พันธกานต์ปราณอัคคี 129

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 129 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ผ่านไปสามปีอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

 

 

 

ได้ยินเดรัจฉานสามคำ อีกาไฟโมโหจนพองขน อ้าปากจะพ่นไฟอีกกลับถูกมั่วชิงเฉินขวางไว้

 

 

“ศิษย์น้องหวัง เจ้าแน่ใจว่าจะไปบอกอาจารย์อาผู้ดูแลเช่นนั้นหรือ?” อยู่มาตั้งหลายปี ไม่นึกว่ามั่วชิงเฉินยังไม่รู้ชื่อของสองคนนี้ รู้เพียงคนหนึ่งแซ่หวัง คนหนึ่งแซ่จู

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังได้ยิน ‘ศิษย์น้องหวัง’ สามคำแล้วชะงักงัน จากนั้นเพ่งพิศมั่วชิงเฉินอย่างละเอียด ตาเบิกโตในทันใดว่า “เจ้า…ไม่คิดว่าเจ้าจะอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบแล้ว!”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่จูก็ชะงักเช่นกัน ในตาฉายแววไม่อยากจะเชื่อ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีจากระดับหลอมลมปราณขั้นเก้าขึ้นถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสิบ ความเร็วนี้จะเร็วเกินไปสักหน่อยแล้ว

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินท่าทางไม่แยแส ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้าอย่านึกว่าตนบำเพ็ญเพียรได้เร็วก็โอหังเช่นนี้ พรรคเหยากวงอัจฉริยะมีมากมาย เจ้าแม้แต่จะถือรองเท้าให้ชาวบ้านยังไม่คู่ควร…โอ๊ย!”

 

 

ได้ยินเพียง ‘เพียะ’ เสียงหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หวังเอามือปิดหน้าข้างซ้ายทันที

 

 

มั่วชิงเฉินฝึกเข็มกล้วยไม้ปัดจุดตั้งแต่เด็ก มือย่อมไวกว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่เขตแดนเดียวกันมาก เวลาว่างเว้นจากการบำเพ็ญเพียรยังฝึกคาถาที่ใช้บ่อยอย่างไม่ว่างเว้น ความเร็วในการเสกคาถายิ่งไม่ใช่ธรรมดา ในสถานการณ์ที่ตบะสูงกว่าสองคนนี้ ทำกับพวกนางได้ถึงขั้นที่วันนั้นหรวนหลิงซิ่วทำกับตน เป็นเรื่องง่ายดายแค่พลิกฝ่ามือ

 

 

“ศิษย์พี่หวัง พวกเราไป” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่จูกลับรู้จักดูสถานการณ์ เห็นฝีมือห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้มั่วชิงเฉิน จึงลากนักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังเดินออกไปข้างนอก

 

 

เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้นเสียงหนึ่งเช่นกัน แก้มซ้ายของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่จูบวมขึ้นทันที

 

 

“เจ้า เจ้ารังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่จูท่าทางจะร้องไห้

 

 

มั่วชิงเฉินแทบอยากจะทำตาเหลือก ตนและพวกนางไม่มีความแค้นต่อกัน วันนั้นพอเห็นนางปุ๊บกลับรีบส่งสารให้หรวนหลิงซิ่วทันที เห็นชัดว่าได้รับคำสัญญาอะไรจากหรวนหลิงซิ่ว วันนี้กลับทำท่าทางเหมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือว่าคิดว่าตนเป็นคนโง่หรืออย่างไร?

 

 

“จะบอกว่าข้ารังแกกันเกินไปก็ดี โอหังก็ได้ กฎเกณฑ์ของพรรคเหยากวงพวกเจ้าก็รู้ดี ขอเพียงไม่ใช่ตายไปหรือเพราะตบะเพิ่มขึ้นจึงได้เปลี่ยนที่อยู่ ที่อยู่ของศิษย์ธรรมดาถูกกำหนดตายตัวไว้แล้ว พวกเจ้าต้องอยู่กันอย่างยาวนานกับข้าอยู่แล้ว วันนี้ไปบอกอาจารย์อาผู้ดูแล ข้าอาจได้รับบทลงโทษบ้าง ทว่าวันนั้นพวกเจ้าก็เห็นแล้ว ความเจ็บปวดทางเนื้อหนังข้าไม่ใส่ใจ ไม่ว่าอะไรก็เทียบกับความสะใจในใจข้าไม่ได้ เอาเป็นว่า ขอเพียงพวกเจ้าออกจากประตูนี้ไปฟ้อง ต่อไปข้าเห็นพวกเจ้าครั้งหนึ่งตีครั้งหนึ่ง นอกจากพวกเจ้าไม่กลับมา” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างเฉื่อยชา

 

 

“เจ้า…เจ้าข่มขู่พวกเรา!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หวังโมโหจนคิ้วโก่งกลับตั้งขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มแล้ว “นี่เจ้าก็ดูออกหรือเนี่ย เป็นเช่นไร คิดดีแล้วหรือยัง?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่จูพูดแทรกว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้าไม่กลัวอาจารย์อาหรวนมาหาเจ้าอีกหรืออย่างไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินแสยะมุมปาก “ข้ากลัวจังเลย แต่ข้าไม่ออกจากเขาชิงมู่นางจะทำอะไรข้าได้อีกเล่า? หึๆ ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นให้ประโยชน์อะไรแก่พวกเจ้า พวกเจ้าจึงผลักไสเพื่อนร่วมที่พำนักที่ไม่เคยมีความแค้นต่อกันเข้าสู่ทางตัน ก็ไม่รู้ว่าชีวิตในโถงลงทัณฑ์อยู่สุขสบายดีหรือไม่?”

 

 

ได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉิน สองสาวสีหน้าเปลี่ยนในทันใด พวกนางอยู่ในโถงลงทัณฑ์มาสามเดือนกว่าเต็มๆ วันนี้ถึงถูกปล่อยออกมา นึกถึงที่นั่นใจก็สั่นหมดแล้ว

 

 

ในใจผู้บำเพ็ญเพียรแซ่จูอดตำหนิไม่ได้ เพราะศิษย์พี่หวังคนเดียว หากวันนั้นไม่โลภอยากได้โอสถที่อาจารย์อาหรวนสัญญาไว้ ก็ไม่ต้องสร้างหนี้แค้นนี้ขึ้น สุดท้ายไม่มีโอกาสไปทวงโอสถจากอาจารย์อาหรวน ยังทำให้อาจารย์อาผู้ดูแลไม่พอใจอีก

 

 

มั่วชิงเฉินผู้นี้สามารถรอดออกมาจากแดนลี้ลับได้ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรก็เร็วปานนี้อีก อนาคตไม่แน่อาจมีบุญพาวาสนาส่งอะไรก็ได้ เหตุใดตนต้องสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งขึ้นมาคนหนึ่งด้วยล่ะ

 

 

คิดถึงตรงนี้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่จูกระตุกชายเสื้อผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หวัง “ศิษย์พี่หวัง ไม่สู้…”

 

 

“เป็นเช่นไร หรือว่าเรื่องในวันนี้ก็ช่างทั้งเช่นนี้แล้วหรือ เช่นนั้นวันหลังเรามิต้องโดนรังแกทุกวันหรอกหรือ?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหวังเห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงจูน้ำเสียงอ่อนไหว จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ

 

 

การกระทำเช่นนี้ของมั่วชิงเฉิน เป็นเพียงการระบายความอัดอั้นตันใจออกมาเท่านั้น อย่างไรเสียคิดจะทวงคืนจากหรวนหลิงซิ่วยังไม่รู้เลยว่าเป็นเวลาใด บัดนี้เก็บดอกเบี้ยได้สักนิดก็ยังดี ก็ไม่ได้คิดว่าต่อไปจะทรมานพวกนางทุกวันจริงๆ หรอก

 

 

ต่อให้พวกนางอยาก นางยังไม่เต็มใจเลย นางมีเวลาเช่นนั้นที่ไหนกัน!

 

 

“พวกเจ้าวางใจ ขอเพียงต่อไปพวกเจ้าไม่ตอแยข้า ข้าย่อมไม่หาเรื่องพวกเจ้า มีเวลาเช่นนั้นข้ายังไม่สู้เอามาบำเพ็ญเพียรซะดีกว่า!” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา

 

 

สองสาวเห็นชัดว่าโล่งอก แต่กลับรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่สนใจ หันหลังเดินเข้าห้องไป แล้วพูดโดยไม่หันกลับมาว่า “จำไว้ เรื่องนั้นก็ถือว่าแล้วกันไป หากมีครั้งต่อไป แม้ไม่อาจฆ่าศิษย์ร่วมสำนักได้ แต่หากศิษย์ตัวเล็กๆ ระดับหลอมลมปราณหายสาบสูญไปสักคนสองคน เกรงว่าคงไม่มีคนพบกระมัง?”

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าไปในห้อง ถอนหายใจยาวอึดหนึ่ง ขอให้ต่อไปสองคนนี้อย่าสร้างเรื่องอะไรอีกเลย เมื่อครู่แม้พูดจาร้ายกาจไป แต่หากจะให้นางฆ่าคนในสำนัก นางยังไม่กล้าขนาดนั้นจริงๆ หากถูกพบเข้า ผลลัพธ์ไม่กล้าคาดคิด

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองคนนั้นตกใจกับคำพูดนั้นของมั่วชิงเฉินจริงๆ ปกติหลบอยู่ในห้องบำเพ็ญเพียรทั้งวัน หากออกไปทำภารกิจ เจอมั่วชิงเฉินโดยบังเอิญก็รีบร้อนพยักหน้าแวบหนึ่งแล้วผ่านไป ชีวิตของมั่วชิงเฉินกลับสงบลงมากทีเดียว

 

 

ตามที่อากาศยิ่งอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ต้นทับทิมในลานบ้านยิ่งโตยิ่งงาม ไม่นึกว่าอีกาไฟจะสร้างรังไว้ข้างบนไว้รังหนึ่ง เป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอมกลับเข้าถุงอสูรวิญญาณ

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่บังคับ ทุกอย่างปล่อยตามสบายมันไป เพียงแต่เตือนมันว่าห้ามออกไปสร้างปัญหา

 

 

ในวันนี้ มั่วชิงเฉินที่รู้สึกว่าจิตวิญญาณสิ้นเปลืองค่อนข้างมากเกินไปเนื่องจากบำเพ็ญเพียรติดต่อกันในที่สุดก็หยุดลงมาแล้ว นั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ ตรวจนับถุงเก็บวัตถุที่ยึดได้มาจากหุบเขาโยวเล่อตอนนั้น

 

 

ในหุบเขาโยวเล่อ นอกจากเริ่มแรกไม่กี่วัน วันหลังจากนั้นล้วนร่วมมือกับต้วนชิงเกอต่อสู้กับศัตรู ผลเก็บเกี่ยวที่ได้มาทั้งสองคนแบ่งอย่างหยาบๆ ก่อนออกจากหุบเขาแล้ว หลังจากออกมาก็ถูกเรื่องมากมายเป็นพรวนเกี่ยวพันไว้ ที่จริงตนมีของอะไรที่ใช้ได้กันแน่ ยังไม่รู้จริงๆ

 

 

ในหุบเขาที่สิ้นเปลืองมากที่สุดคือยันต์และโอสถ มั่วชิงเฉินคัดแยกยันต์ที่เหลือไม่มาก โอสถ และหินวิญญาณตามประเภทแล้วเก็บขึ้น เริ่มตรวจนับวัตถุดิบ

 

 

วัตถุดิบประกอบด้วยหินแร่ หินหยก หญ้าทิพย์ สมุนไพรทิพย์ ไม้ประหลาดต่างๆ เป็นสิ่งของที่เบ็ดเตล็ดที่สุด และก็เป็นการทดสอบความรู้ของคนที่สุด

 

 

มั่วชิงเฉินเอาของที่รู้จักแยกตามประเภทเก็บขึ้น ของที่ไม่รู้จักวางไว้ข้างๆ เก็บไว้ต่อไปค่อยว่ากัน

 

 

นี่ถึงเริ่มตรวจดูอาวุธเวทที่เก็บเกี่ยวได้ครั้งนี้

 

 

เพราะว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าแดนลี้ลับ นอกจากหลายสำนักใหญ่แล้ว ยังมีสำนักเล็กๆและตระกูลมากมาย ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณทุกคนจะสามารถมีอาวุธเวทได้ บวกกับผู้บำเพ็ญเพียรที่มีอาวุธเวทในยามหน้าสิ่วหน้าขวานล้วนใช้มันต้านไว้อย่างสุดความสามารถ อาวุธเวทมากมายที่ต้อเสียหาย ดังนั้นอาวุธเวทที่มั่วชิงเฉินได้มานั้นจึงมีไม่มาก

 

 

อาวุธเวทโจมตีประเภทกระบี่บินสิบกว่าเล่ม นอกจากเล่มหนึ่งเป็นระดับกลาง นอกนั้นล้วนเป็นระดับล่าง ซึ่งก็คือของแบกับดินที่เห็นบ่อยที่สุดในโลกบำเพ็ญเพียร

 

 

นอกนั้นมีปิ่นหยกหนึ่งอัน เป็นอาวุธเวทที่รวมการโจมตีและกักศัตรูไว้ในชิ้นเดียวกัน ดูจากคุณภาพของแล้วยังนับว่าไม่เลว เป็นอาวุธเวทระดับกลาง เพียงแต่มั่วชิงเฉินที่ใช้ชามใหญ่จนชินแล้วกลับไม่ค่อยสนใจเท่าไร

 

 

นางอยากได้มากที่สุดคืออาวุธเวทโจมตี ส่วนเหินหาว กักศัตรูและป้องกันมีชามใหญ่แล้ว อย่างน้อยก่อนถึงระดับก่อแก่นปราณ หากไม่พบที่ดีเป็นพิเศษ ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแล้ว

 

 

ต้องรู้ว่า นอกจากตบะไม่พูดถึง ระดับความคุ้นเคยที่ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งมีต่ออาวุธเวทนั้น เป็นการตัดสินพลานุภาพของอาวุธเวทชิ้นนั้นโดยตรง

 

 

แล้วดูอาวุธเวทสองสามชิ้นนั้น ล้วนธรรมดา ไม่มีสิ่งใดทำให้ใจหวั่นไหวได้ มั่วชิงเฉินหยิบอาวุธเวทชิ้นสุดท้ายขึ้นมา

 

 

อาวุธเวทชิ้นนี้ขนาดเท่าแค่ฝ่ามือ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความหนาอยู่บ้าง สีเหลืองดิน ดูแล้วไม่ค่อยน่าดูจริงๆ

 

 

มั่วชิงเฉินจับมันเล่น ดูอย่างไรก็รู้สึกว่านี่เป็น…อิฐก้อนหนึ่ง

 

 

ทิ้งการคาดเดาแปลกประหลาดของตนไป นางยื่นจิตสัมผัสลูบคลำขึ้นมา

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าประหลาด

 

 

อาวุธเวทนี้เป็นอาวุธเวทโจมตีจริงแท้แน่นอน วิธีใช้ก็ง่ายมาก หลังจากใช้พลังวิญญาณปลุกขึ้นมาแล้วก็จะใหญ่ขึ้น ขนาดอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นอยู่กับพลังวิญญาณที่ใช้ เวลาโจมตีก็คือบังคับให้มันฟาดไปที่ตัวคู่ต่อสู้

 

 

นี่ นี่ก็คืออิฐก้อนหนึ่ง!

 

 

อันว่าคนมีพละกำลังเอาชนะคนเป็นวรยุทธ์ได้สิบคน ในด้านการโจมตีมั่วชิงเฉินมีเถาวัลย์และเข็มสีเขียว ล้วนเน้นที่การเล่นทีเผลอ ใช้ไหวพริบเอาชนะต่างๆ ที่ขาดก็คืออาวุธเวทที่สู้ศึกซึ่งหน้าด้วยกำลังที่แท้จริง ไร้ซึ่งไหวพริบประเภทนี้พอดี

 

 

เพียงแต่คิดถึงว่ามีวันหนึ่ง ตนนั่งอยู่บนชามใหญ่บินไปหน้าคู่ต่อสู้ จากนั้นโยนอิฐลงไปก้อนหนึ่ง นี่…จะไม่งามเกินไปหรือเปล่า?

 

 

แม้จะหัวเราะเยาะตนแก้เบื่อเช่นนี้ แต่มั่วชิงเฉินกลับตัดสินใจใช้ชิ้นนี้โดยไม่ลังเล อย่างไรเสียงอาวุธเวทที่ตรงกับสิ่งที่ตนต้องการนั้นหายากเหลือเกิน

 

 

ในเมื่อการบำเพ็ญเพียรช้าลง ยิ่งใจร้อนก็ยิ่งไม่มีประสิทธิภาพ มั่วชิงเฉินตัดสินใจวันเวลาต่อจากนี้จะศึกษาอาวุธเวทนี้อย่างดี ภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำเวลาปะทะกัน

 

 

ทว่าผ่านไปไม่กี่วัน นางก็ได้รับยันต์ส่งสารจากโถงจัดหา ที่แท้โอสถสร้างรากฐานหลอมเสร็จแล้ว แจ้งให้ศิษย์ที่ตรงกับคุณสมบัติการรับไปรับโอสถ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าหรวนหลิงซิ่วคนนั้นว่างไม่มีอะไรทำจริงหรือไม่ ทุกวันเอาแต่จ้องตนออกจากเขาชิงมู่หรือไม่ ทว่าได้ยินมาว่าหญิงผู้นั้นเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนผู้นั้นก็จะบ้าคลั่งอยู่บ้าง ไม่แน่อาจทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ก็ได้ คิดๆ ดูแล้ว จึงส่งยันต์ส่งสารให้ต้วนชิงเกอแผ่นหนึ่ง

 

 

ไม่นานนัก ต้วนชิงเกอก็ตอบยันต์ส่งสารกลับมา “ศิษย์น้องชิงเฉิน เห็นอักษรเหมือนเห็นหน้า ไม่คิดว่าหลังจากเจ้ากลับไปแล้วจะพบเจอคลื่นลมแรงเช่นนั้น ไม่คิดว่าเจ้าจะไม่บอกข้า ข้าก็เพิ่งสิ้นสุดการกักตน เวลาอันใกล้นี้อาจจะยังรับภารกิจบ้าง ในเมื่อเจ้าพูดว่าผู้หญิงคนนั้นอาจหาเรื่องเจ้า เพื่อความปลอดภัยอย่าเพิ่งออกจากเขาชิงมู่ดีกว่า ข้าสืบข่าวมาแล้ว ผู้หญิงคนนั้นนอกจากปรมาจารย์ระดับก่อกำเนิดไม่กี่ท่าน แม้แต่ปรมาจารย์ระดับก่อแก่นปราณที่ไม่มีภูมิหลังนางก็ไม่ไว้หน้า ยามนี้แข็งกับนางเป็นการไม่ฉลาดโดยแท้ ในสำนักมีระเบียบว่าไว้ ผู้บำเพ็ญเพียรที่ตบะยังไม่ทะลวงระดับสร้างรากฐาน เพื่อความปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องรับโอสถสร้างรากฐานเป็นการชั่วคราว รอวันหลังตบะถึงแล้วค่อยไปรับก็ไม่สาย เจ้าไม่สู้ทุ่มเทใจบำเพ็ญเพียร รอผู้หญิงนั่นค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ค่อยวางแผนใหม่ จากศิษย์พี่ ต้วนชิงเกอ

 

 

มั่วชิงเฉินฟังคำแนะนำของต้วนชิงเกอ จึงทุ่มเทกายใจบำเพ็ญเพียรขึ้นมา เวลาคั่นกลางจากการบำเพ็ญเพียร ก็จะศึกษาคาถาอย่างตั้งใจ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมทำความคุ้นเคยอาวุธเวทสองชิ้นและค่ายกล เมื่อโอสถบางชนิดใกล้ใช้หมดแล้ว ก็จะเปิดเตาหลอมโอสถ

 

 

นอกจากบางทีปลอมตัวไปตลาดขายสุราทิพย์หรือซื้อวัตถุดิบบางอย่าง มั่วชิงเฉินแทบจะไม่ก้าวออกจากบ้าน

 

 

อีกาไฟผ่านช่วงตื่นเต้นในช่วงแรกสุดแล้ว เริ่มเบื่อขึ้นมา เพื่อป้องกันการรบกวนของมัน มั่วชิงเฉินอุตส่าห์หลอมยาลูกกลอนไขกระดูกเขียวไว้หลายขวดใหญ่โยนให้มัน ให้มันได้บำเพ็ญเพียรอย่างอุ่นใจ

 

 

ยาลูกกลอนไขกระดูกเขียวเป็นยาที่ให้อสูรวิญญาณกินโดยเฉพาะ เป็นโอสถทิพย์ที่สามารถเพิ่มพลัง

 

 

การบำเพ็ญเพียรตามขั้นตอนเช่นนี้ พริบตาเดียวก็อีกสามปี

 

 

มั่วชิงเฉินอายุยี่สิบสองปี อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดแล้ว

 

 

นางที่เพิ่งคิดจะผ่อนคลายสักระยะเวลาหนึ่ง จู่ๆ กลับได้รับยันต์ส่งสารที่เหนือความคาดหมายมาก่อน เนื้อหาในยันต์ทำให้นางสีหน้าเปลี่ยนอย่างรุนแรง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด