พันธกานต์ปราณอัคคี 501 ครึ่งปีศาจปรากฏกายในทันใด

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 501 ครึ่งปีศาจปรากฏกายในทันใด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เป็นเพราะหินภูเขาไฟอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์เจ็ดดวงที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ทำให้อุณหภูมิสูงมาก มั่วชิงเฉินรู้สึกกระสับกระส่าย นางหยิบร่มไผ่เหมันต์ออกมาแขวนไว้เหนือศีรษะของสองคนหนึ่งหมาป่าเพื่อบังแดด ในที่สุดก็เย็นขึ้นเล็กน้อย

 

 

“สหายมั่ว เจ้ามีธุระที่ต้องรีบไปจัดการหรือ” หลัวอวี้เฉิงถาม

 

 

ถ้าหากเป็นเพราะแค่ติดอยู่ที่นี่ สำหรับเขาแล้วมั่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่กระวนกระวายเช่นนี้ นึกถึงปีก่อนที่ทั้งสองอยู่ที่แดนไร้วิญญาณอยู่หลายปี ก็ไม่เห็นนางร้อนรนเยี่ยงนี้

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้ปิดบัง นางพูดอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ผิด ข้ามีธุระสำคัญมาก ถ้าหากติดอยู่ที่นี่แปดวันสิบวัน ข้าก็ไม่ทราบจริงๆ…ว่าควรทำเช่นไร”

 

 

หลัวอวี้เฉิงกะพริบตา จากนั้นก็เงียบไป

 

 

ถ้าหากว่านางไม่อยู่ในพิธีบำเพ็ญเพียรคู่ ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนหยวนจะร้อนใจเพียงใด มั่วชิงเฉินทุกข์ใจขึ้นมาโดยพลัน ตามด้วยกล่าวต่อ “ข้าจะแต่งงานวันที่สิบห้าเดือนแปด บัตรเชิญก็ส่งออกไปเกือบจะสองเดือนแล้ว ถึงตอนนั้นแขกเหรื่อจำนวนมากมาร่วมงาน ถ้าหากเจ้าสาวไม่อยู่…”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นลูบหน้าผาก

 

 

แม่นางตระกูลมั่วมีประเพณีหนีงานแต่งเช่นนั้นหรือ  ในใจของหลัวอวี้เฉิงมีความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้แวบเข้ามา แต่รู้สึกว่าไม่น่าขันเลยแม้แต่น้อย เงียบอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้ปริปากพูด “ยินดีด้วยสหายมั่ว”

 

 

มั่วชิงเฉินโบกมืออย่างอ่อนแรง “รอให้ออกไปได้แล้วค่อยแสดงความยินดีเถิด”

 

 

หลัวอวี้เฉิงสองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองท้องฟ้าและเดินไปมาบนหินภูเขาไฟ จากนั้นก็มองมายังมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว เรามาเดิมพันกันเถิด”

 

 

“เดินพันอันใดหรือ” มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ แต่ไหนแต่ไรมาหลัวอวี้เฉิงไม่เคยพูดโดยไม่คิด หรือว่าที่เขาพูดเช่นนี้เป็นเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

 

 

หลัวอวี้เฉิงเดินมาข้างกายมั่วชิงเฉินจากนั้นก็นั่งลง หมาป่าน้อยเหลือบมองเขาด้วยใบหน้าบึงตึง ไม่เต็มใจขยับไปด้านข้าง

 

 

“ด่านที่ต่อเนื่องกันเช่นนี้ หลังจากผ่านทั้งเจ็ดด่านแล้วจะเกิดอันใดขึ้น จะกลับไปที่มิติเดิมหรือว่าเข้าไปในมิติใหม่ก็มิอาจทราบได้ แต่ข้าคิดว่ากุญแจสำคัญของปัญหานี้คือดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ด”

 

 

มั่วชิงเฉินใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาโดยพลัน “เจ้าหมายความอย่างไร”

 

 

มุมปากของหลัวอวี้เฉิงยกขึ้น ดวงตาเปล่งประกายอย่างเด็ดเดี่ยว “หากไม่ทำลายก็มิอาจสร้างใหม่ได้ ในเมื่อดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ดดวงนั้นเป็นกุญแจสำคัญ เช่นนั้นแล้วพวกเราก็หาวิธีเอามันลงมาเสีย!”

 

 

มั่วชิงเฉินเองก็มิใช่คนเขลา เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ขยับมือ พลันธนูเขียวซ่อนเร้นก็ปรากฏออกมา ยกมันขึ้นพลางพูด “เจ้าหมายถึงใช้ธนูยิงศรให้ดวงอาทิตย์ร่วงลงมาหรือ”

 

 

รอยยิ้มชื่นชมผ่านดวงตาของหลัวอวี้เฉิงไปอย่างรวดเร็ว “ใช่ สมบัติวิเศษเจ้าชะตาของเจ้าคืออาวุธที่โจมตีได้จากระยะไกลพอดี ในเมื่อพวกเราขึ้นไปยังหินภูเขาไฟก้อนที่เจ็ดไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเรายืนอยู่ที่นี่และเอาดวงอาทิตย์ลงมาเถิด ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในทางที่ดีหรือร้าย อย่างไรเสียก็ดีกว่าติดอยู่ที่นี่ เป็นอย่างไรเล่าสหายมั่ว เจ้ากล้าเดิมพันหรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้ม “ข้าเกรงว่าจะไม่มีตัวเลือกอื่น เพียงแต่คงต้องรบกวนสหายหลัวแล้ว”

 

 

ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางต้องการรีบออกไป อาศัยความคิดอันรอบคอบของหลัวอวี้เฉิง จะต้องคิดถึงวิธีที่เหมาะสมได้อย่างแน่นอน

 

 

หลัวอวี้เฉิงพูดเสียงเย็น “เจ้าไม่ได้เป็นภาระของข้าเพียงแค่วันสองวัน ทุกครั้งที่พบก็มักตกลงไปในสถานที่แปลกๆ ทุกครา”

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก  นี่ใช่การถูกดูหมิ่นหรือไม่

 

 

ถังมู่เฉิน เจ้าอยู่ที่ใดกัน ที่แท้มนุษย์ล้วนต้องการเปรียบเทียบแลทำให้ดูโดดเด่น!

 

 

“สหายหลัว ความคิดของเจ้าไม่เลว เพียงแต่ตอนนี้ข้ามองไม่เห็น เช่นนั้นแล้วข้าจักมองเป้าได้อย่างไรหรือ”

 

 

“ถ้าหากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าจะเล็งเป้าแทนเจ้า” หลัวอวี้เฉิงกล่าว

 

 

เขาพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพื่อคลายความเก้อเขิน

 

 

ใบหน้าของมั่วชิงเฉินร้อนขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ สองข้างแก้มแดงเป็นเลือดฝาด แต่ก็กัดริมฝีปากพลางพยักหน้า “ดี เช่นนั้นพวกเรามาเริ่มกันเถิด”

 

 

ทั้งสองคนยืนขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินกวักมือเก็บหมาป่าน้อยเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ จากนั้นพยักหน้าให้หลัวอวี้เฉิงเบาๆ เป็นเชิงว่าตนเองพร้อมแล้ว

 

 

หลัวอวี้เฉิงยื่นมือออกไปประคองไหล่ของนางให้หันหน้าเข้าหาเขา จากนั้นสูดหายใจเข้าลึก ใช้นิ้วชี้กดลงยังหว่างคิ้วของตน ดึงด้ายมรกตกึ่งโปร่งแสงหนึ่งเส้นออกมาจากหน้าผาก และกดลงไปที่หว่างคิ้วของมั่วชิงเฉิน

 

 

ดวงจิตที่ถูกแยกออกมาจมลงไปในทะเลแห่งความตระหนัก เมื่อพบกับดวงจิตที่ดูสิ้นหวังของมั่วชิงเฉินแล้วก็กลายเป็นด้ายมรกตจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มมันเอาไว้

 

 

ดวงจิตของมั่วชิงเฉินสั่นไหว ผิวที่โผล่พ้นผ้าปรากฏสีแดงเลือดฝาดอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนเป็นสามีภรรยากันมาหลายสิบปีแล้ว แต่ว่าทั้งสองคนไม่เคยใช้วิธีพิเศษได้มาซึ่งวิธีฝึกบำเพ็ญคู่ ทุกอย่างล้วนอาศัยสัญชาตญาณ ดังนั้นแม้นางจะรู้ว่าการที่ดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นเข้าไปในกายตนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสนิทชิดเชื้อ แต่ก็มิรู้ว่าสิ่งนี้มีวิธีต่างกับการบำเพ็ญเพียรคู่แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน

 

 

หลัวอวี้เฉิงเองก็หัวใจสั่นไหวเช่นเดียวกัน เขาหลับตาลงไม่มองฝ่ายตรงข้ามโดยพลัน จนจิตใจสงบลงก็อาศัยดวงจิตของนางเป็นฐาน ดวงจิตของตนดึง กลายเป็นหนวดสัมผัสที่มองไม่เห็น จากนั้นเคลื่อนพลังวิญญาณไปยังสองมือของมั่วชิงเฉิน

 

 

 มั่วชิงเฉินไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกลุ่มลึกเช่นนี้มาก่อน นึกไม่ถึงว่านางจะยืมดวงจิตของคนข้างกายเพื่อมองพลังวิญญาณที่ไหลวนในกายตน อีกทั้งยังมองดวงอาทิตย์เจ็ดดวงกลางอากาศ

 

 

สองมือคู่นั้นเป็นของนางและก็เป็นของหลัวอวี้เฉิง ค่อยๆ ดึงสายธนูและแสดงเคล็ดกระบี่ไม้นานาพันธุ์ อันเหมาะแก่การโจมตีระยะไกลที่สุด เมื่อมีสัมพันธ์ทางเดินย่อมยาวไกล

 

 

เสียงนกร้องดังขึ้นชัดเจน พลันส่วนปีกศรก็กลายเป็นวิหคยักษ์สีดำปากและเท้าสีแดง ขนสีดำสะท้อนแสงเจิดจ้าราวกับผ้าต่วนท่ามกลางแสงอาทิตย์

 

 

วิหคยักษ์มุ่งตรงไปยังขอบฟ้า จากนั้นก็ชนจนดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งจนเกิดเสียงดังโครมและตกลงที่ตรงกลาง

 

 

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ดวงอาทิตย์กลายเป็นจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ สว่างไสวไปทั่วท้องฟ้า

 

 

ต่อมาเมื่อศรดอกที่สองถูกยิงออกไป ดวงอาทิตย์อีกดวงก็ระเบิดออก ศรดอกต่อๆ มาก็ถูกยิงออกไป ศรทั้งเจ็ดดอกถูกยิงออกมาภายในเวลาอันรวดเร็ว ในที่สุดดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดก็ถูกยิง มันไม่ได้ระเบิดออกเหมือนกับดวงอาทิตย์หกดวงก่อนหน้านี้ แต่กลับเหมือนอุกกาบาตขนาดใหญ่ ที่ลากเปลวไฟสายยาวพุ่งไปหาทั้งสองคน

 

 

มั่วชิงเฉินอยากร้องออกมา แต่กลับต้องพบว่าเป็นเพราะดวงจิตถูกดวงจิตของหลัวอวี้เฉิงห่อหุ้มเอาไว้กายและจิตสำนึกตึกอยู่ในสภาวะอันลึกซึ้งละเอียดอ่อน ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้

 

 

ดวงจิตของหลัวอวี้เฉิงออกมาจากกายของมั่วชิงเฉินอย่างเร็ว ปรากฏการณ์ทุกอย่างสลายไปโดยฉับพลัน และมั่วชิงเฉินก็ตกอยู่ในความมืดมิดทันที

 

 

นางรู้สึกได้ถึงกายที่ถูกหลัวอวี้เฉิงอุ้มขึ้นและกำลังเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็ว

 

 

เมื่ออุกกาบาตตกลงมา ท้องฟ้าก็มืดมิดลงโดยพลัน เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มองไม่เห็นสิ่งใด

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รับรู้สิ่งเหล่านี้ รู้สึกเพียงหลัวอวี้เฉิงโอบนางแน่นขึ้นจนได้ยินเสียงลมหายใจชัดเจน

 

 

ท้องฟ้าสว่างขึ้นอีกครา

 

 

บุรุษเส้นผมคล้ายเปลวเพลิง หูทั้งสองข้างแหลม พันผ้าแค่รอบเอว ลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาทั้งสองข้างมองมาอย่างไร้ความรู้สึก

 

 

ทั้งกายของเขาเหมือนกับดวงอาทิตย์เจิดจ้า ทำเอาเมฆที่ลอยไปมากลางท้องฟ้าสะท้อนสีแดงออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินสัมผัสได้ถึงความเงียบอันน่าประหลาด นางถามเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

 

 

“ครึ่งปีศาจ” หลัวอวี้เฉิงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ

 

 

มั่วชิงเฉินเต้นระรัว นางเคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์นี้

 

 

ในปีนั้นเมื่อรู้ว่าอดีตคนรักของกู้หลีที่นางเลื่อมใสศรัทธาคือเผ่าจิ้งจอกขาว นางก็ให้ความรู้สึกสนใจกับปีศาจอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

 

ในขณะที่รู้ถึงเรื่องราวความรักระหว่างมนุษย์และปีศาจ ก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของครึ่งปีศาจ

 

 

ว่ากันว่าความรักระหว่างมนุษย์และปีศาจนั้นขัดต่อสวรรค์ มีความเป็นไปได้สูงที่ลูกหลานของพวกเขาจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มิใช่ทั้งมนุษย์มิใช่ปีศาจ การมีอยู่ของพวกเขาถูกจัดให้เป็นบ่อเกิดแห่งภัยพิบัติ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือเผ่าปีศาจล้วนไม่ยอมรับ จนกลายเป็นเผ่าที่ถูกทอดทิ้ง

 

 

แน่นอนว่าความคิดของผู้คนที่ว่ามนุษย์และปีศาจมิอาจครองรักกันได้นั้นหยั่งรากลึก ความรักระหว่างมนุษย์และปีศาจจึงพบได้ยาก ครึ่งปีศาจจึงมีอยู่จริงแค่ในตำนาน นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้นางจะบังเอิญได้พบ

 

 

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” น้ำเสียงเย็นเยียบไร้ซึ่งความอ่อนโยน ประหนึ่งเสียงจากวิญญาณในยมโลกดังขึ้น 

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ว่าร่างของนางถูกผลักออกอย่างแรง น้ำเสียงของหลัวอวี้เฉิงก็ดังขึ้น “เร็วเข้า ให้หมาป่าน้อยพาเจ้าไป!”

 

 

พลังวิญญาณรุนแรงปะทะกันกลางอากาศ หลัวอวี้เฉิงและครึ่งปีศาจเปิดฉากต่อสู้กันแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินนั่งอยู่หลังของหมาป่าน้อยอย่างว่าง่าย มือกำขนบนหลังของมันแน่น เพียงแค่ฟังดูก็เข้าใจได้ว่าสถานการณ์การต่อสู้นั้นดุเดือดเพียงใด

 

 

“หมาป่าน้อย ใครได้เปรียบหรือ” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มั่วชิงเฉินก็ถามออกมาอย่างอดไม่ไหว

 

 

ครึ่งปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษมาก เพียงมองจากรูปลักษณ์ก็รับรู้ได้ว่าการบำเพ็ญเพียรไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรและอสูรปีศาจ

 

 

“บ่าของหลัวหวี้เฉิงถูกเผาจนเป็นรูจนไม่น่ามอง แต่เส้นผมของครึ่งปีศาจถูกดึงออกไปหนึ่งกระจุก ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธมาก” หมาป่าน้อยบรรยายตามความจริง ไม่ได้เสริมสิ่งใดเข้าไป

 

 

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก “ครึ่งปีศาจเดินหมากอย่างไรหรือ”

 

 

หมาป่าน้อยพูดออกมาคำเดียวสั้นๆ “ไฟ!”

 

 

เส้นเลือดตรงขมับของมั่วชิงเฉินเต้นตุบๆ ตอนนี้นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้างกายนางเป็นอีกาไฟ ถ้าหากเป็นเจ้านั่น จะต้องบรรยายการต่อสู้ตรงหน้าได้อย่างมีชีวิตชีวาประหนึ่งเห็นด้วยตาตนเอง

 

 

“หลัวอวี้เฉิงกลายเป็นพายุหมุนแล้ว ข้างใต้เท้าของครึ่งปีศาจก็มีดอกบัวเพลิงออกมา ตาทั้งสองข้างหลับลง ปากก็ขยับ” หมาป่าน้อยเห็นถึงความกังวลใจของมั่วชิงเฉิน แม้ว่าจะใช้คำไม่ครบ แต่ก็พยายามพูดอย่างสุดความสามารถแล้ว

 

 

 หมากสุดท้ายแล้วหรือ

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ หลัวอวี้เฉิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แม้มั่วชิงเฉินจะมองไม่เห็น แต่นางก็รับรู้ได้อย่างเด่นชัดว่าเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก

 

 

ไม่ได้ นางต้องลงมือแล้ว!

 

 

สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไปนิ่งสงบ แม้ดวงตาจะมองไม่เห็นแต่ก็ปรือขึ้นมาตามความเคยชิน มือง้างธนูเขียวซ่อนเร้นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าออก

 

 

“นายท่าน ท่านเล็งไม่ถูกทิศ” หมาป่าน้อยกล่าวเตือน

 

 

น้ำเสียงของมั่วชิงเฉินเปลี่ยนไปเป็นมีชีวิตชีวา “หมาป่าน้อย เจ้ามิต้องพูด”

 

 

สองมือของนางจับธนูเขียวซ่อนเร้นและแน่นิ่งไม่ไหวติง

 

 

ในตอนที่ครึ่งปีศาจหยุดร่ายเคล็ด ดอกบัวเพลิงใต้เท้าพลันพุ่งขึ้นสูง มั่วชิงเฉินเล็งธนูเขียวซ่อนเร้นขึ้นไปยังท้องฟ้าทันที จากนั้นปีกศรสีฟ้าอ่อนก็ถูกยิงพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า

 

 

เสียงวิหคร้องดังขึ้นชัดเจน เปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่โลดแล่นอยู่บนศรเหมันต์ส่องแสงประหลาด จมลงไปในมวลเมฆและพุ่งลงมา มุ่งตรงไปยังดอกบัวเพลิงที่ลอยขึ้นมาบนศีรษะของครึ่งปีศาจ

 

 

ชั่วขณะที่ศรเหมันต์สัมผัสเข้ากับดอกบัวเพลิง เปลวน้ำแข็งเหมันต์พลันเปล่งประกายคล้ายแสงดาว กระจายออกไปรอบราวกับกำลังแข่งขันกับดอกบัวเพลิง

 

 

เปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นเปลวไฟที่หนาวเย็นมาก ครู่เดียวก็ฝ่าเข้าไปใจกลางดอกบัวและทำให้เม็ดบัวกลายเป็นน้ำแข็ง

 

 

เสียงสะอื้นแผ่วเบาของครึ่งปีศาจดังไปถึงใบหูของมั่วชิงเฉินอย่างชัดเจน

 

 

ยามนั้นหลัวอวี้เฉิงที่กลายเป็นพายุหมุนก็เคลื่อนที่มาอยู่เบื้องหน้าของครึ่งปีศาจ เขาใช้กายเป็นอาวุธ กลายเป็นมีดวายุขนาดมหึมาหนึ่งเล่ม เล็งไปยังหน้าผากของครึ่งปีศาจและฟันลงไปอย่างแรง

 

 

เสียงไหลทะลักของเลือดดังขึ้น จากนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆ เข้าสู่ความสงบ

 

 

มุมปากของมั่วชิงเฉินยกขึ้น จากนั้นก็กระอักเลือดออกมาอย่างทนไม่ไหว

 

 

ร่างถูกโอบเอาไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของหลัวอวี้เฉิง “มั่วชิงเฉิน ข้าบอกเจ้ากี่รอบแล้วกันว่าอย่าโอ้อวด!”

 

 

มั่วชิงเฉินที่ใบหน้าซีดเผือดยิ้มพลางเอ่ย “เสียแค่เลือดเล็กน้อย อย่างไรเสียก็ดีกว่าให้ครึ่งปีศาจจัดการกับเจ้าแล้วมาจัดการกับข้า”

 

 

แน่นอนว่าศรดอกนั้นของนางมิได้อาศัยโชค แต่อาศัยเลือดหัวใจฝืนเบิกเนตรสวรรค์ และส่งพลังทั้งหมดออกไป

 

 

ไม่ว่าอย่างไรหากทำให้มีชีวิตอยู่ต่อได้ เช่นนั้นก็คุ้มค่า!

 

 

ทันใดนั้นก็เสียงกระแสลมวนดังขึ้น มั่วชิงเฉินถามทั้งที่หอบ “หลัวอวี้เฉิง เกิดอันใดขึ้น”

 

 

หลัวอวี้เฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่า พวกเราออกไปได้แล้ว”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 501 ครึ่งปีศาจปรากฏกายในทันใด

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 501 ครึ่งปีศาจปรากฏกายในทันใด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เป็นเพราะหินภูเขาไฟอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์เจ็ดดวงที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ทำให้อุณหภูมิสูงมาก มั่วชิงเฉินรู้สึกกระสับกระส่าย นางหยิบร่มไผ่เหมันต์ออกมาแขวนไว้เหนือศีรษะของสองคนหนึ่งหมาป่าเพื่อบังแดด ในที่สุดก็เย็นขึ้นเล็กน้อย

 

 

“สหายมั่ว เจ้ามีธุระที่ต้องรีบไปจัดการหรือ” หลัวอวี้เฉิงถาม

 

 

ถ้าหากเป็นเพราะแค่ติดอยู่ที่นี่ สำหรับเขาแล้วมั่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่กระวนกระวายเช่นนี้ นึกถึงปีก่อนที่ทั้งสองอยู่ที่แดนไร้วิญญาณอยู่หลายปี ก็ไม่เห็นนางร้อนรนเยี่ยงนี้

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้ปิดบัง นางพูดอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ผิด ข้ามีธุระสำคัญมาก ถ้าหากติดอยู่ที่นี่แปดวันสิบวัน ข้าก็ไม่ทราบจริงๆ…ว่าควรทำเช่นไร”

 

 

หลัวอวี้เฉิงกะพริบตา จากนั้นก็เงียบไป

 

 

ถ้าหากว่านางไม่อยู่ในพิธีบำเพ็ญเพียรคู่ ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนหยวนจะร้อนใจเพียงใด มั่วชิงเฉินทุกข์ใจขึ้นมาโดยพลัน ตามด้วยกล่าวต่อ “ข้าจะแต่งงานวันที่สิบห้าเดือนแปด บัตรเชิญก็ส่งออกไปเกือบจะสองเดือนแล้ว ถึงตอนนั้นแขกเหรื่อจำนวนมากมาร่วมงาน ถ้าหากเจ้าสาวไม่อยู่…”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นลูบหน้าผาก

 

 

แม่นางตระกูลมั่วมีประเพณีหนีงานแต่งเช่นนั้นหรือ  ในใจของหลัวอวี้เฉิงมีความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้แวบเข้ามา แต่รู้สึกว่าไม่น่าขันเลยแม้แต่น้อย เงียบอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้ปริปากพูด “ยินดีด้วยสหายมั่ว”

 

 

มั่วชิงเฉินโบกมืออย่างอ่อนแรง “รอให้ออกไปได้แล้วค่อยแสดงความยินดีเถิด”

 

 

หลัวอวี้เฉิงสองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองท้องฟ้าและเดินไปมาบนหินภูเขาไฟ จากนั้นก็มองมายังมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว เรามาเดิมพันกันเถิด”

 

 

“เดินพันอันใดหรือ” มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ แต่ไหนแต่ไรมาหลัวอวี้เฉิงไม่เคยพูดโดยไม่คิด หรือว่าที่เขาพูดเช่นนี้เป็นเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

 

 

หลัวอวี้เฉิงเดินมาข้างกายมั่วชิงเฉินจากนั้นก็นั่งลง หมาป่าน้อยเหลือบมองเขาด้วยใบหน้าบึงตึง ไม่เต็มใจขยับไปด้านข้าง

 

 

“ด่านที่ต่อเนื่องกันเช่นนี้ หลังจากผ่านทั้งเจ็ดด่านแล้วจะเกิดอันใดขึ้น จะกลับไปที่มิติเดิมหรือว่าเข้าไปในมิติใหม่ก็มิอาจทราบได้ แต่ข้าคิดว่ากุญแจสำคัญของปัญหานี้คือดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ด”

 

 

มั่วชิงเฉินใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาโดยพลัน “เจ้าหมายความอย่างไร”

 

 

มุมปากของหลัวอวี้เฉิงยกขึ้น ดวงตาเปล่งประกายอย่างเด็ดเดี่ยว “หากไม่ทำลายก็มิอาจสร้างใหม่ได้ ในเมื่อดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ดดวงนั้นเป็นกุญแจสำคัญ เช่นนั้นแล้วพวกเราก็หาวิธีเอามันลงมาเสีย!”

 

 

มั่วชิงเฉินเองก็มิใช่คนเขลา เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ขยับมือ พลันธนูเขียวซ่อนเร้นก็ปรากฏออกมา ยกมันขึ้นพลางพูด “เจ้าหมายถึงใช้ธนูยิงศรให้ดวงอาทิตย์ร่วงลงมาหรือ”

 

 

รอยยิ้มชื่นชมผ่านดวงตาของหลัวอวี้เฉิงไปอย่างรวดเร็ว “ใช่ สมบัติวิเศษเจ้าชะตาของเจ้าคืออาวุธที่โจมตีได้จากระยะไกลพอดี ในเมื่อพวกเราขึ้นไปยังหินภูเขาไฟก้อนที่เจ็ดไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเรายืนอยู่ที่นี่และเอาดวงอาทิตย์ลงมาเถิด ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในทางที่ดีหรือร้าย อย่างไรเสียก็ดีกว่าติดอยู่ที่นี่ เป็นอย่างไรเล่าสหายมั่ว เจ้ากล้าเดิมพันหรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้ม “ข้าเกรงว่าจะไม่มีตัวเลือกอื่น เพียงแต่คงต้องรบกวนสหายหลัวแล้ว”

 

 

ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางต้องการรีบออกไป อาศัยความคิดอันรอบคอบของหลัวอวี้เฉิง จะต้องคิดถึงวิธีที่เหมาะสมได้อย่างแน่นอน

 

 

หลัวอวี้เฉิงพูดเสียงเย็น “เจ้าไม่ได้เป็นภาระของข้าเพียงแค่วันสองวัน ทุกครั้งที่พบก็มักตกลงไปในสถานที่แปลกๆ ทุกครา”

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก  นี่ใช่การถูกดูหมิ่นหรือไม่

 

 

ถังมู่เฉิน เจ้าอยู่ที่ใดกัน ที่แท้มนุษย์ล้วนต้องการเปรียบเทียบแลทำให้ดูโดดเด่น!

 

 

“สหายหลัว ความคิดของเจ้าไม่เลว เพียงแต่ตอนนี้ข้ามองไม่เห็น เช่นนั้นแล้วข้าจักมองเป้าได้อย่างไรหรือ”

 

 

“ถ้าหากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าจะเล็งเป้าแทนเจ้า” หลัวอวี้เฉิงกล่าว

 

 

เขาพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพื่อคลายความเก้อเขิน

 

 

ใบหน้าของมั่วชิงเฉินร้อนขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ สองข้างแก้มแดงเป็นเลือดฝาด แต่ก็กัดริมฝีปากพลางพยักหน้า “ดี เช่นนั้นพวกเรามาเริ่มกันเถิด”

 

 

ทั้งสองคนยืนขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินกวักมือเก็บหมาป่าน้อยเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ จากนั้นพยักหน้าให้หลัวอวี้เฉิงเบาๆ เป็นเชิงว่าตนเองพร้อมแล้ว

 

 

หลัวอวี้เฉิงยื่นมือออกไปประคองไหล่ของนางให้หันหน้าเข้าหาเขา จากนั้นสูดหายใจเข้าลึก ใช้นิ้วชี้กดลงยังหว่างคิ้วของตน ดึงด้ายมรกตกึ่งโปร่งแสงหนึ่งเส้นออกมาจากหน้าผาก และกดลงไปที่หว่างคิ้วของมั่วชิงเฉิน

 

 

ดวงจิตที่ถูกแยกออกมาจมลงไปในทะเลแห่งความตระหนัก เมื่อพบกับดวงจิตที่ดูสิ้นหวังของมั่วชิงเฉินแล้วก็กลายเป็นด้ายมรกตจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มมันเอาไว้

 

 

ดวงจิตของมั่วชิงเฉินสั่นไหว ผิวที่โผล่พ้นผ้าปรากฏสีแดงเลือดฝาดอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนเป็นสามีภรรยากันมาหลายสิบปีแล้ว แต่ว่าทั้งสองคนไม่เคยใช้วิธีพิเศษได้มาซึ่งวิธีฝึกบำเพ็ญคู่ ทุกอย่างล้วนอาศัยสัญชาตญาณ ดังนั้นแม้นางจะรู้ว่าการที่ดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นเข้าไปในกายตนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสนิทชิดเชื้อ แต่ก็มิรู้ว่าสิ่งนี้มีวิธีต่างกับการบำเพ็ญเพียรคู่แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน

 

 

หลัวอวี้เฉิงเองก็หัวใจสั่นไหวเช่นเดียวกัน เขาหลับตาลงไม่มองฝ่ายตรงข้ามโดยพลัน จนจิตใจสงบลงก็อาศัยดวงจิตของนางเป็นฐาน ดวงจิตของตนดึง กลายเป็นหนวดสัมผัสที่มองไม่เห็น จากนั้นเคลื่อนพลังวิญญาณไปยังสองมือของมั่วชิงเฉิน

 

 

 มั่วชิงเฉินไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกลุ่มลึกเช่นนี้มาก่อน นึกไม่ถึงว่านางจะยืมดวงจิตของคนข้างกายเพื่อมองพลังวิญญาณที่ไหลวนในกายตน อีกทั้งยังมองดวงอาทิตย์เจ็ดดวงกลางอากาศ

 

 

สองมือคู่นั้นเป็นของนางและก็เป็นของหลัวอวี้เฉิง ค่อยๆ ดึงสายธนูและแสดงเคล็ดกระบี่ไม้นานาพันธุ์ อันเหมาะแก่การโจมตีระยะไกลที่สุด เมื่อมีสัมพันธ์ทางเดินย่อมยาวไกล

 

 

เสียงนกร้องดังขึ้นชัดเจน พลันส่วนปีกศรก็กลายเป็นวิหคยักษ์สีดำปากและเท้าสีแดง ขนสีดำสะท้อนแสงเจิดจ้าราวกับผ้าต่วนท่ามกลางแสงอาทิตย์

 

 

วิหคยักษ์มุ่งตรงไปยังขอบฟ้า จากนั้นก็ชนจนดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งจนเกิดเสียงดังโครมและตกลงที่ตรงกลาง

 

 

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ดวงอาทิตย์กลายเป็นจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ สว่างไสวไปทั่วท้องฟ้า

 

 

ต่อมาเมื่อศรดอกที่สองถูกยิงออกไป ดวงอาทิตย์อีกดวงก็ระเบิดออก ศรดอกต่อๆ มาก็ถูกยิงออกไป ศรทั้งเจ็ดดอกถูกยิงออกมาภายในเวลาอันรวดเร็ว ในที่สุดดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดก็ถูกยิง มันไม่ได้ระเบิดออกเหมือนกับดวงอาทิตย์หกดวงก่อนหน้านี้ แต่กลับเหมือนอุกกาบาตขนาดใหญ่ ที่ลากเปลวไฟสายยาวพุ่งไปหาทั้งสองคน

 

 

มั่วชิงเฉินอยากร้องออกมา แต่กลับต้องพบว่าเป็นเพราะดวงจิตถูกดวงจิตของหลัวอวี้เฉิงห่อหุ้มเอาไว้กายและจิตสำนึกตึกอยู่ในสภาวะอันลึกซึ้งละเอียดอ่อน ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้

 

 

ดวงจิตของหลัวอวี้เฉิงออกมาจากกายของมั่วชิงเฉินอย่างเร็ว ปรากฏการณ์ทุกอย่างสลายไปโดยฉับพลัน และมั่วชิงเฉินก็ตกอยู่ในความมืดมิดทันที

 

 

นางรู้สึกได้ถึงกายที่ถูกหลัวอวี้เฉิงอุ้มขึ้นและกำลังเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็ว

 

 

เมื่ออุกกาบาตตกลงมา ท้องฟ้าก็มืดมิดลงโดยพลัน เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มองไม่เห็นสิ่งใด

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รับรู้สิ่งเหล่านี้ รู้สึกเพียงหลัวอวี้เฉิงโอบนางแน่นขึ้นจนได้ยินเสียงลมหายใจชัดเจน

 

 

ท้องฟ้าสว่างขึ้นอีกครา

 

 

บุรุษเส้นผมคล้ายเปลวเพลิง หูทั้งสองข้างแหลม พันผ้าแค่รอบเอว ลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาทั้งสองข้างมองมาอย่างไร้ความรู้สึก

 

 

ทั้งกายของเขาเหมือนกับดวงอาทิตย์เจิดจ้า ทำเอาเมฆที่ลอยไปมากลางท้องฟ้าสะท้อนสีแดงออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินสัมผัสได้ถึงความเงียบอันน่าประหลาด นางถามเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

 

 

“ครึ่งปีศาจ” หลัวอวี้เฉิงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ

 

 

มั่วชิงเฉินเต้นระรัว นางเคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์นี้

 

 

ในปีนั้นเมื่อรู้ว่าอดีตคนรักของกู้หลีที่นางเลื่อมใสศรัทธาคือเผ่าจิ้งจอกขาว นางก็ให้ความรู้สึกสนใจกับปีศาจอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

 

ในขณะที่รู้ถึงเรื่องราวความรักระหว่างมนุษย์และปีศาจ ก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของครึ่งปีศาจ

 

 

ว่ากันว่าความรักระหว่างมนุษย์และปีศาจนั้นขัดต่อสวรรค์ มีความเป็นไปได้สูงที่ลูกหลานของพวกเขาจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มิใช่ทั้งมนุษย์มิใช่ปีศาจ การมีอยู่ของพวกเขาถูกจัดให้เป็นบ่อเกิดแห่งภัยพิบัติ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือเผ่าปีศาจล้วนไม่ยอมรับ จนกลายเป็นเผ่าที่ถูกทอดทิ้ง

 

 

แน่นอนว่าความคิดของผู้คนที่ว่ามนุษย์และปีศาจมิอาจครองรักกันได้นั้นหยั่งรากลึก ความรักระหว่างมนุษย์และปีศาจจึงพบได้ยาก ครึ่งปีศาจจึงมีอยู่จริงแค่ในตำนาน นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้นางจะบังเอิญได้พบ

 

 

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” น้ำเสียงเย็นเยียบไร้ซึ่งความอ่อนโยน ประหนึ่งเสียงจากวิญญาณในยมโลกดังขึ้น 

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ว่าร่างของนางถูกผลักออกอย่างแรง น้ำเสียงของหลัวอวี้เฉิงก็ดังขึ้น “เร็วเข้า ให้หมาป่าน้อยพาเจ้าไป!”

 

 

พลังวิญญาณรุนแรงปะทะกันกลางอากาศ หลัวอวี้เฉิงและครึ่งปีศาจเปิดฉากต่อสู้กันแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินนั่งอยู่หลังของหมาป่าน้อยอย่างว่าง่าย มือกำขนบนหลังของมันแน่น เพียงแค่ฟังดูก็เข้าใจได้ว่าสถานการณ์การต่อสู้นั้นดุเดือดเพียงใด

 

 

“หมาป่าน้อย ใครได้เปรียบหรือ” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มั่วชิงเฉินก็ถามออกมาอย่างอดไม่ไหว

 

 

ครึ่งปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษมาก เพียงมองจากรูปลักษณ์ก็รับรู้ได้ว่าการบำเพ็ญเพียรไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรและอสูรปีศาจ

 

 

“บ่าของหลัวหวี้เฉิงถูกเผาจนเป็นรูจนไม่น่ามอง แต่เส้นผมของครึ่งปีศาจถูกดึงออกไปหนึ่งกระจุก ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธมาก” หมาป่าน้อยบรรยายตามความจริง ไม่ได้เสริมสิ่งใดเข้าไป

 

 

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก “ครึ่งปีศาจเดินหมากอย่างไรหรือ”

 

 

หมาป่าน้อยพูดออกมาคำเดียวสั้นๆ “ไฟ!”

 

 

เส้นเลือดตรงขมับของมั่วชิงเฉินเต้นตุบๆ ตอนนี้นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้างกายนางเป็นอีกาไฟ ถ้าหากเป็นเจ้านั่น จะต้องบรรยายการต่อสู้ตรงหน้าได้อย่างมีชีวิตชีวาประหนึ่งเห็นด้วยตาตนเอง

 

 

“หลัวอวี้เฉิงกลายเป็นพายุหมุนแล้ว ข้างใต้เท้าของครึ่งปีศาจก็มีดอกบัวเพลิงออกมา ตาทั้งสองข้างหลับลง ปากก็ขยับ” หมาป่าน้อยเห็นถึงความกังวลใจของมั่วชิงเฉิน แม้ว่าจะใช้คำไม่ครบ แต่ก็พยายามพูดอย่างสุดความสามารถแล้ว

 

 

 หมากสุดท้ายแล้วหรือ

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ หลัวอวี้เฉิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แม้มั่วชิงเฉินจะมองไม่เห็น แต่นางก็รับรู้ได้อย่างเด่นชัดว่าเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก

 

 

ไม่ได้ นางต้องลงมือแล้ว!

 

 

สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไปนิ่งสงบ แม้ดวงตาจะมองไม่เห็นแต่ก็ปรือขึ้นมาตามความเคยชิน มือง้างธนูเขียวซ่อนเร้นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าออก

 

 

“นายท่าน ท่านเล็งไม่ถูกทิศ” หมาป่าน้อยกล่าวเตือน

 

 

น้ำเสียงของมั่วชิงเฉินเปลี่ยนไปเป็นมีชีวิตชีวา “หมาป่าน้อย เจ้ามิต้องพูด”

 

 

สองมือของนางจับธนูเขียวซ่อนเร้นและแน่นิ่งไม่ไหวติง

 

 

ในตอนที่ครึ่งปีศาจหยุดร่ายเคล็ด ดอกบัวเพลิงใต้เท้าพลันพุ่งขึ้นสูง มั่วชิงเฉินเล็งธนูเขียวซ่อนเร้นขึ้นไปยังท้องฟ้าทันที จากนั้นปีกศรสีฟ้าอ่อนก็ถูกยิงพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า

 

 

เสียงวิหคร้องดังขึ้นชัดเจน เปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่โลดแล่นอยู่บนศรเหมันต์ส่องแสงประหลาด จมลงไปในมวลเมฆและพุ่งลงมา มุ่งตรงไปยังดอกบัวเพลิงที่ลอยขึ้นมาบนศีรษะของครึ่งปีศาจ

 

 

ชั่วขณะที่ศรเหมันต์สัมผัสเข้ากับดอกบัวเพลิง เปลวน้ำแข็งเหมันต์พลันเปล่งประกายคล้ายแสงดาว กระจายออกไปรอบราวกับกำลังแข่งขันกับดอกบัวเพลิง

 

 

เปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นเปลวไฟที่หนาวเย็นมาก ครู่เดียวก็ฝ่าเข้าไปใจกลางดอกบัวและทำให้เม็ดบัวกลายเป็นน้ำแข็ง

 

 

เสียงสะอื้นแผ่วเบาของครึ่งปีศาจดังไปถึงใบหูของมั่วชิงเฉินอย่างชัดเจน

 

 

ยามนั้นหลัวอวี้เฉิงที่กลายเป็นพายุหมุนก็เคลื่อนที่มาอยู่เบื้องหน้าของครึ่งปีศาจ เขาใช้กายเป็นอาวุธ กลายเป็นมีดวายุขนาดมหึมาหนึ่งเล่ม เล็งไปยังหน้าผากของครึ่งปีศาจและฟันลงไปอย่างแรง

 

 

เสียงไหลทะลักของเลือดดังขึ้น จากนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆ เข้าสู่ความสงบ

 

 

มุมปากของมั่วชิงเฉินยกขึ้น จากนั้นก็กระอักเลือดออกมาอย่างทนไม่ไหว

 

 

ร่างถูกโอบเอาไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของหลัวอวี้เฉิง “มั่วชิงเฉิน ข้าบอกเจ้ากี่รอบแล้วกันว่าอย่าโอ้อวด!”

 

 

มั่วชิงเฉินที่ใบหน้าซีดเผือดยิ้มพลางเอ่ย “เสียแค่เลือดเล็กน้อย อย่างไรเสียก็ดีกว่าให้ครึ่งปีศาจจัดการกับเจ้าแล้วมาจัดการกับข้า”

 

 

แน่นอนว่าศรดอกนั้นของนางมิได้อาศัยโชค แต่อาศัยเลือดหัวใจฝืนเบิกเนตรสวรรค์ และส่งพลังทั้งหมดออกไป

 

 

ไม่ว่าอย่างไรหากทำให้มีชีวิตอยู่ต่อได้ เช่นนั้นก็คุ้มค่า!

 

 

ทันใดนั้นก็เสียงกระแสลมวนดังขึ้น มั่วชิงเฉินถามทั้งที่หอบ “หลัวอวี้เฉิง เกิดอันใดขึ้น”

 

 

หลัวอวี้เฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่า พวกเราออกไปได้แล้ว”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+