พันธกานต์ปราณอัคคี 296 หน้าที่ของแต่ละคน

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 296 หน้าที่ของแต่ละคน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มั่วชิงเฉินอ้าแขนออกอย่างแข็งทื่อ เขาน้อยเอาหัวอันเทอะทะมุดเข้าอ้อมกอดนางถูไถขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าดำ หรือว่านางจะมีอสูรวิญญาณปกติสักตัวไม่ได้หรืออย่างไร? ก่อนอื่นคืออีกาเหลาะแหละตัวหนึ่ง แล้วก็เป็นอสูรเขาเดียวที่ออดอ้อนเป็นอย่างเดียวอีกตัวหนึ่ง

 

 

“เขาน้อย ไยเจ้าถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้?” มั่วชิงเฉินผลักเขาน้อยออกจากอ้อมกอดอย่างไม่เหลือร่องรอย

 

 

เขาน้อยก้มหน้าเอากีบเขี่ยพื้นอย่างไม่รู้ตัว เอ่ยอย่างเซ่อๆ ว่า “เจ้าวายร้ายนั่นขังข้าไว้ วันนั้นจู่ๆ ประตูก็เปิดออก วุ่นวายไปหมด ข้าจึงหนีออกมา กลัวถูกเขาจับกลับไป จึงวิ่งอย่างสุดชีวิต วิ่งไปวิ่งไปก็มาถึงที่นี่แล้ว จากนั้นข้าก็คิดว่า ถ้าเจ้านายก็หนีออกมา น่าจะมาที่นี่เช่นกัน”

 

 

มั่วชิงเฉินตกใจเล็กน้อย อดลูบหัวของเขาน้อยไม่ได้ว่า “เขาน้อย เจ้าฉลาดจริงๆ”

 

 

“เอ๋ จริงหรือ?” เขาน้อยส่ายหัวไปมาอย่างได้ใจ จากนั้นถามว่า “เจ้านาย เช่นนั้นพวกเราไปไหนดีล่ะ ที่นี่ไม่ดี เขาน้อยไม่ชอบ”

 

 

มั่วชิงเฉินลูบเขาน้อยอย่างโยน จากนั้นพลิกตัวขึ้นไปว่า “เรากลับบ้านกัน” พูดพลางตบหลังของเขาน้อยว่า “จ้ะ…”

 

 

เขาน้อยไม่ขยับเขยื้อน

 

 

“เขาน้อย?” มั่วชิงเฉินเรียกอย่างสงสัย

 

 

เขาน้อยหันหน้าไป เอ่ยอย่างจำใจว่า “เจ้านาย ข้าไม่ใช่ม้าเสียหน่อย…”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้ากระอักกระอ่วน แสร้งทำเป็นใจเย็นว่า “เขาน้อย เราไปกันเถอะ”

 

 

เขาน้อยถึงโจนทะยานขึ้นมา

 

 

ที่ป่ากาลีถูกเรียกว่าป่ากาลี เพราะมีอสูรปีศาจและพืชพันธุ์โหดเ**้ยมนับพันชนิด ผู้บำเพ็ญเพียรเดินทางอยู่ภายในเรียกได้ว่าลำบากทุกย่างก้าว

 

 

ดีที่เขาน้อยมีพลังที่อ่อนโยนโดยธรรมชาติ ทำให้อสูรปีศาจทั่วไปไม่เป็นฝ่ายเข้ามาโจมตี เดินมาตลอดทางนานๆ ทีจะเจออสูรปีศาจที่โหดเ**้ยมตัวสองตัวเข้ามาท้าทาย ก็ถูกฆ่าอย่างสมบูรณ์แบบภายใต้การร่วมมือของหนึ่งคนหนึ่งอสูร ก็กลับทำให้มั่วชิงเฉินได้ของดีมาไม่น้อย

 

 

“ฮี้…” เขาน้อยยกขาหน้าขึ้นสูง หยุดลงในพริบตา ข้างหน้าคือบึงโคลนแห่งหนึ่ง

 

 

“เจ้านาย?”

 

 

มั่วชิงเฉินตบหลังของเขาน้อยเป็นการปลอบโยน แล้วพลิกตัวลงมา เอ่ยว่า “เขาน้อย เจ้าเข้าไปอยู่ในถุงอสูรวิญญาณสักครู่ก่อน”

 

 

พูดพลางโบกมือเก็บเขาน้อยเข้าถุงอสูรวิญญาณ แล้วเดินสองก้าวข้างบึงโคลนฝั่งนี้ เม้มปาก ตัวลอยขึ้นข้ามบึงโคลน

 

 

ยามที่บินถึงตรงกลาง จู่ๆ ใบบัวนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นจากบึงโคลน จากนั้นบัวขึ้นบนใบ ดอกบัวแดงดอกใหญ่ๆ บานออกมากมาย

 

 

ที่ทำให้คนประหลาดใจคือ มีแสงสีแดงรางๆ ไหลวนโลดเต้นอยู่บนบัวแดงพวกนั้น ไม่คิดว่าคือบัวแดงทั้งดอกกำลังลุกไหม้ เผยให้เห็นความงดงามที่ดึงดูดใจคนและมีเสน่ห์อย่างประหลาด

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี กลั้นใจบินสูงขึ้น

 

 

ไม่คิดว่าคือบัวแดงอเวจี!

 

 

บัวแดงอเวจีไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือไฟที่ลุกไหม้อยู่บนบัวแดงช่อนั้น นั่นเป็นหนึ่งในไฟอัศจรรย์ตามธรรมชาติที่เลื่องชื่อ ไฟกรรมบัวแดงเชียวนะ!

 

 

ไฟกรรมบัวแดงนี้มีพลังที่ทำให้คนได้ยินแล้วต้องหน้าถอดสี ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อไรที่แตะถูกละก็ ก็จะแผดเผาวิญญาณ เช่นนั้นก็ยากจะกลับเข้าวัฏสงสารอีก!

 

 

มั่วชิงเฉินบินสูงขึ้นสักหน่อย ถึงโล่งอกได้เล็กน้อย ทันใดนั้นเห็นก้านดอกบัวพุ่งสูงขึ้นโดยพลัน ไล่ตามนางมาตรงๆ ไฟกรรมบัวแดงที่ประหลาดและแสบตาลุกไหม้พุ่งสูงขึ้น ต่อติดกันรอบตัวนาง กลายเป็นไฟลามทุ่ง ย้อมเมฆขาวบนฟ้าเป็นเมฆเพลิงที่ลุกไหม้ในชั่วอึดใจ

 

 

สะเก็ดไฟสีแดงเป็นจุดๆ พุ่งขึ้นท่ามกลางเมฆแดงที่ปกคลุม ดังฝูงดาราส่องแสงระยิบระยับรอบตัวมั่วชิงเฉิน

 

 

นางหน้าถอดสี ตวัดกระบี่ชิงมู่ในมือ ปากตะโกนว่า “พายุทะเลบุปผา…”

 

 

ต่อจากนั้นก็เห็นพายุงวงช้างสีสันสดใสอยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นมา หมุนม้วนเอาสะเก็ดไฟสีแดงพวกนั้นเข้าไว้ข้างใน

 

 

ถอยหลังก้าวหนึ่งโดยพลัน พายุงวงช้างดังเปรี้ยงขึ้น ระเบิดออกเหมือนดอกไม้ไฟ กลีบดอกร่วงพราว ผีเสื้อเพลิงโบยบิน ดูแล้วงดงามดุจฝัน กลับเต็มไปด้วยภยันตรายทุกฝีก้าว

 

 

มั่วชิงเฉินไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่นอีกแล้ว โบกมืออัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งหนีออกไปหลายลี้ในทันใด ถึงร่อนลงมาอย่างเหนื่อยหอบ

 

 

บัวแดงอเวจีผืนนั้น น่ากลัวจริงด้วย! นางเช็ดเหงื่อด้วยใจที่ยังกลัวอยู่ เรียกเขาน้อยออกมา

 

 

“เจ้านาย ท่านไม่เป็นไรนะ?” พอเขาน้อยออกมา ก็เลียฝ่ามือของมั่วชิงเฉินอย่างว่านอนสอนง่าย

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ค่อยสบายใจ เมื่อครู่ใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งด้วยสถานการณ์บังคับ ใครจะรู้ว่าจะดึงคนหรืออสูรปีศาจอะไรมาหรือไม่ ทว่าแม้จะบอกว่าเขาน้อยเป็นอสูรเขาเดียว กลับไม่ต่างอะไรกับเด็กมนุษย์ จึงปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว”

 

 

เขาน้อยเงยหน้าขึ้นว่า “บัดนี้เขาน้อยไม่กลัวแล้ว ทว่าเจ้านาย เมื่อครู่ไฟพวกนั้นคืออะไรน่ะ เขาน้อยอยู่ในถุงอสูรวิญญาณยังอดตัวสั่นไม่ได้”

 

 

“นั่นคือบัวแดงอเวจี ถ้าแตะถูกเข้าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน ทว่าบัดนี้ไม่เป็นไรแล้ว” มั่วชิงเฉินตบหัวของเขาน้อย สีหน้ากลับเปลี่ยนทันที ไม่พูดพร่ำทำเพลงเก็บเขาน้อยเข้าถุงอสูรวิญญาณใหม่ กระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวปรากฏขึ้นในมือ แสงวิญญาณแวบขึ้นครอบนางไว้ภายใน

 

 

ไม่นานนัก ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนรุดมา

 

 

มั่วชิงเฉินตื่นเต้นขึ้นมา ไม่คิดว่าสองคนนี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารทั้งคู่ คนหนึ่งในนั้นใส่ชุดแดง น่าตกใจว่าเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่มาพร้อมนักพรตไป๋หมางในวันงานพิธีวิวาห์ของฮวาเชียนซู่

 

 

“อาจารย์ ช่างน่าแปลกจริงๆ เมื่อครู่เห็นความปั่นป่วนของพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าบนฟ้าชัดๆ เหตุใดเพียงชั่วครู่ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว?” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่งมองไปทั่ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “นี่ยังต้องถามอีก ต้องหลบขึ้นมาเป็นแน่ หลินหราน เจ้าไปสำรวจดูสักหน่อย”

 

 

“ศิษย์น้อมรับคำสั่ง” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานหลินหรานกอบหมัด ปล่อยจิตตระหนักออกเริ่มสำรวจขึ้นมาอย่างละเอียด

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้กลัวหลินหรานคนนี้หรอกนะ เขาอยู่แค่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย อย่าว่าแต่ตนมีกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวอยู่ในมือ อีกทั้งวิชาเก็บงำกลิ่นอายสูงส่ง ต่อให้ไม่มีพวกนี้ อาศัยจิตตระหนักของตนเขาก็ไม่อาจพบได้ กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณผู้นั้นสิ บัดนี้หลับตาสองข้างอย่างใจเย็น ไม่รู้ว่ามั่นใจเต็มเปี่ยม หรือว่าแสร้งทำล้ำลึก

 

 

“เป็นเช่นไรบ้าง?” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณถาม

 

 

หลินหรานลำบากใจเล็กน้อยว่า “เรียนอาจารย์ ศิษย์ไม่พบอะไรขอรับ”

 

 

“อืม” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณตอบอย่างไม่ยินดียินร้ายเสียงหนึ่ง

 

 

หลินหรานกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที คิดๆ แล้วว่า “อาจารย์ ไม่แน่แสงวิญญาณเมื่อครู่ อาจเป็นยอดฝีมือหรืออสูรปีศาจอะไรเดินทางผ่านมา นางหนูน้อยนั่นเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมิใช่หรือ หากอยู่ที่นี่ ภายใต้การสอดส่องของท่านคงไม่มีที่ให้หลบนานแล้ว”

 

 

เห็นผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณไม่ออกเสียง หลินหรานทนไม่ไหวเอ่ยอีกว่า “ที่จริง ทางสำนักส่งท่านเฝ้าอยู่ที่นี่คอยฆ่านางหนูนั่น ช่างเกินไปแล้วจริงๆ ท่านเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเชียวนะ…”

 

 

“หุบปาก!” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณลืมตาขึ้น

 

 

หลินหรานก้มหน้าลงอย่าไม่ค่อยยอมว่า “อาจารย์”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณมองดูลูกศิษย์แล้วถอนใจเสียงหนึ่งว่า “หลินหราน เจ้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิของข้า ข้าคาดหวังเจ้าไว้มาก ทว่าบัดนี้ดูแล้ว ยังคงห่างจากฮวาเชียนซู่นั่น”

 

 

หลินหรานไม่ออกเสียง บนใบหน้ากลับฉายแววไม่ยอมแพ้แวบหนึ่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณไม่แยแส เอ่ยต่อว่า “ไม่กี่วันก่อนฮวาเชียนซู่ถึงย้อนกลับสำนัก จากการรายงานของเขาถึงรู้ว่า เวลาช่วงนี้นางหนูนั่นจับเขาไว้พักอยู่ในอีกจวนหนึ่งของตระกูลฮวาตลอดมา เจ้าลองว่ามาสิ คนเช่นนี้จะง่ายเพียงนั้นหรือ? ยิ่งกว่านั้นนางหนูนั่นก็คือศิษย์ของกู้เหอกวง นางสามารถหนีรอดจากเงื้อมมืออูเย่ว์ ก่อนอื่นคือกู้เหอกวง ต่อมาคือหลิวซางเจินจวิน มาถึงแดนไท่ไป๋ติดๆ กันพูดได้ว่าก็เพราะนาง คนเช่นนี้จะเป็นคนที่เจ้ารับมือได้ด้วยตัวคนเดียวเช่นนั้นหรือ?”

 

 

คำพูดนี้พูดจนหลินหรานพูดไม่ออก อ้ำอึ้งว่า “อย่างไรก็อาจารย์มองได้ทะลุปรุโปร่ง”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณหัวเราะฟู่ทีหนึ่ง แม้ในใจเขาก็คิดว่าคนในสำนักส่งตนผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งไปฆ่านางหนูนั่นออกจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทว่านางหนูนั่นอย่างไรเสียก็เป็นศิษย์กู้เหอกวง หากจับเป็นกลับไป ก็เป็นความดีความชอบเรื่องหนึ่ง เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ก็โล่งใจ

 

 

ในเวลาสำคัญเช่นนี้ รับภารกิจอันนี้อย่างไรก็ดีกว่าไปวุ่นวายที่หุบเขาลั่วเยี่ยน

 

 

“อาจารย์ เช่นนั้นต่อจากนี้พวกเราควรทำเช่นไร?” หลินหรานถามว่า

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณสะบัดแขนเสื้อ นั่งลงขัดสมาธิให้รู้แล้วรู้รอดไป แล้วเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนว่า “ในเมื่อนางหนูนั่นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ต้องเร่งกลับสำนักลั่วสยาเป็นแน่ ส่วนป่ากาลีนี้ เป็นสถานที่ที่จำเป็นต้องผ่าน ป่ากาลีแม้อันตรายกว้างใหญ่ ขอเพียงนางเหยียบอาวุธเวทเหินหาวก็จะไม่มีที่ให้หลบ”

 

 

“อาจารย์ล้ำลึก มิน่าสองวันนี้อาจารย์ไม่ไปไหนเลย เพียงแต่สุ่มเลือกอยู่ที่ที่หนึ่ง” หลินหรานประจบว่า

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณยิ้มแล้วไม่พูดอะไร ป่ากาลีอันตรายมากมาย ต่อให้เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็มีที่บางที่ที่ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป ไม่ว่าภารกิจอะไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิต ถึงเลือกที่ที่ปลอดภัยมิดชิดรออยู่

 

 

เขาไม่เชื่อหรอกว่านางหนูนั่นอยู่ในป่ากาลีนี้จะไม่ต้องสู้กับอสูรปีศาจ เพียงแค่เดินเท้าตลอดเท่านั้น

 

 

“หลินหราน เจ้าก็ระมัดระวังไว้ วิชาซ่อนตัวที่นางหนูนั่นใช้ลึกล้ำนัก พูดตามตรงต่อให้อาจารย์เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั่วขณะหนึ่งก็ยากจะสังเกตเห็น ทว่าด้วยตบะระดับสร้างรากฐานของนาง ใช้วิชาซ่อนตัวเช่นนี้ต้องยืมพลังจากอาวุธเวทเป็นแน่ เมื่อเวลานานเข้าต้องทนไม่ไหวแน่นอน ถึงเวลาเราก็จับได้โดยง่ายแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณดูเหมือนอารมณ์ไม่เลว เอ่ยอย่างเอ้อระเหยว่า

 

 

“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ” สีหน้าเลื่อมใสของหลินหรานทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณยิ่งรื่นรมย์ขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าจะล้วงสุราออกมากาหนึ่งรินเองดื่มเองขึ้นมา

 

 

เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่!

 

 

มั่วชิงเฉินแอบกัดฟัน

 

 

ถูกเขาเดาถูกแล้วจริงๆ กระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวนี่ก็คือของที่เยี่ยเทียนหยวนให้นางมา เป็นของที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถึงใช้ได้ ตนฝืนใช้แม้ชั่วขณะหนึ่งปิดหูปิดตาของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไว้ได้ ทว่าเมื่อเวลานานเข้าพลังวิญญาณร่อยหรอ ต้องประคองไม่อยู่แน่นอน

 

 

ถึงเวลาก็ต้องถูกจับโดยละม่อมมิใช่หรือ?

 

 

สุดท้ายตนก็ประมาณความอดทนของนิกายมารแดงต่ำไป และก็ประมาณระดับความสำคัญที่ฮวาเชียนซู่มีต่อนิกายมารแดงต่ำไปด้วย

 

 

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ศิษย์อาจารย์สองคนนั้น คนหนึ่งรินเองดื่มเอง อีกคนคอยประจบสอพลออยู่รอบๆ สีหน้าของมั่วชิงเฉินกลับดูไม่ดีขึ้นมา

 

 

เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้!

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน ใช้พลังจิตคุยกับอสูรเขาเดียวโดยตรงว่า “เขาน้อย รอสักครู่ดูสัญญาณมือข้า เจ้าก็บุกออกไปวิ่งไปทางนั้น จำได้หรือไม่?”

 

 

“เจ้านาย เช่นนั้นท่านล่ะ?” เขาน้อยถามว่า

 

 

“เจ้าไม่ต้องสนใจข้า บุกออกจากป่ากาลี เจ้าก็รอข้าอยู่ที่เขาอู๋ฉยง หากข้าไม่กลับเสียที เจ้าก็เดินหน้าต่อ ไปสถานที่ที่ชื่อสำนักลั่วสยา หรือไม่ เจ้าชอบที่ไหนก็อยู่ที่นั่นเถอะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างสงบ

 

 

รอสักครู่หากนางบุกออกไปพร้อมเขาน้อย หากคาดไว้ไม่ผิดละก็ ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณคนนั้นต้องไล่ตามตนไปแน่ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับสร้างรากฐานไม่ก็ไล่ตามมาพร้อมอาจารย์ ไม่ก็ไล่ตามเขาน้อย

 

 

ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไร ด้วยพลังของอสูรปีศาจขั้นห้าของเขาน้อยล้วนไม่มีอันตรายอะไร

 

 

“ไม่เอา เขาน้อยจะอยู่กับเจ้านาย” เขาน้อยเอ่ยอย่างหวาดหวั่นเล็กน้อย

 

 

เสียงมั่วชิงเฉินเคร่งขรึมขึ้นมาว่า “เขาน้อย เจ้าต้องเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นข้าก็จะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว”

 

 

“เจ้านาย…” เขาน้อยออดอ้อนขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่สนใจพวกนี้ เอ่ยต่อว่า “เขาน้อย ในเมื่อเจ้ากลายเป็นอสูรวิญญาณของข้า เช่นนั้นการปกป้องเจ้า ก็คือหน้าที่ของข้า ดังนั้น เจ้าจำเป็นต้องฟังข้า!”

 

 

“เช่นนั้นหน้าที่ของเขาน้อยล่ะ?” เขาน้อยถามอย่างเซ่อๆ

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “หน้าที่ของเจ้า ก็คือ… เป็นม้าให้ข้าขี่!”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง เขาน้อยก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกาย

 

 

“ใคร!”

 

 

ท่ามกลางเสียงตะคอกของผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณ เห็นเพียงอสูรเขาเดียวสีขาวดุจหิมะตัวหนึ่งวิ่งทะยานไปข้างหน้า ส่วนเงาร่างสีเขียวอีกเงาหนึ่งกลับหนีไปยังทิศทางตรงข้าม ลากลำแสงสีเขียวออกสายหนึ่งบนฟ้า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด