พันธกานต์ปราณอัคคี 536 ร่างเดิมของเวยเซิง

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 536 ร่างเดิมของเวยเซิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“คิดเห็นอย่างไรหรือ ข้าคิดว่า ไม่อาจปล่อยให้ดอกไม้พิสดารทำลายผนึกได้ พวกเจ้าลองคิดดู ตอนนั้นดอกไม้พิสดารนี้ร้ายกาจถึงเพียงนั้น เรื่องดูดซับเลือดพิสุทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรไปจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นไม่ต้องพูดถึง มันยังทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีได้ นั่นเป็นในยุคบรรพกาล การทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีได้ย่อมไม่ธรรมดา หากตอนนี้ดอกไม้พิสดารถือกำเนิด ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราก็อาจจะกลายเป็นปุ๋ยของดอกไม้ก็เป็นได้” เวยเซิงลิ่วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ  

 

 

มั่วเฉินชิงพยักหน้า “สหายเวยเซิงพูดไม่ผิด ดาวดวงน้อยในยามนี้เป็นเพราะท้องฟ้าผืนดินวิปริตถึงได้เกิดรอยแยกมิติขึ้น หากดอกไม้พิสดารถือกำเนิด เรื่องราวจะพัฒนาไปถึงไหน เกรงว่าคงอยู่นอกเหนือที่ทุกคนหรือแม้กระทั่งดาวดวงน้อยจะควบคุมได้ ดังนั้น…”  

 

 

“ดังนั้น ต้องยับยั้งไม่ให้สหายคนอื่นเด็ดส้มโอมือไป!” เซี่ยหรันและเวยเซิงลิ่วเอ่ยออกมาพร้อมกัน  

 

 

จากนั้นเวยเซิงลิ่วก็เหมือนจะท้อใจเล็กน้อย “คิดจะห้ามสหายคนอื่นๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราไม่รู้แม้แต่ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด และยังติดอยู่ในที่บ้านี่!”  

 

 

คำพูดนี้ทำให้มั่วชิงเฉินและเซี่ยหรันพลันมองสบตากัน  

 

 

ฉับพลันนั้นด้านในถุงอสูรวิญญาณก็มีเสียงของดอกเบญจมาศแดงดังขึ้น “นายท่าน หากข้าจะขอไถ่โทษ ท่านจะไม่ตำหนิเรื่องราวในอดีตได้หรือไม่”  

 

 

“ไม่ตำหนิเรื่องราวในอดีตหรือ”  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงพยักหน้ารัวๆ “ใช่ๆ จากนี้ให้ข้าติดตามท่าน แถมยังดื่มสุราได้”   

 

 

มั่วชิงเฉินพลันเกิดโทสะ “อู๋เย่ว์ หมาป่าน้อย พวกเจ้าสามตัวผู้ใดให้มันดื่มสุรา”   

 

 

อีกาเพลิงพลันตีปีกอย่างร้อนรน “ข้าเปล่านะ พวกเราไม่ชอบให้การต้อนรับเชลยอย่างดีเป็นพิเศษ”  

 

 

หลังจากที่มันตื่นจากการหลอมแก่นอสูรแมงมุมยักษ์ ขนของมันก็เงาวับกว่าเดิม ดูแล้วมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ท่าทางดุจอสูรวิญญาณระดับสูง  

 

 

เขาน้อยก็ส่ายศีรษะ “เขาน้อยมีสุราวิญญาณอยู่แค่สองไห ล้วนถูกพี่หญิงอู๋เย่ว์ยืมไปให้ไปอาเสวียนแล้ว…”  

 

 

“เขาน้อย!” อีกาเพลิงใช้ปีกทั้งสองบีบคอมัน  

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างหงุดหงิด “หมาป่าน้อย ดูไม่ออกจริงๆ นะ เจ้ารักหยกถนอมบุปผาหรือ”  

 

 

หมาป่าน้อยมีสีหน้าเย็นชา แววตาที่มองมั่วชิงเฉินเต็มไปด้วยความจนใจ “ข้าไม่ได้ให้มันดื่มสุรา เพียงแต่วันนั้นดื่มจนเมามาย จึงเลียมันไปสองครา”  

 

 

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้หมาป่าน้อยก็กวาดสายตาไปมองดอกเบญจมาศแดง “นายท่าน มันทำผิดขนาดนี้ ไม่ให้ข้ากินมันจริงหรือ”   

 

 

ดอกเบญจมาศแดงพลันเปล่งเสียงแงแล้วร้องไห้ออกมา  

 

 

จากนั้นแม้แต่อีกาเพลิงเองก็เยาะเย้ยถากถาง หมาป่าน้อยแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา เขาน้อยเอ่ยชักจูง  

 

 

ทั้งสามอสูรหนึ่งบุปผา ก็ทำให้ถุงอสูรวิญญาณเปลี่ยนเป็นตลาดผักขึ้นมา  

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน “พอแล้ว! แดงน้อย เจ้าจะขอไถ่โทษมิใช่หรือ เร็วสิ ข้าไม่รอหรอกนะ!”  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงรีบปิดต่อมน้ำตา พลางเอ่ยว่า “นายท่าน พวกท่านได้ส้มโอมือมาผลหนึ่งแล้วมิใช่หรือ มันมีญาณสัมผัสเชื่อมโยงกับส้มโอมือผลอื่น ขอแค่เข้าใกล้ส้มโอมือสีผลอื่นมันก็จะเปล่งแสงออกมา และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าส้มโอมือผลใดจะถูกเด็ดไป มันก็จะส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน และทิ้งรอยวงกลมๆ ไว้บนเปลือก ทุกวงหมายถึงสหายตนหนึ่ง”  

 

 

มั่วชิงเฉินขบคิดในใจ ส้มโอมือสีทองนี้คู่ควรกับที่เป็นพืชวิญญาณที่ผนึกดอกไม้พิสดารในอดีตได้จริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีความสามารถพิเศษเช่นนี้ เมื่อดอกเบญจมาศแดงพูดจบ ก็เอ่ยถามว่า “ส้มโอมือที่พวกเจ้าเด็ดมาผลนั้นเล่า”  

 

 

เซี่ยหรันและเวยเซิงลิ่วมองสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถลึงตาใส่กันและกัน สีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย  

 

 

สถานการณ์ย่ำแย่จริงๆ ยามนั้นเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทั้งสองกำลังรีบร้อน ผู้ใดก็ไม่ได้สนใจส้มโอมือสีทอง ก็ตกลงมาแล้ว  

 

 

“เช่นนั้น พวกเจ้าก็ไม่มีส้มโอมือสินะ” มั่วชิงเฉินรู้สึกปวดหัว  

 

 

เซี่ยหรันขมวดคิ้ว ส่งเสียงอืมอย่างกลัดกลุ้ม จากนั้นพลันเอ่ยว่า “แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ส้มโอมือ แต่มันก็น่าจะตกลงมาด้วย”  

 

 

เวยเซิงลิ่วยืนขึ้น “เช่นนั้นรออะไรอยู่ รีบไปตามหามาเร็วเข้า!”  

 

 

ทั้งสามคนต่างแผ่จิตสัมผัสไปตรวจสอบ  

 

 

เซี่ยหรันเป็นผู้ดึงจิตสัมผัสกลับมาก่อน ส่ายศีรษะแล้วเอ่ย “ไม่ได้ ที่นี่ดูเหมือนจะซับซ้อนมาก จิตสัมผัสถูกรบกวน”  

 

 

เดิมปีศาจบำเพ็ญเพียรก็ไม่เชี่ยวชาญในการควบคุมจิตสัมผัสอยู่แล้ว เวยเซิงลิ่วเองก็แสดงออกว่าไม่ได้เช่นกัน  

 

 

มีเพียงมั่วชิงเฉินที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา จิตสัมผัสจึงสามารถบีบให้เป็นสายเล็กๆ แผ่เข้าไปตรวจสอบโดยไม่ถูกรบกวน แน่นอนว่าหากอยากตรวจสอบทุกตารางก็คงเป็นไปไม่ได้  

 

 

“หากพวกเราเดินไปสักระยะก็จะเห็นประตูถ้ำ” มั่วชิงเฉินชี้ไปเบื้องหน้า จากนั้นก็ชี้ไปเบื้องหลัง “ด้านหลังก็หมือนกัน”  

 

 

แววตาของเซี่ยหรันฉายแววประหลาดใจ  

 

 

เวยเซิงลิ่วเกาศีรษะ “แล้วจะไปทางไหนกันแน่”  

 

 

มั่วชิงเฉินมองดินโคลนใต้ฝ่าเท้า ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ส้มโอมือในตอนนั้นน่าจะตกลงมาพร้อมกับพวกเรา แต่มันไม่ได้อยู่แถวนี้ ข้าว่ามันน่าจะมีลักษณะพิเศษของพืชวิญญาณบางอย่าง”  

 

 

“ลักษณะพิเศษอะไร” เซี่ยหรันขมวดคิ้วขณะเอ่ยถาม  

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยทีละคำๆ ว่า “มุดดิน!”  

 

 

เวยเซิงลิ่วถลึงตา “เอ๋ เช่นนั้น พวกเราก็ไม่มีทางหามันพบแล้วหรือ”  

 

 

เซี่ยหรันมองมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”  

 

 

มั่วชิงเฉินเปล่งเสียงหัวเราะ “นั่นก็ไม่แน่”  

 

 

“เอ๋” ฉับพลันนั้นเซี่ยหรันก็รู้สึกไม่สบอารมณ์  

 

 

ฉับพลันนั้นเขาพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น ความจริงแล้วจิตสำนึกของเขาคิดว่ามั่วชิงเฉินเป็นผู้อ่อนแอ แต่ระหว่างทางที่ผ่านมาถึงได้พบว่านางไม่ธรรมดา จนถึงตอนนี้กลับต้องอาศัยแรงของนางไปหลายครั้ง ความรู้สึกของการหลุดจากการควบคุมเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกกลัดกลุ้มเสียจริง  

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว แววตาของสหายเซี่ยผู้นี้ดูจะซับซ้อนเล็กน้อย ดูแล้วคงกำลังมีความคิดลึกซึ้งอยู่ ปากพลันเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้สหายทั้งสองหยิบส้มโอมือได้อย่างง่ายดาย ยามนี้เดาว่าส้มโอมือที่แบ่งเป็นเก้าส่วนในวันนั้น คงจะสูญเสียสติปัญญาไปแล้ว ดังนั้นการมุดดินของมันก็น่าจะเป็นความสามารถพื้นฐานเฉพาะตัว ในเมื่อแค่อาศัยความสามารถพื้นฐาน มันก็น่าจะหนีไปได้ไม่ไกลนัก สหายทั้งสองคิดว่าอย่างไร”  

 

 

เวยเซิงลิ่วพยักหน้าระรัว “สหายมั่วพูดมีเหตุผลมาก”   

 

 

“ความจริงแล้ว สหายมั่วก็รู้มากเหมือนกันนะ” เซี่ยหรันเอ่ย  

 

 

มั่วชิงเฉินเบะปากหัวเราะ “ข้าน้อยแค่ชอบอยู่กับสมุนไพรวิญญาณมากไปหน่อย จึงคาดเดาจากลักษณะพิเศษของพืชวิญญาณส่วนใหญ่ จะใช่หรือไม่ ก็ยังไม่แน่นอน”  

 

 

เซี่ยหรันเลือกที่จะเดินไปด้านหน้าแล้ว “ใช่หรือไม่ เดินไปเดี๋ยวก็รู้”  

 

 

ทั้งสามเดินไปตามทางด้านนั้น เดินมาเนิ่นนานก็มองเห็นประตูถ้ำทรงกลม แน่นอนว่าประตูถ้ำบานนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เป็นกำแพงหลากสีสี่ด้าน พูดให้ถูกก็คือเป็นกำแพงสี่ด้านที่เปลี่ยนรูปร่างเป็นรูปร่างหนึ่ง  

 

 

เซี่ยหรันมองมั่วชิงเฉินด้วยแววตาแปลกใจอยู่บ้าง “จิตสัมผัสของสหายมั่ว ดูเหมือนว่าจะมีลักษณะพิเศษเป็นอย่างมาก”  

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างราบเรียบ “ไม่นับว่ามีลักษณะพิเศษหรอก ศึกษาเคล็ดวิชาเล็กๆ น้อยๆ นี้มานานแล้ว รวบรวมจิตสัมผัสได้เส้นหนึ่งก็ยังพอว่า เทียบกับผู้อื่น มากสุดก็ลดการรบกวนได้เล็กน้อย หากจะค้นหาในบริเวณกว้าง ก็ทำไม่ได้”  

 

 

“เช่นนี้ก็หายากแล้ว” เซี่ยหรันเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา  

 

 

“ทั้งสองท่าน พวกเรารีบตามหาส้มโอมือกันเถิด” มั่วชิงเฉินไม่ใส่ใจ  

 

 

ทั้งสามคนตรวจสอบเล็กน้อย พบว่ามีถนนสายหนึ่งอยู่ด้านหลังประตู บนถนนมีดินโคลนอยู่เล็กน้อย ดังนั้นหากออกถนนสายนั้นไป จะพบว่าทุกๆ ระยะจะมีประตูทรงกลมปรากฏขึ้น เดินไปไม่รู้นานเท่าไหร่ก็พบกำแพงสีน้ำตาล เดินมาถึงปลายทาง  

 

 

ทั้งสามครุ่นคิด เลือกประตูถ้ำที่ใกล้กับปลายทางมากที่สุด แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ เดินไปเนิ่นนาน ก็พบถนนอีกสายหนึ่ง  

 

 

ทำให้เดาได้ว่าตั้งแต่ที่แรกจนถึงถนนสายแรก และจากถนนสายแรกมาถึงถนนสายที่สองใช้เวลาไม่แตกต่างกันนัก  

 

 

“หรือว่าพื้นภูมิของที่นี่มีกฎเกณฑ์” มั่วชิงเฉินยื่นมือไปลูบกำแพง แล้วเอ่ยพึมพำ  

 

 

เซี่ยหรันแววตาเปล่งประกาย “หากเป็นเช่นนั้น ถ้าเดินไปข้างหน้าในเวลาพอๆ กันก็จะปรากฏเส้นทางเช่นนี้อีกสาย”  

 

 

ทั้งสามเดินไปด้านหน้าต่อ เป็นดังที่คาดการณ์ไว้   

 

 

ทั้งหมดสามระยะทางสั้นๆ ประกอบกันก็ไกลมากแล้ว ทั้งสามไม่เดินไปข้างหน้าอีก แต่หักเลี้ยวไปตามทางเดิน เดินไปถึงสุดทางเดินแล้วเริ่มเดินกลับมา   

 

 

เสียเวลาไปไม่น้อยก็เดินมายังจุดที่เริ่มตอนแรก เดินไปต่อในระยะทางไม่ต่างกันมากนัก ก็เริ่มเดินไปตามทางเดิน หลังจากมาถึงสุดทางก็เข้าไปในประตูถ้ำบานที่สอง  

 

 

เส้นทางของทั้งสามคนเท่ากับเดินเป็นสี่เหลี่ยมที่หดเล็กลงเรื่อยๆ  

 

 

ด้วยเหตุการค้นหาแบบปูพรมจึงใช้เวลาไปเกือบครึ่งเดือน ในที่สุดก็พบผลส้มโอมือที่ฝังอยู่ในโคลนครึ่งหนึ่งใกล้กับใจกลางของสถานที่นั้น  

 

 

เวยเซิงลิ่วสาวเท้ายาวๆ พุ่งเข้าไปกอดส้มโอมือสีทองเอาไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “เจอสักที”  

 

 

“สหายเวยเซิง เจ้าทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง” เซี่ยหรันเอ่ยอย่างเย็นชา  

 

 

เวยเซิงลิ่วพลันตกตะลึง เหลือบตามองส้มโอมือในมือ แล้วมองสีหน้าเย็นชาของเซี่ยหรัน ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง เบะปากแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็บอกมาว่าอย่างไรจึงจะเหมาะสม”  

 

 

เซี่ยหรันปรือตาขึ้น เอ่ยประโยคที่ทำให้มั่วชิงเฉินตกตะลึงออกมา “ไม่สู้ให้สหายมั่วถือเอาไว้”  

 

 

เวยเซิงลิ่วกลับไม่ปฏิเสธ โยนส้มโอมือสีทองมา “ก็ได้ ตอนนั้นบอกไว้แล้วว่าผู้ใดออกแรงมากที่สุด ก็จะได้สมบัติชิ้นแรกไป ของเล่นชิ้นนี้ก็พอจะถือว่าเป็นสมบัติได้สินะ”  

 

 

มั่วชิงเฉินถูกการถ่อมตนของทั้งสองคนาทำให้ประหลาดใจจนเนื้อกระตุกสองสามครั้งถึงได้กลับมาเป็นปกติ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยจะปฏิเสธก็เป็นการแสดงความไม่เคารพแล้ว”   

 

 

จากนั้นก็หยิบส้มโอมือสีทองออกมาดู แล้วหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย   

 

 

“เป็นอะไร” เซี่ยหรันเอ่ยถาม   

 

 

มั่วชิงเฉินชี้ไปที่วงกลมๆ บนเปลือกของส้มโอมือสีทอง แล้วหัวเราะอย่างขมขื่นพลางเอ่ยว่า “มีส้มโอมือถูกเด็ดไปสามผลแล้ว”  

 

 

สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาเหล่านี้ต้องอยู่ที่นี่อีกสิบปี ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี ก็หาส้มโอมือสีทองผลที่สามพบแล้ว หากไม่รีบละก็ การรวบรวมส้มโอมือสีทองให้ครบทั้งเก้าผลก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าก็เร็วแล้ว  

 

 

หากถึงเวลานั้นดอกไม้พิสดารถือกำเนิด จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะควบคุมได้แล้ว  

 

 

สถานการณ์กำลังเร่งรัด การออกไปจากที่นี่เป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุด  

 

 

ทั้งสามกลับมายังสถานที่ที่ร่วงลงมาตอนแรกสุดอีกครั้ง แล้วตัดสินใจบินขึ้นไป  

 

 

เหยียบไปบนไหมเกล็ดน้ำแข็งบินขึ้นไปได้ระยะหนึ่ง มั่วชิงเฉินก็รู้สึกผิดปกติ รีบร้อนเก็บไหมเกล็ดน้ำแข็ง แล้วเห็นเซี่ยหรันและเวยเซิงลิ่วเองก็ตกลงไปเช่นกัน  

 

 

มั่วชิงเฉินร่อนตามลงไป ได้ยินเซี่ยหรันเอ่ยว่า “ไม่ได้ ขึ้นไปด้านบนไม่อาจใช้สมบัติเหาะเหินได้”   

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปยังเวยเซิงลิ่ว  

 

 

แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยปากอะไร เวยเซิงลิ่วกลับรู้ความหมายนี้ พลางเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “มองข้าทำไม ร่างเดิมของข้าไม่ได้มีปีก ถ้าอยากบิน ก็ต้องอยู่ในระดับห้าแล้วอาศัยพลังปีศาจ ไม่แตกต่างอะไรกับมนุษย์อย่างพวกเจ้า”   

 

 

ร่างเดิมของเจ้านั่นคืออะไรกันแน่  

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจ พลันถ่ายทอดเสียงไปอย่างใจแคบ “สหายเวยเซิง ไม่สู้ข้าพาเจ้าขึ้นไป”  

 

 

เวยเซิงลิ่วเห็นมั่วชิงเฉินก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง ฉับพลันนั้นก็ตักเตือนว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร”  

 

 

ใบหน้าของมั่วชิงเฉินเยือกเย็น แต่กลับถ่ายทอดเสียงไปอย่างไม่สุภาพ “ข้าก็อยากรู้ว่า สหายเวยเซิงมาจากเผ่าใด”  

 

 

เวยเซิงลิ่วโกรธจนถลึงตา “หากข้าไม่บอกเจ้า เจ้าก็จะไม่พาข้าไปหรือ”  

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ตอบ   

 

 

ความจริงแล้วเขาไม่พูด นางก็ไม่อาจไปคนเดียวได้ แต่แค่ตอบช้าเล็กน้อย บางทีก็อาจจะได้อะไรที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้  

 

 

เห็นเวยเซิงลิ่วมีสีหน้าเขียวคล้ำ ก็เอ่ยสองคำออกมาอย่างรวดเร็ว   

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พันธกานต์ปราณอัคคี 536 ร่างเดิมของเวยเซิง

Now you are reading พันธกานต์ปราณอัคคี Chapter 536 ร่างเดิมของเวยเซิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“คิดเห็นอย่างไรหรือ ข้าคิดว่า ไม่อาจปล่อยให้ดอกไม้พิสดารทำลายผนึกได้ พวกเจ้าลองคิดดู ตอนนั้นดอกไม้พิสดารนี้ร้ายกาจถึงเพียงนั้น เรื่องดูดซับเลือดพิสุทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรไปจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นไม่ต้องพูดถึง มันยังทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีได้ นั่นเป็นในยุคบรรพกาล การทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีได้ย่อมไม่ธรรมดา หากตอนนี้ดอกไม้พิสดารถือกำเนิด ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราก็อาจจะกลายเป็นปุ๋ยของดอกไม้ก็เป็นได้” เวยเซิงลิ่วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ  

 

 

มั่วเฉินชิงพยักหน้า “สหายเวยเซิงพูดไม่ผิด ดาวดวงน้อยในยามนี้เป็นเพราะท้องฟ้าผืนดินวิปริตถึงได้เกิดรอยแยกมิติขึ้น หากดอกไม้พิสดารถือกำเนิด เรื่องราวจะพัฒนาไปถึงไหน เกรงว่าคงอยู่นอกเหนือที่ทุกคนหรือแม้กระทั่งดาวดวงน้อยจะควบคุมได้ ดังนั้น…”  

 

 

“ดังนั้น ต้องยับยั้งไม่ให้สหายคนอื่นเด็ดส้มโอมือไป!” เซี่ยหรันและเวยเซิงลิ่วเอ่ยออกมาพร้อมกัน  

 

 

จากนั้นเวยเซิงลิ่วก็เหมือนจะท้อใจเล็กน้อย “คิดจะห้ามสหายคนอื่นๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราไม่รู้แม้แต่ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด และยังติดอยู่ในที่บ้านี่!”  

 

 

คำพูดนี้ทำให้มั่วชิงเฉินและเซี่ยหรันพลันมองสบตากัน  

 

 

ฉับพลันนั้นด้านในถุงอสูรวิญญาณก็มีเสียงของดอกเบญจมาศแดงดังขึ้น “นายท่าน หากข้าจะขอไถ่โทษ ท่านจะไม่ตำหนิเรื่องราวในอดีตได้หรือไม่”  

 

 

“ไม่ตำหนิเรื่องราวในอดีตหรือ”  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงพยักหน้ารัวๆ “ใช่ๆ จากนี้ให้ข้าติดตามท่าน แถมยังดื่มสุราได้”   

 

 

มั่วชิงเฉินพลันเกิดโทสะ “อู๋เย่ว์ หมาป่าน้อย พวกเจ้าสามตัวผู้ใดให้มันดื่มสุรา”   

 

 

อีกาเพลิงพลันตีปีกอย่างร้อนรน “ข้าเปล่านะ พวกเราไม่ชอบให้การต้อนรับเชลยอย่างดีเป็นพิเศษ”  

 

 

หลังจากที่มันตื่นจากการหลอมแก่นอสูรแมงมุมยักษ์ ขนของมันก็เงาวับกว่าเดิม ดูแล้วมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ท่าทางดุจอสูรวิญญาณระดับสูง  

 

 

เขาน้อยก็ส่ายศีรษะ “เขาน้อยมีสุราวิญญาณอยู่แค่สองไห ล้วนถูกพี่หญิงอู๋เย่ว์ยืมไปให้ไปอาเสวียนแล้ว…”  

 

 

“เขาน้อย!” อีกาเพลิงใช้ปีกทั้งสองบีบคอมัน  

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างหงุดหงิด “หมาป่าน้อย ดูไม่ออกจริงๆ นะ เจ้ารักหยกถนอมบุปผาหรือ”  

 

 

หมาป่าน้อยมีสีหน้าเย็นชา แววตาที่มองมั่วชิงเฉินเต็มไปด้วยความจนใจ “ข้าไม่ได้ให้มันดื่มสุรา เพียงแต่วันนั้นดื่มจนเมามาย จึงเลียมันไปสองครา”  

 

 

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้หมาป่าน้อยก็กวาดสายตาไปมองดอกเบญจมาศแดง “นายท่าน มันทำผิดขนาดนี้ ไม่ให้ข้ากินมันจริงหรือ”   

 

 

ดอกเบญจมาศแดงพลันเปล่งเสียงแงแล้วร้องไห้ออกมา  

 

 

จากนั้นแม้แต่อีกาเพลิงเองก็เยาะเย้ยถากถาง หมาป่าน้อยแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา เขาน้อยเอ่ยชักจูง  

 

 

ทั้งสามอสูรหนึ่งบุปผา ก็ทำให้ถุงอสูรวิญญาณเปลี่ยนเป็นตลาดผักขึ้นมา  

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน “พอแล้ว! แดงน้อย เจ้าจะขอไถ่โทษมิใช่หรือ เร็วสิ ข้าไม่รอหรอกนะ!”  

 

 

ดอกเบญจมาศแดงรีบปิดต่อมน้ำตา พลางเอ่ยว่า “นายท่าน พวกท่านได้ส้มโอมือมาผลหนึ่งแล้วมิใช่หรือ มันมีญาณสัมผัสเชื่อมโยงกับส้มโอมือผลอื่น ขอแค่เข้าใกล้ส้มโอมือสีผลอื่นมันก็จะเปล่งแสงออกมา และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าส้มโอมือผลใดจะถูกเด็ดไป มันก็จะส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน และทิ้งรอยวงกลมๆ ไว้บนเปลือก ทุกวงหมายถึงสหายตนหนึ่ง”  

 

 

มั่วชิงเฉินขบคิดในใจ ส้มโอมือสีทองนี้คู่ควรกับที่เป็นพืชวิญญาณที่ผนึกดอกไม้พิสดารในอดีตได้จริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีความสามารถพิเศษเช่นนี้ เมื่อดอกเบญจมาศแดงพูดจบ ก็เอ่ยถามว่า “ส้มโอมือที่พวกเจ้าเด็ดมาผลนั้นเล่า”  

 

 

เซี่ยหรันและเวยเซิงลิ่วมองสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถลึงตาใส่กันและกัน สีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย  

 

 

สถานการณ์ย่ำแย่จริงๆ ยามนั้นเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทั้งสองกำลังรีบร้อน ผู้ใดก็ไม่ได้สนใจส้มโอมือสีทอง ก็ตกลงมาแล้ว  

 

 

“เช่นนั้น พวกเจ้าก็ไม่มีส้มโอมือสินะ” มั่วชิงเฉินรู้สึกปวดหัว  

 

 

เซี่ยหรันขมวดคิ้ว ส่งเสียงอืมอย่างกลัดกลุ้ม จากนั้นพลันเอ่ยว่า “แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ส้มโอมือ แต่มันก็น่าจะตกลงมาด้วย”  

 

 

เวยเซิงลิ่วยืนขึ้น “เช่นนั้นรออะไรอยู่ รีบไปตามหามาเร็วเข้า!”  

 

 

ทั้งสามคนต่างแผ่จิตสัมผัสไปตรวจสอบ  

 

 

เซี่ยหรันเป็นผู้ดึงจิตสัมผัสกลับมาก่อน ส่ายศีรษะแล้วเอ่ย “ไม่ได้ ที่นี่ดูเหมือนจะซับซ้อนมาก จิตสัมผัสถูกรบกวน”  

 

 

เดิมปีศาจบำเพ็ญเพียรก็ไม่เชี่ยวชาญในการควบคุมจิตสัมผัสอยู่แล้ว เวยเซิงลิ่วเองก็แสดงออกว่าไม่ได้เช่นกัน  

 

 

มีเพียงมั่วชิงเฉินที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา จิตสัมผัสจึงสามารถบีบให้เป็นสายเล็กๆ แผ่เข้าไปตรวจสอบโดยไม่ถูกรบกวน แน่นอนว่าหากอยากตรวจสอบทุกตารางก็คงเป็นไปไม่ได้  

 

 

“หากพวกเราเดินไปสักระยะก็จะเห็นประตูถ้ำ” มั่วชิงเฉินชี้ไปเบื้องหน้า จากนั้นก็ชี้ไปเบื้องหลัง “ด้านหลังก็หมือนกัน”  

 

 

แววตาของเซี่ยหรันฉายแววประหลาดใจ  

 

 

เวยเซิงลิ่วเกาศีรษะ “แล้วจะไปทางไหนกันแน่”  

 

 

มั่วชิงเฉินมองดินโคลนใต้ฝ่าเท้า ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ส้มโอมือในตอนนั้นน่าจะตกลงมาพร้อมกับพวกเรา แต่มันไม่ได้อยู่แถวนี้ ข้าว่ามันน่าจะมีลักษณะพิเศษของพืชวิญญาณบางอย่าง”  

 

 

“ลักษณะพิเศษอะไร” เซี่ยหรันขมวดคิ้วขณะเอ่ยถาม  

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยทีละคำๆ ว่า “มุดดิน!”  

 

 

เวยเซิงลิ่วถลึงตา “เอ๋ เช่นนั้น พวกเราก็ไม่มีทางหามันพบแล้วหรือ”  

 

 

เซี่ยหรันมองมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”  

 

 

มั่วชิงเฉินเปล่งเสียงหัวเราะ “นั่นก็ไม่แน่”  

 

 

“เอ๋” ฉับพลันนั้นเซี่ยหรันก็รู้สึกไม่สบอารมณ์  

 

 

ฉับพลันนั้นเขาพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น ความจริงแล้วจิตสำนึกของเขาคิดว่ามั่วชิงเฉินเป็นผู้อ่อนแอ แต่ระหว่างทางที่ผ่านมาถึงได้พบว่านางไม่ธรรมดา จนถึงตอนนี้กลับต้องอาศัยแรงของนางไปหลายครั้ง ความรู้สึกของการหลุดจากการควบคุมเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกกลัดกลุ้มเสียจริง  

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว แววตาของสหายเซี่ยผู้นี้ดูจะซับซ้อนเล็กน้อย ดูแล้วคงกำลังมีความคิดลึกซึ้งอยู่ ปากพลันเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้สหายทั้งสองหยิบส้มโอมือได้อย่างง่ายดาย ยามนี้เดาว่าส้มโอมือที่แบ่งเป็นเก้าส่วนในวันนั้น คงจะสูญเสียสติปัญญาไปแล้ว ดังนั้นการมุดดินของมันก็น่าจะเป็นความสามารถพื้นฐานเฉพาะตัว ในเมื่อแค่อาศัยความสามารถพื้นฐาน มันก็น่าจะหนีไปได้ไม่ไกลนัก สหายทั้งสองคิดว่าอย่างไร”  

 

 

เวยเซิงลิ่วพยักหน้าระรัว “สหายมั่วพูดมีเหตุผลมาก”   

 

 

“ความจริงแล้ว สหายมั่วก็รู้มากเหมือนกันนะ” เซี่ยหรันเอ่ย  

 

 

มั่วชิงเฉินเบะปากหัวเราะ “ข้าน้อยแค่ชอบอยู่กับสมุนไพรวิญญาณมากไปหน่อย จึงคาดเดาจากลักษณะพิเศษของพืชวิญญาณส่วนใหญ่ จะใช่หรือไม่ ก็ยังไม่แน่นอน”  

 

 

เซี่ยหรันเลือกที่จะเดินไปด้านหน้าแล้ว “ใช่หรือไม่ เดินไปเดี๋ยวก็รู้”  

 

 

ทั้งสามเดินไปตามทางด้านนั้น เดินมาเนิ่นนานก็มองเห็นประตูถ้ำทรงกลม แน่นอนว่าประตูถ้ำบานนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เป็นกำแพงหลากสีสี่ด้าน พูดให้ถูกก็คือเป็นกำแพงสี่ด้านที่เปลี่ยนรูปร่างเป็นรูปร่างหนึ่ง  

 

 

เซี่ยหรันมองมั่วชิงเฉินด้วยแววตาแปลกใจอยู่บ้าง “จิตสัมผัสของสหายมั่ว ดูเหมือนว่าจะมีลักษณะพิเศษเป็นอย่างมาก”  

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างราบเรียบ “ไม่นับว่ามีลักษณะพิเศษหรอก ศึกษาเคล็ดวิชาเล็กๆ น้อยๆ นี้มานานแล้ว รวบรวมจิตสัมผัสได้เส้นหนึ่งก็ยังพอว่า เทียบกับผู้อื่น มากสุดก็ลดการรบกวนได้เล็กน้อย หากจะค้นหาในบริเวณกว้าง ก็ทำไม่ได้”  

 

 

“เช่นนี้ก็หายากแล้ว” เซี่ยหรันเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา  

 

 

“ทั้งสองท่าน พวกเรารีบตามหาส้มโอมือกันเถิด” มั่วชิงเฉินไม่ใส่ใจ  

 

 

ทั้งสามคนตรวจสอบเล็กน้อย พบว่ามีถนนสายหนึ่งอยู่ด้านหลังประตู บนถนนมีดินโคลนอยู่เล็กน้อย ดังนั้นหากออกถนนสายนั้นไป จะพบว่าทุกๆ ระยะจะมีประตูทรงกลมปรากฏขึ้น เดินไปไม่รู้นานเท่าไหร่ก็พบกำแพงสีน้ำตาล เดินมาถึงปลายทาง  

 

 

ทั้งสามครุ่นคิด เลือกประตูถ้ำที่ใกล้กับปลายทางมากที่สุด แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ เดินไปเนิ่นนาน ก็พบถนนอีกสายหนึ่ง  

 

 

ทำให้เดาได้ว่าตั้งแต่ที่แรกจนถึงถนนสายแรก และจากถนนสายแรกมาถึงถนนสายที่สองใช้เวลาไม่แตกต่างกันนัก  

 

 

“หรือว่าพื้นภูมิของที่นี่มีกฎเกณฑ์” มั่วชิงเฉินยื่นมือไปลูบกำแพง แล้วเอ่ยพึมพำ  

 

 

เซี่ยหรันแววตาเปล่งประกาย “หากเป็นเช่นนั้น ถ้าเดินไปข้างหน้าในเวลาพอๆ กันก็จะปรากฏเส้นทางเช่นนี้อีกสาย”  

 

 

ทั้งสามเดินไปด้านหน้าต่อ เป็นดังที่คาดการณ์ไว้   

 

 

ทั้งหมดสามระยะทางสั้นๆ ประกอบกันก็ไกลมากแล้ว ทั้งสามไม่เดินไปข้างหน้าอีก แต่หักเลี้ยวไปตามทางเดิน เดินไปถึงสุดทางเดินแล้วเริ่มเดินกลับมา   

 

 

เสียเวลาไปไม่น้อยก็เดินมายังจุดที่เริ่มตอนแรก เดินไปต่อในระยะทางไม่ต่างกันมากนัก ก็เริ่มเดินไปตามทางเดิน หลังจากมาถึงสุดทางก็เข้าไปในประตูถ้ำบานที่สอง  

 

 

เส้นทางของทั้งสามคนเท่ากับเดินเป็นสี่เหลี่ยมที่หดเล็กลงเรื่อยๆ  

 

 

ด้วยเหตุการค้นหาแบบปูพรมจึงใช้เวลาไปเกือบครึ่งเดือน ในที่สุดก็พบผลส้มโอมือที่ฝังอยู่ในโคลนครึ่งหนึ่งใกล้กับใจกลางของสถานที่นั้น  

 

 

เวยเซิงลิ่วสาวเท้ายาวๆ พุ่งเข้าไปกอดส้มโอมือสีทองเอาไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “เจอสักที”  

 

 

“สหายเวยเซิง เจ้าทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง” เซี่ยหรันเอ่ยอย่างเย็นชา  

 

 

เวยเซิงลิ่วพลันตกตะลึง เหลือบตามองส้มโอมือในมือ แล้วมองสีหน้าเย็นชาของเซี่ยหรัน ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง เบะปากแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็บอกมาว่าอย่างไรจึงจะเหมาะสม”  

 

 

เซี่ยหรันปรือตาขึ้น เอ่ยประโยคที่ทำให้มั่วชิงเฉินตกตะลึงออกมา “ไม่สู้ให้สหายมั่วถือเอาไว้”  

 

 

เวยเซิงลิ่วกลับไม่ปฏิเสธ โยนส้มโอมือสีทองมา “ก็ได้ ตอนนั้นบอกไว้แล้วว่าผู้ใดออกแรงมากที่สุด ก็จะได้สมบัติชิ้นแรกไป ของเล่นชิ้นนี้ก็พอจะถือว่าเป็นสมบัติได้สินะ”  

 

 

มั่วชิงเฉินถูกการถ่อมตนของทั้งสองคนาทำให้ประหลาดใจจนเนื้อกระตุกสองสามครั้งถึงได้กลับมาเป็นปกติ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยจะปฏิเสธก็เป็นการแสดงความไม่เคารพแล้ว”   

 

 

จากนั้นก็หยิบส้มโอมือสีทองออกมาดู แล้วหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย   

 

 

“เป็นอะไร” เซี่ยหรันเอ่ยถาม   

 

 

มั่วชิงเฉินชี้ไปที่วงกลมๆ บนเปลือกของส้มโอมือสีทอง แล้วหัวเราะอย่างขมขื่นพลางเอ่ยว่า “มีส้มโอมือถูกเด็ดไปสามผลแล้ว”  

 

 

สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาเหล่านี้ต้องอยู่ที่นี่อีกสิบปี ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี ก็หาส้มโอมือสีทองผลที่สามพบแล้ว หากไม่รีบละก็ การรวบรวมส้มโอมือสีทองให้ครบทั้งเก้าผลก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าก็เร็วแล้ว  

 

 

หากถึงเวลานั้นดอกไม้พิสดารถือกำเนิด จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะควบคุมได้แล้ว  

 

 

สถานการณ์กำลังเร่งรัด การออกไปจากที่นี่เป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุด  

 

 

ทั้งสามกลับมายังสถานที่ที่ร่วงลงมาตอนแรกสุดอีกครั้ง แล้วตัดสินใจบินขึ้นไป  

 

 

เหยียบไปบนไหมเกล็ดน้ำแข็งบินขึ้นไปได้ระยะหนึ่ง มั่วชิงเฉินก็รู้สึกผิดปกติ รีบร้อนเก็บไหมเกล็ดน้ำแข็ง แล้วเห็นเซี่ยหรันและเวยเซิงลิ่วเองก็ตกลงไปเช่นกัน  

 

 

มั่วชิงเฉินร่อนตามลงไป ได้ยินเซี่ยหรันเอ่ยว่า “ไม่ได้ ขึ้นไปด้านบนไม่อาจใช้สมบัติเหาะเหินได้”   

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปยังเวยเซิงลิ่ว  

 

 

แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยปากอะไร เวยเซิงลิ่วกลับรู้ความหมายนี้ พลางเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “มองข้าทำไม ร่างเดิมของข้าไม่ได้มีปีก ถ้าอยากบิน ก็ต้องอยู่ในระดับห้าแล้วอาศัยพลังปีศาจ ไม่แตกต่างอะไรกับมนุษย์อย่างพวกเจ้า”   

 

 

ร่างเดิมของเจ้านั่นคืออะไรกันแน่  

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจ พลันถ่ายทอดเสียงไปอย่างใจแคบ “สหายเวยเซิง ไม่สู้ข้าพาเจ้าขึ้นไป”  

 

 

เวยเซิงลิ่วเห็นมั่วชิงเฉินก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง ฉับพลันนั้นก็ตักเตือนว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร”  

 

 

ใบหน้าของมั่วชิงเฉินเยือกเย็น แต่กลับถ่ายทอดเสียงไปอย่างไม่สุภาพ “ข้าก็อยากรู้ว่า สหายเวยเซิงมาจากเผ่าใด”  

 

 

เวยเซิงลิ่วโกรธจนถลึงตา “หากข้าไม่บอกเจ้า เจ้าก็จะไม่พาข้าไปหรือ”  

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ตอบ   

 

 

ความจริงแล้วเขาไม่พูด นางก็ไม่อาจไปคนเดียวได้ แต่แค่ตอบช้าเล็กน้อย บางทีก็อาจจะได้อะไรที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้  

 

 

เห็นเวยเซิงลิ่วมีสีหน้าเขียวคล้ำ ก็เอ่ยสองคำออกมาอย่างรวดเร็ว   

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+