พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง บทที่ 8 ทางสายฝน

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 8 ทางสายฝน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสียงฟ้าร้องเงียบลง ฝนเม็ดใหญ่สาดเทลงมา บนถนนทางหลวงทั้งคนทั้งม้าจอแจวุ่นวาย แต่ผ่านไปเพียงครู่เดียวหมอกฝนก็เข้าปกคลุมผืนฟ้าในทันใด

ศาลย่าข้างทางมีคนเข้ามาหลบฝนอยู่ไม่ขาดสาย เพราะจำนวนคนที่มากขึ้นทำให้ตำหนักที่เดิมทีแออัดอยู่แล้ววุ่นวายขึ้นมา เนื่องจากศาลมีขนาดเล็ก หลายคนที่ยืนใต้ชายคาจึงโดนน้ำฝนกระเซ็นทั้งตัว เสียงก่นด่า เสียงโวยวายจากการผลักกันดังขึ้นอยู่เนืองๆ

แต่หากเทียบกับคนที่อยู่ข้างนอก คนในศาลก็ยังเป็นสุขมากกว่า

เพราะถึงกับมีคนก่อเตาไฟ เป็นเตาเผาสาเกร้อนทำจากอิฐสลักสี่เหลี่ยมเล็กๆ สาวน้อยสวมชุดกระโปรงผ้ากำลังอุ่นสาเกบนเตาอย่างระมัดระวัง กลิ่นหอมของสาเกฟุ้งไปทั่ว ทำเอาใครหลายคนมองมากัน

“เหล้าดี…”

มีคนเอ่ยขึ้น

แต่ทว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้รบกวนสาวน้อยที่อุ่นสาเกอยู่เลย ไม่นานนางก็ยกกาสาเกขึ้น แล้ววางถาดเหล็กบนนั้น จากนั้นจึงหยิบขนมสี่ชิ้นจากกล่องข้างๆ วางลงไป แล้วยกกาสาเกเดินไปยังข้างพระพุทธรูป

ทุกคนถึงได้เห็นว่า ที่ตรงนั้นมีรถม้าหนึ่งคันจอดอยู่

คนที่เข้ามาก่อนช่างโชคดีจริงๆ ขนาดลายังไม่โดนฝนเลย

“นายหญิง เหล้าเหลืองเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” สาวน้อยกล่าว พร้อมเทออกมาแก้วหนึ่ง

ม่านรถเปิดออกเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยื่นออกมา ในแขนเสื้อกว้างเห็นเพียงปลายนิ้วเล็กน้อย เมื่อรับถ้วยสาเกแล้วม่านก็ถูกปล่อยลง

สาวน้อยหันหลังกลับ บนเตาทางด้านนี้ที่กำลังอุ่นขนมก็เริ่มส่งกลิ่นหอม

“นี่คือของอร่อยอะไรกัน” คนที่ยืนอยู่รอบข้างเริ่มอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น มองดูขนมเนื้อนุ่มสีเหลืองอ่อนสอดไส้สีแดงที่ถูกม้วนเป็นสีเหลี่ยมบนถาดเหล็ก

แค่ภายนอกก็ดูน่ากินเสียเหลือเกิน

“ท่านปู่” เด็กหญิงอายุราวสี่ห้าขวบนั่งอยู่หน้าโต๊ะพระอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา เด็กน้อยหยุดดูดนิ้วในปากดูดมาแล้วครู่หนึ่ง ดวงตาใสวาวจ้องมองดูจานใบเล็กอย่างไม่ละสายตา

เด็กน้อยเอนพิงผู้เฒ่าอายุราวๆ เจ็ดสิบที่สวมชุดคลุมผ้าสีน้ำตาล บนหน้าเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หน้าตาใจดี

พอได้ยินเด็กน้อยพึมพำ แน่นอนว่าผู้เฒ่าย่อมรู้ใจนาง กอดเด็กน้อยไว้ด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย

“ตันเหนียง เดี๋ยวกลับบ้านไปเจอพ่อเจ้าแล้ว จะทำอะไรเป็นอย่างแรกหรือ” เขากล่าวเสียงเบา หมายจะเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กหญิง

แต่ไม่มีอะไรจะต้านทานแรงดึงดูดของอาหารต่อเด็กอายุน้อยเพียงนี้ได้

เด็กหญิงที่พิงท่านปู่ดิ้นเร้าอย่างอดไม่ได้

สาวน้อยผู้นั้นหยิบขนมม้วนสี่ชิ้นนั้นวางไว้บนจานใบเล็ก ส่งให้คนในรถลา

ครั้งนี้คนในรถยื่นมือมาหยิบเพียงหนึ่งชิ้น

“ปั้นฉิน ให้เด็กน้อยกิน”

ในนั้นมีเสียงผู้หญิงพูดออกมา น้ำเสียงนิ่งเรียบ

สาวน้อยที่ถูกเรียกว่าปั้นฉินตอบรับแล้วหันหลังกลับ แล้วยกจานน้อยนั้นมาหน้าเด็กหญิงจริงๆ

แค่เสียงพูดของผู้หญิงดังขึ้นเมื่อครู่ ผู้เฒ่าก็หยัดตัวลุกขึ้นแล้ว

“จะ…จะดีหรือ” เขาพูดด้วยความกังวลใจและรู้สึกผิด

ปั้นฉินยื่นจานใบเล็กให้กับเด็กหญิงไปแล้ว

ถึงแม้เด็กหญิงจะอยากกิน แต่ก็ยังแอบดูท่านปู่ แสดงให้เห็นว่าได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี

“ท่านผู้เฒ่า อย่าเกรงใจไปเลย พวกเราเดินทางร่วมกันมาตลอดทาง นับว่าคุ้นเคยกันดีแล้ว” ปั้นฉินอมยิ้มเอ่ยทั้งยื่นมืออกมาลูบไหล่เด็กน้อย

ผู้เฒ่าจะกล่าวขอบคุณ เสียงหญิงผู้นั้นก็ลอยมาอีก

“ปั้นฉิน ให้ท่านผู้เฒ่าดื่มเหล้าเหลืองสักแก้วสิ” นางกล่าว

“ไม่ดีหรอกกระมัง” ผู้เฒ่ารีบพูด

ปั้นฉินฟังแต่คำสั่งของนายหญิงเท่านั้น จึงเทสาเกส่งให้กับมือ

เวลานี้ประเพณีเปิดกว้าง นิสัยใจคอของคนก็กว้างตาม การปฏิเสธหรือการออมชอมทำให้คนผู้นั้นเป็นคนคับแคบ ผู้เฒ่ายิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือรับและดื่มรวดเดียวหมด เขารักการดื่มเหล้าเป็นปกติ แต่น้อยครั้งที่จะได้ดื่มเหล้าเหลือง พอได้ดื่มคราวนี้เพียงแค่อึกเดียวรู้สึกโล่งไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ อาการปวดหลังเมื่อครู่ได้บรรเทาลงไปไม่น้อย

ผู้เฒ่าส่งแก้วคืนให้แล้วกล่าวขอบคุณอีกครั้ง

เด็กหญิงผู้นั้นได้รับอนุญาตให้หยิบขนมม้วนอีกชิ้นหนึ่งจากในจาน ก่อนจะกินอย่างเต็มปากเต็มคำ

“พี่สาว อร่อยจังเลย นี่เรียกว่าอะไรหรือ” นางถาม

“นี่เรียกขนมถั่วแดงม้วน” ปั้นฉินอมยิ้มตอบกลับ

“แม่สาวน้อยช่างทำอาหารเก่งจริงๆ” ผู้เฒ่ากล่าวชม อย่าว่าแต่เด็กน้อยเลย ผู้ใหญ่อย่างเขาก็อยากกินเหมือนกัน

“นายหญิงของข้าเป็นคนสอนข้าทำ” ปั้นฉินกล่าว สีหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด

แม้จะเป็นหญิงสาวในตระกูลร่ำรวย ก็ใช่ว่าจะไม่ทำงานบ้านเลย การทำอาหารก็จัดอยู่ในตำรากุลสตรีเช่นกัน

ทำขนมเป็นก็ไม่ถือเป็นเรื่องน่าแปลก ไม่รู้ว่าทำไมสาวน้อยผู้นี้เวลาพูดถึงต้องตื่นเต้นดีใจเพียงนี้

แน่นอนว่า หากผู้เฒ่าได้รู้ว่า นายหญิงที่สอนทำขนมผู้นี้เมื่อสามเดือนก่อนยังเป็นเด็กสติไม่ดีที่พูดไม่ได้อยู่ คงไม่คิดเช่นนี้เป็นแน่ เกรงว่าจะตกใจกว่านี้ต่างหาก

“นายหญิงช่างฉลาดจริงๆ” ผู้เฒ่าพยักหน้าพลางอมยิ้ม มองรถลานั้น “เมื่อครู่หากไม่ใช่นายหญิงเตือนว่าจะมีฝนตกหนักให้พักในศาลก่อน พวกเราปู่หลานรั้นจะรีบไปแล้วก็คงจะต้องตากฝนเป็นแน่ ขอบคุณมากจริงๆ”

ปั้นฉินก้มหัวยิ้มตอบเป็นมารยาท ก่อนจะส่งขนมที่เหลือให้เด็กหญิงกิน แล้วหันไปเก็บข้าวของต่อ

คนรอบข้างได้ยินบทสนทนาเช่นนั้นต่างตะลึงงันกันไป

นายหญิงผู้นั้นรู้ก่อนว่าฝนจะตกหนัก จึงหลบฝนที่นี่ก่อนแต่แรกหรือ

มีคนรู้ว่าฝนจะตกเมื่อไรด้วยหรือ ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อครู่ก่อนฝนมาท้องฟ้ายังสดใสไม่มีทีท่าของฝนเลยนี่

คนรอบข้างถกเถียงกัน คนถกกันมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาสงสัยก็ยิ่งมองมายังนายบ่าวบนรถลา

ได้ยินว่ามีคนสามารถมองดวงดาวแล้วรู้อดีตอนาคตได้ หรือว่านายหญิงไม่ทราบอายุที่นั่งอยู่ในรถลาคันเล็กๆ นี้จะเป็นคนจำพวกนั้นกัน

มีชายฉกรรจ์อดไม่ได้ที่จะเขย่งเท้าแหงนหน้ามองมาทางนี้

“นายหญิงท่านนั้นรู้ได้อย่างไรกันว่าฝนจะตก” เขาตะโกน “หรือว่าจะเป็นเทพเซียนบอกท่านกัน”

คำพูดนี้ทำให้คนทั้งศาลต่างพากันหัวเราะ เสียงหัวเราะลอยไปข้างนอก คนข้างนอกก็รีบถามไถ่ ความครึกครื้นเริ่มแพร่ออกไป

ปั้นฉินมีเคืองเล็กน้อย รู้สึกว่าเช่นนี้เป็นการนำนายหญิงของตนมาล้อเล่นต่อหน้าผู้คน

เมื่อเสียงหัวเราะผ่านพ้นไป ตอนที่ทุกคนเริ่มไม่สนใจ เสียงหญิงในรถลานั้นก็ลอยออกมา

“ไม่ใช่เทพเซียน ฟ้าบอกข้ามา” นางกล่าว

เมื่อพูดดังนั้น ความครึกครื้นที่เดิมทีได้หยุดลงก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

เสียงหญิงสาวผู้นี้แข็งทื่อนัก ฟังดูตั้งใจ จะว่าพูดเล่นก็ดูไม่เหมือนสักนิด หรือนี่จะเป็นลักษณะที่นางพูดเล่นกัน

ชายฉกรรจ์หัวเราะเสียงดังก่อนใคร

“นายหญิงท่านนั้น ฟ้าได้บอกท่านหรือไม่ว่าฝนจะหยุดเมื่อไร” เขาตะโกนถาม

เสียงหัวเราะในศาลดังขึ้นกว่าเดิม

“ชาวบ้านในเมืองนี้ก็ปากไม่มีหูรูดเช่นนี้แหละ แต่ไม่มีพิษภัยใดๆ นายหญิงอย่าโกรธเคืองไปเลย” ผู้เฒ่าอุ้มเด็กน้อย พร้อมหันไปพูดกับรถลา

ดูท่าทีของสองนายบ่าวนี้ กริยาท่าทางไม่ว่าจะกินจะนอน ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่ คนสูงศักดิ์เหล่านี้ถูกล้อเล่น ก็คงไม่สบอารมณ์เป็นธรรมดา ยิ่งเป็นหญิงสาวทั้งสองคนด้วยแล้ว อย่าทำนางโมโหเลย

ผู้เฒ่าหวังดีกล่าวปลอบใจ

ปั้นฉินโกรธเคืองจริงอย่างที่คาด แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ นายหญิงเคยบอกให้นางทำให้เยอะพูดให้น้อย

เสียงหยอกล้อเงียบลงอีกครั้ง

“ฟ้าบอกว่าจะหยุดแล้ว” เสียงของหญิงสาวลอยมาอีกครั้ง

นายหญิงผู้นี้ตั้งใจจะล้อเล่นกระมัง ทุกคนเพิ่งจะหยุดหัวเราะก็แหย่ให้หัวเราะอีก หากพูดตอนที่ทุกคนกำลังหัวเราะ ก็คงไม่ครึกครื้นขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นนี้

ศาลอันทรุดโทรมแห่งนี้ครึกครื้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน คนที่มีปากเสียงกันเพราะมาหลบฝนก็หัวเราะจนเลิกโกรธแค้นกันไป

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะข้างนอกก็หยุดลง

“เอ๊ะ ฝนหยุดแล้ว!” มีคนตะโกนเสียงดัง

เสียงตะโกนดังขึ้นต่อๆ กันมา ดังจนกลบเสียงหยอกล้อในศาล ผู้คนมากมายกรูกันออกมามองดูภายนอก

ฝนที่เดิมทีสาดเทลงมาก็กลับซาลงจริงๆ ในขณะที่ทุกคนมองออกไป ฟ้าก็สดใสแล้ว

หลังจากที่บรรยากาศเงียบสงัดอย่างแปลกประหลาดได้เพียงครู่ ในศาลก็เริ่มมีเสียงครึกครื้นดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง

 ……………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด