พันธกานต์ปราณอัคคี 534-2 เสน่ห์ของปีศาจ

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 534-2 เสน่ห์ของปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มันยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงระดับจำแลงกาย ร่างกายไม่เหมือนเผ่าจิ้งจอกหรือเผ่านกบางชนิดที่มีบางส่วนคล้ายมนุษย์ จึงไม่ถนัดในการใช้สมบัติวิเศษ รู้สึกว่ามิสู้พึ่งพาร่างกายตนเอง จะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่การเผชิญหน้าในครั้งก่อนๆ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ลำพังพึ่งร่างกายต่อสู้กับเปลวเพลิงที่นี่ ต้องลำบากตรากตรำแน่ ถ้าแค่ลวกไม้ลวกมือยังพอว่า แต่ถ้าถูกลวกทั้งตัวก็…       นึกถึงตรงนี้ เวยเซิงลิ่วก็ตัวสั่นขึ้นมา       ลูกไฟมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เวยเซิงลิ่วไม่มีเวลาสนใจข้อห้าม หันหลังให้บั้นท้ายเผชิญหน้ากับลูกไฟ       มั่วชิงเฉินตะลึงงัน อดคิดไม่ได้ว่า ผิวหนังอะไรตรงบั้นท้ายของอสูรปีศาจหนาอย่างนั้นหรือ       พอเห็นลูกไฟกำลังจะสัมผัสถูกเวยเซิงลิ่ว มั่วชิงเฉินที่รู้สึกทั้งแปลกใจและตกใจมาก ก็เบิกตาโตมองให้ถ้วนถี่เป็นพิเศษ ไม่คิดจะหันหลบแต่อย่างใด       เห็นเวยเซิงลิ่วยกหางสูง คล้ายเงื้อแส้อย่างไรอย่างนั้น ก่อนตวัดม้วนเป็นแส้ดอกไม้ สะบัดใส่ลูกไฟอย่างแรง เสียง  เพียะ  ดังขึ้น ลูกไฟถูกฟาดแตกเป็นสี่ห้าเสี่ยง เวยเซิงลิ่วรีบหาช่องว่างพุ่งตัวออกมา       พอเห็นมั่วชิงเฉินเบิกตาดอกท้อกระจ่างใสมองอยู่ ก็พลันอับอายจนโกรธ คำราม “สหายมั่ว ไม่รู้ว่าอะไรเรียกผิดจริยาอย่ามองรึ!”       มั่วชิงเฉินรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ หลายปีมานี้บนเส้นทางสายมืด อสูรปีศาจพิถีพิถันกว่ามนุษย์แล้วหรือ จึงกลั้นขำ แล้วว่า “ขออภัย”       เวยเซิงลิ่วแค่นเสียงเย็นชา “พูดขออภัยมีประโยชน์อะไร ถ้าเสื้อผ้าเจ้าหลุด แล้วข้าเบิกตามอง เจ้ายินยอมรึ”       เสียงเซี่ยหรันพลันดังมา “อย่าทะเลาะกัน ลูกไฟอีกลูกมาแล้ว!”       ลูกนี้ใหญ่กว่าลูกเมื่อครู่ ถึงเซี่ยหรันใช้วิชาซ้ำเดิม ก็หลบลูกไฟไม่พ้น จึงได้แต่หน้าเขียวคล้ำ เลียนแบบท่วงท่ามั่วชิงเฉิน โค้งตัวพุ่งไปข้างหน้า เพียงเสียดาย เขาไม่เคยฝึกคาถากายามาก่อน ไหนเลยจะโค้งได้ไม่ขาดไม่เกินแบบมั่วชิงเฉิน ส่วนที่เกินออกมาเล็กน้อยจึงโดนลวกไป รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ภาพตรงหน้าดำมืด ตกแหมะลงบนพื้น       ส่วนมั่วชิงเฉินกลับใช้ท่วงท่าแบบเมื่อครู่ หลบไปได้ เวยเซิงลิ่วครวญ “ทำไมยังมีอีก!”       อาจเป็นเพราะทำแตกได้ไปครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงเรียบร้อย ตวัดหางโค้งอย่างสวยงาม ฟาดใส่ลูกไฟดัง  เพียะๆ  ไปหลายที พอฟาดจนลูกไฟกลายเป็นประกายไฟเล็กๆ ก็รีบพุ่งตัวออกมา       ทันใดพลันมีเสียงดังมา ทั้งสามเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน พลันหน้าเปลี่ยนสี       ลูกไฟลูกใหญ่เกือบเต็มทางเดินกลิ้งอย่างรวดเร็วเข้าหาคนทั้งสาม       “สหายเวยเซิง เจ้าไปอยู่หน้าสุด!” มั่วชิงเฉินตะโกน       เวยเซิงลิ่วขนตั้งทันที “ทำไมต้องเป็นข้า”       สิ้นเสียง ก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้ามัว เนื่องจากถูกมั่วชิงเฉินจับปกเสื้อแล้วโยนไปทั้งร่าง       เวยเซิงลิ่วใช้หางฟาดลูกไฟ พลางร้องโวยวายด้วยความโมโห “เจ้ากล้าดีอย่างไร กล้าดีอย่างไรโยนข้ามาที่นี่”       มั่วชิงเฉินชี้ไปยังเซี่ยหรันที่คลานอยู่บนพื้น “ไม่อย่างนั้น สหายเซี่ยก็ถูกไฟลวกทั้งตัวพอดี”       “แล้วเจ้าล่ะ” เวยเซิงลิ่วถามอย่างไม่พอใจ       มั่วชิงเฉินยกมุมปากขึ้น “ข้าก็อับจนหนทาง แล้วก็ไม่อยากกลายเป็นหนังมนุษย์แปะติดผนังถ้ำ ในเมื่อหางของเจ้าใช้งานได้ดีขนาดนี้ ก็ไม่ต้องเหลือไว้ปัดแมลงวันหรอก”       “เจ้า!” เวยเซิงลิ่วโมโหจนควันออกหู จึงตวัดหางเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทำให้ลูกไฟยักษ์หายไปอย่างรวดเร็ว        ตอนนี้เซี่ยหรันลุกขึ้นยืนได้แล้ว แต่เพราะขายหน้าเมื่อครู่ แถมยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างมิอาจบรรยายได้ จึงเงียบผิดปกติ       ยังดีที่ไม่มีลูกไฟกลิ้งมาแล้ว ทั้งสามจึงเดินเงียบๆ ไปครึ่งค่อนวัน ค่อยพบว่ามีทางเลี้ยว       นี่เป็นหัวเลี้ยวแรก หลังจากเดินมาตั้งนาน ทั้งสามจึงเลี้ยวเข้าไปอย่างระมัดระวัง       ปราณความร้อนที่รุนแรงและยุ่งเหยิงกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ตะเกียงเขาม่วงในมือเซี่ยหรันดับลงทันที       เมื่อดวงตาคุ้นชินกับแสงสว่างแต่แรก พอตะเกียงเขาม่วงดับลง ด้านหน้าก็พลันมืด       มั่วชิงเฉินรีบโยนตะเกียงฟักทองออก ให้ลอยอยู่ด้านหน้าคนทั้งสาม       ภายใต้แสงสีเหลืองขุ่น เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วค่อยๆ ชินกับแสงสลัว และพอเห็นภาพตรงหน้า ก็พลันเหงื่อแตกไปทั้งตัว       ส่วนมั่วชิงเฉิน เนื่องจากโอกาสบางอย่างในช่วงแรกๆ ดวงตาจึงใสกระจ่างกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป และเมื่อครู่แม้เห็นไม่ชัด ก็ยังพยายามมองดูคร่าวๆ พลางเตรียมใจไว้บ้าง       ด้านหน้าคือบ่อขนาดใหญ่ ในบ่อไม่ใช่น้ำใส แต่เป็นหินหลอมเหลวสีแดงกำลังเดือดพล่าน       ขณะหินหลอมเหลวปะทุ ก็เกิดฟองอากาศพวยพุ่งขึ้นด้านบน กลายเป็นกระแสลมหลายสาย แล้วกระแสลมก็มารวมตัวกัน เกิดเป็นพายุหมุนลูกเล็กๆ พัดอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้ทิศทาง       กลางบ่อหินหลอมเหลว คลับคล้ายมีวัตถุสีเหลืองทองอยู่ มองไม่ออกว่าเป็นอะไร       ส่วนสาเหตุที่เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วเหงื่อแตกนั้น ก็เพราะบ่อหินหลอมเหลวแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก พวกเขาเพิ่งเลี้ยวเข้ามา แค่ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ก็ต้องตกลงไปในบ่อนี้แน่        ดีที่ได้ตะเกียงฟักทองในมือมั่วชิงเฉิน        เซี่ยหรันมองตะเกียงฟักทอง แล้วพูดยิ้มๆ “เมื่อครู่ต้องขอบคุณสหายมั่วแล้ว ไม่รู้ว่าตะเกียงในมือสหายมั่วคือตะเกียงอะไร แม้เผชิญกับพายุ ก็ยังเสถียรขนาดนี้”       มั่วชิงเฉินมองดูบ่อข้างหน้า พลางว่า “ได้มาเพราะความบังเอิญน่ะ สลัวแต่เสถียร ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้มาก”       เซี่ยหรันรู้ว่าตนถามมากเกินไป จึงมองไปที่บ่อ ตามสายตามั่วชิงเฉิน “สหายมั่วพบเห็นอะไรหรือ”       แต่พอเขาจ้องไปที่ผิวน้ำ ก็ต้องหรี่ตาลง       ท่ามกลางหินหลอมเหลวเดือดปุด คลับคล้ายเห็นกระดูกสีขาว และกะโหลกศีรษะ       เซี่ยหรันพูดไม่ออกอยู่บ้าง “คนเหล่านี้ ล้วนตกลงไปในบ่อสินะ”       “แหงล่ะ เมื่อครู่เราก็เกือบจะตกลงไปมิใช่หรือ” เวยเซิงลิ่วพูดพลางกวาดตามองมั่วชิงเฉิน ความรู้สึกโกรธนางในใจพลันจางหาย       “ท่านทั้งสองมีวิธีข้ามไปไหม” มั่วชิงเฉินชี้ไปที่บ่อหินหลอมเหลว       บนบ่อมีกระแสความร้อนปะทุ อีกทั้งยังมีพายุหมุนกระหน่ำ ถ้าเหยียบสมบัติวิเศษเหินหาวข้ามไป แล้วทำให้ปราณวิญญาณแปรปรวน เกรงว่าอาจดึงดูดการโจมตี       เซี่ยหรันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ข้าลองดู”       สองมือของเขาขยับไม่หยุด พลางร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว ค้างคาวตัวแล้วตัวเล่าบินออกจากแขนเสื้อ แล้วไปบินวนเหนือบ่อ สักพักก็มาต่อตัวกันแบบสะพานนกกระเรียน[1] เอ่อ ควรเป็นสะพานค้างคาวสิ       “สหายทั้งสอง ข้าน้อยขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง” เซี่ยหรันรู้ว่าถ้าตนไม่เดินไปก่อน ทั้งสองต้องระแวงแน่ จึงเดินขึ้นสะพานไป       มั่วชิงเฉินกับเวยเซิงลิ่วสบตากัน ค่อยก้าวตาม       ตอนเหยียบลงบนสะพานค้างคาว ใต้ฝ่าเท้ารู้สึกถึงเส้นขนและความสั่น มั่วชิงเฉินจึงรีบก้าวข้ามไป       นางกลับไม่กลัวว่าเซี่ยหรันจะเล่นลูกไม้อะไร ต่อให้สะพานค้างคาวพลันหายไป นางก็ยังเหาะกลางอากาศได้ จึงเดินได้อย่างมั่นใจ        แต่เวยเซิงลิ่วก็ไม่เหมือนกันแล้ว เขารูปร่างสูง และมิได้จำแลงกายได้จริงๆ จึงไม่ชินกับการเดินสองขา พอขึ้นไปบนสะพานค้างคาว ก็ยิ่งตัวสั่น กลัวว่าจะเหยียบจนค้างคาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าสลบ แล้วตกตามกันลงไป       และถ้าพายุหมุนพัดมา สะพานค้างคาวก็จะสั่นไหวตามจิตของเซี่ยหรัน เวยเซิงลิ่วจึงรีบกดสองมือลงบนสะพาน แล้วคลานสี่ขาไป       มั่วชิงเฉินที่อยู่หลังสุดเห็นท่าทางของเขา โดยเฉพาะหางที่มีขนดกนั่น ยังเกร็งอย่างระแวดระวังอยู่ จึงอยากหัวเราะออกมาจริงๆ แต่ก็กลัวว่าคนเขาจะโกรธ จึงได้แต่กัดริมฝีปาก ไอแค่กๆ ออกมาสองที       เซี่ยหรันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จึงหันหลังกลับ พอเห็นท่าทางของเวยเซิงลิ่ว ก็ยิ้มมุมปากเช่นกัน แล้วรีบหันกลับ       เวยเซิงลิ่วไม่สบอารมณ์ จึงยืนขึ้น ไม่มีใครกล้ามองมาอีก เขาจึงหนีบหางพลางเดินไปข้างหน้า       ไม่นานนัก ทั้งสามก็เดินมาถึงกลางสะพาน เข้าใกล้วัตถุสีเหลืองทองในบ่อยิ่งขึ้น มั่วชิงเฉินค่อยเห็นชัดว่า มันคือไม้เก้ากรงเล็บ หรือที่เรียกกันว่า ส้มโอมือ       ในบ่อหินหลอมเหลว ปรากฏส้มโอมือผลหนึ่ง ให้ความรู้สึกไม่เข้ากันจริงๆ       และในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงกระตือรือร้นของดอกเบญจมาศแดงในถุงอสูรวิญญาณดังมา “นาย…นายท่าน นั่น นั่นก็คือดอกไม้พิสดาร!”       “อะไรนะ นั่นหรือดอกไม้พิสดาร” ความรู้สึกที่ผุดขึ้นในใจมั่วชิงเฉินไม่ใช่ความปีติยินดี แต่เป็นความกังขา       ดอกไม้พิสดารนี่ คล้ายพานพบได้ไม่ยาก       ดอกเบญจมาศแดงร้อนรนอยู่บ้าง พยักหน้าติดต่อกัน “ใช่แล้วนายท่าน ตอนนั้นข้าเคยเห็น ดอกไม้พิสดารมีลักษณะเช่นนี้ ท่าน ท่านต้องชิงลงมือก่อน มิฉะนั้นจะถูกสองคนนั่นเอาไปได้”       “อย่างนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินถามเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม       ดอกเบญจมาศแดงสั่นไหว ร้องไห้ขึ้นมา “นายท่าน คนเขาเพียงคิดเพื่อท่านทั้งใจ ฮือออ”       “หุบปาก ขืนร้องไห้ จะโยนเจ้าลงไปในบ่อนี้แหละ” มั่วชิงเฉินพูดเสียงเย็นชา       ดอกเบญจมาศแดงรีบปิดปาก แล้วมองมั่วชิงเฉินพลางน้ำตาไหล       เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วไม่รู้หยุดลงแต่เมื่อไหร่ ก่อนพุ่งเป้าสายตาไปยังส้มโอมือในบ่อ       เพียงสบตากัน ทั้งสองก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย        เซี่ยหรันเอ่ยปาก “สหายทั้งสอง เราต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเองก็แล้วกัน”       พูดจบเชือกดำเส้นหนึ่งก็พุ่งออกจากฝ่ามือ ไปยังส้มโอมือ       เวยเซิงลิ่วสะบัดหาง ความเร็วเปลี่ยนเป็นความยาว ม้วนเข้าหาส้มโอมือในบ่ออย่างคล่องแคล่ว       ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดอกเบญจมาศแดงแสดงความกระตือรือร้นจนเกินเหตุ หรือดอกไม้พิสดารปรากฏขึ้นอย่างบังเอิญจนเกินไป มั่วชิงเฉินถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงร้องเตือน “สหายทั้งสองอย่าเพิ่งรีบลงมือ!”       แต่สายเสียแล้ว เชือกดำในมือเซี่ยหรันกับหางของเวยเซิงลิ่วม้วนส้มโอมือพร้อมกัน แล้วดึงมันขึ้น       แสงสีทองเจิดจรัส ส้มโอมือถูกนำขึ้นมา       และในตอนนี้เอง จุดที่ส้มโอมือเคยอยู่ก็ปรากฏกระแสน้ำวนที่ทั้งเร็วและแรง จนม้วนเอากระแสความร้อนกับพายุหมุนเข้าไป สะพานที่ค้างคาวต่อตัวกัน พังทลายลงทันที ค้างคาวแต่ละตัวกลายเป็นปราณดำถูกม้วนเข้าไปด้วย       ทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี ต่างใช้วิธีของตนเหาะขึ้นฝั่ง แต่ด้านล่างพลันมีแรงดูดมหาศาลพุ่งเข้ามา ม้วนทั้งสามเข้าไปในพริบตา       หลังจากตกลงไปในกระแสน้ำวน ตลอดทั้งร่างคล้ายถูกอะไรพันธนาการไว้ ขยับไม่ได้แม้แต่น้อย ทว่าจิตสำนึกของทั้งสามล้วนแจ่มใส ได้ยินเสียงกระแสลมขณะร่างร่วงหล่นลงอย่างชัดเจน ถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งยากทานทน       เวยเซิงลิ่วเลียริมฝีปาก “พวกเราหล่นลงมาในที่บ้าบออะไรนี่ แล้วลึกแค่ไหนกันแน่”       มั่วชิงเฉินตอนเสียงเย็นชา “ยิ่งลึกเราก็ยิ่งแย่ เกรงว่าจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนแรกที่ตายเพราะตกจากที่สูงนี่สิ”       เซี่ยหรันหน้าเขียวคล้ำ ขยับมือ สิ่งหนึ่งปรากฏ มั่วชิงเฉินตั้งใจดู เป็นปีศาจผีเสื้อตนหนึ่ง       ผีเสื้อตนนี้มีลักษณะแบบมนุษย์ เป็นสาวงามรูปร่างเล็กและบอบบาง กำลังกระพือปีกคู่ที่อยู่ด้านหลัง แลดูสวยเป็นพิเศษ       “เจ้าโกหกข้าหรือ” เซี่ยหรันถามเน้นทีละคำ       ร่างอันบอบบางของปีศาจผีเสื้อสั่นเทา พลางส่งเสียงที่ทั้งนุ่มทั้งไพเราะออกมา “ข้า ข้าเปล่า…”       สิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียง  ป๊าบ  เซี่ยหรันยื่นมือออกไปตบศีรษะมัน ทำเอาปีศาจผีเสื้อแสนสวยกลายเป็นก้อนเนื้อเละเทะ       “ถ้าข้าถูกบดขยี้ เจ้าก็ต้องตกตายไปตามกัน!”       คำพูดนี้พอพูดออก กลับเตือนสติเวยเซิงลิ่ว ไม่รู้ว่ามีหอยทากตัวใหญ่ตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากส่วนไหนของเขา หอยทากเพิ่งร้องขอชีวิต ก็ถูกโยนเข้าปาก ได้ยินเสียงเคี้ยว  แจ๊บๆ  ดังมา       หลังจากร่วงหล่นรอบนี้ ทั้งสามคนพลันรู้สึกว่าตรงหน้าสว่างวาบ จากนั้นเท้าก็รู้สึกอ่อนนุ่ม คล้ายกับว่าสัมผัสกับพื้นดินจริงๆ                    ——  

มันยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงระดับจำแลงกาย ร่างกายไม่เหมือนเผ่าจิ้งจอกหรือเผ่านกบางชนิดที่มีบางส่วนคล้ายมนุษย์ จึงไม่ถนัดในการใช้สมบัติวิเศษ รู้สึกว่ามิสู้พึ่งพาร่างกายตนเอง จะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่การเผชิญหน้าในครั้งก่อนๆ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ลำพังพึ่งร่างกายต่อสู้กับเปลวเพลิงที่นี่ ต้องลำบากตรากตรำแน่ ถ้าแค่ลวกไม้ลวกมือยังพอว่า แต่ถ้าถูกลวกทั้งตัวก็…  

 

 

นึกถึงตรงนี้ เวยเซิงลิ่วก็ตัวสั่นขึ้นมา  

 

 

ลูกไฟมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เวยเซิงลิ่วไม่มีเวลาสนใจข้อห้าม หันหลังให้บั้นท้ายเผชิญหน้ากับลูกไฟ  

 

 

มั่วชิงเฉินตะลึงงัน อดคิดไม่ได้ว่า ผิวหนังอะไรตรงบั้นท้ายของอสูรปีศาจหนาอย่างนั้นหรือ  

 

 

พอเห็นลูกไฟกำลังจะสัมผัสถูกเวยเซิงลิ่ว มั่วชิงเฉินที่รู้สึกทั้งแปลกใจและตกใจมาก ก็เบิกตาโตมองให้ถ้วนถี่เป็นพิเศษ ไม่คิดจะหันหลบแต่อย่างใด  

 

 

เห็นเวยเซิงลิ่วยกหางสูง คล้ายเงื้อแส้อย่างไรอย่างนั้น ก่อนตวัดม้วนเป็นแส้ดอกไม้ สะบัดใส่ลูกไฟอย่างแรง เสียง  เพียะ  ดังขึ้น ลูกไฟถูกฟาดแตกเป็นสี่ห้าเสี่ยง เวยเซิงลิ่วรีบหาช่องว่างพุ่งตัวออกมา  

 

 

พอเห็นมั่วชิงเฉินเบิกตาดอกท้อกระจ่างใสมองอยู่ ก็พลันอับอายจนโกรธ คำราม “สหายมั่ว ไม่รู้ว่าอะไรเรียกผิดจริยาอย่ามองรึ!”  

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ หลายปีมานี้บนเส้นทางสายมืด อสูรปีศาจพิถีพิถันกว่ามนุษย์แล้วหรือ จึงกลั้นขำ แล้วว่า “ขออภัย”  

 

 

เวยเซิงลิ่วแค่นเสียงเย็นชา “พูดขออภัยมีประโยชน์อะไร ถ้าเสื้อผ้าเจ้าหลุด แล้วข้าเบิกตามอง เจ้ายินยอมรึ”  

 

 

เสียงเซี่ยหรันพลันดังมา “อย่าทะเลาะกัน ลูกไฟอีกลูกมาแล้ว!”  

 

 

ลูกนี้ใหญ่กว่าลูกเมื่อครู่ ถึงเซี่ยหรันใช้วิชาซ้ำเดิม ก็หลบลูกไฟไม่พ้น จึงได้แต่หน้าเขียวคล้ำ เลียนแบบท่วงท่ามั่วชิงเฉิน โค้งตัวพุ่งไปข้างหน้า เพียงเสียดาย เขาไม่เคยฝึกคาถากายามาก่อน ไหนเลยจะโค้งได้ไม่ขาดไม่เกินแบบมั่วชิงเฉิน ส่วนที่เกินออกมาเล็กน้อยจึงโดนลวกไป รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ภาพตรงหน้าดำมืด ตกแหมะลงบนพื้น  

 

 

ส่วนมั่วชิงเฉินกลับใช้ท่วงท่าแบบเมื่อครู่ หลบไปได้ เวยเซิงลิ่วครวญ “ทำไมยังมีอีก!”  

 

 

อาจเป็นเพราะทำแตกได้ไปครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงเรียบร้อย ตวัดหางโค้งอย่างสวยงาม ฟาดใส่ลูกไฟดัง  เพียะๆ  ไปหลายที พอฟาดจนลูกไฟกลายเป็นประกายไฟเล็กๆ ก็รีบพุ่งตัวออกมา  

 

 

ทันใดพลันมีเสียงดังมา ทั้งสามเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน พลันหน้าเปลี่ยนสี  

 

 

ลูกไฟลูกใหญ่เกือบเต็มทางเดินกลิ้งอย่างรวดเร็วเข้าหาคนทั้งสาม  

 

 

“สหายเวยเซิง เจ้าไปอยู่หน้าสุด!” มั่วชิงเฉินตะโกน  

 

 

เวยเซิงลิ่วขนตั้งทันที “ทำไมต้องเป็นข้า”  

 

 

สิ้นเสียง ก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้ามัว เนื่องจากถูกมั่วชิงเฉินจับปกเสื้อแล้วโยนไปทั้งร่าง  

 

 

เวยเซิงลิ่วใช้หางฟาดลูกไฟ พลางร้องโวยวายด้วยความโมโห “เจ้ากล้าดีอย่างไร กล้าดีอย่างไรโยนข้ามาที่นี่”  

 

 

มั่วชิงเฉินชี้ไปยังเซี่ยหรันที่คลานอยู่บนพื้น “ไม่อย่างนั้น สหายเซี่ยก็ถูกไฟลวกทั้งตัวพอดี”  

 

 

“แล้วเจ้าล่ะ” เวยเซิงลิ่วถามอย่างไม่พอใจ  

 

 

มั่วชิงเฉินยกมุมปากขึ้น “ข้าก็อับจนหนทาง แล้วก็ไม่อยากกลายเป็นหนังมนุษย์แปะติดผนังถ้ำ ในเมื่อหางของเจ้าใช้งานได้ดีขนาดนี้ ก็ไม่ต้องเหลือไว้ปัดแมลงวันหรอก”  

 

 

“เจ้า!” เวยเซิงลิ่วโมโหจนควันออกหู จึงตวัดหางเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทำให้ลูกไฟยักษ์หายไปอย่างรวดเร็ว   

 

 

ตอนนี้เซี่ยหรันลุกขึ้นยืนได้แล้ว แต่เพราะขายหน้าเมื่อครู่ แถมยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างมิอาจบรรยายได้ จึงเงียบผิดปกติ  

 

 

ยังดีที่ไม่มีลูกไฟกลิ้งมาแล้ว ทั้งสามจึงเดินเงียบๆ ไปครึ่งค่อนวัน ค่อยพบว่ามีทางเลี้ยว  

 

 

นี่เป็นหัวเลี้ยวแรก หลังจากเดินมาตั้งนาน ทั้งสามจึงเลี้ยวเข้าไปอย่างระมัดระวัง  

 

 

ปราณความร้อนที่รุนแรงและยุ่งเหยิงกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ตะเกียงเขาม่วงในมือเซี่ยหรันดับลงทันที  

 

 

เมื่อดวงตาคุ้นชินกับแสงสว่างแต่แรก พอตะเกียงเขาม่วงดับลง ด้านหน้าก็พลันมืด  

 

 

มั่วชิงเฉินรีบโยนตะเกียงฟักทองออก ให้ลอยอยู่ด้านหน้าคนทั้งสาม  

 

 

ภายใต้แสงสีเหลืองขุ่น เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วค่อยๆ ชินกับแสงสลัว และพอเห็นภาพตรงหน้า ก็พลันเหงื่อแตกไปทั้งตัว  

 

 

ส่วนมั่วชิงเฉิน เนื่องจากโอกาสบางอย่างในช่วงแรกๆ ดวงตาจึงใสกระจ่างกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป และเมื่อครู่แม้เห็นไม่ชัด ก็ยังพยายามมองดูคร่าวๆ พลางเตรียมใจไว้บ้าง  

 

 

ด้านหน้าคือบ่อขนาดใหญ่ ในบ่อไม่ใช่น้ำใส แต่เป็นหินหลอมเหลวสีแดงกำลังเดือดพล่าน  

 

 

ขณะหินหลอมเหลวปะทุ ก็เกิดฟองอากาศพวยพุ่งขึ้นด้านบน กลายเป็นกระแสลมหลายสาย แล้วกระแสลมก็มารวมตัวกัน เกิดเป็นพายุหมุนลูกเล็กๆ พัดอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้ทิศทาง  

 

 

กลางบ่อหินหลอมเหลว คลับคล้ายมีวัตถุสีเหลืองทองอยู่ มองไม่ออกว่าเป็นอะไร  

 

 

ส่วนสาเหตุที่เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วเหงื่อแตกนั้น ก็เพราะบ่อหินหลอมเหลวแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก พวกเขาเพิ่งเลี้ยวเข้ามา แค่ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ก็ต้องตกลงไปในบ่อนี้แน่   

 

 

ดีที่ได้ตะเกียงฟักทองในมือมั่วชิงเฉิน   

 

 

เซี่ยหรันมองตะเกียงฟักทอง แล้วพูดยิ้มๆ “เมื่อครู่ต้องขอบคุณสหายมั่วแล้ว ไม่รู้ว่าตะเกียงในมือสหายมั่วคือตะเกียงอะไร แม้เผชิญกับพายุ ก็ยังเสถียรขนาดนี้”  

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูบ่อข้างหน้า พลางว่า “ได้มาเพราะความบังเอิญน่ะ สลัวแต่เสถียร ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้มาก”  

 

 

เซี่ยหรันรู้ว่าตนถามมากเกินไป จึงมองไปที่บ่อ ตามสายตามั่วชิงเฉิน “สหายมั่วพบเห็นอะไรหรือ”  

 

 

แต่พอเขาจ้องไปที่ผิวน้ำ ก็ต้องหรี่ตาลง  

 

 

ท่ามกลางหินหลอมเหลวเดือดปุด คลับคล้ายเห็นกระดูกสีขาว และกะโหลกศีรษะ  

 

 

เซี่ยหรันพูดไม่ออกอยู่บ้าง “คนเหล่านี้ ล้วนตกลงไปในบ่อสินะ”  

 

 

“แหงล่ะ เมื่อครู่เราก็เกือบจะตกลงไปมิใช่หรือ” เวยเซิงลิ่วพูดพลางกวาดตามองมั่วชิงเฉิน ความรู้สึกโกรธนางในใจพลันจางหาย  

 

 

“ท่านทั้งสองมีวิธีข้ามไปไหม” มั่วชิงเฉินชี้ไปที่บ่อหินหลอมเหลว  

 

 

บนบ่อมีกระแสความร้อนปะทุ อีกทั้งยังมีพายุหมุนกระหน่ำ ถ้าเหยียบสมบัติวิเศษเหินหาวข้ามไป แล้วทำให้ปราณวิญญาณแปรปรวน เกรงว่าอาจดึงดูดการโจมตี  

 

 

เซี่ยหรันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ข้าลองดู”  

 

 

สองมือของเขาขยับไม่หยุด พลางร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว ค้างคาวตัวแล้วตัวเล่าบินออกจากแขนเสื้อ แล้วไปบินวนเหนือบ่อ สักพักก็มาต่อตัวกันแบบสะพานนกกระเรียน[1] เอ่อ ควรเป็นสะพานค้างคาวสิ  

 

 

“สหายทั้งสอง ข้าน้อยขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง” เซี่ยหรันรู้ว่าถ้าตนไม่เดินไปก่อน ทั้งสองต้องระแวงแน่ จึงเดินขึ้นสะพานไป  

 

 

มั่วชิงเฉินกับเวยเซิงลิ่วสบตากัน ค่อยก้าวตาม  

 

 

ตอนเหยียบลงบนสะพานค้างคาว ใต้ฝ่าเท้ารู้สึกถึงเส้นขนและความสั่น มั่วชิงเฉินจึงรีบก้าวข้ามไป  

 

 

นางกลับไม่กลัวว่าเซี่ยหรันจะเล่นลูกไม้อะไร ต่อให้สะพานค้างคาวพลันหายไป นางก็ยังเหาะกลางอากาศได้ จึงเดินได้อย่างมั่นใจ   

 

 

แต่เวยเซิงลิ่วก็ไม่เหมือนกันแล้ว เขารูปร่างสูง และมิได้จำแลงกายได้จริงๆ จึงไม่ชินกับการเดินสองขา พอขึ้นไปบนสะพานค้างคาว ก็ยิ่งตัวสั่น กลัวว่าจะเหยียบจนค้างคาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าสลบ แล้วตกตามกันลงไป  

 

 

และถ้าพายุหมุนพัดมา สะพานค้างคาวก็จะสั่นไหวตามจิตของเซี่ยหรัน เวยเซิงลิ่วจึงรีบกดสองมือลงบนสะพาน แล้วคลานสี่ขาไป  

 

 

มั่วชิงเฉินที่อยู่หลังสุดเห็นท่าทางของเขา โดยเฉพาะหางที่มีขนดกนั่น ยังเกร็งอย่างระแวดระวังอยู่ จึงอยากหัวเราะออกมาจริงๆ แต่ก็กลัวว่าคนเขาจะโกรธ จึงได้แต่กัดริมฝีปาก ไอแค่กๆ ออกมาสองที  

 

 

เซี่ยหรันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จึงหันหลังกลับ พอเห็นท่าทางของเวยเซิงลิ่ว ก็ยิ้มมุมปากเช่นกัน แล้วรีบหันกลับ  

 

 

เวยเซิงลิ่วไม่สบอารมณ์ จึงยืนขึ้น ไม่มีใครกล้ามองมาอีก เขาจึงหนีบหางพลางเดินไปข้างหน้า  

 

 

ไม่นานนัก ทั้งสามก็เดินมาถึงกลางสะพาน เข้าใกล้วัตถุสีเหลืองทองในบ่อยิ่งขึ้น มั่วชิงเฉินค่อยเห็นชัดว่า มันคือไม้เก้ากรงเล็บ หรือที่เรียกกันว่า ส้มโอมือ  

 

 

ในบ่อหินหลอมเหลว ปรากฏส้มโอมือผลหนึ่ง ให้ความรู้สึกไม่เข้ากันจริงๆ  

 

 

และในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงกระตือรือร้นของดอกเบญจมาศแดงในถุงอสูรวิญญาณดังมา “นาย…นายท่าน นั่น นั่นก็คือดอกไม้พิสดาร!”  

 

 

“อะไรนะ นั่นหรือดอกไม้พิสดาร” ความรู้สึกที่ผุดขึ้นในใจมั่วชิงเฉินไม่ใช่ความปีติยินดี แต่เป็นความกังขา  

 

 

ดอกไม้พิสดารนี่ คล้ายพานพบได้ไม่ยาก  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงร้อนรนอยู่บ้าง พยักหน้าติดต่อกัน “ใช่แล้วนายท่าน ตอนนั้นข้าเคยเห็น ดอกไม้พิสดารมีลักษณะเช่นนี้ ท่าน ท่านต้องชิงลงมือก่อน มิฉะนั้นจะถูกสองคนนั่นเอาไปได้”  

 

 

“อย่างนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินถามเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงสั่นไหว ร้องไห้ขึ้นมา “นายท่าน คนเขาเพียงคิดเพื่อท่านทั้งใจ ฮือออ”  

 

 

“หุบปาก ขืนร้องไห้ จะโยนเจ้าลงไปในบ่อนี้แหละ” มั่วชิงเฉินพูดเสียงเย็นชา  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงรีบปิดปาก แล้วมองมั่วชิงเฉินพลางน้ำตาไหล  

 

 

เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วไม่รู้หยุดลงแต่เมื่อไหร่ ก่อนพุ่งเป้าสายตาไปยังส้มโอมือในบ่อ  

 

 

เพียงสบตากัน ทั้งสองก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย   

 

 

เซี่ยหรันเอ่ยปาก “สหายทั้งสอง เราต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเองก็แล้วกัน”  

 

 

พูดจบเชือกดำเส้นหนึ่งก็พุ่งออกจากฝ่ามือ ไปยังส้มโอมือ  

 

 

เวยเซิงลิ่วสะบัดหาง ความเร็วเปลี่ยนเป็นความยาว ม้วนเข้าหาส้มโอมือในบ่ออย่างคล่องแคล่ว  

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดอกเบญจมาศแดงแสดงความกระตือรือร้นจนเกินเหตุ หรือดอกไม้พิสดารปรากฏขึ้นอย่างบังเอิญจนเกินไป มั่วชิงเฉินถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงร้องเตือน “สหายทั้งสองอย่าเพิ่งรีบลงมือ!”  

 

 

แต่สายเสียแล้ว เชือกดำในมือเซี่ยหรันกับหางของเวยเซิงลิ่วม้วนส้มโอมือพร้อมกัน แล้วดึงมันขึ้น  

 

 

แสงสีทองเจิดจรัส ส้มโอมือถูกนำขึ้นมา  

 

 

และในตอนนี้เอง จุดที่ส้มโอมือเคยอยู่ก็ปรากฏกระแสน้ำวนที่ทั้งเร็วและแรง จนม้วนเอากระแสความร้อนกับพายุหมุนเข้าไป สะพานที่ค้างคาวต่อตัวกัน พังทลายลงทันที ค้างคาวแต่ละตัวกลายเป็นปราณดำถูกม้วนเข้าไปด้วย  

 

 

ทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี ต่างใช้วิธีของตนเหาะขึ้นฝั่ง แต่ด้านล่างพลันมีแรงดูดมหาศาลพุ่งเข้ามา ม้วนทั้งสามเข้าไปในพริบตา  

 

 

หลังจากตกลงไปในกระแสน้ำวน ตลอดทั้งร่างคล้ายถูกอะไรพันธนาการไว้ ขยับไม่ได้แม้แต่น้อย ทว่าจิตสำนึกของทั้งสามล้วนแจ่มใส ได้ยินเสียงกระแสลมขณะร่างร่วงหล่นลงอย่างชัดเจน ถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งยากทานทน  

 

 

เวยเซิงลิ่วเลียริมฝีปาก “พวกเราหล่นลงมาในที่บ้าบออะไรนี่ แล้วลึกแค่ไหนกันแน่”  

 

 

มั่วชิงเฉินตอนเสียงเย็นชา “ยิ่งลึกเราก็ยิ่งแย่ เกรงว่าจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนแรกที่ตายเพราะตกจากที่สูงนี่สิ”  

 

 

เซี่ยหรันหน้าเขียวคล้ำ ขยับมือ สิ่งหนึ่งปรากฏ มั่วชิงเฉินตั้งใจดู เป็นปีศาจผีเสื้อตนหนึ่ง  

 

 

ผีเสื้อตนนี้มีลักษณะแบบมนุษย์ เป็นสาวงามรูปร่างเล็กและบอบบาง กำลังกระพือปีกคู่ที่อยู่ด้านหลัง แลดูสวยเป็นพิเศษ  

 

 

“เจ้าโกหกข้าหรือ” เซี่ยหรันถามเน้นทีละคำ  

 

 

ร่างอันบอบบางของปีศาจผีเสื้อสั่นเทา พลางส่งเสียงที่ทั้งนุ่มทั้งไพเราะออกมา “ข้า ข้าเปล่า…”  

 

 

สิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียง  ป๊าบ  เซี่ยหรันยื่นมือออกไปตบศีรษะมัน ทำเอาปีศาจผีเสื้อแสนสวยกลายเป็นก้อนเนื้อเละเทะ  

 

 

“ถ้าข้าถูกบดขยี้ เจ้าก็ต้องตกตายไปตามกัน!”  

 

 

คำพูดนี้พอพูดออก กลับเตือนสติเวยเซิงลิ่ว ไม่รู้ว่ามีหอยทากตัวใหญ่ตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากส่วนไหนของเขา หอยทากเพิ่งร้องขอชีวิต ก็ถูกโยนเข้าปาก ได้ยินเสียงเคี้ยว  แจ๊บๆ  ดังมา  

 

 

หลังจากร่วงหล่นรอบนี้ ทั้งสามคนพลันรู้สึกว่าตรงหน้าสว่างวาบ จากนั้นเท้าก็รู้สึกอ่อนนุ่ม คล้ายกับว่าสัมผัสกับพื้นดินจริงๆ   

 

 

 

 

 

 

 

 

——  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 534-2 เสน่ห์ของปีศาจ

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 534-2 เสน่ห์ของปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มันยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงระดับจำแลงกาย ร่างกายไม่เหมือนเผ่าจิ้งจอกหรือเผ่านกบางชนิดที่มีบางส่วนคล้ายมนุษย์ จึงไม่ถนัดในการใช้สมบัติวิเศษ รู้สึกว่ามิสู้พึ่งพาร่างกายตนเอง จะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่การเผชิญหน้าในครั้งก่อนๆ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ลำพังพึ่งร่างกายต่อสู้กับเปลวเพลิงที่นี่ ต้องลำบากตรากตรำแน่ ถ้าแค่ลวกไม้ลวกมือยังพอว่า แต่ถ้าถูกลวกทั้งตัวก็…       นึกถึงตรงนี้ เวยเซิงลิ่วก็ตัวสั่นขึ้นมา       ลูกไฟมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เวยเซิงลิ่วไม่มีเวลาสนใจข้อห้าม หันหลังให้บั้นท้ายเผชิญหน้ากับลูกไฟ       มั่วชิงเฉินตะลึงงัน อดคิดไม่ได้ว่า ผิวหนังอะไรตรงบั้นท้ายของอสูรปีศาจหนาอย่างนั้นหรือ       พอเห็นลูกไฟกำลังจะสัมผัสถูกเวยเซิงลิ่ว มั่วชิงเฉินที่รู้สึกทั้งแปลกใจและตกใจมาก ก็เบิกตาโตมองให้ถ้วนถี่เป็นพิเศษ ไม่คิดจะหันหลบแต่อย่างใด       เห็นเวยเซิงลิ่วยกหางสูง คล้ายเงื้อแส้อย่างไรอย่างนั้น ก่อนตวัดม้วนเป็นแส้ดอกไม้ สะบัดใส่ลูกไฟอย่างแรง เสียง  เพียะ  ดังขึ้น ลูกไฟถูกฟาดแตกเป็นสี่ห้าเสี่ยง เวยเซิงลิ่วรีบหาช่องว่างพุ่งตัวออกมา       พอเห็นมั่วชิงเฉินเบิกตาดอกท้อกระจ่างใสมองอยู่ ก็พลันอับอายจนโกรธ คำราม “สหายมั่ว ไม่รู้ว่าอะไรเรียกผิดจริยาอย่ามองรึ!”       มั่วชิงเฉินรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ หลายปีมานี้บนเส้นทางสายมืด อสูรปีศาจพิถีพิถันกว่ามนุษย์แล้วหรือ จึงกลั้นขำ แล้วว่า “ขออภัย”       เวยเซิงลิ่วแค่นเสียงเย็นชา “พูดขออภัยมีประโยชน์อะไร ถ้าเสื้อผ้าเจ้าหลุด แล้วข้าเบิกตามอง เจ้ายินยอมรึ”       เสียงเซี่ยหรันพลันดังมา “อย่าทะเลาะกัน ลูกไฟอีกลูกมาแล้ว!”       ลูกนี้ใหญ่กว่าลูกเมื่อครู่ ถึงเซี่ยหรันใช้วิชาซ้ำเดิม ก็หลบลูกไฟไม่พ้น จึงได้แต่หน้าเขียวคล้ำ เลียนแบบท่วงท่ามั่วชิงเฉิน โค้งตัวพุ่งไปข้างหน้า เพียงเสียดาย เขาไม่เคยฝึกคาถากายามาก่อน ไหนเลยจะโค้งได้ไม่ขาดไม่เกินแบบมั่วชิงเฉิน ส่วนที่เกินออกมาเล็กน้อยจึงโดนลวกไป รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ภาพตรงหน้าดำมืด ตกแหมะลงบนพื้น       ส่วนมั่วชิงเฉินกลับใช้ท่วงท่าแบบเมื่อครู่ หลบไปได้ เวยเซิงลิ่วครวญ “ทำไมยังมีอีก!”       อาจเป็นเพราะทำแตกได้ไปครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงเรียบร้อย ตวัดหางโค้งอย่างสวยงาม ฟาดใส่ลูกไฟดัง  เพียะๆ  ไปหลายที พอฟาดจนลูกไฟกลายเป็นประกายไฟเล็กๆ ก็รีบพุ่งตัวออกมา       ทันใดพลันมีเสียงดังมา ทั้งสามเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน พลันหน้าเปลี่ยนสี       ลูกไฟลูกใหญ่เกือบเต็มทางเดินกลิ้งอย่างรวดเร็วเข้าหาคนทั้งสาม       “สหายเวยเซิง เจ้าไปอยู่หน้าสุด!” มั่วชิงเฉินตะโกน       เวยเซิงลิ่วขนตั้งทันที “ทำไมต้องเป็นข้า”       สิ้นเสียง ก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้ามัว เนื่องจากถูกมั่วชิงเฉินจับปกเสื้อแล้วโยนไปทั้งร่าง       เวยเซิงลิ่วใช้หางฟาดลูกไฟ พลางร้องโวยวายด้วยความโมโห “เจ้ากล้าดีอย่างไร กล้าดีอย่างไรโยนข้ามาที่นี่”       มั่วชิงเฉินชี้ไปยังเซี่ยหรันที่คลานอยู่บนพื้น “ไม่อย่างนั้น สหายเซี่ยก็ถูกไฟลวกทั้งตัวพอดี”       “แล้วเจ้าล่ะ” เวยเซิงลิ่วถามอย่างไม่พอใจ       มั่วชิงเฉินยกมุมปากขึ้น “ข้าก็อับจนหนทาง แล้วก็ไม่อยากกลายเป็นหนังมนุษย์แปะติดผนังถ้ำ ในเมื่อหางของเจ้าใช้งานได้ดีขนาดนี้ ก็ไม่ต้องเหลือไว้ปัดแมลงวันหรอก”       “เจ้า!” เวยเซิงลิ่วโมโหจนควันออกหู จึงตวัดหางเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทำให้ลูกไฟยักษ์หายไปอย่างรวดเร็ว        ตอนนี้เซี่ยหรันลุกขึ้นยืนได้แล้ว แต่เพราะขายหน้าเมื่อครู่ แถมยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างมิอาจบรรยายได้ จึงเงียบผิดปกติ       ยังดีที่ไม่มีลูกไฟกลิ้งมาแล้ว ทั้งสามจึงเดินเงียบๆ ไปครึ่งค่อนวัน ค่อยพบว่ามีทางเลี้ยว       นี่เป็นหัวเลี้ยวแรก หลังจากเดินมาตั้งนาน ทั้งสามจึงเลี้ยวเข้าไปอย่างระมัดระวัง       ปราณความร้อนที่รุนแรงและยุ่งเหยิงกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ตะเกียงเขาม่วงในมือเซี่ยหรันดับลงทันที       เมื่อดวงตาคุ้นชินกับแสงสว่างแต่แรก พอตะเกียงเขาม่วงดับลง ด้านหน้าก็พลันมืด       มั่วชิงเฉินรีบโยนตะเกียงฟักทองออก ให้ลอยอยู่ด้านหน้าคนทั้งสาม       ภายใต้แสงสีเหลืองขุ่น เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วค่อยๆ ชินกับแสงสลัว และพอเห็นภาพตรงหน้า ก็พลันเหงื่อแตกไปทั้งตัว       ส่วนมั่วชิงเฉิน เนื่องจากโอกาสบางอย่างในช่วงแรกๆ ดวงตาจึงใสกระจ่างกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป และเมื่อครู่แม้เห็นไม่ชัด ก็ยังพยายามมองดูคร่าวๆ พลางเตรียมใจไว้บ้าง       ด้านหน้าคือบ่อขนาดใหญ่ ในบ่อไม่ใช่น้ำใส แต่เป็นหินหลอมเหลวสีแดงกำลังเดือดพล่าน       ขณะหินหลอมเหลวปะทุ ก็เกิดฟองอากาศพวยพุ่งขึ้นด้านบน กลายเป็นกระแสลมหลายสาย แล้วกระแสลมก็มารวมตัวกัน เกิดเป็นพายุหมุนลูกเล็กๆ พัดอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้ทิศทาง       กลางบ่อหินหลอมเหลว คลับคล้ายมีวัตถุสีเหลืองทองอยู่ มองไม่ออกว่าเป็นอะไร       ส่วนสาเหตุที่เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วเหงื่อแตกนั้น ก็เพราะบ่อหินหลอมเหลวแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก พวกเขาเพิ่งเลี้ยวเข้ามา แค่ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ก็ต้องตกลงไปในบ่อนี้แน่        ดีที่ได้ตะเกียงฟักทองในมือมั่วชิงเฉิน        เซี่ยหรันมองตะเกียงฟักทอง แล้วพูดยิ้มๆ “เมื่อครู่ต้องขอบคุณสหายมั่วแล้ว ไม่รู้ว่าตะเกียงในมือสหายมั่วคือตะเกียงอะไร แม้เผชิญกับพายุ ก็ยังเสถียรขนาดนี้”       มั่วชิงเฉินมองดูบ่อข้างหน้า พลางว่า “ได้มาเพราะความบังเอิญน่ะ สลัวแต่เสถียร ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้มาก”       เซี่ยหรันรู้ว่าตนถามมากเกินไป จึงมองไปที่บ่อ ตามสายตามั่วชิงเฉิน “สหายมั่วพบเห็นอะไรหรือ”       แต่พอเขาจ้องไปที่ผิวน้ำ ก็ต้องหรี่ตาลง       ท่ามกลางหินหลอมเหลวเดือดปุด คลับคล้ายเห็นกระดูกสีขาว และกะโหลกศีรษะ       เซี่ยหรันพูดไม่ออกอยู่บ้าง “คนเหล่านี้ ล้วนตกลงไปในบ่อสินะ”       “แหงล่ะ เมื่อครู่เราก็เกือบจะตกลงไปมิใช่หรือ” เวยเซิงลิ่วพูดพลางกวาดตามองมั่วชิงเฉิน ความรู้สึกโกรธนางในใจพลันจางหาย       “ท่านทั้งสองมีวิธีข้ามไปไหม” มั่วชิงเฉินชี้ไปที่บ่อหินหลอมเหลว       บนบ่อมีกระแสความร้อนปะทุ อีกทั้งยังมีพายุหมุนกระหน่ำ ถ้าเหยียบสมบัติวิเศษเหินหาวข้ามไป แล้วทำให้ปราณวิญญาณแปรปรวน เกรงว่าอาจดึงดูดการโจมตี       เซี่ยหรันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ข้าลองดู”       สองมือของเขาขยับไม่หยุด พลางร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว ค้างคาวตัวแล้วตัวเล่าบินออกจากแขนเสื้อ แล้วไปบินวนเหนือบ่อ สักพักก็มาต่อตัวกันแบบสะพานนกกระเรียน[1] เอ่อ ควรเป็นสะพานค้างคาวสิ       “สหายทั้งสอง ข้าน้อยขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง” เซี่ยหรันรู้ว่าถ้าตนไม่เดินไปก่อน ทั้งสองต้องระแวงแน่ จึงเดินขึ้นสะพานไป       มั่วชิงเฉินกับเวยเซิงลิ่วสบตากัน ค่อยก้าวตาม       ตอนเหยียบลงบนสะพานค้างคาว ใต้ฝ่าเท้ารู้สึกถึงเส้นขนและความสั่น มั่วชิงเฉินจึงรีบก้าวข้ามไป       นางกลับไม่กลัวว่าเซี่ยหรันจะเล่นลูกไม้อะไร ต่อให้สะพานค้างคาวพลันหายไป นางก็ยังเหาะกลางอากาศได้ จึงเดินได้อย่างมั่นใจ        แต่เวยเซิงลิ่วก็ไม่เหมือนกันแล้ว เขารูปร่างสูง และมิได้จำแลงกายได้จริงๆ จึงไม่ชินกับการเดินสองขา พอขึ้นไปบนสะพานค้างคาว ก็ยิ่งตัวสั่น กลัวว่าจะเหยียบจนค้างคาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าสลบ แล้วตกตามกันลงไป       และถ้าพายุหมุนพัดมา สะพานค้างคาวก็จะสั่นไหวตามจิตของเซี่ยหรัน เวยเซิงลิ่วจึงรีบกดสองมือลงบนสะพาน แล้วคลานสี่ขาไป       มั่วชิงเฉินที่อยู่หลังสุดเห็นท่าทางของเขา โดยเฉพาะหางที่มีขนดกนั่น ยังเกร็งอย่างระแวดระวังอยู่ จึงอยากหัวเราะออกมาจริงๆ แต่ก็กลัวว่าคนเขาจะโกรธ จึงได้แต่กัดริมฝีปาก ไอแค่กๆ ออกมาสองที       เซี่ยหรันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จึงหันหลังกลับ พอเห็นท่าทางของเวยเซิงลิ่ว ก็ยิ้มมุมปากเช่นกัน แล้วรีบหันกลับ       เวยเซิงลิ่วไม่สบอารมณ์ จึงยืนขึ้น ไม่มีใครกล้ามองมาอีก เขาจึงหนีบหางพลางเดินไปข้างหน้า       ไม่นานนัก ทั้งสามก็เดินมาถึงกลางสะพาน เข้าใกล้วัตถุสีเหลืองทองในบ่อยิ่งขึ้น มั่วชิงเฉินค่อยเห็นชัดว่า มันคือไม้เก้ากรงเล็บ หรือที่เรียกกันว่า ส้มโอมือ       ในบ่อหินหลอมเหลว ปรากฏส้มโอมือผลหนึ่ง ให้ความรู้สึกไม่เข้ากันจริงๆ       และในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงกระตือรือร้นของดอกเบญจมาศแดงในถุงอสูรวิญญาณดังมา “นาย…นายท่าน นั่น นั่นก็คือดอกไม้พิสดาร!”       “อะไรนะ นั่นหรือดอกไม้พิสดาร” ความรู้สึกที่ผุดขึ้นในใจมั่วชิงเฉินไม่ใช่ความปีติยินดี แต่เป็นความกังขา       ดอกไม้พิสดารนี่ คล้ายพานพบได้ไม่ยาก       ดอกเบญจมาศแดงร้อนรนอยู่บ้าง พยักหน้าติดต่อกัน “ใช่แล้วนายท่าน ตอนนั้นข้าเคยเห็น ดอกไม้พิสดารมีลักษณะเช่นนี้ ท่าน ท่านต้องชิงลงมือก่อน มิฉะนั้นจะถูกสองคนนั่นเอาไปได้”       “อย่างนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินถามเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม       ดอกเบญจมาศแดงสั่นไหว ร้องไห้ขึ้นมา “นายท่าน คนเขาเพียงคิดเพื่อท่านทั้งใจ ฮือออ”       “หุบปาก ขืนร้องไห้ จะโยนเจ้าลงไปในบ่อนี้แหละ” มั่วชิงเฉินพูดเสียงเย็นชา       ดอกเบญจมาศแดงรีบปิดปาก แล้วมองมั่วชิงเฉินพลางน้ำตาไหล       เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วไม่รู้หยุดลงแต่เมื่อไหร่ ก่อนพุ่งเป้าสายตาไปยังส้มโอมือในบ่อ       เพียงสบตากัน ทั้งสองก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย        เซี่ยหรันเอ่ยปาก “สหายทั้งสอง เราต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเองก็แล้วกัน”       พูดจบเชือกดำเส้นหนึ่งก็พุ่งออกจากฝ่ามือ ไปยังส้มโอมือ       เวยเซิงลิ่วสะบัดหาง ความเร็วเปลี่ยนเป็นความยาว ม้วนเข้าหาส้มโอมือในบ่ออย่างคล่องแคล่ว       ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดอกเบญจมาศแดงแสดงความกระตือรือร้นจนเกินเหตุ หรือดอกไม้พิสดารปรากฏขึ้นอย่างบังเอิญจนเกินไป มั่วชิงเฉินถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงร้องเตือน “สหายทั้งสองอย่าเพิ่งรีบลงมือ!”       แต่สายเสียแล้ว เชือกดำในมือเซี่ยหรันกับหางของเวยเซิงลิ่วม้วนส้มโอมือพร้อมกัน แล้วดึงมันขึ้น       แสงสีทองเจิดจรัส ส้มโอมือถูกนำขึ้นมา       และในตอนนี้เอง จุดที่ส้มโอมือเคยอยู่ก็ปรากฏกระแสน้ำวนที่ทั้งเร็วและแรง จนม้วนเอากระแสความร้อนกับพายุหมุนเข้าไป สะพานที่ค้างคาวต่อตัวกัน พังทลายลงทันที ค้างคาวแต่ละตัวกลายเป็นปราณดำถูกม้วนเข้าไปด้วย       ทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี ต่างใช้วิธีของตนเหาะขึ้นฝั่ง แต่ด้านล่างพลันมีแรงดูดมหาศาลพุ่งเข้ามา ม้วนทั้งสามเข้าไปในพริบตา       หลังจากตกลงไปในกระแสน้ำวน ตลอดทั้งร่างคล้ายถูกอะไรพันธนาการไว้ ขยับไม่ได้แม้แต่น้อย ทว่าจิตสำนึกของทั้งสามล้วนแจ่มใส ได้ยินเสียงกระแสลมขณะร่างร่วงหล่นลงอย่างชัดเจน ถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งยากทานทน       เวยเซิงลิ่วเลียริมฝีปาก “พวกเราหล่นลงมาในที่บ้าบออะไรนี่ แล้วลึกแค่ไหนกันแน่”       มั่วชิงเฉินตอนเสียงเย็นชา “ยิ่งลึกเราก็ยิ่งแย่ เกรงว่าจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนแรกที่ตายเพราะตกจากที่สูงนี่สิ”       เซี่ยหรันหน้าเขียวคล้ำ ขยับมือ สิ่งหนึ่งปรากฏ มั่วชิงเฉินตั้งใจดู เป็นปีศาจผีเสื้อตนหนึ่ง       ผีเสื้อตนนี้มีลักษณะแบบมนุษย์ เป็นสาวงามรูปร่างเล็กและบอบบาง กำลังกระพือปีกคู่ที่อยู่ด้านหลัง แลดูสวยเป็นพิเศษ       “เจ้าโกหกข้าหรือ” เซี่ยหรันถามเน้นทีละคำ       ร่างอันบอบบางของปีศาจผีเสื้อสั่นเทา พลางส่งเสียงที่ทั้งนุ่มทั้งไพเราะออกมา “ข้า ข้าเปล่า…”       สิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียง  ป๊าบ  เซี่ยหรันยื่นมือออกไปตบศีรษะมัน ทำเอาปีศาจผีเสื้อแสนสวยกลายเป็นก้อนเนื้อเละเทะ       “ถ้าข้าถูกบดขยี้ เจ้าก็ต้องตกตายไปตามกัน!”       คำพูดนี้พอพูดออก กลับเตือนสติเวยเซิงลิ่ว ไม่รู้ว่ามีหอยทากตัวใหญ่ตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากส่วนไหนของเขา หอยทากเพิ่งร้องขอชีวิต ก็ถูกโยนเข้าปาก ได้ยินเสียงเคี้ยว  แจ๊บๆ  ดังมา       หลังจากร่วงหล่นรอบนี้ ทั้งสามคนพลันรู้สึกว่าตรงหน้าสว่างวาบ จากนั้นเท้าก็รู้สึกอ่อนนุ่ม คล้ายกับว่าสัมผัสกับพื้นดินจริงๆ                    ——  

มันยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงระดับจำแลงกาย ร่างกายไม่เหมือนเผ่าจิ้งจอกหรือเผ่านกบางชนิดที่มีบางส่วนคล้ายมนุษย์ จึงไม่ถนัดในการใช้สมบัติวิเศษ รู้สึกว่ามิสู้พึ่งพาร่างกายตนเอง จะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่การเผชิญหน้าในครั้งก่อนๆ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ลำพังพึ่งร่างกายต่อสู้กับเปลวเพลิงที่นี่ ต้องลำบากตรากตรำแน่ ถ้าแค่ลวกไม้ลวกมือยังพอว่า แต่ถ้าถูกลวกทั้งตัวก็…  

 

 

นึกถึงตรงนี้ เวยเซิงลิ่วก็ตัวสั่นขึ้นมา  

 

 

ลูกไฟมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เวยเซิงลิ่วไม่มีเวลาสนใจข้อห้าม หันหลังให้บั้นท้ายเผชิญหน้ากับลูกไฟ  

 

 

มั่วชิงเฉินตะลึงงัน อดคิดไม่ได้ว่า ผิวหนังอะไรตรงบั้นท้ายของอสูรปีศาจหนาอย่างนั้นหรือ  

 

 

พอเห็นลูกไฟกำลังจะสัมผัสถูกเวยเซิงลิ่ว มั่วชิงเฉินที่รู้สึกทั้งแปลกใจและตกใจมาก ก็เบิกตาโตมองให้ถ้วนถี่เป็นพิเศษ ไม่คิดจะหันหลบแต่อย่างใด  

 

 

เห็นเวยเซิงลิ่วยกหางสูง คล้ายเงื้อแส้อย่างไรอย่างนั้น ก่อนตวัดม้วนเป็นแส้ดอกไม้ สะบัดใส่ลูกไฟอย่างแรง เสียง  เพียะ  ดังขึ้น ลูกไฟถูกฟาดแตกเป็นสี่ห้าเสี่ยง เวยเซิงลิ่วรีบหาช่องว่างพุ่งตัวออกมา  

 

 

พอเห็นมั่วชิงเฉินเบิกตาดอกท้อกระจ่างใสมองอยู่ ก็พลันอับอายจนโกรธ คำราม “สหายมั่ว ไม่รู้ว่าอะไรเรียกผิดจริยาอย่ามองรึ!”  

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ หลายปีมานี้บนเส้นทางสายมืด อสูรปีศาจพิถีพิถันกว่ามนุษย์แล้วหรือ จึงกลั้นขำ แล้วว่า “ขออภัย”  

 

 

เวยเซิงลิ่วแค่นเสียงเย็นชา “พูดขออภัยมีประโยชน์อะไร ถ้าเสื้อผ้าเจ้าหลุด แล้วข้าเบิกตามอง เจ้ายินยอมรึ”  

 

 

เสียงเซี่ยหรันพลันดังมา “อย่าทะเลาะกัน ลูกไฟอีกลูกมาแล้ว!”  

 

 

ลูกนี้ใหญ่กว่าลูกเมื่อครู่ ถึงเซี่ยหรันใช้วิชาซ้ำเดิม ก็หลบลูกไฟไม่พ้น จึงได้แต่หน้าเขียวคล้ำ เลียนแบบท่วงท่ามั่วชิงเฉิน โค้งตัวพุ่งไปข้างหน้า เพียงเสียดาย เขาไม่เคยฝึกคาถากายามาก่อน ไหนเลยจะโค้งได้ไม่ขาดไม่เกินแบบมั่วชิงเฉิน ส่วนที่เกินออกมาเล็กน้อยจึงโดนลวกไป รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ภาพตรงหน้าดำมืด ตกแหมะลงบนพื้น  

 

 

ส่วนมั่วชิงเฉินกลับใช้ท่วงท่าแบบเมื่อครู่ หลบไปได้ เวยเซิงลิ่วครวญ “ทำไมยังมีอีก!”  

 

 

อาจเป็นเพราะทำแตกได้ไปครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงเรียบร้อย ตวัดหางโค้งอย่างสวยงาม ฟาดใส่ลูกไฟดัง  เพียะๆ  ไปหลายที พอฟาดจนลูกไฟกลายเป็นประกายไฟเล็กๆ ก็รีบพุ่งตัวออกมา  

 

 

ทันใดพลันมีเสียงดังมา ทั้งสามเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน พลันหน้าเปลี่ยนสี  

 

 

ลูกไฟลูกใหญ่เกือบเต็มทางเดินกลิ้งอย่างรวดเร็วเข้าหาคนทั้งสาม  

 

 

“สหายเวยเซิง เจ้าไปอยู่หน้าสุด!” มั่วชิงเฉินตะโกน  

 

 

เวยเซิงลิ่วขนตั้งทันที “ทำไมต้องเป็นข้า”  

 

 

สิ้นเสียง ก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้ามัว เนื่องจากถูกมั่วชิงเฉินจับปกเสื้อแล้วโยนไปทั้งร่าง  

 

 

เวยเซิงลิ่วใช้หางฟาดลูกไฟ พลางร้องโวยวายด้วยความโมโห “เจ้ากล้าดีอย่างไร กล้าดีอย่างไรโยนข้ามาที่นี่”  

 

 

มั่วชิงเฉินชี้ไปยังเซี่ยหรันที่คลานอยู่บนพื้น “ไม่อย่างนั้น สหายเซี่ยก็ถูกไฟลวกทั้งตัวพอดี”  

 

 

“แล้วเจ้าล่ะ” เวยเซิงลิ่วถามอย่างไม่พอใจ  

 

 

มั่วชิงเฉินยกมุมปากขึ้น “ข้าก็อับจนหนทาง แล้วก็ไม่อยากกลายเป็นหนังมนุษย์แปะติดผนังถ้ำ ในเมื่อหางของเจ้าใช้งานได้ดีขนาดนี้ ก็ไม่ต้องเหลือไว้ปัดแมลงวันหรอก”  

 

 

“เจ้า!” เวยเซิงลิ่วโมโหจนควันออกหู จึงตวัดหางเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทำให้ลูกไฟยักษ์หายไปอย่างรวดเร็ว   

 

 

ตอนนี้เซี่ยหรันลุกขึ้นยืนได้แล้ว แต่เพราะขายหน้าเมื่อครู่ แถมยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างมิอาจบรรยายได้ จึงเงียบผิดปกติ  

 

 

ยังดีที่ไม่มีลูกไฟกลิ้งมาแล้ว ทั้งสามจึงเดินเงียบๆ ไปครึ่งค่อนวัน ค่อยพบว่ามีทางเลี้ยว  

 

 

นี่เป็นหัวเลี้ยวแรก หลังจากเดินมาตั้งนาน ทั้งสามจึงเลี้ยวเข้าไปอย่างระมัดระวัง  

 

 

ปราณความร้อนที่รุนแรงและยุ่งเหยิงกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ตะเกียงเขาม่วงในมือเซี่ยหรันดับลงทันที  

 

 

เมื่อดวงตาคุ้นชินกับแสงสว่างแต่แรก พอตะเกียงเขาม่วงดับลง ด้านหน้าก็พลันมืด  

 

 

มั่วชิงเฉินรีบโยนตะเกียงฟักทองออก ให้ลอยอยู่ด้านหน้าคนทั้งสาม  

 

 

ภายใต้แสงสีเหลืองขุ่น เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วค่อยๆ ชินกับแสงสลัว และพอเห็นภาพตรงหน้า ก็พลันเหงื่อแตกไปทั้งตัว  

 

 

ส่วนมั่วชิงเฉิน เนื่องจากโอกาสบางอย่างในช่วงแรกๆ ดวงตาจึงใสกระจ่างกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป และเมื่อครู่แม้เห็นไม่ชัด ก็ยังพยายามมองดูคร่าวๆ พลางเตรียมใจไว้บ้าง  

 

 

ด้านหน้าคือบ่อขนาดใหญ่ ในบ่อไม่ใช่น้ำใส แต่เป็นหินหลอมเหลวสีแดงกำลังเดือดพล่าน  

 

 

ขณะหินหลอมเหลวปะทุ ก็เกิดฟองอากาศพวยพุ่งขึ้นด้านบน กลายเป็นกระแสลมหลายสาย แล้วกระแสลมก็มารวมตัวกัน เกิดเป็นพายุหมุนลูกเล็กๆ พัดอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้ทิศทาง  

 

 

กลางบ่อหินหลอมเหลว คลับคล้ายมีวัตถุสีเหลืองทองอยู่ มองไม่ออกว่าเป็นอะไร  

 

 

ส่วนสาเหตุที่เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วเหงื่อแตกนั้น ก็เพราะบ่อหินหลอมเหลวแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก พวกเขาเพิ่งเลี้ยวเข้ามา แค่ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ก็ต้องตกลงไปในบ่อนี้แน่   

 

 

ดีที่ได้ตะเกียงฟักทองในมือมั่วชิงเฉิน   

 

 

เซี่ยหรันมองตะเกียงฟักทอง แล้วพูดยิ้มๆ “เมื่อครู่ต้องขอบคุณสหายมั่วแล้ว ไม่รู้ว่าตะเกียงในมือสหายมั่วคือตะเกียงอะไร แม้เผชิญกับพายุ ก็ยังเสถียรขนาดนี้”  

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูบ่อข้างหน้า พลางว่า “ได้มาเพราะความบังเอิญน่ะ สลัวแต่เสถียร ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้มาก”  

 

 

เซี่ยหรันรู้ว่าตนถามมากเกินไป จึงมองไปที่บ่อ ตามสายตามั่วชิงเฉิน “สหายมั่วพบเห็นอะไรหรือ”  

 

 

แต่พอเขาจ้องไปที่ผิวน้ำ ก็ต้องหรี่ตาลง  

 

 

ท่ามกลางหินหลอมเหลวเดือดปุด คลับคล้ายเห็นกระดูกสีขาว และกะโหลกศีรษะ  

 

 

เซี่ยหรันพูดไม่ออกอยู่บ้าง “คนเหล่านี้ ล้วนตกลงไปในบ่อสินะ”  

 

 

“แหงล่ะ เมื่อครู่เราก็เกือบจะตกลงไปมิใช่หรือ” เวยเซิงลิ่วพูดพลางกวาดตามองมั่วชิงเฉิน ความรู้สึกโกรธนางในใจพลันจางหาย  

 

 

“ท่านทั้งสองมีวิธีข้ามไปไหม” มั่วชิงเฉินชี้ไปที่บ่อหินหลอมเหลว  

 

 

บนบ่อมีกระแสความร้อนปะทุ อีกทั้งยังมีพายุหมุนกระหน่ำ ถ้าเหยียบสมบัติวิเศษเหินหาวข้ามไป แล้วทำให้ปราณวิญญาณแปรปรวน เกรงว่าอาจดึงดูดการโจมตี  

 

 

เซี่ยหรันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ข้าลองดู”  

 

 

สองมือของเขาขยับไม่หยุด พลางร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว ค้างคาวตัวแล้วตัวเล่าบินออกจากแขนเสื้อ แล้วไปบินวนเหนือบ่อ สักพักก็มาต่อตัวกันแบบสะพานนกกระเรียน[1] เอ่อ ควรเป็นสะพานค้างคาวสิ  

 

 

“สหายทั้งสอง ข้าน้อยขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง” เซี่ยหรันรู้ว่าถ้าตนไม่เดินไปก่อน ทั้งสองต้องระแวงแน่ จึงเดินขึ้นสะพานไป  

 

 

มั่วชิงเฉินกับเวยเซิงลิ่วสบตากัน ค่อยก้าวตาม  

 

 

ตอนเหยียบลงบนสะพานค้างคาว ใต้ฝ่าเท้ารู้สึกถึงเส้นขนและความสั่น มั่วชิงเฉินจึงรีบก้าวข้ามไป  

 

 

นางกลับไม่กลัวว่าเซี่ยหรันจะเล่นลูกไม้อะไร ต่อให้สะพานค้างคาวพลันหายไป นางก็ยังเหาะกลางอากาศได้ จึงเดินได้อย่างมั่นใจ   

 

 

แต่เวยเซิงลิ่วก็ไม่เหมือนกันแล้ว เขารูปร่างสูง และมิได้จำแลงกายได้จริงๆ จึงไม่ชินกับการเดินสองขา พอขึ้นไปบนสะพานค้างคาว ก็ยิ่งตัวสั่น กลัวว่าจะเหยียบจนค้างคาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าสลบ แล้วตกตามกันลงไป  

 

 

และถ้าพายุหมุนพัดมา สะพานค้างคาวก็จะสั่นไหวตามจิตของเซี่ยหรัน เวยเซิงลิ่วจึงรีบกดสองมือลงบนสะพาน แล้วคลานสี่ขาไป  

 

 

มั่วชิงเฉินที่อยู่หลังสุดเห็นท่าทางของเขา โดยเฉพาะหางที่มีขนดกนั่น ยังเกร็งอย่างระแวดระวังอยู่ จึงอยากหัวเราะออกมาจริงๆ แต่ก็กลัวว่าคนเขาจะโกรธ จึงได้แต่กัดริมฝีปาก ไอแค่กๆ ออกมาสองที  

 

 

เซี่ยหรันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จึงหันหลังกลับ พอเห็นท่าทางของเวยเซิงลิ่ว ก็ยิ้มมุมปากเช่นกัน แล้วรีบหันกลับ  

 

 

เวยเซิงลิ่วไม่สบอารมณ์ จึงยืนขึ้น ไม่มีใครกล้ามองมาอีก เขาจึงหนีบหางพลางเดินไปข้างหน้า  

 

 

ไม่นานนัก ทั้งสามก็เดินมาถึงกลางสะพาน เข้าใกล้วัตถุสีเหลืองทองในบ่อยิ่งขึ้น มั่วชิงเฉินค่อยเห็นชัดว่า มันคือไม้เก้ากรงเล็บ หรือที่เรียกกันว่า ส้มโอมือ  

 

 

ในบ่อหินหลอมเหลว ปรากฏส้มโอมือผลหนึ่ง ให้ความรู้สึกไม่เข้ากันจริงๆ  

 

 

และในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงกระตือรือร้นของดอกเบญจมาศแดงในถุงอสูรวิญญาณดังมา “นาย…นายท่าน นั่น นั่นก็คือดอกไม้พิสดาร!”  

 

 

“อะไรนะ นั่นหรือดอกไม้พิสดาร” ความรู้สึกที่ผุดขึ้นในใจมั่วชิงเฉินไม่ใช่ความปีติยินดี แต่เป็นความกังขา  

 

 

ดอกไม้พิสดารนี่ คล้ายพานพบได้ไม่ยาก  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงร้อนรนอยู่บ้าง พยักหน้าติดต่อกัน “ใช่แล้วนายท่าน ตอนนั้นข้าเคยเห็น ดอกไม้พิสดารมีลักษณะเช่นนี้ ท่าน ท่านต้องชิงลงมือก่อน มิฉะนั้นจะถูกสองคนนั่นเอาไปได้”  

 

 

“อย่างนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินถามเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงสั่นไหว ร้องไห้ขึ้นมา “นายท่าน คนเขาเพียงคิดเพื่อท่านทั้งใจ ฮือออ”  

 

 

“หุบปาก ขืนร้องไห้ จะโยนเจ้าลงไปในบ่อนี้แหละ” มั่วชิงเฉินพูดเสียงเย็นชา  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงรีบปิดปาก แล้วมองมั่วชิงเฉินพลางน้ำตาไหล  

 

 

เซี่ยหรันกับเวยเซิงลิ่วไม่รู้หยุดลงแต่เมื่อไหร่ ก่อนพุ่งเป้าสายตาไปยังส้มโอมือในบ่อ  

 

 

เพียงสบตากัน ทั้งสองก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย   

 

 

เซี่ยหรันเอ่ยปาก “สหายทั้งสอง เราต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเองก็แล้วกัน”  

 

 

พูดจบเชือกดำเส้นหนึ่งก็พุ่งออกจากฝ่ามือ ไปยังส้มโอมือ  

 

 

เวยเซิงลิ่วสะบัดหาง ความเร็วเปลี่ยนเป็นความยาว ม้วนเข้าหาส้มโอมือในบ่ออย่างคล่องแคล่ว  

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดอกเบญจมาศแดงแสดงความกระตือรือร้นจนเกินเหตุ หรือดอกไม้พิสดารปรากฏขึ้นอย่างบังเอิญจนเกินไป มั่วชิงเฉินถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงร้องเตือน “สหายทั้งสองอย่าเพิ่งรีบลงมือ!”  

 

 

แต่สายเสียแล้ว เชือกดำในมือเซี่ยหรันกับหางของเวยเซิงลิ่วม้วนส้มโอมือพร้อมกัน แล้วดึงมันขึ้น  

 

 

แสงสีทองเจิดจรัส ส้มโอมือถูกนำขึ้นมา  

 

 

และในตอนนี้เอง จุดที่ส้มโอมือเคยอยู่ก็ปรากฏกระแสน้ำวนที่ทั้งเร็วและแรง จนม้วนเอากระแสความร้อนกับพายุหมุนเข้าไป สะพานที่ค้างคาวต่อตัวกัน พังทลายลงทันที ค้างคาวแต่ละตัวกลายเป็นปราณดำถูกม้วนเข้าไปด้วย  

 

 

ทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี ต่างใช้วิธีของตนเหาะขึ้นฝั่ง แต่ด้านล่างพลันมีแรงดูดมหาศาลพุ่งเข้ามา ม้วนทั้งสามเข้าไปในพริบตา  

 

 

หลังจากตกลงไปในกระแสน้ำวน ตลอดทั้งร่างคล้ายถูกอะไรพันธนาการไว้ ขยับไม่ได้แม้แต่น้อย ทว่าจิตสำนึกของทั้งสามล้วนแจ่มใส ได้ยินเสียงกระแสลมขณะร่างร่วงหล่นลงอย่างชัดเจน ถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งยากทานทน  

 

 

เวยเซิงลิ่วเลียริมฝีปาก “พวกเราหล่นลงมาในที่บ้าบออะไรนี่ แล้วลึกแค่ไหนกันแน่”  

 

 

มั่วชิงเฉินตอนเสียงเย็นชา “ยิ่งลึกเราก็ยิ่งแย่ เกรงว่าจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนแรกที่ตายเพราะตกจากที่สูงนี่สิ”  

 

 

เซี่ยหรันหน้าเขียวคล้ำ ขยับมือ สิ่งหนึ่งปรากฏ มั่วชิงเฉินตั้งใจดู เป็นปีศาจผีเสื้อตนหนึ่ง  

 

 

ผีเสื้อตนนี้มีลักษณะแบบมนุษย์ เป็นสาวงามรูปร่างเล็กและบอบบาง กำลังกระพือปีกคู่ที่อยู่ด้านหลัง แลดูสวยเป็นพิเศษ  

 

 

“เจ้าโกหกข้าหรือ” เซี่ยหรันถามเน้นทีละคำ  

 

 

ร่างอันบอบบางของปีศาจผีเสื้อสั่นเทา พลางส่งเสียงที่ทั้งนุ่มทั้งไพเราะออกมา “ข้า ข้าเปล่า…”  

 

 

สิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียง  ป๊าบ  เซี่ยหรันยื่นมือออกไปตบศีรษะมัน ทำเอาปีศาจผีเสื้อแสนสวยกลายเป็นก้อนเนื้อเละเทะ  

 

 

“ถ้าข้าถูกบดขยี้ เจ้าก็ต้องตกตายไปตามกัน!”  

 

 

คำพูดนี้พอพูดออก กลับเตือนสติเวยเซิงลิ่ว ไม่รู้ว่ามีหอยทากตัวใหญ่ตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากส่วนไหนของเขา หอยทากเพิ่งร้องขอชีวิต ก็ถูกโยนเข้าปาก ได้ยินเสียงเคี้ยว  แจ๊บๆ  ดังมา  

 

 

หลังจากร่วงหล่นรอบนี้ ทั้งสามคนพลันรู้สึกว่าตรงหน้าสว่างวาบ จากนั้นเท้าก็รู้สึกอ่อนนุ่ม คล้ายกับว่าสัมผัสกับพื้นดินจริงๆ   

 

 

 

 

 

 

 

 

——  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+