พันธกานต์ปราณอัคคี 268 พบกันกลับไร้คำพูด

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 268 พบกันกลับไร้คำพูด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ที่เดินเข้ามาคือผู้บำเพ็ญเพียรมารทีมหนึ่ง ท่าทางประมาณสามสิบคน ผู้บำเพ็ญเพียรมารที่เป็นผู้นำมีตบะระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง

 

 

ทุกคนสีหน้าซีดเซียวลงรางๆ ไม่พูดถึงความแตกต่างของจำนวนคน ว่ากันด้วยบุคคลที่เป็นจุดศูนย์กลางเพียงอย่างเดียวเขตแดนก็ด้อยกว่าขั้นหนึ่ง ครั้งนี้สู้กันขึ้นมาแทบจะถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องพ่ายแพ้

 

 

มั่วชิงเฉินแอบมองไปที่เยี่ยเทียนหยวน สถานการณ์เช่นนี้ เขาควรรับมือเช่นไร?

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นเยียบ ห่วงสีแดงทองอันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ต่อจากนั้นกวาดสายตามองทุกคน

 

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นในสมองของมั่วชิงเฉิน “หนูสองตัวสู้กันในรู[1] ผู้กล้าหาญย่อมชนะ หากทุกท่านอยากมีชีวิตรอดกลับไป เช่นนั้นก็หยิบท่าไม้ตายออกมา รอข้าให้สัญญาณแล้วโจมตีพร้อมกัน”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรในทีมนี้ล้วนเป็นศิษย์หัวกะทิของพรรคเหยากวง สามารถเดินมาถึงวันนี้ได้ไม่มีสักคนที่จิตใจไม่เข้มแข็ง ได้ยินการส่งเสียงทางจิตของเยี่ยเทียนหยวนก็หาที่ยึดเหนี่ยวได้ทันที สีหน้าสิ้นหวังในทีแรกหายไปโดยสิ้น และซุ่มขึ้นมาตามที่เยี่ยเทียนหยวนสั่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารทีมนั้นยิ่งเดินยิ่งใกล้แล้ว พวกเขาพลางเดินพลางใช้จิตตระหนักหยั่งเชิงไปทั่ว เป็นทั้งการค้นหามุกเจ็ดสีและก็เป็นการค้นหาศัตรู ดูจากสถานการณ์แล้ว เห็นชัดว่าเป็นทีมย่อยที่มีประสบการณ์ทีเดียว

 

 

มั่วชิงเฉินสองมือกุมระเบิดสะท้านฟ้าไว้แน่น เก็บงำกลิ่นอายจ้องตรงไปข้างหน้าไม่กระดุกกระดิก ตั้งแต่ที่นางได้วิชาเก็บงำกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรนิกายอั้นหลัว คิดในใจว่าในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีทางถูกพบ เสียดายที่อยู่เป็นหมู่คณะ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสนใจแต่ตนเอง

 

 

เห็นท่าทางผู้บำเพ็ญเพียรมารทีมนี้ มั่วชิงเฉินแอบกังวลว่าทางด้านตนจะถูกพบก่อน เช่นนั้นการทุบหม้อจมเรือ[2]ของเยี่ยเทียนหยวนก็ต้องเสียเปล่าแล้ว

 

 

เยี่ยเทียนหยวนไม่รู้ความกังวลของมั่วชิงเฉิน เขาตามองตรงไปข้างหน้ามือกลับจีบเคล็ดวิชานิ้วอย่างเร็วตีไปที่สมบัติวิเศษกระดานหมากรุก กระดานหมากรุกมืดมนลงทันที ในชั่วพริบตา กลิ่นอายมืดมนสายนี้ขยายใหญ่ขึ้นโดยพลันแล้วคลุมทุกคนไว้ภายใน ความปั่นป่วนของพลังวิญญาณรอบกายของบำเพ็ญเพียรบางคนที่วิชาเก็บงำกลิ่นอายไม่เก่งถูกบดบังลงทันที

 

 

มั่วชิงเฉินแอบตะลึงกับฝีมือของเยี่ยเทียนหยวน เมื่อคิดดูอีกทีบัดนี้เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว อีกทั้งเชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ต่างกรรมต่างวาระย่อมนำมาเปรียบเทียบไม่ได้แล้ว

 

 

ทุกคนตั้งสมาธิกลั้นใจ จ้องอีกฝ่ายที่ยิ่งเดินยิ่งใกล้เข้ามาเขม็ง รอถึงยามที่ทั้งสองฝ่ายห่างกันไม่ถึงสามจั้งไม่คิดเลยว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารทีมนั้นก็ยังไม่พบเงื่อนงำใดๆ

 

 

ในเวลานี้เองในสมองผู้บำเพ็ญเพียรเหยากวงได้ยินเสียงเยี่ยเทียนหยวนขึ้นพร้อมกัน “จู่โจม!”

 

 

พรรคเหยากวงแต่ไหนแต่เรามาสนับสนุนนโยบายการเลี้ยงระบบเปิด ต่อให้เป็นศิษย์อัจฉริยะก็จะไม่เลี้ยงอย่างทะนุถนอมเหมือนดอกไม้ในห้องกระจกเพราะกลัวตาย หากแต่ปล่อยให้พวกเขาเข้าร่วมการทดสอบ ออกไปท่องเที่ยวฝึกตน ดังนั้นศิษย์ที่สามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ปลายได้ ประสบการณ์การสู้รบล้นหลามแทบจะทุกคน สิ่งที่พวกเขาขาดแคลนมากที่สุดในยามนี้ก็คือการปรับตัวให้เข้ากับแดนวิญญาณปั่นป่วน

 

 

การซุ่มโจมตีเช่นนี้ ไม่ต้องให้เยี่ยเทียนหยวนสั่งทุกคนก็เข้าใจว่าวิธีการจู่โจมระลอกแรกคือการใช้ยันต์แน่นอน ดังนั้นฟังเขาพูดจบทุกคนล้วนโยนยันต์ที่มีในตัวออกไปจนหมด

 

 

การทำให้ยันต์ระเบิดใช้พลังวิญญาณเพียงน้อยนิด อานุภาพเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับจำนวนของยันต์ และทุกคนเพิ่งก้าวเข้าหุบเขาลั่วเยี่ยน ยังคงร่ำรวยอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

ยันต์นับไม่ถ้วนผสมปนเปกับระเบิดสะท้านฟ้าของมั่วชิงเฉินโยนออกไปพร้อมกัน เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น

 

 

มั่วชิงเฉินดวงตาสุกใส แม้ยามนี้ควันหนาโขมงกลับสามารถเห็นสถานการณ์อีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

 

 

นี่คือการจู่โจมอย่างไม่ให้ตั้งตัว อีกฝ่ายมีผู้บำเพ็ญเพียรมารสามคนถูกระเบิดจนเลือดเนื้อกระจายโดยตรง อีกห้าคนได้รับบาดเจ็บล้มลงพื้นกระเสือกกระสนไม่หยุด

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารที่ได้รับบาดเจ็บห้าคนนั้นแม้ตบะนับว่าค่อนข้างต่ำในคนกลุ่มนั้น ประสบการณ์การสู้รบกลับไม่น้อย หลังจากได้รับบาดเจ็บด้วยสัญชาตญาณหลังจากร่างกายกลิ้งสองสามรอบก็รีบนั่งขึ้นมาทันที แล้วล้วงโอสถออกมาหมายทำการรักษา

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากแน่น ล้วงระเบิดสะท้านฟ้าออกมาสองสามลูกเล็งไปที่ทิศทางของห้าคนนั้นแล้วโยนข้ามไป

 

 

ควันกรุ่นเสียงดังและความสั่นสะเทือนยังไม่จางไป ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นจนหูแทบแตก ในนั้นปะปนไปด้วยเสียงร้องอย่างอนาถของอีกฝ่ายรางๆ

 

 

ทั้งหมดนี้พูดแล้วยืดยาวความจริงก็เกิดขึ้นแค่ชั่วอึดใจ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณของอีกฝ่ายอัญเชิญสมบัติวิเศษจู่โจมโรมรันอยู่กับเยี่ยเทียนหยวนแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินมือถือกริชซ่อนวิญญาณที่ได้มาจากผู้บำเพ็ญเพียรนิกายอั้นหลัว มือขึ้นมีดลงจัดการผู้บำเพ็ญเพียรไปหนึ่งคน

 

 

ควันหนาค่อยๆ จางหายไป ทั้งสองฝ่ายสู้กันอีนุงตุงนังไปหมด

 

 

เพราะลงมือก่อนได้เปรียบอีกฝ่ายสูญเสียไปแล้วแปดเก้าคน เมื่อเป็นเช่นนี้จำนวนคนของทั้งสองฝ่ายกลับไม่ต่างกันเท่าไรแล้ว ส่วนทางด้านศิษย์เหยากวงนี้เพราะการซุ่มโจมตีได้ผลขวัญกำลังใจยิ่งฮึกเหิม ลงมือยิ่งอำมหิตขึ้น แม้ได้รับผลกระทบจากแดนวิญญาณปั่นป่วนไม่สามารถใช้พลังความสามารถได้เต็มที่ สภาพการรบโดยรวมกลับไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง

 

 

คู่ต่อสู้ของมั่วชิงเฉินคือผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่ง ประมือกันขึ้นมาถึงพบว่าพลังความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียรมารเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าระดับเดียวกันแล้วสูงกว่าขั้นหนึ่งตามคาด ดีที่นางประสบการณ์สู้รบค่อนข้างล้นหลาม ในเวลาเช่นนี้ไม่ทันได้ซ่อนคม ใช้เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ดึงอีกฝ่ายไว้ก่อน ค่อยฉวยโอกาสยามที่อีกฝ่ายรับมืออย่างใจจดใจจ่อร่ายเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา จู่โจมไปที่จิตตระหนักของอีกฝ่ายอย่างดุดัน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานระยะปลายผู้นั้นไม่คิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่สู้อยู่กับเขาจะมีฝีมือการโจมตีจิตตระหนัก จึงตั้งตัวไม่ทันถูกซัดเข้าเต็มๆ ดวงจิตที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกในสมองได้รับบาดเจ็บทันที ร้องอย่างอนาถเสียงหนึ่งแล้วโซซัดโซเซ

 

 

มั่วชิงเฉินจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปได้อย่างไร รีบยกกระบี่ชิงมู่แทงไปที่อีกฝ่ายทันที เสียงสวบเสียงหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นก็ถูกแทงทะลุหัวใจ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสู้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน แพ้ชนะที่จริงก็เกิดขึ้นในชั่วอึดใจ มั่วชิงเฉินจัดการผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนี้เสร็จ ก็มองพิจารณาไป พบว่าการรบของคนไม่น้อยมาถึงช่วงท้ายแล้ว

 

 

ทั้งสองฝ่ายล้วนมีแพ้มีชนะ

 

 

มั่วชิงเฉินจู่โจมใส่ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานระยะปลายที่กำลังสู้อยู่กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่งของฝ่ายตนอย่างไม่ลังเล

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นเห็นมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายอีกคนหนึ่งจู่โจมมาที่เขา จึงแสร้งจู่โจมแล้วใช้วิชาล่องหนหนีไปอย่างไม่คาดคิด

 

 

มั่วชิงเฉินสบตากับผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายตนปราดหนึ่ง พยักหน้าแล้วล้อมไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนอื่น

 

 

ในยามนี้เองอาวุธมารในมือของผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณที่สู้อยู่กับเยี่ยเทียนหยวนจู่ๆ ก็กวาดมาทางนี้ แสงมารสีดำสายหนึ่งฟาดมา มั่วชิงเฉินรีบหลบไปข้างๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายอีกคนหนึ่งกลับกวาดถูกไหล่

 

 

แล้วก็เห็นไหล่ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนนั้นดำเป็นปื้นในทันใด เพียงชั่วครู่ก็ฟอนเฟะไปครึ่งหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง

 

 

ต้วนชิงเกอเพิ่งจัดการคู่ต่อสู้เสร็จเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เข้า รีบเร่งรุดมาปากตะโกนว่า “อย่าขยับ ข้าจะรักษาให้” พูดพลางมีดหมออันคมกริบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ มือขึ้นมีดลงตัดไหล่อีกฝ่ายทิ้งไป จากนั้นสาดผงสีขาวตรงที่แขนขาด แล้วพันแผลขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี มองไปทางเยี่ยเทียนหยวน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นไม่นาน ยามนี้สามารถสู้กันอย่างกินกันไม่ลงกับผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางคนหนึ่งก็ถือว่าหายากแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินโกรธเคืองที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนี้จู่ๆ ลงมือทำให้ศิษย์พี่คนหนึ่งต้องแขนขาด อีกทั้งเห็นเยี่ยเทียนหยวนกินกันไม่ลงกับคนคนนั้น ห่วงว่าเวลานานเข้าจะรับมือไม่ไหว เพ่งจิตในมือปรากฏตะกร้าไม้ไผ่เล็กขึ้นใบหนึ่ง ข้างในใส่ระเบิดสะท้านฟ้าไว้เต็มตะกร้าอย่างคาดไม่ถึง

 

 

“ไป!” มั่วชิงเฉินตะโกนเสียงใสเสียงหนึ่งแล้วโยนตะกร้าระเบิดสะท้านฟ้าข้ามไป

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณคนนั้นเดิมทีก็หงุดหงิดที่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าระดับก่อแก่นปราณระยะต้นคนหนึ่งมัดมือมัดเท้าไว้ หางตากวาดเห็นของสิ่งหนึ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทางนั้นโยนมา สมาธิยังอยู่ที่เยี่ยเทียนหยวนนี่ เพียงแต่สะบัดแขนเสื้อกระพือแสงคลื่นสีดำวงหนึ่งออกต้าน

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากยิ้มเยาะ ในใจแอบนับว่า “หนึ่ง สอง สาม…

 

 

เลข ‘สาม’ เพิ่งนับจบระเบิดสะท้านฟ้าเต็มตะกร้าก็ระเบิดขึ้นดังโครม ร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณโซไปเซมา แม้ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่สมบัติวิเศษป้องกันกลับแตกร้าวเพราะรับพลังมหาศาลนี้ไว้

 

 

เยี่ยเทียนหยวนฉวยโอกาสนี้โคจรพลังวิญญาณทั่วร่างเร่งห่วงสีแดงทอง ฉวยโอกาสช่วงที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนั้นตกใจอยู่ครอบไปบนคอของเขา ต่อจากนั้นก็เห็นห่วงสีแดงทองจู่ๆ แตกจากหนึ่งเป็นเก้า ห่วงแปดอันที่เพิ่มขึ้นมาว่ายเวียนไปที่ต่างๆ ทั่วร่างกายของเขาราวกับมีชีวิต ต่อจากนั้นยิ่งหดยิ่งเล็ก หดถึงสุดท้ายส่วนต่างๆ ของร่างกายผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นขาดออกจากกันทันที เลือดสาดกระจาย

 

 

มั่วชิงเฉินแอบตกใจจนพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าฝีมือการโจมตีของเยี่ยเทียนหยวนจะโหดเ**้ยมถึงเพียงนี้

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายตนเห็นดังนั้นโห่ร้องขึ้นในทัน ผู้บำเพ็ญเพียรมารที่เหลือไม่กี่คนต่างมองหน้ากัน แล้วหันหลังหนีอย่างใจตรงกัน

 

 

ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานระยะต้นได้หนึ่งคนจะได้รางวัลหินวิญญาณหนึ่งพันก้อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในนี้ยังมีระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ระยะปลาย ศิษย์เหยากวงสองสามคนได้ทีรีบไล่ตามไปทันที

 

 

มั่วชิงเฉินเผยอปากแล้วเผยออีก อย่าไล่สุนัขจนตรอก!

 

 

ที่จริงเต๋ามารสองฝ่ายในหุบเขาลั่วสยาต่างไม่ยอมกัน เป้าหมายที่สำคัญที่สุดยังคงเพื่อมุกเจ็ดสีนั่น ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรอีกฝ่ายไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย

 

 

บัดนี้แม้ฝ่ายตนชนะ ผู้บำเพ็ญเพียรที่ดับสูญยังไม่ทันได้นับ คนที่บาดเจ็บมองไปก็มีหลายคน ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่ได้รับบาดเจ็บพลังวิญญาณในกายก็คงเหลือไม่มากแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้การสู้ต่อไปไม่ใช่ทางเลือกที่ดี

 

 

เป็นไปตามคาดแล้วก็ได้ยินเยี่ยเทียนหยวนตะคอกว่า “กลับมา!”

 

 

ความโลภบดบังใจคน ในบรรดาศิษย์ไม่กี่คนนั้นมีคนหนึ่งเท้าชะงักทีหนึ่ง ที่เหลือสามคนกลับไม่หยุดฝีเท้าไล่ตามไปข้างหน้า

 

 

ยังสามารถมองเห็นเงาร่างของสามคนนั้น ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างอนาถดังมา ผู้บำเพ็ญเพียรที่หยุดเท้าทีหนึ่งในตอนแรกหันหลังแล้วก็วิ่งกลับมา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหน้าเปลี่ยนสี กระโดดรุดขึ้นไป

 

 

“ชิงเกอ เจ้าดูแลพวกศิษย์พี่น้องที่บาดเจ็บ ศิษย์พี่น้องที่เหลือตามข้ามา” มั่วชิงเฉินพูดพลางรีบตามขึ้นไป แล้วก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

 

 

“เอ่อ เจ้าหน้าไม่คุ้นเลยนี่นา เอ๊ะ ไม่คิดว่าเจ้าจะฆ่าขุนพลเซียว?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสายตาเป็นประกาย มองเยี่ยเทียนหยวนตาไม่กะพริบ

 

 

มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตัก จ้องผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานที่อยู่ข้างหลังนางตาไม่กะพริบ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นั้นงามมาก คำพูดที่ว่างามเย้ายวนหาผู้ใดเปรียบได้ยากดูเหมือนมีขึ้นเพื่อนางก็ไม่ปาน

 

 

นางท่อนบนใส่เสื้อผ้าบางสีแดง ท่อนล่างสวมกระโปรงสีแดงทับทิม หน้าอกที่ชูชันเผยให้เห็นผิวขาวเนียนดุจหิมะ เอวคาดสายคาดเอวสีดำกว้างสามนิ้ว ขับให้เอวดูอ่อนช้อยดุจผ้าไหม อ้อนแอ้นอรชร

 

 

นางแต่งตัวสะดุดสายตาผู้คนเช่นนี้ แต่ดันสีหน้าเย่อหยิ่ง สายตาที่กวาดผ่านทางนี้เผยให้เห็นถึงความดูแคลนโดยไม่ตั้งใจ ไม่มีความรู้สึกหยิบหย่งแม้แต่น้อย

 

 

มั่วชิงเฉินอ้าปากแล้วอ้าปากอีก กลับไม่ได้เปล่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย

 

 

นางถูกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้ดึงดูดสายตา แน่นอนไม่ใช่เพราะความงามของนาง หากแต่เพราะ… นางคือมั่วหร่านอี!

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เป็นผู้นำของอีกฝ่ายมีตบะระดับก่อแก่นปราณระยะกลางเช่นกัน ผู้บำเพ็ญเพียรของทางด้านเหยากวงนี้เห็นแล้วความผิดหวังเอ่อขึ้นหน้า พวกเขาไม่สามารถโน้มน้าวให้ตนเองเชื่อว่าบัดนี้ยังสามารถสู้ชนะผู้บำเพ็ญเพียรมารที่มาใหม่ชุดนี้ได้จริงๆ พวกเขาทำไม่ได้ นักพรตลั่วหยางก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน!

 

 

กลับไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีกฝ่ายต้องการอะไร ไม่ลงเสียที หลังจากพูดนอกเรื่องสองสามประโยคแล้วพูดกับเยี่ยเทียนหยวนว่า “เฮ้ย เจ้าชื่ออะไร?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสายตาเย็นชา เอ่ยนิ่งเรียบว่า “จะพูดมากไปไย ลงมือเถอะ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนั่นหัวเราะฟู่ว่า “เจ้าเด็กคนนี้นี่ช่างน่าเบื่อจริง จะฆ่าแกงกันไปไย วันนี้เจ้าฆ่าขุนพลเซียวนั่นพี่สาวรู้สึกสะใจยิ่งนัก เจ้าว่าเราก็ถือเสียว่าไม่มีใครเห็นใครทั้งนั้นเป็นเช่นไร?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนชะงักงัน จากนั้นพยักหน้า พาคนของเหยากวงเดินไปอีกทางหนึ่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

ยามที่มั่วชิงเฉินสวนกับมั่วหร่านอี จู่ๆ มั่วหร่านอีก็ยกตามองมาที่นาง

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] หนูสองตัวสู้กันในรู  หมายถึง เหตุการณ์เมื่อดำเนินมาถึงจุดแตกหักที่ไม่อาจหลบหลีกได้อีกแล้ว ต้องอาศัยความกล้าหาญชาญชัยเท่านั้น เพื่อให้ชนะและอยู่รอดได้

 

 

[2] ทุบหม้อจมเรือ  หมายถึง ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด