พันธกานต์ปราณอัคคี 280 พบกันต่างรังเกียจกัน

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 280 พบกันต่างรังเกียจกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

มั่วชิงเฉินมองทิศทางที่อูเย่ว์จากไป กำมือแน่น จากนั้นแบมือออกเพ่งพิศขวดหยก

 

 

ในนี้ใส่โอสถอะไรไว้นะ?

 

 

ดึงจุกขวดออกเทโอสถออกมาเม็ดหนึ่ง แล้วอดร้องเอ๊ะไม่ได้ ไม่คิดว่าโอสถนี้จะเป็นสีเขียวอ่อน โอสถสีนี้กลับไม่ค่อยเคยเห็น

 

 

เพ่งพิศอย่างละเอียดรอบหนึ่ง มั่วชิงเฉินใช้เล็บนิ้วก้อยปาดผงเล็กน้อยเข้าปาก ลองชิมอย่างตั้งใจ แล้วพึมพำว่า “มีรสชาติของหญ้าชิงซิ่ง…หญ้าชิงซิ่งมีฤทธิ์แรง เน้นทะลวง ด้วยการศึกษาด้านโอสถมาหลายสิบปีของตน ไม่คิดว่าจะไม่เคยได้ยินโอสถนี้มาก่อน ตกลงมีฤทธิ์อะไรกันแน่นะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินถูกเกี่ยวความอยากรู้อยากเห็นในฐานะนักหลอมโอสถขึ้นมา มองโอสถสีเขียวอ่อนในมือคิดๆ ดูแล้ว กัดฟันโยนเข้าปากไป

 

 

ในเมื่อยายแก่นั่นหวังร่างกายของตน คิดว่าก็คงไม่ทำร้ายตนตั้งแต่ยามนี้ นางยังบีบด้วยชีวิตของเยี่ยเทียนหยวน โอสถนี้อย่างไรเสียก็ต้องกิน

 

 

เมื่อโอสถเข้าปาก ก็กลายเป็นของเหลวขมฝาดไหลเข้าท้อง จากนั้นความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสก็จู่โจมเข้ามา

 

 

มั่วชิงเฉินเจ็บจนตัวสั่น รีบใช้พลังวิญญาณยับยั้ง ฤทธิ์ยานั้นดุจพายุงวงช้างฉีกพลังวิญญาณจนกระจุย ความเจ็บปวดที่ยิ่งรุนแรงขึ้นถาโถมเข้าใส่

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นไหลลงมาแล้ว ฝืนใช้พลังวิญญาณระงับหลายครั้ง กลับพบว่ายิ่งระงับความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรง ถึงสุดท้ายในที่สุดก็กดไม่ไหวล้มลงกับพื้น ปล่อยให้ฤทธิ์ยานั้นแผลงฤทธิ์อยู่ภายในกาย ความรู้สึกเจ็บปวดถึงทุเลาขึ้นเล็กน้อย

 

 

นางเพิ่งถอนใจด้วยความโล่งอก ต่อจากนั้นร่างกายกลับแข็งเกร็งทันที ฤทธิ์ยาที่โอนอ่อนลงมาเล็กน้อยถึงตันเถียนก็อาละวาดอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา จากนั้นทะลวงออกจากตันเถียน พุ่งตรงสู่ชีพจรทั้งแปด

 

 

เส้นชีพจรพองขึ้นอย่างช้าๆ ภายใต้การทึ้งของฤทธิ์ยาก้อนหนึ่ง ยามที่พองถึงขีดสุดขาดออกจากกันดังเปรี๊ยะๆ ฤทธิ์ยานั้นกลับไม่ยอมเลิกรา กระชากเลือดเนื้อขยายสู่ด้านนอกต่อ ส่วนเส้นชีพจรที่ขาดออกจากกันในตอนแรกติดเข้าด้วยกันอีกครั้งแล้วขยายออกต่อ จากนั้นขาดอีก แล้วสงบลงอีก

 

 

มั่วชิงเฉินปวดจนลงไปเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น เสื้อผ้าเปียกโชกเพราะเหงื่อเย็นไปนานแล้ว

 

 

“ยาย…ยายแก่บ้า…” มั่วชิงเฉินด่าอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

 

 

เคยประสบความทุกข์ทรมานจากการเฆี่ยนด้วยแส้เทพมาก่อน นั่นคือขีดสุดของความเจ็บปวดทางจิตวิญญาณ เดิมทีนางนึกว่าความเจ็บปวดทางร่างเนื้อรวมทั้งความเจ็บปวดจากการเลื่อนขั้นนั้นไม่เท่าไรแล้ว ความทนทานของตนต่อความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นอย่างมากแล้ว ทว่าความเจ็บปวดในยามนี้กลับบอกนางอย่างชัดเจนว่า อะไรคือขีดสุดของความเจ็บปวดของร่างเนื้อ

 

 

“ทีนี้…ทีนี้ครบถ้วนแล้ว…” มั่วชิงเฉินยิ้มระทมทีหนึ่ง ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้

 

 

อูเย่ว์เก็บจิตตระหนักที่ปกคลุมอยู่ในถ้ำช้าๆ พูดเองเออเองว่า “ไม่คิดว่านางหนูจะมีความอดทนเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเพราะสภาพร่างกายต่างจากคนทั่วไป หรือว่าความอดทนเป็นเลิศ หึๆ นี่ช่างเป็นความยินดีที่เหนือความคาดหมายจริงๆ ความอดทนนางยิ่งสูง ก็ยิ่งดูดซับฤทธิ์ยาของโอสถถลกหนังได้ดี ดีไม่ดีแผนการของตนยังสามารถเลื่อนขึ้นล่วงหน้าเสียหน่อยได้”

 

 

ที่จริงโอสถถลกหนังก็คืออีกชื่อหนึ่งของโอสถขยายชีพจร โอสถขยายชีพจรเป็นโอสถที่สามารถฝืนขยายชีพจรของผู้บำเพ็ญเพียรได้ชนิดหนึ่ง เพียงเพราะยามที่โอสถออกฤทธิ์จะต้องลิ้มรสชาติความเจ็บปวดทรมานผิดมนุษย์ เสมือนถลกหนังออกมาชั้นหนึ่งก็ไม่ปาน จึงเรียกอีกว่าโอสถถลกหนัง แน่นอนก็แฝงความนัยของการถลกหนังเปลี่ยนกระดูกไว้ด้วย

 

 

โอสถขยายชีพจรนั้นหายากยิ่ง จัดเป็นโอสถนอกรีต เพราะอย่างไรเสียงฝืนขยายชีพจรของผู้บำเพ็ญเพียรไม่ต่างอะไรกับการดึงต้นกล้าให้โต[1]ผู้บำเพ็ญเพียรที่ทนความเจ็บปวดไม่ไหวบางคนถึงกับจิตใจพังทลายสูญเสียสติสัมปชัญญะนับจากนั้น นี่เป็นเรื่องที่ไม่สนับสนุนให้ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าที่ให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญเพียรสภาพจิตใจทำ

 

 

แต่อูเย่ว์กลับแตกต่างกันอีก เดิมทีนางก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อกำเนิดตกลงถึงตบะระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ หลังจากฝืนดึงตบะของมั่วชิงเฉินขึ้นมาแล้วชิงเปลือก ไม่ต้องห่วงปัญหาเรื่องสภาพจิตใจโดยสิ้นเชิง อีกอย่าง การกำหนดนิยามของสภาพจิตใจของผู้บำเพ็ญเพียรมารและผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าเดิมก็ต่างกันอยู่แล้ว

 

 

บัดนี้สิ่งที่นางใส่ใจที่สุด ก็คือทำเช่นไรให้มั่วชิงเฉินเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณให้เร็วที่สุด!

 

 

อูเย่ว์กวาดมองถ้ำอีกปราดหนึ่ง แล้วหันหลังช้าๆ เดินกลับที่พัก มองหนอนแมงป่องเต็มห้องแล้วยิ้มอย่างพอใจ

 

 

มั่วชิงเฉินปวดอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืนเต็มๆ คลื่นความเจ็บปวดเช่นนี้ในที่สุดก็หายไป นางเหมือนถูกล้วงขึ้นมาจากน้ำก็ไม่ปานนอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ในตัวไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย พยายามยกมืออย่างสุดความสามารถ ปลายนิ้วสั่นไม่หยุด แขนกลับห้อยลงมาอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

 

 

หลับตาลงทีหนึ่งแล้วลืมขึ้นอีก เอ่ยอย่างหมดแรงว่า “ช่างเถอะ ก็นอนอยู่เช่นนี้แล้วกัน…”

 

 

“อู๋เย่ว์ ไยเจ้าดันต้องมาเลื่อนขั้นเอายามนี้ด้วยนะ?” มั่วชิงเฉินนอนไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบสองวัน แล้วเอ่ยอย่างจำใจว่า

 

 

อู๋เย่ว์ตั้งแต่กินตาของคางคกสีดำระหว่างทางมาสำนักลั่วสยา ก็เข้าสู่คอขวดของการเลื่อนขั้น ตั้งแต่เข้าไปในถุงอสูรวิญญาณเมื่อหลายเดือนก่อน ถึงบัดนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ไม่รู้ว่าการเลื่อนขั้นเป็นเช่นไรบ้าง

 

 

ปกติกลับไม่รู้สึกอะไร ยามที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ไม่ว่าอะไรก็ทำไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ มีอีกาเช่นนั้นคอยคุยเป็นเพื่อน เวลายังสามารถผ่านไปได้เร็วหน่อย

 

 

ดีที่มั่วชิงเฉินไม่ใช่แม่นางน้อยอายุสิบกว่าขวบนานแล้ว ผ่านการฝึกตนมามากถึงเพียงนี้ ไม่พูดถึงอย่างอื่น ความสามารถในการอดทนกับความเหงายังคงมีอยู่ ร่างกายขยับไม่ได้ ในด้านจิตใจกลับฟื้นฟูเป็นปกติแล้ว จึงฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาขึ้นมา

 

 

โอสถที่อูเย่ว์ให้นางมีทั้งหมดสิบสองเม็ด หากเดือนหนึ่งกินเม็ดหนึ่งละก็ เมื่อกินหมดเวลาก็ผ่านไปหนึ่งปีพอดี

 

 

มั่วชิงเฉินอยู่ในถ้ำภูเขามืดมนตามลำพัง ทุกเดือนต้องประสบกับการทรมานผิดมนุษย์หนึ่งครั้ง หลังจากความเจ็บปวดผ่านไปก็นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรต่อ ที่คอยอยู่เป็นเพื่อนนาง มีเพียงค้างคาวหลายสิบตัวที่ละเลยการมีอยู่ของนางมานานแล้ว

 

 

เจ็ดสนามรบใหญ่ มีอีกสองที่ที่หามุกเจ็ดสีพบ เต๋ามารต่างฝ่ายต่างได้หนึ่งเม็ด บัดนี้สนามรบเหลือเพียงสามที่ แยกเป็นเขาอู๋ฉยง แม่น้ำทรายแดงและหุบเขาลั่วเยี่ยน

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ การช่วงชิงของสนามรบทั้งสามจึงยิ่งดุเดือดขึ้น และผู้บำเพ็ญเพียรที่ความสามารถโดดเด่นบางส่วนก็แสดงความโดดเด่นออกมาแล้ว

 

 

ยกตัวอย่างทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าเช่นเซียนน้ำแข็งมั่วเฟยเยียน มั่วหลีลั่วที่เชี่ยวชาญค่ายกล ต้วนชิงเกอที่ฝีมือการแพทย์โดดเด่น และยังมีสวี่เซี่ยวถันที่มีรากวิญญาณฟ้าธาตุทองเป็นต้นต่างเปล่งรัศมีในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน

 

 

ส่วนด้านผู้บำเพ็ญเพียรมารนั้น บัดนี้ชื่อเสียงกำลังโดดเด่นมีมั่วหร่านอี อู๋เฉิงหมิงเป็นต้น ยังมีอีกคนที่เป็นบุคคลที่ทุกคนจับตามอง เขาก็คือ… ฮวาเชียนซู่

 

 

ที่ฮวาเชียนซู่เป็นที่เลื่องชื่อ ไม่เพียงเพราะเขาอายุน้อยๆ ก็มีตบะระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า กลับเป็นรูปโฉมที่งามสง่าไร้เทียมทานนั้น ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว แม้แต่ศิษย์หญิงทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าไม่น้อย ก็ยากจะข่มใจไม่ให้แอบเต้นได้

 

 

ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ เดิมทีทั้งสองฝ่ายก็มีไม่มากอยู่แล้ว ที่ความสามารถพอโดดเด่นสักหน่อยหรือมีจุดเด่นสักหน่อยล้วนเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างอยู่แล้ว ในนี้คนที่ได้รับความสนใจที่สุดก็คือนักพรตเหอกวงและนักพรตลั่วหยาง ต่อให้นักพรตลั่วหยางหายสาบสูญไร้ร่องรอย นักพรตเหอกวงก็ไม่ได้ปรากฏตัวมานานหลายเดือนแล้วก็ตาม

 

 

แดนไท่เป๋าข้างทะเลสาบเชียนฉง

 

 

ชายชุดดำคนหนึ่งยืนเด่นเป็นสง่า มองผิวทะเลสาบที่ราบเรียบไร้คลื่น

 

 

ทะเลสาบเชียนฉงนี้เกิดจากน้ำของแม่น้ำทรายแดงรวมตัวกัน น้ำในทะเลสาบไม่ใช่สีฟ้าอมเขียวที่เห็นได้บ่อยๆ หากแต่เป็นสีแดง ต่อให้ยามนี้ไม่มีระลอกคลื่นสักสาย ดูแล้วก็ทำให้หวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่ดี

 

 

หญิงสาวชุดแดงคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล เดินก้าวใหญ่ชายกระโปรงปลิวว่อน สีแดงสดใสท่ามกลางการขับของน้ำทะเลสาบเชียนฉงยิ่งดึงดูดสายตา ตรงกันข้ามกลับกดพลานุภาพของน้ำสีแดงทั้งทะเลสาบลงไป

 

 

ได้ยินความเคลื่อนไหว ชายชุดดำหันหน้ามา ใบหน้าหมดจดขาวสะอาด นัยน์ตาดำสว่างเป็นพิเศษ ส่องประกายแห่งความเฉลียวฉลาด คิดไม่ถึงว่าก็คือหลัวอวี้เฉิงที่เงียบไม่มีข่าวคราวในศึกเต๋ามาร บัดนี้เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์แล้ว

 

 

มั่วหร่านอีขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เชิดคางสูงว่า “พูดมาเถอะ ตามข้ามามีเรื่องอันใด?” ความรำคาญในน้ำเสียงสายนั้นก็ขี้เกียจแม้แต่จะปิดบัง

 

 

หลัวอวี้เฉิงสายตาส่องประกายเล็กน้อย ฉายแววเย้ยหยันที่เห็นเป็นประจำ นี่ก็คือคู่หมั้นของเขา สาวงามอันดับหนึ่งแห่งแดนไท่เป๋า คนอื่นพูดถึงแล้วล้วนสาดสายตาแห่งความอิจฉามา กลับไม่รู้ว่าทุกครั้งที่ทั้งสองคนพบหน้ากัน ต่างเคารพกันดุจน้ำแข็ง เอ่อ ผิดแล้ว แม้แต่คำว่า ‘เคารพ’ ก็เป็นส่วนเกิน

 

 

นึกถึงตรงนี้จู่ๆ ในสมองเขาก็มีเงาสีเขียวเงาหนึ่งวาบผ่าน นางไม่เคยอ่อนโยนโอนอ่อนเหมือนหญิงสาวคนอื่น ทว่าระหว่างที่หัวเราะอย่างดีใจหรือด่าด้วยความโกรธกลับยากจะปิดบังความเฉลียวฉลาด ยิ่งไม่มีทางดูแคลนคนอื่นจากส่วนลึก ต่อให้เผชิญหน้ากับคนป่ากลุ่มหนึ่งก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

 

 

นางสอนพวกเขารู้จักหนังสือ สอนพวกเขาแยกแยะสมุนไพร สอนพวกเขาหมักสัตว์ที่ล่ามาได้ กระทั่งสอนพวกเขาสานตะกร้าไม้ไผ่ จี่เซาปิ่ง…

 

 

หลัวอวี้เฉิงตกใจ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนคิดไปไกลแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากนั้นจางลงอย่างไม่รู้สึกตัว

 

 

มั่วหร่านอีคิ้วขมวดแน่นยิ่งขึ้น นางทนเห็นท่าทางเขาเช่นนี้ไม่ได้ที่สุด เป็นเจ้าขี้โรคเห็นๆ ยังมักเผยรอยยิ้มหลงตัวเองเช่นนั้นอีก เห็นแล้วเกะกะลูกตา

 

 

เมื่อนึกถึงว่าวันหลังต้องบำเพ็ญเพียรคู่กับเขา ลมหายใจก็จุกอยู่ที่คอหอยทันที

 

 

“แม่นางมั่วสืบเรื่องของอูเย่ว์อยู่หรือ?” หลัวอวี้เฉิงถามอย่างสงบ

 

 

ในตามั่วหร่านอีกลับฉายแววระแวง ฮึเสียงเย็นว่า “หลัวอวี้เฉิง นี่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องของเจ้ากระมัง?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงหลุบตาลงยิ้มนิ่งเรียบทีหนึ่ง สายตาที่มองไปที่มั่วหร่านอีเย็นชาห่างเหิน “แม่นางมั่วและผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อูเย่ว์จับไปเป็นพี่น้องร่วมตระกูลกันสินะ?”

 

 

มั่วหร่านอีตกใจ เอ่ยเสียงหลงว่า “เจ้ารู้ได้เช่นไร?” จากนั้นคิ้วโก่งชันขึ้น ตาหงส์เลิกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งชั้นหนึ่ง “เจ้าลองเชิงข้า?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่ง “แม่นางมั่วคิดมากไปแล้ว อวี้เฉิงเพียงแต่ได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นั้นก็แซ่มั่วเช่นกัน อีกทั้งแม่นางมั่วมาสืบถามข้อมูลของอูเย่ว์กะทันหัน จึงเดาไปเช่นนั้นเอง!

 

 

“เจ้า เจ้าหลอกข้า?” แววตาที่มั่วหร่านอีมองไปที่หลัวอวี้เฉิงยิ่งเย็นชาขึ้น

 

 

เสียงหลัวอวี้เฉิงยิ่งนิ่งเรียบกว่าเดิมว่า “อวี้เฉิงก็แค่อยากบอกแม่นางมั่วสักคำ เจ้าสำนักเหยาแห่งสำนักเม่ยหมัว เป็นน้องบุญธรรมของอูเย่ว์” พูดจบกอบหมัดใส่มั่วหร่านอี แล้วหันหลังเดินไป

 

 

“ช้าก่อน!” มั่วหร่านอีตะโกนว่า เห็นหลัวอวี้เฉิงหันมา ซักไซ้ว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้เช่นไรกัน?”

 

 

ตนในฐานะบุตรสาวบุญธรรมของเจ้าสำนักเหยายังไม่รู้เรื่องนี้ อยู่ดีๆ เขาวิ่งมาบอกเรื่องนี้ หมายความว่าเช่นไรกัน?

 

 

หลัวอวี้เฉิงยิ้มๆ ไม่ตอบ หันหลังไปเดินหน้าต่อ

 

 

“เหตุใดเจ้าถึงบอกเรื่องพวกนี้กับข้า?” มั่วหร่านอีที่อยู่ข้างหลังขึ้นเสียงสูงขึ้น

 

 

เงาร่างของหลัวอวี้เฉิงค่อยๆ เดินห่างออกไป สุดท้ายไม่ได้พูดอะไร มั่วหร่านอีขมวดคิ้วคิดๆ ดูแล้ว พึมพำว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เขาต้องรู้เรื่องนี้จากสำนักมารฟ้าแน่ เขาบอกตนเรื่องนี้ไปไย? หรือว่า…อูเย่ว์ก็อยู่ที่สำนักเม่ยหมัว? ทว่านี่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย? เขาคงไม่ใช่เพราะตนสืบข่าวคราวของอูเย่ว์อยู่ จึงวิ่งมาบอกตนโดยเฉพาะกระมัง?”

 

 

นึกถึงตรงนี้ขนลุกซู่ จึงฮึเสียงเย็นว่า “หากกล้าคิดมิดีมิร้ายกับข้า ท่านย่าจะตอนเจ้าเสีย!”

 

 

พูดจบอัญเชิญอาวุธเวทเหินหาว รีบกลับสำนักเม่ยหมัวไปโดยเร็ว

 

 

 

 

——

 

 

[1] ดึงต้นกล้าให้โต  ใช้เปรียบเทียบกับการพยายามฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือการรีบร้อนเร่งให้งานใดๆสำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิด จนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด