พันธกานต์ปราณอัคคี 141

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 141 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
 คำเล่าลือจากปาก

 

 

 

นักพรตเหอกวงกู้หลี หลังจากความโกลาหลวิกฤตอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน ก็ติดอยู่ที่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นเสมอมา สาเหตุในนั้นลือกันไปต่างๆ นานา ทว่าที่คนส่วนใหญ่ยอมรับอย่างเป็นทางการ คือการได้รับบาดเจ็บ

 

 

ทว่ามั่วชิงเฉินอยู่ด้วยกันเช้าเย็นกับเขามาเจ็ดปี กลับเดาได้รางๆ ว่าความจริงน่าจะใกล้เคียงกับที่คนหมู่น้อยพูดไว้ พวกเขาว่า นักพรตเหอกวงมีปมในใจ

 

 

มั่วชิงเฉินอยากรู้อยากเห็นมาก อาจารย์ท่านนี้ของนางมีปมอะไรในใจกันแน่ ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างพวกนั้นจะสามารถรู้ได้แล้ว

 

 

เห็นกู้หลีเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางได้สำเร็จ มั่วชิงเฉินแอบดีใจ หรือว่าปมในใจของเขาคลายแล้ว?

 

 

กู้หลีกลับไม่ได้รู้สึกปีติมากเกินไปนัก เห็นท่าทางดีอกดีใจของมั่วชิงเฉินแล้วยิ้มว่า “เป็นอะไร เคล็ดกระบี่ของเจ้าสำเร็จขั้นที่หนึ่งแล้วหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินยักคิ้วยิ้มว่า “นั่นแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้มีทั้งหมดเจ็ดขั้น

 

 

ขั้นที่หนึ่งชื่อว่าบุปผาเกิดแต่ไม้ สามารถเกิดบุปผาจากกระบี่ ดอกไม้สดแต่ละดอกล้วนเกิดจากพลังวิญญาณ กลีบแต่ละกลีบปกคลุมด้วยปราณกระบี่ แฝงการเข่นฆ่า อานุภาพตีเสมอกับอาวุธเวทโจมตีระดับสูงทั่วไป

 

 

ขั้นที่สองชื่อโล่ไม้เขียว ปราณกระบี่ที่ออกจากกระบี่ที่ใช้แปลงเป็นโล่วิญญาณคุ้มกายด้วยตนเอง เทียบกับพลังวิญญาณคุ้มกายหลังจากผู้บำเพ็ญเพียรสร้างรากฐานแล้วแข็งแกร่งกว่ามาก เป็นเคล็ดกระบี่ฝ่ายรับ แต่ไม่กระทบการใช้เคล็ดกระบี่จู่โจมอื่นๆ

 

 

ขั้นที่สามชื่อทะเลบุปผามายา ยามที่ฝึกสำเร็จดอกไม้สดนับไม่ถ้วนกลายเป็นทะเลดอกไม้ ซึ่งจะชักนำผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่แดนมายา จริงเท็จยากจะแยกแยะ

 

 

ส่วนหลังจากนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ในเขตแดนของนางจะสามารถเข้าใจได้แล้ว

 

 

“หึๆ เช่นนั้นมาประลองกับอาจารย์สักหน่อยเป็นเช่นไร?” ทันใดนั้นกู้หลีพูดขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินชะงัก จากนั้นแย้มยิ้มว่า “ได้เจ้าค่ะ เพียงแต่อาจารย์ ท่านตบะสูงกว่าข้ามากเกินไป ต้องยั้งมือไว้ไมตรีด้วยนะเจ้าคะ”

 

 

“ข้าจะกดตบะไว้ที่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น เจ้าสู้ให้เต็มที่ก็แล้วกัน” กู้หลีเอ่ย

 

 

“อาจารย์ รับกระบี่!” มั่วชิงเฉินแทงกระบี่ไม้ไปโดยไม่ลังเล

 

 

กู้หลีเอียงศีรษะแผ่วเบา แทงกระบี่ไม้แบบเดียวกันออกไป ลำแสงแผ่ออก

 

 

มั่วชิงเฉินบินถอยไปสองสามก้าว กระบี่ไม้ในมือกลับบินออกมา ใช้เพียงพลังวิญญาณบังคับ

 

 

กระบี่ไม้นั้นดูแล้วธรรมดาไม่มีสิ่งใดพิเศษ ทว่าเมื่อใกล้มาถึงตรงหน้ากู้หลีกลับมีดอกไม้สดดอกใหญ่ผลิบานเต็มไปหมด สีสันสดใสสวยสดงดงาม กลับแฝงด้วยพลังเข่นฆ่าทุกกลีบ จู่โจมไปที่เขาอย่างเฉียบขาด

 

 

ร่างกู้หลียืนอยู่ที่เดิม กระบี่ไม้ในมือบินขึ้นเช่นกัน กลับเกิดเป็นกิ่งไม้แห้งนับไม่ถ้วน ดอกไม้สดที่บินมาเหล่านั้นเหมือนถูกดึงดูดก็ไม่ปาน หล่นลงบนกิ่งไม้แห้งด้วยตัวเอง

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ยอมแพ้ เร่งพลังวิญญาณอีกครั้ง ทันใดนั้นดอกไม้กลายเป็นเถาวัลย์ยาว พันไปที่กู้หลีตามกิ่งไม้แห้ง

 

 

กู้หลีอมยิ้มที่มุมปาก ระหว่างที่หมุนกระบี่ไม้กิ่งไม้แห้งทั้งหมดนำเถาวัลย์ยาวร่วงลงพร้อมกันไม่ขาดสาย ตามติดด้วยปราณกระบี่สายหนึ่งจู่โจมไปบนกระบี่ไม้ของมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินที่ใช้พลังวิญญาณบังคับกระบี่ไม้รู้สึกเจ็บหน้าอกทันที ถอยหลังไปหลายก้าว

 

 

กู้หลีเก็บกระบี่ไม้ขึ้นมาถึงหน้านางในชั่วอึดใจ “เช่นเช่นไร บาดเจ็บแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้ม “อาจารย์ ท่านแน่ใจว่ากดตบะไว้ที่ระดับสร้างรากฐานระยะต้นหรือเจ้าคะ?”

 

 

เห็นนางไม่เป็นไร กู้หลีพยักหน้านิ่งเรียบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ชิงเฉิน เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ลึกล้ำกว่าที่เจ้าคิด เจ้าตั้งใจฝึกฝน วันหน้าย่อมเข้าใจเอง”

 

 

“อืม อาจารย์ รอข้าถึงระดับก่อแก่นปราณ มีพลังในการรับรู้ยุทธวิธีลึกล้ำยิ่งขึ้น เราค่อยมาประลองกันอีกสักที” มั่วชิงเฉินเอ่ย

 

 

กู้หลีมองนางปราดหนึ่ง ยิ้มว่า “ได้”

 

 

กู้หลีเดิมเป็นคนค้อมต่ำ เรื่องที่เขาเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางนั้นไม่มีคนรู้ มั่วชิงเฉินแม้นิสัยสงบแต่กลับไม่ซึมเซา บางทียังล้อเล่นเหลวไหลกับอสูรวิญญาณสามตัว ศิษย์อาจารย์สองคนบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าไผ่เงียบสงบนี้เหมือนปกติ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

 

 

ทว่ามีวันหนึ่งจู่ๆ กู้หลีกลับเรียกมั่วชิงเฉินมาตรงหน้า บอกเป็นนัยให้นางนั่งลงข้างกาย

 

 

“อาจารย์ ท่านเรียกข้ามามีเรื่องอันใดเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินนั่งลงข้างกายเขา แล้วก็ได้กลิ่นสุราหอมสดชื่นจางๆ เป็นกลิ่นอายที่ทำให้นางคุ้นเคยอุ่นใจ

 

 

กู้หลีมองดูมั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิน เจ้าจำคำพูดที่ข้าพูดกับเจ้าในปีนั้นได้หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตา “อาจารย์พูดกับข้าไว้มากมายเหลือเกิน ไม่ทราบคำพูดไหนเจ้าคะ?”

 

 

“ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือโอกาสวาสนา!” กู้หลีอ่อนโยนเป็นนิจ ในยามนี้กลับสีหน้าจริงจังอย่างหาได้ยาก

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บความคิดที่จะล้อเล่นทันที ก้มหน้าสดับตรับฟังอย่างว่าง่าย

 

 

กู้หลีเห็นท่าทางว่าง่ายของนางแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ชิงเฉิน หลายปีมานี้ สิ่งที่ควรพูดอาจารย์ก็พูดกับเจ้าจนหมดแล้ว หลายปีนี้รากฐานของเจ้าก็ขัดเกลาจนมั่นคงแล้ว กระทั่งยังเหนือชั้นกว่า เป็นเวลาที่ควรออกไปฝึกตนแล้ว”

 

 

“อาจารย์ ความหมายของท่านคือให้ข้าไปจากที่นี่หรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินชะงัก

 

 

เจ็ดปีมานี้ สองคนอยู่เป็นเพื่อนเช้าเย็น ฟังมั่วชิงเฉินถามเช่นนี้ ไม่คิดว่ากู้หลีก็มีความรู้สึกไม่สบายใจแวบหนึ่งผ่านไป แต่กลับรีบไล่ความคิดเช่นนั้นให้หายไปทันที แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เป็นเช่นไร เจ้าจะอยู่ที่นี่ทั้งชีวิตหรืออย่างไร ต้องรู้นะว่าโอกาสวาสนาไม่มาตกที่หน้าบ้านเจ้าหรอกนะ”

 

 

มั่วชิงเฉินถูกพูดจนเหงื่อตก อืมต่ำๆ เสียงหนึ่ง นางย่อมรู้เหตุผลพวกนี้ดี ด้วยนิสัยของนาง ไม่ว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์เช่นไร นางก็จะไม่ละทิ้งหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรของตน กลางเป็นเบี้ยล่างที่ต้องคอยอาศัยคนอื่น

 

 

เพียงแต่ใช้ชีวิตบำเพ็ญเพียรอย่างสงบมานานเกินไป คำสั่งที่จู่ๆ ให้นางออกไปฝึกตนค่อนข้างกะทันหันไปสักหน่อยเท่านั้น

 

 

“รอฝึกตนพอแล้วถึงเวลาควรกักตนบำเพ็ญเพียรก็กลับมา หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร การเพียรบำเพ็ญเพียรและออกสู่โลกฝึกตน จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้” กู้หลีเห็นมั่วชิงเฉินก้มหน้าไม่พูดจา จึงเอ่ยนิ่งเรียบว่า

 

 

มั่วชิงเฉินยังคงไม่เงยหน้า

 

 

สีหน้ากู้หลีเย็นชาขึ้นอย่างไม่ค่อยได้เห็นนัก ถามว่า “เป็นอันใด หรือว่าเจ้าไม่เต็มใจ?”

 

 

ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมา มองเขาเหมือนอยากร้องไห้

 

 

กู้หลีชะงัก ชั่วเวลาหนึ่งไม่รู้ควรทำสีหน้าเช่นไร สองคนรู้จักกันตั้งแต่นางอายุสิบกว่า เขายังไม่เคยเห็นนางทำสีหน้าอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน

 

 

ความรู้สึกที่นางให้เขาเสมอมา คือเฉลียวฉลาด ขยันหมั่นเพียร ดื้อรั้น กลับเป็นสีหน้าที่หญิงสาวส่วนใหญ่มีเป็นนิจเช่นนี้ ที่ทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึง

 

 

เห็นกู้หลีที่ใจเย็นไม่แยแสเป็นนิจมีสีหน้างงงัน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวหัวเราะคิกคักขึ้นมา “อาจารย์ ท่านช่างใจแคบจริงๆ หรือว่าจะไล่ศิษย์ลงเขาทั้งที ก็ไม่มอบสมบัติก้น**บอะไรให้สักหน่อย ไล่ข้าไปทั้งอย่างนี้หรือเจ้าคะ ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก”

 

 

กู้หลีขยับมุมปาก สุดท้ายเอ่ยอย่างสงบว่า “ข้าจำได้ว่าสิบกว่าปีก่อนในโรงเตี๊ยมใกล้ปราณภูเขาหลิวหั่ว ได้มอบชามให้เจ้าใบหนึ่ง”

 

 

มั่วชิงเฉินตกตะลึงอ้าปากค้าง “อา…อาจารย์ นั่นก็นับหรือเจ้าคะ?”

 

 

กู้หลีใบหน้ายิ้มแย้มแล้วพยักหน้า

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุกทีหนึ่ง แท้ที่จริงอาจารย์นางที่ดูแล้วเหมือนเซียน ที่แท้ก็เป็นพ่อไก่เหล็กขนสักเส้นก็ไม่ถอน[1] หากแต่ยังใจดำด้วย!

 

 

รำพึงรำพันเสร็จ มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น ชามกระเบื้องใบใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศทันที นางกระโดดลงไปอย่างไม่ลังเล โบกมือให้กู้หลีว่า”อาจารย์ ไว้พบกันใหม่เจ้าค่ะ”

 

 

พูดจบนั่งขัดสมาธิลงที่ก้นชาม แล้วจากไปอย่างสง่าผ่าเผย

 

 

กลับเป็นกู้หลีที่ชะงักงัน จนกระทั่งลำแสงสีเขียวนั่นหายไปไม่เห็นร่องรอยอีกแล้ว ถึงนั่งลงเงียบๆ จิบสุราทิพย์อึกหนึ่งเบาๆ

 

 

จากนั้นยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ กู้หลียื่นมือรับไว้ กวาดจิตตระหนักปราดหนึ่ง เห็นเพียงข้างบนเขียนว่า “อาจารย์ ‘คลาดโลกีย์’ ที่อยู่บนโต๊ะเป็นไหสุดท้ายแล้ว ชิงเฉินยังไม่ทันได้หมักสุราใหม่ ก็ถูกท่านไล่ลงเขาแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากท่านอยากดื่มก็ได้แต่รอศิษย์กลับมาแล้ว อืม…ศิษย์จะปฏิบัติตามคำสั่งอาจารย์ตั้งใจฝึกตนเจ้าค่ะ เกรงว่าจะไม่ได้กลับมาในเร็ววัน จากศิษย์ชิงเฉิน”

 

 

กู้หลี…

 

 

มั่วชิงเฉินคลำในถุงเก็บวัตถุรอบหนึ่ง ล้วงหมอนอิงออกมาหนึ่งใบ จากนั้นนั่งพิงข้างชามมองเมฆขาวที่ค่อยๆ ลอยผ่านท้องฟ้า แล้วถอนหายใจแผ่นเบา

 

 

เรือนไม้ไผ่ที่นักพรตเหอกวงพำนักอยู่ อยู่ในหุบเขาหนึ่งในยอดเขารอง ทั้งสามด้านล้อมรอบด้วยขุนเขา ทางเข้าเพียงทางเดียวก็คือป่าไผ่ผืนนั้น เพราะมีค่ายกลขวางกั้นอยู่ ต่อให้มีผู้บำเพ็ญเพียรบินผ่านท้องฟ้าด้านบน มองลงไปก็จะเห็นเพียงทิวทัศน์ทั่วไป ยิ่งไม่อาจเข้าจากบนฟ้าได้

 

 

บัดนี้คนที่สามารถอ้อมผ่านป่าไผ่เข้าออกอย่างอิสระจากบนฟ้าได้โดยตรง นอกจากนักพรตเหอกวง ก็มีเพียงมั่วชิงเฉินศิษย์คนนี้เท่านั้น

 

 

มั่วชิงเฉินนั่งชามใหญ่บินสู่เขาโฮ่วเต๋อ ผู้บำเพ็ญเพียรที่จะออกไปฝึกตนเช่นนางนี้ ย่อมต้องไปรายงานตัวสักคราเป็นธรรมดา

 

 

เขาโฮ่วเต๋อตั้งอยู่ตรงกลาง อีกทั้งยังเป็นสถานที่จัดการธุระอย่างเป็นทางการของทั้งสำนัก คนไปมาขวักไขว่ ย่อมครึกครื้นกว่าสี่ยอดเขาที่เหลือหลายส่วน

 

 

ศิษย์ที่แต่งตัวเป็นศิษย์จิปาถะกำลังปัดกวาดอยู่ เห็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งบินจากขอบฟ้าใกล้เข้ามา

 

 

“ไม่รู้เป็นอาจารย์อาระดับสร้างรากฐานท่านไหนอีก ช่างน่าอิจฉาจริงๆ” เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งเอ่ย

 

 

เด็กหนุ่มที่ดูแล้วล่ำสันมากอีกคนหนึ่งก็ว่า “นั่นสิ นั่นสิ หากข้าสร้างรากฐานได้ก็ดีน่ะสิ เฮ่อ ก็ไม่รู้จะมีวันนั้นหรือไม่”

 

 

ทันใดนั้นได้ยินเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งแทรกขึ้นว่า “เหตุใดจะไม่ได้ ไม่ได้ยินหรือว่าศิษย์จิปาถะรอบที่แล้ว มีไม่น้อยที่ได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการในการประลองย่อยในสำนักน่ะ ยังมีสองคนกระทั่งได้เป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณด้วยนะ!”

 

 

เด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินว่าพวกนางล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิง บัดนี้เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานนานแล้วนะ”

 

 

เด็กหนุ่มสองสามคนรู้สึกเสียหน้าในทันที มองหน้ากันอย่างอับอายปราดหนึ่ง

 

 

ศิษย์ฆราวาสคนหนึ่งผ่านมามองพวกเขาปราดหนึ่ง “พวกเจ้าไม่กี่คนพึมพำอะไรกัน ยังไม่รีบทำงานอีก”

 

 

ในยามนี้เองลำแสงสายนั้นได้มาถึงตรงหน้าแล้ว เด็กวัยรุ่นไม่กี่คนแหงนหน้าด้วยความตกใจ หนึ่งในนั้นตะโกนว่า “ชาม…ชามใบใหญ่จังเลย!”

 

 

“ชามอะไร?” ศิษย์ในสำนักคนนั้นพูดพลางเงยหน้ามอง แล้วก็อดชะงักไม่ได้

 

 

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน ก็เห็นหญิงสาวในชุดคลุมสีเขียว เกล้าผมทรงเต๋าคนหนึ่งกระโดดลงจากชาม กวาดสายตาไปรอบๆ เบาๆ

 

 

พริบตาเดียวไม่ได้มาที่นี่เจ็ดปีแล้ว นอกจากคนใหม่เปลี่ยนคนเก่า สิ่งอื่นไม่ค่อยแตกต่างจากในความทรงจำนางเท่าไร การบำเพ็ญเพียรช่างไร้กาลเวลาจริงๆ

 

 

มั่วชิงเฉินแอบรำพึงรำพันอยู่ เห็นศิษย์ทำงานอยู่รอบๆ และที่ผ่านไปมาหยุดมองนางแล้วชะงัก จึงยิ้มนิ่งเรียบ แล้วเดินตรงไปยังโถงปฏิบัติงาน

 

 

“คารวะ…อาจารย์อา…” จนกระทั่งมั่วชิงเฉินเดินผ่าน ศิษย์ฆราวาสนั่นถึงได้สติกลับมา เอ่ยอย่างติดอ่าง

 

 

“ศิษย์พี่ อาจารย์อาท่านนั้นเป็นใคร สะ…สวยจังเลย!” เด็กหนุ่มอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่งเอ่ยด้วยความหลงใหล

 

 

ศิษย์ฆราวาสคนนั้นยื่นนิ้วดีดศีรษะของเด็กหนุ่มนั่นทีหนึ่งว่า “พูดเหลวไหลอะไร เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร?”

 

 

“ใครขอรับ?” ศิษย์น้อยกลุ่มหนึ่งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

 

ศิษย์ฆราวาสพูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดว่า “นางก็คือหนึ่งในสองศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่พวกเจ้าพูดถึง ชื่อมั่วชิงเฉิน!”

 

 

ในใจรำพึงรำพันว่า นึกถึงปีนั้นยามเข้าร่วมการทดสอบแดนลี้ลับ นางอยู่เพียงระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า ตนอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด พริบตาเดียวสิบกว่าปีผ่านไป นางสร้างรากฐานได้หลายปีแล้ว ตนยังคงหยุดอยู่ที่ระดับหลอมลมปราณดิ้นรนอย่างยากเข็ญ ช่างต่างคนต่างมีชะตาของตัวเองจริงๆ เลย

 

 

“ศิษย์พี่ ที่แท้ท่านรู้จักอาจารย์อาสองท่านนั้นหรือ?”

 

 

เด็กวัยรุ่นกลุ่มนั้นกลับล้อมศิษย์ฆราวาสนั่นขึ้นมา ถามเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด

 

 

มั่วชิงเฉินที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ยิ้มแผ่วเบา พวกนางในอดีต ก็พูดถึง วิจารณ์บุคคลในตำนานเหล่านั้น ตลอดเวลามิใช่หรือ เช่นศิษย์พี่เยี่ยท่านนั้น เช่นอาจารย์…

 

 

ก้าวเข้าประตูใหญ่โถงประชุม พอดีศิษย์พี่อู๋ผู้อ่อนโยนท่านนั้นเป็นเวร มั่วชิงเฉินออกเสียงทักทายว่า “ศิษย์พี่อู๋”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เงยหน้าขึ้นมา เห็นเป็นมั่วชิงเฉินแล้วชะงักแผ่วเบา จากนั้นกลับพูดออกมาประโยคหนึ่งที่มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึง “ศิษย์น้องมั่ว เจ้ามาจนได้ รอก่อน ข้าส่งข่าวก่อนค่อยว่ากัน”

 

 

พูดจบยกมือขึ้นปล่อยยันต์ส่งสารออกไปแผ่นหนึ่ง

 

 

 

 

——

 

 

[1] พ่อไก่เหล็กขนสักเส้นก็ไม่ถอน หมายถึง ขี้เหนียวเหมือนพ่อไก่ที่ขนเป็นเหล็กทั้งตัว ทำให้จะถอนขนสักเส้นก็ทำไม่ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด