พันธกานต์ปราณอัคคี 192 แก้ปมพันๆ ปม

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 192 แก้ปมพันๆ ปม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มั่วชิงเฉินได้แต่ฝืนยิ้ม คำพูดนี้จะให้นางรับเช่นไร หรือว่าจะให้ตนเห็นด้วยว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่พูดได้ถูกต้อง ศิษย์มีเพียงสองตาหนึ่งปาก”

 

 

คงจะดูออกว่ามั่วชิงเฉินอึดอัด นักพรตจื่อซีกระแอมว่า “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่มาดูสักหน่อย ไม่ว่าเช่นไรเจ้าก็นับว่าเป็นศิษย์หลานของข้านี่นา หากเผชิญหน้ากันแล้วไม่รู้จัก นั่นไม่กลายเป็นเรื่องตลกของนักบำเพ็ญเพียรเขาลูกอื่นหรอกหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นนักพรตจื่อซีท่าทางเหมือนยิ่งจะปกปิดก็ยิ่งเห็นได้เด่นชัด จึงแอบน่าขัน มิน่าอาจารย์ถึงไม่เคยกล้าปล่อยอาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้เข้ามา นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ชอบเรื่องซุบซิบเช่นนี้เกรงว่าจะมีไม่มาก ไม่ทำให้อาจารย์ตกใจจนหนีหัวซุกหัวซุนถึงแปลก แต่ปากกลับเอ่ยอย่างน่าเอ็นดูว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่กล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก เดิมทีศิษย์ควรไปกราบคารวะท่านอาจารย์ลุงใหญ่แต่เนิ่นๆ ถึงจะถูก เพียงแต่ปีนั้นสร้างรากฐานอย่างรีบร้อน อาจารย์จึงสอนสั่งชิงเฉินอย่างเข้มงวด หากมีที่ที่เสียมารยาท ยังขอให้ท่านอาจารย์ลุงใหญ่อย่าได้ตำหนิเจ้าค่ะ”

 

 

พูดจนนักพรตจื่อซีสบายอุรา จึงถือโอกาสโยนของสิ่งหนึ่งให้มั่วชิงเฉิน

 

 

ของสิ่งนั้นมาทั้งเร็วทั้งรีบ เกิดแสงวิญญาณเป็นสายและลมพัดแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณของนักพรตจื่อซี มีเจตนาจะหยั่งเชิงมั่วชิงเฉิน

 

 

เข็มกล้วยไม้ปัดจุดที่มั่วชิงเฉินฝึกฝนสมัยเยาว์วัยแม้เป็นวรยุทธ์ของโลกฆราวาส สิ่งที่เน้นกลับเป็นการใช้จังหวะทำลายพลัง สี่ตำลึงปาดพันชั่ง[1]ตั้งแต่ยามที่ฝึกเคล็ดวิชานิ้วก็ได้รู้ถึงประโยชน์ของเข็มกล้วยไม้ปัดจุด หลายปีมานี้มั่วชิงเฉินจึงนำแก่นของมันค่อยๆ ผสานเข้าไปในการต่อสู้คาถา

 

 

ยามนี้เห็นของสิ่งหนึ่งบินมา ข้อมือของนางบิดและสะบัดด้วยองศาที่ประหลาด พลังวิญญาณเอ่อขึ้นมือรับของสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดาย เมื่อจ้องดู ไม่คิดเลยว่าจะเป็นขวดหยกประณีตที่ประกายสุกใสฉ่ำวาวใบหนึ่ง

 

 

นักพรตจื่อซี ‘เอ๊ะ’ เสียงหนึ่ง ยักคิ้วขึ้น แม้นางใช้พลังวิญญาณเพียงสองส่วน พลังที่มาพร้อมขวดหยกก็ไม่ใช่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งจะรับได้ การกระทำเช่นนี้เพียงแต่อยากดูจากปฏิกิริยาของมั่วชิงเฉินว่านางมีความตระหนักในการต่อสู้กี่ส่วนเท่านั้นเอง

 

 

“นางหนูน้อย ก็พอมีฝีมือนี่นา” นักพรตจื่อซีชมว่า

 

 

มั่วชิงเฉินรีบเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ชมเกินไปแล้ว ศิษย์เพียงแต่เลือกวิธีที่ง่ายเท่านั้น”

 

 

นักพรตจื่อซีกลับยิ่งทำตัวสนิทสนมขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อที่ขาวดั่งหิมะแล้วนั่งลง เอียงศีรษะเล็กน้อยว่า “นางหนูน้อย เหตุใดศิษย์น้องเหอกวงถึงต้องตาเจ้าล่ะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตัก โคนหูแดงเรื่อ จากนั้นรู้ว่าตนคิดมากไปแล้ว แอบอารมณ์เสียว่าเหตุใดเมื่อเกี่ยวข้องกับเขา ตนก็จิตใจว้าวุ่น จึงรีบเอ่ยว่า “อาจารย์ท่าน…ท่าน…”

 

 

‘ท่าน’ อยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่ได้อะไรออกมา

 

 

นักพรตจื่อซีดูแล้วอายุเพียงแค่ยี่สิบเศษ ความจริงเป็นปีศาจเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว มีเรื่องอะไรที่ไม่เคยพบบ้าง การเปลี่ยนแปลงอันอัศจรรย์ของมั่วชิงเฉินนี้ย่อมปิดนางไม่มิด ไฟการซุบซิบในดวงตาก็ลุกโชนขึ้นมาทันที สีหน้าฉายแววครุ่นคิด

 

 

นางหนูนี่ดูแล้ว ดูเหมือนมีความคิดอื่นต่อศิษย์น้องเหอกวงนะ…

 

 

“เอาล่ะ ข้าไม่ได้มาสืบสวนเสียหน่อย นางหนูน้อยเจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเช่นนั้น เจ้าเพิ่งกลับเข้าสำนักก็บำเพ็ญเพียรเงียบๆ สักพักเถอะ ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอาจารย์เจ้าเกินไป คิดว่าอีกไม่นานเขาก็กลับมาแล้ว เท่านี้แหละ ข้ากลับก่อนแล้ว” นักพรตจื่อซียิ้มบางเบา เมื่อพูดจบก็เท้าเหยียบดอกบัวหยกบินไปทางป่าไผ่

 

 

“ท่านอาจารย์ลุงใหญ่…” มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น “ขวดหยกของท่าน”

 

 

นักพรตจื่อซีหันมาแย้มหนึ่งยิ้ม “เดิมทีข้าบังเอิญได้มาคิดจะมอบให้ศิษย์น้องเหอกวง ในเมื่อพักนี้เขาไม่อยู่ ก็มอบให้เจ้าแล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าปีนั้นยามที่เจ้ายังไม่ได้ลงเขา สุราของศิษย์น้องเหอกวงเจ้าเป็นคนหมักเองกับมือทั้งหมด ขวดหยกนี้ให้เจ้าก็นับว่าไม่เสียเปล่า ฮึ กลับเป็นศิษย์น้องเหอกวงสิก็ใจแคบเหลือเกิน ไม่ให้ข้ามาเยี่ยมก็ช่างเถอะ ของสุราเขาดื่มสักขวดก็ไม่ให้ สมน้ำหน้าที่ต้องไปลิ้มลองรสชาติการสำนึกผิด!”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบหัวเราะ นางกล้ายืนยัน ปกติอาจารย์ต้องเคารพรักอาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้อยู่ห่างๆ เป็นแน่ ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์ลุงใหญ่เคยทำอะไรไว้ถึงทำให้อาจารย์ที่เผชิญกับปัญหาก็ไม่เคยเกรงกลัวต้องกลัวถึงเพียงนี้

 

 

“เจ้าหัวเราะอะไร?” นักพรตจื่อซีขมวดคิ้ว

 

 

มั่วชิงเฉินเป็นคนหัวไวเพียงใด เห็นท่ารีบเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่เป็นกันเองเช่นนี้ อาจารย์ทำเช่นนี้แม้ศิษย์ไม่ควรพูดอะไรมาก กลับยินยอมแบ่งสุราทิพย์ที่หมักขึ้นมาใหม่ครึ่งหนึ่งมอบให้ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ลิ้มลอง หวังว่าท่านอาจารย์ลุงใหญ่จะไม่รังเกียจ หากดื่มแล้วรู้สึกดี ก็อย่ากล่าวโทษอาจารย์อีกเลย” พูดถึงตรงนี้ขยิบตาว่า “เดิมทีสุรานี้เตรียมไว้เพื่ออาจารย์…”

 

 

ได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วนักพรตจื่อซีหน้าตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โบกแขนเสื้อทีหนึ่งเก็บขวดน้ำเต้าสุราหลายใบที่มั่วชิงเฉินหยิบออกมา ดูเหมือนคิดอะไรขึ้นได้อีกว่า “ใช่แล้ว นางหนูน้อยเจ้าชื่ออะไรนะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ค่อยอยากเชื่อว่าอาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้ตั้งตาเร่งรุดมาเพื่อดูหน้าตาของตน กลับไม่รู้ชื่อของตน แต่ปากยังคงเอ่ยว่า “ชิงเฉิน ศิษย์ชื่อมั่วชิงเฉินเจ้าค่ะ”

 

 

“ชิงเฉิน? ก็เป็นชื่อที่ดี มีความหมายอะไรหรือไม่?” นักพรตจื่อซีถามเหมือนไม่ตั้งใจ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้คิดมาก หลุดปากออกมาว่า “ปีนั้นท่านผู้อาวุโสในตระกูลประทานชื่อให้ศิษย์ ถือเอาความหมายจากบทกลอน ‘สีสะอาดไม่เปื้อนฝุ่น แสงกระจ่างจันทร์นวลผ่อง’

 

 

“หึๆ นี้แม้มาจากกลอนของบุคคลต่างกันแต่ก็ไพเราะงดงามเหมือนๆ กันกับสมญาของศิษย์น้องเหอกวง มิน่าพวกเจ้ามีวาสนาได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน…” นักพรตจื่อซีเหยียบดอกบัวหยกบินไปไกล เหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะดุจกระพรวนเงิน

 

 

มั่วชิงเฉินเหลอหลาอยู่ที่เดิม รู้สึกเพียงว่าตกใจอกสั่นขวัญหาย นักพรตจื่อซีพูดเช่นนี้ตกลงมีความหมายอะไรกันแน่ เป็นการกระทำอันไม่ตั้งใจหรือว่าเจตนาหมายถึงสิ่งใด?

 

 

ชั่วเวลาหนึ่งนางรู้สึกเพียงว่าหน้าร้อนผ่าว วิ่งทะยานไปในน้ำตกหนาวเย็นด้านหลังเรือนไม้ไผ่ จนกระทั่งน้ำเย็นรดลงเหนือศีรษะ ถึงกลับคืนสู่ความสงบ

 

 

อีกด้านหนึ่ง นักพรตจื่อซีฮัมเพลงพลาง เท้าเหยียบดอกบัวบินอย่างเอื่อยเฉื่อย ทว่าทิศทางกลับไม่ใช่ยอดเขารองของตน กลับบินไปสู่ยอดเขาหลัก

 

 

ตำหนักในยอดเขาหลัก ผู้ชายเกล้าผมทรงนักพรตเต๋า ไว้หนวดยาว ดูแล้วอายุสามสิบกว่าปีนั่งอ้าซ่าพิงอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ มือถือขวดน้ำเต้าใบใหญ่ ดื่มสุราทีละอึกๆ สาวใช้สองคนคุกเขาอยู่ข้างๆ กำลังปอกองุ่นอยู่

 

 

นักพรตจื่อซีเข้าตำหนักเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ จึงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่วิ่งเข้าไป ดึงแขนเสื้อกว้างของผู้ชายเหมือนดั่งเด็กสาวแล้วเรียกอาจารย์เสียงหนึ่ง

 

 

ชายคนนี้ก็คือเจ้าหุบเขาแห่งเขาชิงมู่หลิวซางเจินจวิน

 

 

หลิวซางเจินจวินเห็นนักพรตจื่อซีเข้ามา จึงโบกแขนเสื้อ สาวใช้สองคนถอยออกไปเงียบๆ

 

 

“จื่อซี อาจารย์บอกกี่ครั้งแล้ว บัดนี้เจ้าก็อายุมากไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อย่าดึงแขนเสื้ออาจารย์ดังเช่นยามห้าขวบอีกจะได้หรือไม่?” หลิวซางเจินจวินลูบหนวดพลางเอ่ย

 

 

นักพรตจื่อซีแบะปากอย่างน้อยใจ “อาจารย์ ไม่ว่าจื่อซีจะอายุมากเพียงใดก็ยังเป็นศิษย์ของท่านนะเจ้าคะ หรือว่า ท่านรับศิษย์อีกห้าคนแล้วก็ไม่อยากได้จื่อซีแล้ว?”

 

 

หลิวซางเจินจวินหัวคิ้วกระตุก รู้สึกเสียใจภายหลังอีกครั้งที่ปีนั้นเลอะเลือนชั่วครู่รับศิษย์หญิงมาคนหนึ่ง จึงอดพูดด้วยความเห็นใจเต็มเปี่ยมไม่ได้ว่า “วันนี้เจ้าไปดูเด็กหญิงที่เหอกวงรับคนนั้นแล้ว? เป็นเช่นไร?”

 

 

“นางหนูน้อยนั่นดีทีเดียว สายตาศิษย์น้องเหอกวงไม่เลว” พูดถึงตรงนี้นักพรตจื่อซีได้สติกลับมา โมโหว่า “อาจารย์ นี่ท่านหมายความว่าเช่นไรเจ้าคะ!”

 

 

หลิวซางเจินจวินหัวเราะแห้งๆ สองเสียงว่า “ไม่เลวก็ดีแล้ว อีกสามวันในสำนักจะจัดพิธีฉลองเลื่อนขั้นให้อาจารย์ จะได้ดูศิษย์ของเหอกวงพอดี”

 

 

นักพรตจื่อซีชะงัก “อาจารย์ ท่านยอมจัดพิธีฉลองเลื่อนขั้นแล้วหรือเจ้าคะ?”

 

 

หลิวซางเจินจวินหัวเราะแหะๆ “แน่นอน ศิษย์พี่โส่วเต๋อจะหัวโบราณเพียงใด ก็ต้องดูว่าเวลาอะไรล่ะนะ”

 

 

ในสำนักที่ค่อนข้างอึกเกริกก็คือพิธีฉลองก่อแก่นปราณและพิธีฉลองก่อกำเนิด พิธีฉลองก่อแก่นปราณทั้งสำนักต้องเข้าร่วม หากคนในตระกูลของนักบำพ็ญเพียรคนนั้นยังอยู่ ก็จะเชื้อเชิญมาร่วมพิธีเช่นกัน พิธีฉลองก่อกำเนิดยิ่งอึกเกริกขึ้น ไม่เพียงฉลองพร้อมกันทั้งสำนัก ยังเชื้อเชิญนักบำเพ็ญเพียรสายเดียวกันร่วมพิธี นี่ก็เท่ากับเป็นการประกาศต่อทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ว่าสำนักนั้นๆ ได้กำเนิดนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดใหม่ขึ้นท่านหนึ่ง พลังความสามารถของสำนักก็เลื่อนทะยานสูงขึ้น

 

 

หลังจากนักบำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด การเลื่อนขั้นเล็กแต่ละขั้นล้วนลำบากแสนเข็ญ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่เขตแดนสูงกว่าเพียงขั้นเล็กๆ พลังความสามารถจะสูงกว่ามากมาย ดังนั้นการเลื่อนขั้นเล็กก็จะจัดพิธีฉลองเช่นกัน เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมทั้งสำนักก็ได้

 

 

หลิวซางเจินจวินจึงใช้เรื่องนี้เป็นเหตุ เรียกร้องให้ผู้เฒ่าไท่ซ่างปล่อยนักพรตเหอกวงออกมา มิเช่นนั้นขาดศิษย์เข้าร่วมพิธีไปคนหนึ่ง เขาก็ไม่จัดงานแล้ว

 

 

ก็เป็นเช่นนี้ หลิวซางเจินจวินและผู้เฒ่าไท่ซ่างโส่วเต๋อเจินจวินยื้อกันอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายจบลงด้วยการประนีประนอมของโส่วเต๋อเจินจวิน

 

 

“จื่อซี หลายปีมานี้อาจารย์กักตนตลอดมา หลังจากออกมาถึงรู้ว่าเหอกวงเลื่อนขั้นเข้าระยะกลางแล้ว เจ้ารู้มูลเหตุในนี้หรือไม่?” หลิวซางเจินจวินเปลี่ยนหัวข้อทันที

 

 

นักพรตจื่อซีส่ายศีรษะ “จื่อซีไม่ทราบ หลังจากเรื่องนั้นในปีนั้น ศิษย์น้องเหอกวงก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับศิษย์เจ้าค่ะ”

 

 

“เป็นเช่นนี้หรือ?” หลิวซางเจินจวินนิ้วมือเคาะขวดน้ำเต้าม่วงที่เป็นประกายแวววาว จู่ๆ ก็ถามว่า “เหตุใดเขาถึงคิดขึ้นได้ว่าจะรับศิษย์นะ?”

 

 

นักพรตจื่อซียังคงส่ายหน้า “เรื่องที่ศิษย์น้องเหอกวงรับศิษย์ ทำให้ศิษย์ในสำนักต่างตกใจกันถ้วนหน้า ที่พูดกันมากที่สุดก็คือเพราะว่าเด็กสาวคนนั้นอายุยี่สิบสองปีสร้างรากฐาน ศิษย์น้องเหอกวงจึงเกิดใจทะนุถนอมคนเก่งขึ้นมา”

 

 

หลิวซางเจินจวินแบะปาก “อายุยี่สิบสองปีสร้างรากฐานอย่าว่าแต่ที่เหยากวง ต่อให้มองไปทั่วทั้งดินแดนเทียนหยวน ก็เป็นอัจฉริยะแห่งยุค เพียงแต่เหอกวง เขาไม่ใช่คนให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้”

 

 

“อาจารย์ ท่านว่า…ศิษย์น้องเหอกวงสามารถเลื่อนขั้น เพราะปมในใจในปีนั้นแก้ออกแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?” นักพรตจื่อซีถามอย่างระมัดระวัง

 

 

หลิวซางเจินจวินถอนใจอย่างหายาก ศิษย์ของตนเอง เหตุใดถึงมีแต่คนมีปัญหานะ

 

 

“อาจารย์ ปีนั้นท่านพูดว่า รากวิญญาณ ความตระหนัก และนิสัยของศิษย์น้องเหอกวงล้วนเป็นขั้นสุดยอด เพียงแต่การบำเพ็ญเพียรราบรื่นเกินไป ขาดการฝึกตนในโลกฆราวาส เกรงว่ายากจะผ่านเคราะห์รักมิใช่หรือเจ้าคะ?” นักพรตจื่อซีถามอีก

 

 

หลิวซางเจินจวินสีหน้าจริงจังว่า “จื่อซี ตกลงเจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”

 

 

ท่าทางโคนหูแดงเรื่อของสาวน้อยผู้งดงามสดใสแวบผ่านสมองของนักพรตจื่อซี ปากกลับเอ่ยว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ ความหมายของจื่อซีคือ หลายปีมานี้ศิษย์น้องเหอกวงน้อยนักที่จะอยู่ในสำนัก ไปสถานที่ต่างๆ มาไม่น้อย ต่อมารับศิษย์ไว้อีก ไม่แน่ปมในใจนั่นอาจแก้ออกโดยไม่ทันรู้ตัวก็เป็นได้”

 

 

“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ” หลิวซางเจินจวินลูบหนวด สายตามองออกไปไกล

 

 

ยอดเขารองที่นักพรตเหอกวงแห่งเขาชิงมู่พำนักอยู่ สองวันนี้มั่วชิงเฉินนำสาวใช้สองคนปัดกวาดอย่างตั้งใจรอบหนึ่ง รอเก็บกวาดทุกอย่างอย่างเป็นระเบียบแล้ว ถึงเรียกเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเข้ามา ทดสอบรากวิญญาณของพวกนาง

 

 

ไม่คิดเลยว่าเมื่อได้ทดสอบก็เกิดประหลาดใจ พี่น้องสองคนล้วนมีสามรากวิญญาณ เพียงแต่เหลียงเฉินรากวิญญาณธาตุไฟในสามรากวิญญาณโดดเด่นเป็นพิเศษ เหม่ยจิ่งรากวิญญาณน้ำโดดเด่น

 

 

มั่วชิงเฉินอดเกิดความคิดขึ้นมาไม่ได้ เดิมทีรับพี่น้องคู่นี้ไว้ เพียงแค่คิดจะให้โอกาสรอดสายหนึ่งแก่พวกนาง ถึงเวลาคอยดูแลที่พำนักและเรื่องจิปาถะแทนตนเท่านั้น กลับไม่คิดว่ารากวิญญาณพวกนางยังนับว่าใช้ได้ อีกทั้งต่างมีส่วนที่โดดเด่นต่างกัน

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากฟูมฟักได้ดี ตนก็ไม่ต้องยุ่งยากเพราะตนไม่สะดวกเสกคาถาธาตุไฟต่อหน้าผู้อื่นและเสกคาถาธาตุน้ำได้ยากเพราะไม่มีรากวิญญาณน้ำแล้ว

 

 

“พวกเจ้ารอสักครู่” มั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืนคิดจะไปหอไผ่หาวิชายุทธ์ที่เหมาะกับพี่น้องสองสาว กลับต้องชะงักอยู่ตรงนั้น

 

 

ไม่ไกลนัก ไม่รู้มีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร ชุดเทาพลิ้วไหว ยืนอมยิ้มอยู่

 

 

 

 

——

 

 

[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง คือการใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด