้อย

“ท่านอยากได้อะไร บอกพวกข้า พวกข้าจะทำให้เจ้าค่ะ” สาวใช้อีกคนกล่าว

เฉิงเจียวเหนียงหันหลังกลับ แล้วชี้ไปที่ไม้เชื้อไฟในมือของพวกนาง

“ไปให้พ้น” นางกล่าว

สาวใช้ทั้งสองกรีดร้องด้วยความตกใจและวิ่งหนีออกไป

คนบ้าตีคนได้จริงๆ!

พวกนางเพิ่งจะวิ่งหนีออกไป ประตูถูกเปิดออก สาวใช้ทั้งสองกรีดร้องด้วยความตกใจอีกครั้ง

“นายหญิงเป็นอะไรหรือเจ้าคะ เป็นอะไรหรือเจ้าคะ” สาวใช้สะดุ้งแล้วรีบตะโกน

สาวใช้ทั้งสองจ้องมองไปที่คนที่บุกเข้ามาอย่างไม่ละสายตา

“เจ้าเป็นใครกัน” พวกนางถาม

“ข้าคือปั้นฉิน” สาวใช้ไม่แยแสพวกนางและมองเข้าไปด้านใน จากนั้นก็ตะโกนเรียกด้วยเสียงสั่น “นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงเจ้าคะ ปั้นฉินกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ปั้นฉินมาแล้วเจ้าค่ะ”

เฉิงเจียวเหนียงปรากฏตัวตรงประตูห้องครัว โดยถือไม้เชื้อไฟไว้ในมือ ซึ่งดูตลกนัก

“ปั้นฉิน” นางพูดพลางมองไปด้วย สีหน้าของนางไร้ความรู้สึก “เจ้ากลับมาแล้ว”

น้ำตาของสาวใช้ไหลริน การมองเห็นของนางพร่ามัว แต่นางเห็นชัดเจนว่านายหญิงถือไม้เชื้อไฟไว้ในมือ

จุดไม้เชื้อไฟ…

ไม่มีใครดูแลนาง จนนางต้องเข้าครัวเองแล้วหรือ

สาวใช้ร้องไห้เสียงดัง คุกเข่าและกอดขาของเฉิงเจียวเหนียงไว้

ไม่สนใจแล้ว แม้ว่าจะล่วงเกินตระกูลเฉิง ทำให้พ่อแม่ต้องลำบาก อันที่จริงแล้วก็ไม่เคยไม่ลำบากอยู่แล้ว นางไม่สนใจแล้ว นางจะขอติดตามนายหญิงและจะไม่ไปที่ไหนทั้งสิ้น จะตี จะด่า จะขาย ก็แล้วแต่เลย ขอเพียงแค่นางได้อยู่ที่นี่เวลานี้ก็เพียงพอแล้ว

สาวใช้ทั้งสองตกตะลึงและเด็กน้อยที่ได้ยินเสียงก็งงงวยไปตามๆ กัน

“ห้ามร้องไห้ มันน่ารำคาญ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สาวใช้เอามือปิดปากและรีบเช็ดน้ำตา ใช่ นี่ไม่ใช่เวลาร้องไห้ นางต้องทำอาหาร ไม่ควรร้องไห้

“นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงเจ้าคะ ท่านอยากทานอะไร ข้าจะทำให้เจ้าค่ะ” นางยืนขึ้นแล้วกล่าว

เฉิงเจียวเหนียงใช้ไม้เชื้อไฟในมือขวางนางไว้

“เจ้ายืนดู” นางกล่าว

สาวใช้งวยงงและมองนางทั้งน้ำตา

“ยืนดูข้า” เฉิงเจียวเหนียงพูดอีกครั้งพร้อมโค้งมุมปากขึ้น

นี่คือการหัวเราะของนายหญิง นายหญิงหัวเราะน้อยมาก นั่นหมายความว่านางต้องมีความสุขมากจริงๆ สาวใช้กัดริมฝีปากล่างแล้วพยักหน้า

เฉิงเจียวเหนียงหันหลังเดินเข้าห้องครัวไป

น้ำเต้าที่ปลูกในวัดเสวียนเมี่ยว บัดนี้ถูกปอกเปลือกและหั่นบางๆ หมี่กึงก็นึ่งเสร็จแล้วเช่นกัน จากนั้นถูกหั่นอย่างรวดเร็ว ฟังได้จากเสียงตังๆ ที่ดังขึ้นและพร้อมจัดใส่จาน น้ำมันของเตาหนึ่งเดือดพร้อมแล้ว โจ๊กที่ต้มอยู่อีกเตาหนึ่งก็กำลังเดือดปุดๆ อยู่

กลิ่นหอม ควัน และเสียงดังกรอบแกรบปะปนอยู่ภายในห้องครัว

ไม่นาน อาหารหนึ่งจาน ข้าวหนึ่งถ้วยและขนมชั้นหนึ่งชิ้นถูกจัดวางใส่ถาด ตั้งแต่ต้นจนจบ สาวใช้ยืนมองอยู่ตรงหน้าประตูอย่างเชื่อฟัง ซึ่งตั้งใจและจริงจังมาก

เฉิงเจียวเหนียงยกถาดแล้วเดินออกไป

“เสร็จแล้ว กินได้แล้ว” นางกล่าว “แต่น่าเสียดายที่ข้าทำสำหรับข้าเพียงคนเดียว เจ้าคงได้แต่มองเท่านั้น”

สาวใช้น้ำตาไหลพร้อมกับหัวเราะออกมา

“นายหญิงเจ้าคะ” นางคร่ำครวญ “ท่านแกล้งข้าอีกแล้ว”

ประตูบ้านถูกดึงขึ้นไป โดยปิดกั้นสายตาของคนทั้งสามที่อยู่ด้านนอกไว้

สาวใช้ทั้งสองประหลาดใจ เหมือนกับว่าพวกนางยังไม่หายจากอาการช็อค

“นางบ้า ทำอาหารเป็นด้วยหรือ” พวกนางพูดอย่างตกใจ

เด็กน้อยก็สะดุ้งเช่นกัน

เหตุใดเจ้าอาวาสถึงเคารพนางบ้าเช่นนี้ เพียงเพราะได้รับการดูแลของตระกูลเฉิงหรือ ไม่ใช่เพราะเหตุนี้หรอก เจ้าอาวาสจะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน

นายหญิงนางนี้ไม่ใช่คนบ้า! นางไม่ใช่คนบ้า!

สาวใช้คุกเข่าลงบนเสื่อในบ้าน มองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ากินข้าว โดยตาไม่ได้กระพริบเลย ราวกับว่าไม่ได้พบเจอกันมานาน

นางไม่ได้พูดถึงว่านางได้ไปที่ใดมาบ้าง ขณะที่ เฉิงเจียวเหนียงเองก็มิได้ถาม

ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันเหมือนเช่นทุกวัน

แน่นอนว่าเฉิงเจียวเหนียงไม่ยอมแพ้ หลังจากทานอาหารหมดแล้ว นางวางตะเกียบลง

สาวใช้กำลังจะลุกขึ้นเก็บจานชาม เฉิงเจียวเหนียงเอื้อมมือไปห้าม

“ปั้นฉิน นั่งลง แล้วดูข้า” นางกล่าว

สาวใช้ตะลึง เมื่อมองเห็นเฉิงเจียวเหนียงนำถ้วยชามและตะเกียบวางลงในถาด แล้วลุกขึ้นยกถาด เปิดประตู

สาวใช้ทั้งสองคนที่อยู่นอกประตูรู้สึกกังวลเล็กน้อย แม้ว่าพวกนางจะไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นกังวล แต่ความวิตกกังวลที่อธิบายไม่ได้ติดอยู่ภายในใจ พวกนางจึงทำเช่นเดียวกับที่เผชิญหน้ากับนายหญิงท่านอื่นๆ ของครอบครัว

“นายหญิงให้พวกข้าเถอะเจ้าค่ะ” พวกนางพูดพร้อมกับยื่นมือออกไปรับ

เฉิงเจียวเหนียงส่งถาดให้พวกนาง สาวใช้ทั้งสองก็ถอนหายโล่งอกทันที แล้วยกถาดเข้าห้องครัวไป เพื่อทำความสะอาด

เฉิงเจียวเหนียงซึ่งอยู่ข้างประตูหันหน้าไปมองสาวใช้

“ปั้นฉิน เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่” นางเอ่ยถาม

สาวใช้มองนางด้วยสีหน้างวยงง

“ปั้นฉิน ข้าดูแลตัวเองได้แล้ว เจ้าไปเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

น้ำตานองหน้าสาวใช้ทันที

“นายหญิง ไม่เจ้าค่ะ นายหญิง ปั้นฉินไม่ไปเจ้าค่ะ” นางคุกเข่าเข้าไปร้องไห้

“เจ้าควรไปได้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สาวใช้เงยหน้าขึ้นมองนางร้องไห้สะอึกสะเอื้อน

“ห้ามร้อง ตอนนี้ เจ้าฟังที่ข้าพูด” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สาวใช้งุนงง ราวกับว่ากลับไปสู่คืนที่มีพายุกระหน่ำ

เจ้าไม่ต้องพูด เหลือเวลาไม่มากแล้ว พายุกำลังจะมา บัดนี้ เจ้าจงฟังข้า เจ้าไม่ต้องคิดตาม ไม่ต้องถาม เพียงจำคำที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ แล้วนำไปทำตาม ทุกประโยค ทุกขั้นตอน ห้ามผิดแม้แต่น้อย

นางกัดริมฝีปากล่าง มองไปที่เฉิงเจียวเหนียงแล้วพยักหน้าตอบรับ

“ปั้นฉิน ข้าเคยบอกแล้วว่าการทำอาหารเป็นหนทางเล็กๆ และง่ายนัก เพียงใช้ใจ ความจริงใจ ซึ่งบัดนี้เจ้าเรียนรู้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ดังนั้น เจ้าสามารถเดินออกไปได้แล้ว ไปสู่ชีวิตใหม่”

สาวใช้ส่ายหน้าและน้ำตาก็ไหลไม่หยุด ทว่า นางยังคงจำประโยคนั้นได้ดี เจ้าฟังและห้ามเอ่ยปากถาม

“นี่ดีต่อชีวิตเจ้าและดีต่อข้าด้วย เรื่องที่ดีต่อเจ้า ต่อข้าเช่นนี้ พวกเราจะปล่อยโอกาสดีๆ นี้ไปได้เช่นไร” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อ พร้อมกับมองไปที่สาวใช้ที่ร้องไห้จนตาบวมอยู่ตรงหน้าแล้วยิ้มออกมา “เจ้ายอมทิ้งครอบครัว ยอมสละชีวิตเพื่อมาพบข้า ข้าก็ต้องตอบแทนด้วยชีวิตที่ดีกว่าคืนให้แก่เจ้า”

……………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด