พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1046 มีเพียงการสู้ตายเท่านั้น

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1046 มีเพียงการสู้ตายเท่านั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 1046 มีเพียงการสู้ตายเท่านั้น

โค่วเหวินหลานเห็นแล้วส่ายหน้ายิ้ม เป็นหน้าเป็นตาให้เขามากจริงๆ เพียงแต่รอยยิ้มดูฝืนใจนิดหน่อย รู้สึกว่าการกระทำของเหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ค่อยฉลาดนัก

โค่วเหวินชิงยกมือตบบ่าเขา แสดงความรู้สึกออกมาทั้งหมดแม้จะไม่ได้พูดอะไร

ในใจโค่วเหวินหวงกลับรู้สึกเลี่ยนแทบแย่ ยิ่งเหมียวอี้ห้าวหาญชาญชัย ในใจเขาก็ยิ่งหงุดหงิด

ฮุยชิงเหยียนยังคงโจมตีฝานอวี้เฟยอย่างบ้าคลั่ง นางเจียดเวลามองไปที่เหมียวอี้แวบหนึ่ง รู้สึกคันไม้คันมือนิดหน่อย

นางเดาว่าเหมียวอี้คงจะได้ของมาจากชิงอวี้หลางแล้วไม่น้อย เลยอยากจะไปดักสังหารเหมียวอี้ แต่ก่อนหน้านี้นางได้เห็นเหมียวอี้ประมือกับฝานอวี้เฟย วรยุทธ์บงกชทองขั้นสามแต่ดันทุรังโจมตีจนฝานอวี้เฟยสะบักสะบอมและสูญเสียสัตว์พาหนะ แม้แต่ชิงอวี้หลางก็ยังจบชีวิตด้วยน้ำมือเหมียวอี้ มิหนำซ้ำตอนนี้นางก็ไม่มีสัตว์พาหนะแล้ว คิดไปคิดมาก็ทำได้เพียงปล่อยผ่าน ได้แต่จับนางตัวดีฝานอวี้เฟยมาทรมานต่อไป ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยนางให้รอดไปตอนนี้ นางก็จะไม่ปล่อยตนไปเหมือนกัน จึงจัดการนางต่อไป!

ผังลิ่งกงก็ใจเต้นแรงกับเนื้อชิ้นใหญ่อย่างเหมียวอี้เช่นกัน แต่ไล่ตามคนอื่นมาไกลเกินไป กอปรกับกำลังคนมีไม่พอ มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยมั่นใจว่าจะจัดการเหมียวอี้สำเร็จ เขาเคยได้รับรู้ถึงพลังของชิงอวี้หลางมาก่อน ขนาดชิงอวี้หลางยังตายด้วยน้ำมือเจ้าเวรนี่ คิดไปคิดมาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอยู่ดี

โฉวตั้งไห่เองก็มีความคิดนั้น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกำลังคนของตระกูลโค่วเหมือนกัน ถ้าฆ่ากันเองต่อหน้าฝูงชนจะดูเหลวไหลไปหน่อย เกรงว่ากลับไปแล้วจะอธิบายลำบาก แล้วการตายของชิงอวี้หลางก็ทำให้เขาหวาดกลัวอยู่บ้างเหมือนกัน คิดว่าผู้บัญชาการใหญ่โค่วอาจจะมีหนทางก็ได้

ขณะที่ทุกคนกำลังมีความคิดแปลกๆ อยู่ในใจ จู่ๆ ก็มีคนอีกกลุ่มพุ่งออกไป เหล่าผู้บัญชาการที่หนีไปก่อนหน้านี้กลับมาอีกแล้ว ด่านยากด่านสุดท้ายก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางถูกคนโจมตีพังแล้ว พวกเขาย่อมฉวยโอกาสนี้ปลีกตัวออกมา

ดังนั้นพวกผังลิ่งกงที่เคยไล่ตามคนจนกระเจิดกระเจิง ตอนนี้เลยได้เป้าหมายที่สะดวกต่อการล่ามากขึ้นแล้ว จึงกลับมาอย่างรวดเร็ว

ส่วนสัตว์พาหนะของเหมียวอี้ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บมา ความเร็วจึงสู้สัตว์พาหนะของหกคนนั้นไม่ได้ พอไล่ตามไปสักพักแล้วเห็นว่ายิ่งไล่ยิ่งไกล เลยทำได้เพียงยอมแพ้ เลี้ยวสัตว์พาหนะอีกครั้ง พุ่งกลับสู่จุดหมายสุดท้าย

แต่ข้างหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งโดนคนของโฉวตั้งไห่ดักไว้ ขวางทางพวกเหมียวอี้พอดี เหมียวอี้มีทำสีหน้าดุร้ายเพราะยังไม่ได้ระบายความโกรธจึงไม่หลบ พุ่งเข้าไปโดยตรง พร้อมตะโกนว่า “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่ ใครขวางข้า ตาย!”

บอกจะฆ่าจะฆ่าจริงๆ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง พอโบกทวนยาวออกมา ก็โจมตีเข้าไปกลางวงของคนที่หนีกระเจิดกระเจิง ราวกับมือซ้ายมือขวาหมุนเวียนกันยิงศร โบกทวนทั้งแทงทั้งปาดติดต่อกัน ชั่วพริบตาเดียวก็ฆ่าไปแล้วหกคน ปาดสัตว์พาหนะคว่ำไปสามตัว ห้าวหาญไร้ที่เปรียบ สังหารจนพินาศย่อยยับ เสียงกรีดร้องดังติดต่อกัน ไม่มีใครต้านทานเขาได้ สังหารเลือดสาดตลอดทางราวกับแหวกฝ่าคลื่น และไม่สนใจจะเก็บสมบัติจากตัวคนพวกนั้นด้วย

“พวกเดียวกัน…” ลูกน้องสองคนของโฉวตั้งไห่เห็นเหมียวอี้โจมตีเข้ามา จึงรีบบอกเตือน

ไม่สนหรอกว่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ เหมียวอี้ไม่ได้เห็นว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกับตัวเอง นิสัยนักฆ่ากำลังพุ่งพล่าน ออกทวนไปทางซ้ายทางขวา เลือดสดสาดกระจายสองกลุ่ม เสียงกรีดร้องดังสองครั้ง ใช้ทวนปาดตายไปแล้วสองคน สังหารฝ่ากลางกลุ่มคนไปอย่างนั้นเสียเลย เร่งกลับสู่จุดหมายสุดท้าย

“โฉวตั้งไห่ที่กำลังต่อสู้หันกลับมามองแวบหนึ่ง เห็นเหมียวอี้ฆ่าคนของเขาไปแล้ว จึงตะโกนอย่างเดือดดาลทันที “”โจรทราม บังอาจขนาดนี้เลยเหรอ!””

เหมียวอี้ขี้เกียจแม้แต่จะหันหน้ากลับมา”

ตรงจุดหมายสุดท้ายมีคนไม่น้อยที่พูดไม่ออก ต่างก็กำลังแอบอุทานในใจ คนคนนี้วรยุทธ์ไม่สูง แต่กลับห้าวหาญมีพลังมาก!

โค่วเหวินหวงกลับโมโหแล้ว จ้องโค่วเหวินหลานอย่างดุร้าย พร้อมถ่ายทอดเสียงตะคอกถาม “คนของเจ้าทำอะไร?”

“เขาบอกแล้วไงว่า ใครขวางข้าตาย เพราะคนของท่านเห็นว่าเขาอ่อนแอรังแกได้ง่ายๆ ไงล่ะ!” โค่วเหวินหลานเถียงกลับอย่างแข็งกร้าว

“เจ้า…” โค่วเหวินหวงชี้เขาพร้อมแยกเขี้ยวยิงฟัน

เมื่อเห็นทั้งสองตึงใส่กันอย่างถึงที่สุดแล้ว โค่วเหวินชิงก็ย่องมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง

“เป็นทหารที่องอาจกล้าหาญจริงๆ!” เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักพลันเอ่ยชม แล้วหันกลับมาบอกว่า “ไปสืบมาว่าเป็นคนของใคร!”

ไม่ต้องสืบเลย จุยหย่วนพ่อบ้านที่รับผิดชอบจัดการเรื่องพวกนี้มีข้อมูลอยู่ในใจบ้างแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินชื่อ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ติดต่อกันเรื่อยๆ เขาก็ไปหาข้อมูลเตรียมไว้แล้ว ตอนนี้สามารถตอบได้ทันที เขาโค้งตัวเล็กน้อย พร้อมกุมหมัดคารวะตอบ “หนิวโหย่วเต๋อ คนของโค่วเหวินหลาน หลานชายคนเล็กของอ๋องสวรรค์โค่วขอรับ การทดสอบครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเขากับเจ้าเด็กของตระกูลเซี่ยโห้ว นายท่านผู้คุมคงจะทราบเรื่องราวเบื้องลึก”

เกาก้วนชะงักงัน แล้วถามอย่างสงสัย “โค่วเหวินหลาน? เจ้าเด็กที่ถูกคนอื่นล้อว่า ‘ไอ้ตุ้งติ้ง’ น่ะเหรอ?”

“ใช่แล้วขอรับ!” จุยหย่วนพยักหน้าตอบ

“ลูกเขามากันกี่คน?” เกาก้วนถามอีก

“เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ มีลูกน้องเข้าร่วมการทดสอบเพียงสี่คน นับว่ามีกำลังคนน้อยขอรับ” จุยหย่วนตอบ

“แค่สี่คนเองเหรอ? มีแค่สี่คนก็สามารถโดดเด่นเกินหน้าคนอื่น…โอกาสล้วนมีไว้สำหรับคนที่เตรียมพร้อม เจ้าพวกที่ยามปกติรู้จักแต่ใช้อุบายสู้กัน อาศัยเส้นสายไต่เต้าตำแหน่ง เวลาเจอปัญหากลับดีแต่กอดเท้าพระพุทธรูป! การทดสอบที่กะทันหันครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อกดดันคนพวกนั้นนั่นแหละ! เฮ้อ! ลูกน้องหอกข้างแคร่ของราชันสวรรค์ยังไม่หมดไป ใต้หล้ายังไม่สงบอย่างแท้จริง มีสมาคมวีรชนคอยสืบหาเบาะแสของศัตรูตัวฉกาจไปทั่วทุกแห่งโดยไม่หยุดหย่อน! ใต้หล้าถึงได้สงบสุขมาได้เป็นแสนปี เลยกลายสภาพเป็นแบบนี้ แต่ละคนใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย! โค่วเหวินหลานคนนี้สามารถรับมือกับการทดสอบของตำหนักสวรรค์ได้ ช่างเป็นคนที่มีปณิธาน ยามปกติมีความตั้งใจ แต่ต้องรอให้ถึงช่วงเวลาสำคัญถึงจะนำออกมาใช้ สงสัยคนเราจะมองกันแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ!” เกาก้วนเอ่ยชมพลางพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัดอีก “เดิมทีนึกว่าจะเป็นพวกชอบอาศัยทางลัดกันหมด นึกไม่ถึงว่ามาที่นี่แล้วจะได้เห็นแสงสว่างบ้าง!”

จุยหย่วนยิ้มอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร เพียงตอบใช่คำเดียว!

กลุ่มแรกที่กลับถึงจุดหมายสุดท้ายปรากฏออกมาแล้ว มีสามคน!

เดรัจฉานสับปลับเหยียบลงพื้น เหมียวอี้และเพื่อนอีกสองคนกระโดดลงจากสัตว์พาหนะ

พอเหยียบลงพื้น ก็นับว่ากลับถึงจุดหมายสุดท้ายอย่างเป็นทางการ ทั้งสามเรียกได้ว่าโล่งใจอย่างแท้จริง ในที่สุดก็ปลอดภัยแล้ว! ในที่สุดก็ผ่านด่านยากของการทดสอบหนึ่งร้อยปีมาแล้ว ในที่สุดก็เก็บชีวิตกลับมาได้ ไม่ง่ายเลยนะ!

ท่ามกลางกลุ่มผู้บัญชาการใหญ่ ใบหน้าโค่วเหวินหลานเปี่ยมล้นด้วยความปีติยินดี รีบเดินก้าวยาวแยกออกมาจากกลุ่มคน โค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินชิงก็ตามติดมาข้างหลังเช่นกัน ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ก้าวตามหลังมาอย่างช้าๆ

พอเห็นโค่วเหวินหลาน ในใจสวีถังหรานก็แอบรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง ตอนท่ามกลางสายตาฝูงชน เขาไม่ได้แสดงบทบาทอะไรเลย เวลาโดนคนอื่นโจมตีก็ได้แต่หนี ทั้งยังร้องโวยวายให้ช่วยชีวิต เสียหน้าแล้วจริงๆ ต่อไปจะอยู่ยังไงล่ะ…

แต่พอเห็นโค่วเหวินหลานทำท่าทางดีใจมาก เจ้าหมอนี่ก็แอบทำสายตาลอกแลก ขณะเดียวกันก็แอบร่ายอิทธิฤทธิ์ขับน้ำตาออกมา ทั้งยังร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นจุดที่บาดเจ็บในร่างกาย มีเลือดสดทะลักออกจากมุมปากทันที น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาแล้วเช่นกัน

ท่ามกลางสายตาฝูงชน เห็นเพียงสวีถังหรานแกว่งแขนพิการข้างหนึ่ง ลากขาพิการข้างหนึ่งอยู่บนพื้น น้ำตาไหลพราก กระโดดเข้าไปด้วยขาข้างเดียว นำหน้าไปรับโค่วเหวินหลานที่เดินก้าวยาวเข้ามา

“ผู้บัญชาการใหญ่!” สวีถังหรานลากเสียงยาว ร้องไห้ราวกับน้ำตาจะเป็นสายเลือด มุมปากมีเลือดไหลออกมาจริงๆ สภาพเหมือนกำลังผลักภูเขา เดินลากขาพิการมาคุกเข้าลงตรงหน้าโค่วเหวินหลาน แล้วใช้แขนข้างหนึ่งกอดต้นขาโค่วเหวินหลานเอาไว้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร้องไห้เสียงโวยวายเสียงดัง “ร้อยปีก่อนได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการใหญ่ให้มาสถานที่ไร้ระเบียบ มาด้วยจิตใจฮึกเหิม ทว่าอันตรายในระหว่างนั้นยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ หนึ่งวันนานเหมือนหนึ่งปี สุดแสนจะทรมาน เดิมทีข้าน้อยคิดว่าจะไม่ได้กลับมาเจอผู้บัญชาการใหญ่อีกแล้ว อยากจะตายเพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้บัญชาการใหญ่! ภายใต้ศึกนองเลือดที่ไม่อาจคาดเดานับครั้งไม่ถ้วน ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถเก็บชีวิตกลับมาพบกับผู้บัญชาการใหญ่ได้อีกครั้ง โชคดี! โชคดีมาก! ร่างกายพิการไร้ประโยชน์นี้ ได้กลับมารายงานผลภารกิจกับผู้บัญชาการใหญ่แล้ว!”

นั่นเรียกได้ว่าร้องไห้ฟูฟายจริงๆ ร้องแบบมีทั้งเลือดทั้งน้ำตา ทุกข์ทรมานกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ทุกคำพูดล้วนมีน้ำตา ซาบซึ้งสะเทือนใจ ทำให้ผู้ที่ได้ยินปวดใจ ได้ยินแล้วน้ำตาไหล

โค่วเหวินหลานเดิมทีมีอารมณ์เบิกบานใจสุดๆ แต่พอโดนเจ้าบ้านี่ปั่นอารมณ์ ก็ควบคุมตัวเองลำบากทันที เขาเป็นที่คนค่อนข้างรักสะอาด แต่กลับใช้มือลูบศีรษะที่ยุ่งเหยิงปนเลือดของสวีถังหราน เบ้าตาแดงก่ำ เม้มริมฝีปากแน่น ไม่น่าเชื่อว่าจะสะเทือนใจจนพูดไม่ออก ริมฝีปากเผยอหลายครั้ง แต่กลับซึ้งใจจนพูดอะไรไม่ออก

คนรอบข้างได้ยินแล้วทอดถอนใจไม่หยุด เมื่อได้เห็นการเข่นฆ่าที่ดุเดือดตรงหน้า ก็เหมือนจะนึกออกแล้วว่าหลายปีมากนี้ลูกน้องตัวเองลำบากขนาดไหน ทุกคนต่างก็สู้สุดชีวิต สามคนตรงหน้าที่กลับมารายงานผลภารกิจก็คือหลักฐาน

ชั่วพริบตาเดียว ไม่น่าเชื่อว่าทุกคนจะลืมภาพของสวีถังหรานตอนที่จนตรอกร้องโวยวายเหมือนผีสางเพื่อขอให้ช่วยชีวิตไปแล้ว

โค่วเหวินชิงที่ยืนอยู่ข้างกายโค่วเหวินหลานก็น้ำตาคลอแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นสวีถังหรานร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ภาพที่ผู้ชายคนหนึ่งฟูมฟายร้องห่มร้องไห้ สะเทือนใจเกินไปแล้ว! เรียกน้ำตาเกินไปแล้ว! น่าเวทนาเกินไปแล้ว! นางทนมองไม่ได้อีกต่อไป จึงเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อมองไปอีกด้าน

เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักมองมาทางนี้ เขาพยักหน้าเล็กน้อย ถ่ายทอดทอดเสียงบอกจุยหย่วนที่อยู่ข้างๆ ว่า “เห็นแล้วหรือยัง โค่วเหวินหลานคนนี้คัดเลือกลูกน้องได้เก่ง สิ่งนี้ทำให้มองออกถึงความสามารถของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะลูกน้องที่ไว้ใจได้แบบนี้ ช่างมีความตั้งใจจริง ไม่อย่างนั้นลูกน้องของเขาจะโจมตีกลับมาเป็นคนแรกได้ยังไง!”

เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวที่เดินตามมาทีหลัง พอได้เห็นสภาพแบบนั้นของสวีถังหราน พวกเขาก็แอบตกตะลึงนิดหน่อย มองหน้ากันเลิกลั่กอย่างอดไม่ได้ พึมพำในใจว่า ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ? กินสมุนไพรเซียนซิงหัวไว้ล่วงหน้าแล้วไม่ใช่หรือไง? ทำไมจนป่านนี้ยังอาเจียนเป็นเลือดอีก นี่ต้องบาดเจ็บหนักขนาดไหนกัน แม้แต่สรรพคุณของสมุนไพรเซียนซิงหัวก็ควบคุมไม่อยู่เหรอ? เจ้าเวรนี่แสดงละครเก่งเกินไปแล้ว ในภายหลังใครจะกล้าพูดอีกว่าสวีถังหรานไร้ประโยชน์ สามารถใช้ปากได้เก่ง ภายใต้น้ำตาปนสายเลือดของเจ้าบ้านี่ ไม่รู้ว่าทำให้ผลงานส่วนนี้ขยายใหญ่ขึ้นตั้งกี่เท่า พวกเราสองคนนับว่าได้อาศัยบารมีไปด้วยหรือเปล่า?

เพียงแต่ในใจเหมียวอี้รู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย ในหนึ่งร้อยปีมานี้ นอกจากจะเข้าครัวทำอาหารได้ เจ้าชาติสุนัขนี่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปต่อสู้ ทำไมดูเหมือนไม่มีผลงานใหญ่เท่าเจ้าเลยล่ะ มารดาเจ้าเถอะ การแหกปากร้องไห้มันยอดเยี่ยมกว่าตอนที่ข้าสู้สุดชีวิตอีก ดูสิว่าทำเอาเจ้าตุ้งติ้งซาบซึ้งจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว

โค่วเหวินหลานพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง โน้มตัวยื่นสองมือประคองสวีถังหรานขึ้นมาด้วยตัวเอง แล้วหันไปพยักหน้าให้โค่วเหวินชิงที่อยู่ข้างๆ โค่วเหวินชิงเข้าใจที่เขาสื่อ เป็นฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วยประคอง ‘ขุนนางผู้มีคุณูปการ’ อย่างสวีถังหรานด้วยความเต็มใจ ไม่มีการรังเกียจเพราะฐานะต่างกัน

ในตอนนี้โค่วเหวินหลานถึงได้เงยหน้ามองเหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวที่เดินเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสองสภาพสะบักสะบอมเปื้อนเลือดทั้งตัวเพราะต่อสู้มาเหมือนกัน ก็กล่าวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ลำบากทุกคนแล้ว!”

ถึงแม้เหมียวอี้จะแสดงละครไม่เก่งเท่าสวีถังหราน และไม่สามารถคุกเข่าร้องไห้อย่างปวดใจต่อหน้าสวีถังหรานได้ แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดีจากการแสดงของสวีถังหราน เลยรู้สึกว่าเล่นไปตามน้ำก็ไม่เป็นไร ถึงได้กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าเศร้าสลดปนฮึกเหิม กล่าวด้วยเสียงหนักแน่นว่า “ได้รับความสำคัญจากจากผู้บัญชาการใหญ่ หนิวโหย่วเต๋อไม่มีอะไรจะตอบแทน มีเพียงการสู้ตายเท่านั้น!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา อารมณ์เศร้าปนฮึกเหิมที่อยู่ในนั้นก็ทำให้กลุ่มคนที่อยู่รอบข้างพากันทำสีหน้าประทับใจ โค่วเหวินหลานคนนี้มีคุณธรรมหรือความสามารถอะไร ถึงได้ลูกน้องที่มีความจงรักภักดีขนาดนี้มาทำงานรับใช้ ทำให้คนอิจฉาตาร้อนมาก!

เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ อีกครั้งได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ อีกครั้ง มองโค่วเหวินหลานด้วยสายตาที่สูงขึ้นอีกระดับแล้ว

มู่หรงซิงหัวกลับพูดไม่ออกอย่างถึงที่สุด ผู้ชายชาตรีสองคนนี้ คนหนึ่งปลุกปั่นอารมณ์ให้ซาบซึ้ง  อีกคนใช้ความเศร้าสลดปนฮึกเหิมกระตุ้นให้ซาบซึ้ง ทำแบบนี้อยากจะให้โค่วเหวินหลานร้องไห้ใช่มั้ย?

พอเงยหน้ามอง ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้วจริงๆ โค่วเหวินหลานน้ำตานองหน้าแล้ว น้ำตาสองสายเอ่อล้นออกมาอย่างเก็บกลั้นไม่อยู่ ร้องไห้จนจมูกแดง ซาบซึ้งใจไม่หยุด

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด