พันธกานต์ปราณอัคคี 476 ท้องฟ้าแจ่มใส ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดถือกำเนิด

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 476 ท้องฟ้าแจ่มใส ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดถือกำเนิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงวิญญาณใช้อานุภาพอันมิอาจต้านทานได้ทะลุเกราะกำบังทั้งหมด พุ่งตรงไปยังขอบฟ้า ชั่วขณะนั้นทั้งฟ้าครึ่งซีกก็สว่างจ้า

 

 

อยู่ๆ ลมก็กรรมโชกแรง เหล่าเมฆก้อนมหึมาก็พรั่งพรูมาจากทั่วทุกสารทิศ มารวมตัวกันอยู่รอบๆ แสงวิญญาณ ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ชั้นอากาศสูงกดลงมา เหมือนกับภูเขาก้อนเมฆลูกใหญ่ตกลงบนผืนดิน ถ้าหากมีคนขึ้นไปบนภูเขา ก็คงจะไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า

 

 

เกราะกำบังของป่าดอกสาลี่ถูกทลายออกนานแล้ว ปราณวิญญาณโบกพัดเป็นลมวิญญาณอยู่ระลอกหนึ่ง ทำให้กลีบดอกสาลี่ม้วนวน และโปรยปรายลงมาเป็นฝนดอกไม้

 

 

มั่วชิงเฉินที่พาตู้รั่วออกมาจากป่าดอกสาลี่นานแล้ว ยืนทอดมองอยู่ในระยะไกล

 

 

ชาวบ้านหมู่บ้านดอกสาลี่ต่างพากันออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงมองขึ้นไปยังท้องฟ้า

 

 

ปราณวิญญาณพรั่งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำก็รู้สึกว่าการบำเพ็ญเพียรนั้นช้าลง หลังจากไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวเช่นไรจึงหยุดการบำเพ็ญเพียร พลางแอบบ่นว่าโชคร้ายในใจ

 

 

แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่พอมีความแข็งแกร่งกลับรับรู้ได้ถึงความผิดปกตินี้ ต่างพากันเหยียบลงบนอาวุธเวทเหาะเหินเพื่อมุ่งตรงไปยังที่ที่ปราณวิญญาณรวมกันอยู่

 

 

“พี่จ้าว นี่มันเรื่องอันใดกัน หรือว่ามีสมบัติฟ้าดินปรากฏขึ้น” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้หนึ่งเหยียบลงบนกระบี่บินถามสหายที่บังเอิญเจอกัน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่จ้าวผู้นั้นส่ายหน้า “ข้าก็เดาไม่ถูก แต่ว่าที่แห่งนี้นั้นไม่เคยปรากฏการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องไปดูสักหน่อย”

 

 

“ถูกต้องแล้ว น้องชายเองก็คิดเช่นนั้น” สองคนมองหน้าและยิ้มให้กัน ก่อนจะเร่งความเร็ว

 

 

ณ จวนตระกูลอู๋

 

 

หลังจากประมือกับมั่วชิงเฉินเมื่อหลายปีก่อนจนบาดเจ็บภายใน ประมุขตระกูลอู๋ก็เก็บเนื้อเก็บตัว ประการหนึ่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ อีกประการหนึ่งคืออยากให้ตนแกร่งกว่านี้ วันหน้าจะได้กลับไปแก้แค้น

 

 

วันนี้เขาเพิ่งบำเพ็ญตบะเสร็จสิ้น ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พลันสะบัดแขนเสื้อเพื่อเหาะขึ้นไปในอากาศ

 

 

อาวุโสตระกูลอู๋เห็นก็รุดมาและพูดเสียงสั่น “ท่านประมุข ท่านดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้าสิ หรือว่านี่คือ…นี่คือ…”

 

 

ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะมันยากจะบรรยาย

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ใบหน้าเรียบนิ่งประหนึ่งสายน้ำ หลังจากตั้งใจดูจนหายใจครบสิบครั้งถึงจะพูดออกมาเสียงต่ำ “เป็นอย่างที่เจ้าคิด มีผู้บรรลุถึงระดับก่อกำเนิดแล้ว!”

 

 

“มีผู้บรรลุถึงระดับก่อกำเนิดแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ” อาวุโสตระกูลอู๋แอบเดาเงียบๆ ถึงแม้จะได้ฟังคำตอบของผู้นำตระกูลอู๋แต่ก็ยังยากจะเชื่อ

 

 

ถึงแม้ว่าเกาะเสี้ยวจันทร์จะกว้างใหญ่ แต่กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไม่มากนัก นอกจากผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดเจินจวินผู้ลึกลับแล้ว นอกจากประมุขตระกูลอู๋ที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์จนแทบจะเป็นที่ยอมรับของผู้อื่นว่าเป็นรองระดับก่อกำเนิดอันดับหนึ่งแล้ว ยังเป็นคนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนที่สามของเกาะจันทราเสี้ยว ตอนนี้เหตุใดถึงได้มีผู้มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดโผล่มากัน

 

 

มองไปทางที่ปรากฏการณ์ประหลาดถือกำเนิดขึ้น ใบหน้าชราของอาวุโสตะกูลอู๋พลันตกตะลึง “ท่านประมุข ดูเหมือนว่าจะเป็นทางหมู่บ้านดอกสาลี่!”

 

 

“นี่มันเป็นไปไม่ได้!” ประมุขตระกูลอู๋พูดจบก็รีบเร่งเมฆสีม่วงใต้ฝ่าเท้า เขาพูดเสียงต่ำ “แม้ว่าหญิงคนนั้นจะมีกำลังไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่สามารถก้าวไปถึงระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ในเวลาไม่กี่ปี นับประสาอะไรกับระดับก่อกำเนิด ไปกันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องไปดู โอกาสที่จะได้สัมผัสปรากฏการณ์ฟ้าระดับก่อกำเนิดนั้นยากมาก”

 

 

ณ ที่แห่งหนึ่ง ชายในชุดสีน้ำหมึกมือถือหมากสีดำพลันหยุดมือ เงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้า

 

 

อีกคนหนึ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นเดียวกัน ยืนตรงและพูด “พี่มั่ว ดูเหมือนพวกเราจะได้สหายเล่นหมากรุกเพิ่มแล้ว”

 

 

ชายในชุดสีน้ำหมึกมองหมากในมือก่อนจะพูดยิ้มๆ “น่าสนใจจริงๆ ดูเหมือนว่าที่นั่นจะเป็นที่ที่เจ้าเด็กตระกูลอู๋ไปมีเรื่องเมื่อหลายปีก่อน”

 

 

พูดไปมือก็โยนหมากในมือทิ้ง “ไม่เล่นแล้ว ไปกันเถอะ ไปดูอะไรสนุกๆ กันดีกว่า วันๆ อยู่แต่กับกระดานหมากรุกเหม็นๆ นี่ ข้าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”

 

 

อีกคนโมโหสะบัดแขนเสื้อ ยิ้มเสียงเย็นและพูด “ข้าเองก็เหมือนกัน”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากขึ้นๆ ร่อนลงยังบริเวณใกล้ๆ กับหมู่บ้านดอกสาลี่

 

 

อัสนีสวรรค์ฟาดลงมา ฟ้าแลบทั่วทั้งท้องฟ้า ถึงแม้ว่าสถานที่ที่พวกเขาอยู่คลื่นลมจะสงบ แต่พลังของท้องฟ้าอันไม่มีที่สิ้นสุดที่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าหายใจ

 

 

ความปรารถนาจากก้นบึ้งของจิตใจทำให้ทุกคนตื่นเต้น ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะยังคงสับสน ไม่รู้ว่าปรากฏการณ์เบื้องหน้านั้นคืออะไร

 

 

จากนั้นร่างสองร่างก็ร่อนลงบนพื้น ทำเอาทุกคนตกตะลึง

 

 

“ดูสิ นั่นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ”

 

 

“ท่านประมุขกับอาวุโสตระกูลอู๋ก็ยังแตกตื่น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ไม่ไยดีความวุ่นวายแม้แต่น้อย เขาใช้จิตตระหนักอันแข็งแกร่งหาร่องรอยของมั่วชิงเฉิน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน แม้ว่าจะยังต่างขั้นกันอยู่ ทว่ามัวแต่หลบซ่อนก็คงจะใจแคบเกินไป มั่วชิงเฉินวางปลายเท้าลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็งและเหาะไปร่อนลงตรงหน้าของสองคนนั้น “สหายทั้งสอง ไม่เจอกันตั้งนาน”

 

 

“มาอีกแล้ว มาอีกท่านแล้ว!” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามท่านรวมตัวกัน นำพาคลื่นพลังขนาดมหึมามาแก่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำอย่างลืมตัว

 

 

คนที่มีสติปัญญาปราดเปรียวผู้หนึ่งพูดออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ที่แท้ท่านเซียนแห่งหมู่บ้านดอกสาลี่ที่เล่าต่อๆ กันมาคืออาวุโสท่านนี้นี่เอง”

 

 

ทุกคนหันมาจ้องมอง ทั้งสามคนเหาะขึ้นไปโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะหยุดลงกลางอากาศเหนือผิวน้ำทะเลขึ้นไปสิบจั้ง

 

 

อาวุโสตระกูลอู๋เห็นรอยยิ้มสดใสของมั่วชิงเฉิน เขาเองก็ยิ้มเย็นและพูดออกไป “ไม่เจอกันนานแล้วจริงๆ ข้าคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้นั้นจะเป็นท่านเสียอีก!”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าไม่เปลี่ยนหลังได้ยินคำพูดของอาวุโสตระกูลอู๋ นางโต้ตอบกลับไปตามปกติ “สหายยกย่องข้าเกินไปแล้ว แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณยังทราบว่าการบำเพ็ญเพียรนั้นช่างลำบากยากเย็น จากระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายจะบรรลุระดับก่อกำเนิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี นี่คงเป็นเรื่องล้อเล่นกระมัง”

 

 

อาวุโสตระกูลอู๋แอบขบกรามแน่น  นางเด็กนี่ หาว่าข้ามีสติปัญญาด้อยกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณอย่างนั้นหรือ

 

 

แม้จะเดือดดาลแต่อาวุโสตระกูลอู๋กลับทำเพียงแค่มอง ไม่ได้ตอบโต้

 

 

“ปรากฏการณ์ฟ้าระดับก่อกำเนิดปรากฏขึ้นแล้ว ดูท่าว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเพิ่มขึ้นผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าสหายรู้จักหรือไม่” ประมุขตระกูลอู๋มองไปยังมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ลอบถอนหายใจหนึ่งครา แต่สีหน้ากลับสุภาพ “รอหลังผู้อาวุโสออกมา ยังหวังให้สหายชี้แนะสักครา ก่อนหน้านี้ที่พี่น้องของพวกเราล่วงเกินท่าน ขอท่านโปรดอย่าถือสา”

 

 

ที่แท้ก็เป็นพวกยืดได้หดได้

 

 

มั่วชิงเฉินพูดเสียงเรียบ “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป สหายอย่าได้กังวล” พูดจบนางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ เอาแต่มอองไปทางป่าดอกสาลี่

 

 

ได้เห็นปรากฏการณ์ฟ้าดิน และรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินในตอนที่กำลังจะมีผู้บรรลุระดับก่อกำเนิด ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง คนตระกูลอู๋ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีก ต่างพากันใช้ช่วงเวลานี้อย่างสงบ

 

 

ภาพปรากฏการณ์นี้ต่อเนื่องยาวนานถึงสามเดือน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรรอบๆ ต่างรอกันอย่างใจจดใจจ่อไม่หนีไปไหน พวกเขารู้ว่ากำลังจะมีผู้บรรลุระดับก่อกำเนิดแล้ว

 

 

การบรรลุระดับก่อกำเนิดสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่นั้นถือว่าเป็นเรื่องเล่าที่ยากจะพานพบ การพบเจอผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดครั้งแรก สำหรับพวกเขานั้นน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการปรากฏของสมบัติฟ้าดินเสียอีก

 

 

อย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้มองสมบัติฟ้าดินเหล่านั้นแม้แต่ปราดเดียวอยู่แล้ว แต่กับคนที่มีชีวิตมาอย่างยาวนาน ขอเพียงแค่พวกเขาไม่ไปไหน อยากดูแค่ไหนก็ดูได้ตามต้องการ

 

 

ภายหลัง หลังจากคนเหล่านั้นแยกย้ายกันกลับไปแล้วล้วนได้รับประโยชน์อย่างมาก กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรที่ติดอยู่ในจุดคอขวดจำนวนหนึ่ง หลังจากปิดด่านฝึกบำเพ็ญเพราะได้เห็นปรากฏการณ์นี้ก็เลื่อนเข้าสู่ระดับใหม่ได้อย่างราบรื่น

 

 

ป่าดอกสาลี่กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในจิตใจของผู้บำเพ็ญเพียรหลายคน เกิดเป็นพรรคใหม่ภายใต้โอกาสนั้น ทั้งยังนำเรื่องนี้บันทึกไว้ในประวัติโดยย่อของพรรค แน่นอนว่าค่อยพูดถึงในภายหลัง

 

 

เวลานี้ อัสนีแสนน่ากลัวกลับหยุดลง  เมฆทะมึนที่บดบังแสงตะวัน ค่อยๆ ม้วนตัว  บรรยากาศน่าหวาดหวั่น

 

 

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ต่างยืดตัวตรง ท่าทางจริงจัง

 

 

มั่วชิงเฉินที่รู้สึกได้ก็กำหมัดแน่น กลั้นหายใจและตั้งสติให้มั่น

 

 

จู่ๆ อัสนีเพลิงก็ฟาดลงมาจากสวรรค์ชั้นเก้าและระเบิดออกกลางอากาศ ทำเอาสั่นสะเทือนไปทั้งผืนฟ้า เกิดเป็นเสียงสะท้อนเสียงต่ำ

 

 

สายฟ้าดุจมีดเล่มใหญ่ผ่าชั้นเมฆหนาออกจากกัน  ชั่วเวลาที่สว่างนั้น เห็นเป็นมังกรยักษ์สีแดงเพลิงชูคอขึ้น และเลื้อยไปมาในหมู่เมฆ

 

 

ทุกคนถูกปรากฏการณ์นี้ทำให้ตกใจจนถึงขั้นลืมหายใจ

 

 

มังกรอัคคีแกว่งหาง ทำให้ชั้นเมฆกระจายออก แสงตะวันสาดส่องลงมา

 

 

มังกรอัคคีที่โอบล้อมไปด้วยแสงตะวันดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น จมูกและปากพ่นไอสีขาวออกมา เกิดเป็นเสียงคำรามต่ำแต่ยาวนาน มันเหาะไปมาตามใจตัวเองอยู่กลางอากาศ

 

 

สามวันเต็มหลังจากนั้น มังกรอัคคีชูคอขึ้น ก่อนจะเหาะตรงไปยังชั้นอากาศสูง ร่างกายขนาดมหึมาในสายตาคนมองยิ่งเล็กลงเล็กลง ในตอนที่มังกรดูเหมือนจะพุ่งชนดวงตะวันให้กระเด็นออกไป หยาดฝนก็หล่นลงมาดังเปาะแปะ

 

 

“นี่คือฝนวิญญาณ ฝนวิญญาณเชียวนะ!”

 

 

“อา แผลที่ซ่อนไว้ของข้าหายแล้ว!”

 

 

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างตะโกนโหวกเหวก พากันร้องเล่นเต้นระบำท่ามกลางสายฝนประหนึ่งคนเสียสติ

 

 

ในตอนที่ลมฝนหยุดลง สะพานวิญญาณสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ นกกระจอกวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเต้นระบำอยู่ เหมือนกับว่ามีเทพเซียนแห่งดุริยางค์ดนตรีเสด็จลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

 

 

“มังกรอัคคีตะวันจรัสแสง ปรากฏการณ์สวรรค์ระดับก่อกำเนิดเช่นนี้ ดูท่าผู้บำเพ็ญเพียรท่านนี้จะแข็งแกร่งมาก” ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองปรากฏกายออกมาตั้งแต่เมื่อใด แต่เป็นเพราะปรากฏการณ์กลางอากาศนั่นถึงไม่มีผู้ใดตระหนักถึง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามารถก่อให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินได้ ในตอนที่ใกล้สำเร็จจะเกิดภาพมายาอสูรร้อยตน นี่เป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน ในกรณีที่เกิดมังกร หงส์ หรือกิเลนซึ่งถือเป็นสัตว์ชั้นสูง เหล่านี้เป็นลางบอกล่วงหน้าว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงไหน

 

 

แม้ว่าทั้งสองคนจะบรรลุถึงขั้นก่อกำเนิดมานานแล้ว อารมณ์ไม่อ่อนไหว เห็นปรากฏการณ์สวรรค์เช่นนี้ก็ยังอดใจไม่ไหว พูดให้ถูกก็คือ ไม่ชอบใจนัก

 

 

ยิ่งมาถึงระดับที่สูงอย่างพวกเขาแล้ว การทะลวงระดับขั้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ยิ่งยากเย็น

 

 

งานเลี้ยงเซียนจบลงแล้ว สะพานวิญญาณค่อยๆ สลายลงกลางอากาศ ท้องฟ้ากลับมาสงบเหมือนเดิม

 

 

เงาเลือนรางสีครามปรากฏขึ้นกลางอากาศ ต่อให้อยู่ไกลออกไปหมื่นลี้ก็ยังเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน

 

 

เขายืนเอามือไขว้หลัง ใบหน้างดงามไร้ที่ติ เยือกเย็นดั่งหิมะ ประหนึ่งเทพสวรรค์ผู้สูงส่ง ความน่าเกรงขามของเขาแผ่กระจายไปทั่ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนต้านทานไม่ไหวจนต้องทรุดตัวลงคุกเข่า

 

 

พลังค่อยๆ เลือนหายไป บุรุษในชุดสีครามปรากฏตัวออกมาอย่างไม่มีที่มา

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกตื่นเต้น นางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

 

 

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะมีคนเร็วกว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคนก้าวเข้าไปก่อนแล้ว พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงใจดีพร้อมทั้งยิ้มให้ “ขอแสดงความยินดีที่สหายบรรลุระดับก่อกำเนิดแล้ว”

 

 

สายตาของเยี่ยเทียนหยวนค่อยๆ กลับมาชัดเจน เขาพยักหน้าให้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคน “ขอบคุณสหายทั้งสอง”

 

 

พูดจบเขาก็มองไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคนเองก็มองตาม เห็นสตรีในชุดสีครามนางหนึ่งกลางอากาศ

 

 

พริบตาเดียว เยี่ยเทียนหยวนก็ใช้วิชาลับเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาไปปรากฏกายอยู่ตรงหน้ามั่วชิงเฉิน เขาหันกลับไปยังผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคน “ข้าน้อยเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้น มีเรื่องราวมากมายต้องจัดการ ไว้ข้าน้อยจะไปเยี่ยมเยียนสหายทั้งสอง ขอทั้งสองโปรดอย่าถือสา”

 

 

พูดจบก็จูงมือมั่วชิงเฉิน ก่อนจะหายไปในพริบตาท่ามกลางหมู่คนมากมาย

 

 

ทุกคนต่างตกตะลึง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะ “ดูเหมือนพวกเราจะมาทำลายบรรยากาศ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”

 

 

พูดจบก็หายวับไปกับตา

 

 

มั่วชิงเฉินเพิ่งจะรู้ตัวว่าเยี่ยเทียนหยวนพานางมายังใต้ทะเล เพียงแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเช่นเขาโบกมือหนึ่งที ใต้ทะเลก็เกิดเป็นห้องหนึ่ง

 

 

“ศิษย์น้อง ข้าบรรลุระดับก่อกำเนิดแล้ว ในที่สุดก็ออกมาแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูดงึมงำเสียงต่ำ มือลูบเส้นผมมั่วชิงเฉินอย่างทะนุถนอม

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง นัยน์ตาปรากฏแววขบขัน จากนั้นเงยหน้ามองเยี่ยเทียนหยวน ยิ้มสดใสและเอ่ย “อาจารย์อา”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 476 ท้องฟ้าแจ่มใส ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดถือกำเนิด

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 476 ท้องฟ้าแจ่มใส ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดถือกำเนิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงวิญญาณใช้อานุภาพอันมิอาจต้านทานได้ทะลุเกราะกำบังทั้งหมด พุ่งตรงไปยังขอบฟ้า ชั่วขณะนั้นทั้งฟ้าครึ่งซีกก็สว่างจ้า

 

 

อยู่ๆ ลมก็กรรมโชกแรง เหล่าเมฆก้อนมหึมาก็พรั่งพรูมาจากทั่วทุกสารทิศ มารวมตัวกันอยู่รอบๆ แสงวิญญาณ ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ชั้นอากาศสูงกดลงมา เหมือนกับภูเขาก้อนเมฆลูกใหญ่ตกลงบนผืนดิน ถ้าหากมีคนขึ้นไปบนภูเขา ก็คงจะไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า

 

 

เกราะกำบังของป่าดอกสาลี่ถูกทลายออกนานแล้ว ปราณวิญญาณโบกพัดเป็นลมวิญญาณอยู่ระลอกหนึ่ง ทำให้กลีบดอกสาลี่ม้วนวน และโปรยปรายลงมาเป็นฝนดอกไม้

 

 

มั่วชิงเฉินที่พาตู้รั่วออกมาจากป่าดอกสาลี่นานแล้ว ยืนทอดมองอยู่ในระยะไกล

 

 

ชาวบ้านหมู่บ้านดอกสาลี่ต่างพากันออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงมองขึ้นไปยังท้องฟ้า

 

 

ปราณวิญญาณพรั่งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำก็รู้สึกว่าการบำเพ็ญเพียรนั้นช้าลง หลังจากไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวเช่นไรจึงหยุดการบำเพ็ญเพียร พลางแอบบ่นว่าโชคร้ายในใจ

 

 

แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่พอมีความแข็งแกร่งกลับรับรู้ได้ถึงความผิดปกตินี้ ต่างพากันเหยียบลงบนอาวุธเวทเหาะเหินเพื่อมุ่งตรงไปยังที่ที่ปราณวิญญาณรวมกันอยู่

 

 

“พี่จ้าว นี่มันเรื่องอันใดกัน หรือว่ามีสมบัติฟ้าดินปรากฏขึ้น” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้หนึ่งเหยียบลงบนกระบี่บินถามสหายที่บังเอิญเจอกัน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่จ้าวผู้นั้นส่ายหน้า “ข้าก็เดาไม่ถูก แต่ว่าที่แห่งนี้นั้นไม่เคยปรากฏการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องไปดูสักหน่อย”

 

 

“ถูกต้องแล้ว น้องชายเองก็คิดเช่นนั้น” สองคนมองหน้าและยิ้มให้กัน ก่อนจะเร่งความเร็ว

 

 

ณ จวนตระกูลอู๋

 

 

หลังจากประมือกับมั่วชิงเฉินเมื่อหลายปีก่อนจนบาดเจ็บภายใน ประมุขตระกูลอู๋ก็เก็บเนื้อเก็บตัว ประการหนึ่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ อีกประการหนึ่งคืออยากให้ตนแกร่งกว่านี้ วันหน้าจะได้กลับไปแก้แค้น

 

 

วันนี้เขาเพิ่งบำเพ็ญตบะเสร็จสิ้น ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พลันสะบัดแขนเสื้อเพื่อเหาะขึ้นไปในอากาศ

 

 

อาวุโสตระกูลอู๋เห็นก็รุดมาและพูดเสียงสั่น “ท่านประมุข ท่านดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้าสิ หรือว่านี่คือ…นี่คือ…”

 

 

ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะมันยากจะบรรยาย

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ใบหน้าเรียบนิ่งประหนึ่งสายน้ำ หลังจากตั้งใจดูจนหายใจครบสิบครั้งถึงจะพูดออกมาเสียงต่ำ “เป็นอย่างที่เจ้าคิด มีผู้บรรลุถึงระดับก่อกำเนิดแล้ว!”

 

 

“มีผู้บรรลุถึงระดับก่อกำเนิดแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ” อาวุโสตระกูลอู๋แอบเดาเงียบๆ ถึงแม้จะได้ฟังคำตอบของผู้นำตระกูลอู๋แต่ก็ยังยากจะเชื่อ

 

 

ถึงแม้ว่าเกาะเสี้ยวจันทร์จะกว้างใหญ่ แต่กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไม่มากนัก นอกจากผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดเจินจวินผู้ลึกลับแล้ว นอกจากประมุขตระกูลอู๋ที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์จนแทบจะเป็นที่ยอมรับของผู้อื่นว่าเป็นรองระดับก่อกำเนิดอันดับหนึ่งแล้ว ยังเป็นคนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนที่สามของเกาะจันทราเสี้ยว ตอนนี้เหตุใดถึงได้มีผู้มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดโผล่มากัน

 

 

มองไปทางที่ปรากฏการณ์ประหลาดถือกำเนิดขึ้น ใบหน้าชราของอาวุโสตะกูลอู๋พลันตกตะลึง “ท่านประมุข ดูเหมือนว่าจะเป็นทางหมู่บ้านดอกสาลี่!”

 

 

“นี่มันเป็นไปไม่ได้!” ประมุขตระกูลอู๋พูดจบก็รีบเร่งเมฆสีม่วงใต้ฝ่าเท้า เขาพูดเสียงต่ำ “แม้ว่าหญิงคนนั้นจะมีกำลังไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่สามารถก้าวไปถึงระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ในเวลาไม่กี่ปี นับประสาอะไรกับระดับก่อกำเนิด ไปกันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องไปดู โอกาสที่จะได้สัมผัสปรากฏการณ์ฟ้าระดับก่อกำเนิดนั้นยากมาก”

 

 

ณ ที่แห่งหนึ่ง ชายในชุดสีน้ำหมึกมือถือหมากสีดำพลันหยุดมือ เงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้า

 

 

อีกคนหนึ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นเดียวกัน ยืนตรงและพูด “พี่มั่ว ดูเหมือนพวกเราจะได้สหายเล่นหมากรุกเพิ่มแล้ว”

 

 

ชายในชุดสีน้ำหมึกมองหมากในมือก่อนจะพูดยิ้มๆ “น่าสนใจจริงๆ ดูเหมือนว่าที่นั่นจะเป็นที่ที่เจ้าเด็กตระกูลอู๋ไปมีเรื่องเมื่อหลายปีก่อน”

 

 

พูดไปมือก็โยนหมากในมือทิ้ง “ไม่เล่นแล้ว ไปกันเถอะ ไปดูอะไรสนุกๆ กันดีกว่า วันๆ อยู่แต่กับกระดานหมากรุกเหม็นๆ นี่ ข้าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”

 

 

อีกคนโมโหสะบัดแขนเสื้อ ยิ้มเสียงเย็นและพูด “ข้าเองก็เหมือนกัน”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากขึ้นๆ ร่อนลงยังบริเวณใกล้ๆ กับหมู่บ้านดอกสาลี่

 

 

อัสนีสวรรค์ฟาดลงมา ฟ้าแลบทั่วทั้งท้องฟ้า ถึงแม้ว่าสถานที่ที่พวกเขาอยู่คลื่นลมจะสงบ แต่พลังของท้องฟ้าอันไม่มีที่สิ้นสุดที่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าหายใจ

 

 

ความปรารถนาจากก้นบึ้งของจิตใจทำให้ทุกคนตื่นเต้น ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะยังคงสับสน ไม่รู้ว่าปรากฏการณ์เบื้องหน้านั้นคืออะไร

 

 

จากนั้นร่างสองร่างก็ร่อนลงบนพื้น ทำเอาทุกคนตกตะลึง

 

 

“ดูสิ นั่นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ”

 

 

“ท่านประมุขกับอาวุโสตระกูลอู๋ก็ยังแตกตื่น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ไม่ไยดีความวุ่นวายแม้แต่น้อย เขาใช้จิตตระหนักอันแข็งแกร่งหาร่องรอยของมั่วชิงเฉิน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน แม้ว่าจะยังต่างขั้นกันอยู่ ทว่ามัวแต่หลบซ่อนก็คงจะใจแคบเกินไป มั่วชิงเฉินวางปลายเท้าลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็งและเหาะไปร่อนลงตรงหน้าของสองคนนั้น “สหายทั้งสอง ไม่เจอกันตั้งนาน”

 

 

“มาอีกแล้ว มาอีกท่านแล้ว!” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามท่านรวมตัวกัน นำพาคลื่นพลังขนาดมหึมามาแก่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำอย่างลืมตัว

 

 

คนที่มีสติปัญญาปราดเปรียวผู้หนึ่งพูดออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ที่แท้ท่านเซียนแห่งหมู่บ้านดอกสาลี่ที่เล่าต่อๆ กันมาคืออาวุโสท่านนี้นี่เอง”

 

 

ทุกคนหันมาจ้องมอง ทั้งสามคนเหาะขึ้นไปโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะหยุดลงกลางอากาศเหนือผิวน้ำทะเลขึ้นไปสิบจั้ง

 

 

อาวุโสตระกูลอู๋เห็นรอยยิ้มสดใสของมั่วชิงเฉิน เขาเองก็ยิ้มเย็นและพูดออกไป “ไม่เจอกันนานแล้วจริงๆ ข้าคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้นั้นจะเป็นท่านเสียอีก!”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าไม่เปลี่ยนหลังได้ยินคำพูดของอาวุโสตระกูลอู๋ นางโต้ตอบกลับไปตามปกติ “สหายยกย่องข้าเกินไปแล้ว แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณยังทราบว่าการบำเพ็ญเพียรนั้นช่างลำบากยากเย็น จากระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายจะบรรลุระดับก่อกำเนิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี นี่คงเป็นเรื่องล้อเล่นกระมัง”

 

 

อาวุโสตระกูลอู๋แอบขบกรามแน่น  นางเด็กนี่ หาว่าข้ามีสติปัญญาด้อยกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณอย่างนั้นหรือ

 

 

แม้จะเดือดดาลแต่อาวุโสตระกูลอู๋กลับทำเพียงแค่มอง ไม่ได้ตอบโต้

 

 

“ปรากฏการณ์ฟ้าระดับก่อกำเนิดปรากฏขึ้นแล้ว ดูท่าว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเพิ่มขึ้นผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าสหายรู้จักหรือไม่” ประมุขตระกูลอู๋มองไปยังมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ลอบถอนหายใจหนึ่งครา แต่สีหน้ากลับสุภาพ “รอหลังผู้อาวุโสออกมา ยังหวังให้สหายชี้แนะสักครา ก่อนหน้านี้ที่พี่น้องของพวกเราล่วงเกินท่าน ขอท่านโปรดอย่าถือสา”

 

 

ที่แท้ก็เป็นพวกยืดได้หดได้

 

 

มั่วชิงเฉินพูดเสียงเรียบ “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป สหายอย่าได้กังวล” พูดจบนางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ เอาแต่มอองไปทางป่าดอกสาลี่

 

 

ได้เห็นปรากฏการณ์ฟ้าดิน และรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินในตอนที่กำลังจะมีผู้บรรลุระดับก่อกำเนิด ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง คนตระกูลอู๋ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีก ต่างพากันใช้ช่วงเวลานี้อย่างสงบ

 

 

ภาพปรากฏการณ์นี้ต่อเนื่องยาวนานถึงสามเดือน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรรอบๆ ต่างรอกันอย่างใจจดใจจ่อไม่หนีไปไหน พวกเขารู้ว่ากำลังจะมีผู้บรรลุระดับก่อกำเนิดแล้ว

 

 

การบรรลุระดับก่อกำเนิดสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่นั้นถือว่าเป็นเรื่องเล่าที่ยากจะพานพบ การพบเจอผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดครั้งแรก สำหรับพวกเขานั้นน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการปรากฏของสมบัติฟ้าดินเสียอีก

 

 

อย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้มองสมบัติฟ้าดินเหล่านั้นแม้แต่ปราดเดียวอยู่แล้ว แต่กับคนที่มีชีวิตมาอย่างยาวนาน ขอเพียงแค่พวกเขาไม่ไปไหน อยากดูแค่ไหนก็ดูได้ตามต้องการ

 

 

ภายหลัง หลังจากคนเหล่านั้นแยกย้ายกันกลับไปแล้วล้วนได้รับประโยชน์อย่างมาก กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรที่ติดอยู่ในจุดคอขวดจำนวนหนึ่ง หลังจากปิดด่านฝึกบำเพ็ญเพราะได้เห็นปรากฏการณ์นี้ก็เลื่อนเข้าสู่ระดับใหม่ได้อย่างราบรื่น

 

 

ป่าดอกสาลี่กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในจิตใจของผู้บำเพ็ญเพียรหลายคน เกิดเป็นพรรคใหม่ภายใต้โอกาสนั้น ทั้งยังนำเรื่องนี้บันทึกไว้ในประวัติโดยย่อของพรรค แน่นอนว่าค่อยพูดถึงในภายหลัง

 

 

เวลานี้ อัสนีแสนน่ากลัวกลับหยุดลง  เมฆทะมึนที่บดบังแสงตะวัน ค่อยๆ ม้วนตัว  บรรยากาศน่าหวาดหวั่น

 

 

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ต่างยืดตัวตรง ท่าทางจริงจัง

 

 

มั่วชิงเฉินที่รู้สึกได้ก็กำหมัดแน่น กลั้นหายใจและตั้งสติให้มั่น

 

 

จู่ๆ อัสนีเพลิงก็ฟาดลงมาจากสวรรค์ชั้นเก้าและระเบิดออกกลางอากาศ ทำเอาสั่นสะเทือนไปทั้งผืนฟ้า เกิดเป็นเสียงสะท้อนเสียงต่ำ

 

 

สายฟ้าดุจมีดเล่มใหญ่ผ่าชั้นเมฆหนาออกจากกัน  ชั่วเวลาที่สว่างนั้น เห็นเป็นมังกรยักษ์สีแดงเพลิงชูคอขึ้น และเลื้อยไปมาในหมู่เมฆ

 

 

ทุกคนถูกปรากฏการณ์นี้ทำให้ตกใจจนถึงขั้นลืมหายใจ

 

 

มังกรอัคคีแกว่งหาง ทำให้ชั้นเมฆกระจายออก แสงตะวันสาดส่องลงมา

 

 

มังกรอัคคีที่โอบล้อมไปด้วยแสงตะวันดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น จมูกและปากพ่นไอสีขาวออกมา เกิดเป็นเสียงคำรามต่ำแต่ยาวนาน มันเหาะไปมาตามใจตัวเองอยู่กลางอากาศ

 

 

สามวันเต็มหลังจากนั้น มังกรอัคคีชูคอขึ้น ก่อนจะเหาะตรงไปยังชั้นอากาศสูง ร่างกายขนาดมหึมาในสายตาคนมองยิ่งเล็กลงเล็กลง ในตอนที่มังกรดูเหมือนจะพุ่งชนดวงตะวันให้กระเด็นออกไป หยาดฝนก็หล่นลงมาดังเปาะแปะ

 

 

“นี่คือฝนวิญญาณ ฝนวิญญาณเชียวนะ!”

 

 

“อา แผลที่ซ่อนไว้ของข้าหายแล้ว!”

 

 

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างตะโกนโหวกเหวก พากันร้องเล่นเต้นระบำท่ามกลางสายฝนประหนึ่งคนเสียสติ

 

 

ในตอนที่ลมฝนหยุดลง สะพานวิญญาณสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ นกกระจอกวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเต้นระบำอยู่ เหมือนกับว่ามีเทพเซียนแห่งดุริยางค์ดนตรีเสด็จลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

 

 

“มังกรอัคคีตะวันจรัสแสง ปรากฏการณ์สวรรค์ระดับก่อกำเนิดเช่นนี้ ดูท่าผู้บำเพ็ญเพียรท่านนี้จะแข็งแกร่งมาก” ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองปรากฏกายออกมาตั้งแต่เมื่อใด แต่เป็นเพราะปรากฏการณ์กลางอากาศนั่นถึงไม่มีผู้ใดตระหนักถึง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามารถก่อให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินได้ ในตอนที่ใกล้สำเร็จจะเกิดภาพมายาอสูรร้อยตน นี่เป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน ในกรณีที่เกิดมังกร หงส์ หรือกิเลนซึ่งถือเป็นสัตว์ชั้นสูง เหล่านี้เป็นลางบอกล่วงหน้าว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงไหน

 

 

แม้ว่าทั้งสองคนจะบรรลุถึงขั้นก่อกำเนิดมานานแล้ว อารมณ์ไม่อ่อนไหว เห็นปรากฏการณ์สวรรค์เช่นนี้ก็ยังอดใจไม่ไหว พูดให้ถูกก็คือ ไม่ชอบใจนัก

 

 

ยิ่งมาถึงระดับที่สูงอย่างพวกเขาแล้ว การทะลวงระดับขั้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ยิ่งยากเย็น

 

 

งานเลี้ยงเซียนจบลงแล้ว สะพานวิญญาณค่อยๆ สลายลงกลางอากาศ ท้องฟ้ากลับมาสงบเหมือนเดิม

 

 

เงาเลือนรางสีครามปรากฏขึ้นกลางอากาศ ต่อให้อยู่ไกลออกไปหมื่นลี้ก็ยังเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน

 

 

เขายืนเอามือไขว้หลัง ใบหน้างดงามไร้ที่ติ เยือกเย็นดั่งหิมะ ประหนึ่งเทพสวรรค์ผู้สูงส่ง ความน่าเกรงขามของเขาแผ่กระจายไปทั่ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนต้านทานไม่ไหวจนต้องทรุดตัวลงคุกเข่า

 

 

พลังค่อยๆ เลือนหายไป บุรุษในชุดสีครามปรากฏตัวออกมาอย่างไม่มีที่มา

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกตื่นเต้น นางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

 

 

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะมีคนเร็วกว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคนก้าวเข้าไปก่อนแล้ว พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงใจดีพร้อมทั้งยิ้มให้ “ขอแสดงความยินดีที่สหายบรรลุระดับก่อกำเนิดแล้ว”

 

 

สายตาของเยี่ยเทียนหยวนค่อยๆ กลับมาชัดเจน เขาพยักหน้าให้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคน “ขอบคุณสหายทั้งสอง”

 

 

พูดจบเขาก็มองไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคนเองก็มองตาม เห็นสตรีในชุดสีครามนางหนึ่งกลางอากาศ

 

 

พริบตาเดียว เยี่ยเทียนหยวนก็ใช้วิชาลับเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาไปปรากฏกายอยู่ตรงหน้ามั่วชิงเฉิน เขาหันกลับไปยังผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคน “ข้าน้อยเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้น มีเรื่องราวมากมายต้องจัดการ ไว้ข้าน้อยจะไปเยี่ยมเยียนสหายทั้งสอง ขอทั้งสองโปรดอย่าถือสา”

 

 

พูดจบก็จูงมือมั่วชิงเฉิน ก่อนจะหายไปในพริบตาท่ามกลางหมู่คนมากมาย

 

 

ทุกคนต่างตกตะลึง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะ “ดูเหมือนพวกเราจะมาทำลายบรรยากาศ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”

 

 

พูดจบก็หายวับไปกับตา

 

 

มั่วชิงเฉินเพิ่งจะรู้ตัวว่าเยี่ยเทียนหยวนพานางมายังใต้ทะเล เพียงแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเช่นเขาโบกมือหนึ่งที ใต้ทะเลก็เกิดเป็นห้องหนึ่ง

 

 

“ศิษย์น้อง ข้าบรรลุระดับก่อกำเนิดแล้ว ในที่สุดก็ออกมาแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูดงึมงำเสียงต่ำ มือลูบเส้นผมมั่วชิงเฉินอย่างทะนุถนอม

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง นัยน์ตาปรากฏแววขบขัน จากนั้นเงยหน้ามองเยี่ยเทียนหยวน ยิ้มสดใสและเอ่ย “อาจารย์อา”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+