พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1047 รายงานผลการปฏิบัติงาน

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1047 รายงานผลการปฏิบัติงาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 1047 รายงานผลการปฏิบัติงาน

รับไม่ไหวกับสองคนนี้! มู่หรงซิงหัวแอบทอดถอนใจ

ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน นางอาจจะเอาเยี่ยงอย่างสวีถังหราน ผู้หญิงได้เปรียบกว่าในด้านเรียกร้องขอความเห็นใจ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะนางกลับตัวเป็นคนใหม่แล้ว!

การทำตัวเป็นคนใหม่มักจะยากมากเสมอ มักจะต้องเตรียมตัวรับสิ่งที่ไม่เป็นผลดีกับตัวเอง!

นางมือพิการไปข้างหนึ่ง ไม่ต้องกุมหมัดคารวะแล้ว เพียงใช้มือข้างเดียวกดตรงหน้าอกอย่างเรียบง่าย พร้อมรายงานว่า “ข้าน้อยกลับมาจากการทดสอบ รายงานผลการปฏิบัติงานต่อผู้บัญชาการใหญ่!” น้ำเสียงไม่แข็งกร้าวและไม่ถ่อมตัวเกินไป มีกลิ่นอายของอาจกล้าหาญ

โค่วเหวินหลานร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดน้ำตา แล้วพยักหน้ากล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ดีๆๆ! กลับมาก็ดีแล้ว!”

ท่ามกลางกลุ่มคนของตำหนักสวรรค์ ทำแบบนี้เสียอาการนิดหน่อย แต่จนใจที่โดนลูกน้องสองคนปลุกปั่นอารมณ์จนควบคุมไม่ค่อยไหว

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นคนอื่นทยอยกันกลับมาจึงคลายความรู้สึกได้ โค่วเหวินหลานก็ยุติอารมณ์พวกนี้ได้ยากจริงๆ คนอื่นเรียกเขาว่า ‘ไอ้ตุ้งติ้ง’ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

ขณะที่กลุ่มคนเริ่มพุ่งกลับมาพร้อมกัน พวกโฉวตั้งไห่ต้านทานคนมากมายขนาดนั้นไม่ไหวจริงๆ กอปรกับฮุยชิงเหยียนกับฝานอวี้เฟยที่กำลังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย อาศัยโฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงรวมทั้งคนอื่นๆ แค่ครั้งเดียวจะดักได้สักกี่คน? ดังนั้นจึงมีผู้บัญชาการไม่น้อยที่ฉวยโอกาสนี้พุ่งกลับมา นับว่าโชคดีเก็บชีวิตกลับมาได้ท่ามกลางความโชคร้าย

เจ้านายคนอื่นๆ ย่อมออกจากกลุ่มคนอย่างตื่นเต้นดีใจเพื่อมารับลูกน้องด้วยตัวเอง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เจ้านายพวกนั้นเซ็งก็คือ ไม่ได้เห็นฉากซาบซึ้งใจเหมือนตอนที่โค่วเหวินหลานได้พบกับลูกน้อง ลูกน้องของตัวเองเหมือนจะหดหัวนิดหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนกลัวหัวหดไม่กล้าพบตน ต่างกับลูกน้องของโค่วเหวินหลานราวฟ้ากับดินจริงๆ

ฉากที่เลี่ยนแบบโค่วเหวินหลานโดยเดินเข้าไปต้อนรับอย่างอบอุ่น กลายเป็นฉากเงียบวังเวงทันที เจ้านายกับลูกน้องเรียกได้ว่าไม่คุ้นเคยกัน อยากจะแสดงต่อก็แสดงไม่ไหว

มีเจ้านายหลายคนรู้สึกเสียหน้าเพราะสิ่งนี้ ดูอย่างลูกน้องคนอื่นสิ นั่นต่างหากที่เรียกว่าลูกน้องที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้อย่างแท้จริง ลูกน้องตัวเองมีแต่พวกไม่ได้เรื่องทั้งนั้น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ได้จงรักภักดีเท่าลูกน้องของโค่วเหวินหลาน ช่างทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะจริงๆ

หารู้ไม่ว่าพวกเขากำลังอับอายเพราะนักโทษที่อยู่ ‘กระเป๋าสัตว์’! บรรดาผู้บัญชาการโชคดีรอดชีวิตกลับมา แต่เกรงว่าจะไม่มีทางรายงานผลงานได้! ย่อมต้องกลัวจนหัวกดอยู่แล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ ศัตรูโหดเกินไป สามารถรักษาชีวิตกลับมาได้ก็นับไม่แย่แล้ว และการรักษาชีวิตกลับมาได้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดด้วย

จะว่าไปก็เป็นเพราะไปล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงไว้จริงๆ สวีถังหรานทำได้เพียงกอดต้นขาโค่วเหวินหลานไว้แน่นๆ ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดา ไม่เหมือนคนอื่นๆที่ต่อให้ทำภารกิจไม่สำเร็จแต่ก็ไม่มีโทษถึงตาย ถ้าเขาไม่มีโค่วเหวินหลานคอยปกป้อง ก็เป็นไปได้สูงว่าอาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ วางแผนเพื่อความอยู่รอด จึงทำได้เพียงแสดงละครฉากสะเทือนใจ จะได้ทำให้โค่วเหวินหลานรู้ว่าต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ทุกข์ยากลำบากมาก!

เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวหันไปมองกำลังพลที่กลับมาพร้อมกัน แล้วก็หันมาสบตากันแวบหนึ่ง เรียกได้ว่าเข้าใจเป็นอย่างดี

เหมียวอี้ก็ยิ่งแอบชมในใจ สวีถังหรานเป็นบุคคลมีฝีมือที่แปลกประหลาดหาพบได้ยากจริง วันนี้นับว่าได้รับรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าการแสดงที่ทุ่มเทอารมณ์ความรู้สึก!

ตอนที่ย้ายสายตากลับมา ก็บังเอิญไปสบประสานกับสายตาที่เหมือนจะกินคนของเซี่ยโห้วหลงเฉิง

เมื่อได้เห็นฉากที่พวกเหมียวอี้สู้ศึกเลือดกลับมาเพื่อโค่วเหวินหลานและพบกันด้วยไมตรีจิตอันลึกซึ้ง โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่เหมียวอี้สร้างความโดดเด่นมากมายเพื่อโค่วเหวินหลาน ทั้งยังทำให้กำลังคนของน้องชายตนโดนล้อมอีก เซี่ยโห้วหลงเฉิงเรียกได้ว่าแค้นจนอยากจะฉีกเนื้อของเหมียวอี้ทั้งเป็น คนที่เขาเกลียดที่สุดเปลี่ยนจากสวีถังหรานไปเป็นเหมียวอี้ทันที

สมองของคนคนนี้ค่อนข้างเรียบง่าย ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตน้องชายตัวเอง เรื่องที่สวีถังหรานซ้อมตัวเองไปยกหนึ่งนับว่าไม่สำคัญเลย คนที่ทำลายอนาคตน้องชายตัวเองต่างหากที่น่าแค้นจริงๆ!

เหมียวอี้แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว ตั้งแต่ที่ตนโยนสมุนไพรเซียนซิงหัวให้คราวนั้น ก็ยังไม่เคยเห็นเจ้าหมีควายมองตนด้วยสายตาดุร้ายแบบนี้อีกเลย ดูท่าแล้วผู้หญิงที่นำคนมาสู้กับตนคงจะเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วจริงๆ เหมือนครั้งนี้จะยั่วโมโหเจ้าหมีควายอย่างรุนแรงอีกแล้ว

แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพื่อที่จะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่โต้ตอบ ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตีเข่นฆ่าได้ตามอำเภอใจ แบบนั้นก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ไปแล้ว เหมียวอี้ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนในใจ  ทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้าน เขาทำได้เพียงเท่านี้เหมือนกัน ถ้าให้คำนึงถึงทุกด้านเขาก็ทำไม่ไหว!

หลังจากโค่วเหวินหลานควบคุมอารมณ์ตัวเองได้และพูดปลอบใจไปสองสามคำ จู่ๆ โค่วเหวินหวงก็ก้าวมาแทรกข้างหน้า แล้วยื่นมือไปที่เหมียวอี้ “ได้นักโทษมาเท่าไร เอามาดูหน่อย”

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ แต่พอลองคิดก็พอจะเดาออกว่าท่านนี้เป็นใคร แต่เขากลับแกล้งไม่เข้าใจและถามโค่วเหวินหลานว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ คนนี้คือใครขอรับ?”

โค่วเหวินหวงหน้าบึ้งทันที อารมณ์ซาบซึ้งเมื่อครู่นี้ของโค่วเหวินหลานถูกพี่สามทำให้หายไปแล้ว ตอบเสียงเรียบว่า “ลูกพี่ลูกน้องของข้า เป็นเจ้านายของพวกโฉวตั้งไห่ด้วย”

“เสียมารยาทแล้ว!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะโค่วเหวินหวงทันที แล้วเริ่มฟ้องว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ พวกโฉวตั้งไห่ลูกน้องของท่านก็ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว ข้านำนักโทษสี่คนที่จับมาได้อย่างยากลำบากให้เขาไป แต่พอเห็นพวกเราประสบปัญหา ก็ไม่แม้แต่จะมาช่วยสกัดขวางศัตรูให้เลย คนคนนี้มีเจตนาไม่ดีแอบแฝง หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะลงโทษให้หนัก”

“เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลัง นำนักโทษมาให้ข้าดูก่อน” โค่วเหวินหวงกล่าวเสียงต่ำ

“เรื่องนี้ข้าน้อยตัดสินใจเองไม่ได้ ” เหมียวอี้เด็ดกระเป๋าสัตว์ตรงเอวออกมา แล้วยื่นให้โค่วเหวินหลานโดยตรง เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องของตระกูลโค่ว ให้โค่วเหวินหลานไปตัดสินใจเอาเอง ตัวเองไม่อยากเป็นคนร้ายๆ และเป็นไม่ไหวด้วย

ถ้าแม้แต่โค่วเหวินหลานเองยังไม่สนใจอันดับ งั้นเขาก็ยิ่งไม่มีความเห็นอะไรแล้ว ก่อนหน้านี้เชื่อฟังคำสั่งโค่วเหวินหลาน จึงมอบคนให้โฉวตั้งไห่ไป และเขาก็ไม่ได้คิดจะไปแย่งอะไรด้วย แต่เพราะตอนหลังเกิดเหตุสุดวิสัย เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในมืออวี้ชิงหลางจะจับนักโทษได้มากมายขนาดนั้น จึงถือโอกาสเก็บกลับมา ส่วนโค่วเหวินหลานจะเอาหรือไม่เอาก็เรื่องของโค่วเหวินหลาน เขาไม่เข้าไปก้าวก่าย

พอโค่วเหวินหลานรับกระเป๋าสัตว์มาไว้ในมือ โค่วเหวินหวงก็ยื่นมือมาทันที แต่คาดไม่ถึงว่าโค่วเหวินหลานกลับยื่นมือห้าม พร้อมถามกลับว่า “อย่าบอกนะว่าพี่สามจะแย่งของต่อหน้าฝูงชน?”

โค่วเหวินหวงไม่สะดวกจะแย่งต่อหน้าฝูงชนจริงๆ มีเกาก้วนคอยมองอยู่ เขาไม่กล้าทำแบบนี้ แต่ก็ร้อนใจราวกับมีไฟลุก การทดสอบของตำหนักสวรรค์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตัวเองในตระกูลโค่ว จึงเก็บมือทันที แล้วถ่ายทอดเสียงอธิบาย “เจ้าหก นี่ไม่ใช่เวลามาโต้เถียงเพราะอารมณ์ส่วนตัว การปกป้องชื่อเสียงเกียรติยศของตระกูลโค่วต่างหากที่สำคัญที่สุด เจ้ากับข้ารวมกันถึงจะมั่นใจขึ้น”

ใช้หมวกใหญ่ใบนี้อีกแล้ว โค่วเหวินหลานก็เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ในฐานะที่เป็นลูกหลานของตระกูลโค่ว เขาจำเป็นต้องสวมหมวกใหญ่ใบนี้ไว้ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของตระกูล ผลประโยชน์ของเขานั้นเล็กน้อยจนไม่มีค่าให้เอ่ยถึง ไม่อย่างนั้นถ้าโดนตระกูลทอดทิ้งขึ้นมาจริงๆ อนาคตของเขาก็หมดแล้วเหมือนกัน

ขณะที่กำลังลังเลตัดสินใจลำบาก เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูนักโทษในกระเป๋าสัตว์

ตอนไม่ดูก็ยังไม่เป็นไร แต่พอได้ดูแล้วก็ตกใจทันที ดวงตาเบิกกว้างขึ้นหลายเท่า นี่มันเท่าไรกัน? สามสิบห้าเหรอ?

เมื่อลองนับใหม่อีกรอบ ก็พบว่านับไม่ผิดมีสามสิบห้าคนจริงๆ?

ในการทดสอบหนึ่งร้อยปีนี้ ไม่น่าเชื่อว่าคะแนนหนึ่งในสามจะมาอยู่ในมือตนแล้ว? โค่วเหวินหลานทำสีหน้าไม่ถูก หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น เงยหน้าช้าๆ มองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อแวบหนึ่ง อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้เขาปิดบังจำนวนนักโทษที่อยู่ในมือ?

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ พยักหน้าให้เขาเล็กน้อยพร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าเองก็รู้สึกผิดคาดมากเหมือนกัน ทั้งหมดนี้ล้วนแย่งมาจากมืออวี้ชิงหลาง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในมือเจ้าบ้านั่นจะมีนักโทษมากมายขนาดนี้ ข้าน้อยถือโอกาสกอบโกยมาในตอนสุดท้ายแท้ๆ เลย”

“เจ้าหก เป็นอะไรไป?” โค่วเหวินหวงถามอีก

โค่วเหวินหลานไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัวเดินออกไปทันที ถือกระเป๋าสัตว์เดินไปใต้บันไดหน้าตำหนักโดยตรง

เมื่อเห็นฉากนี้ โค่วเหวินหวงก็ร้อนรนทันที ถ่ายทอดเสียงตะคอกว่า “เจ้าหก! เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? เจ้าหก! เจ้าหก…”

เรียกเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ โค่วเหวินหลานไม่สนใจอีกฝ่ายเลย โค่วเหวินหลานไม่ใช่คนโง่ คะแนนหนึ่งในสามมาอยู่ในมือตัวเอง แสดงว่าหนีไม่พ้นสองอันดับแรกแล้ว แถมมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะได้อันดับหนึ่ง ถ้ามัวสนใจพี่สามที่เอะอะก็เอาเรื่องตระกูลมาอ้าง นั่นก็แปลว่าสมองเขามีปัญแล้ว

สิ่งที่เขาเสียใจที่สุดตอนนี้ก็คือ ก่อนหน้านี้ไม่น่ายกนักโทษสี่คนให้โค่วเหวินหวงเลย ไม่อย่างนั้นคะแนนจะต้องสวยงามกว่านี้แน่นอน จะมีความมั่นใจที่จะได้อันดับหนึ่งมากกว่านี้!

แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอี้นำคะแนนที่ได้มอบให้คนอื่นไป ก็คงไม่ทำให้ฮุยชิงเหยียนกับฝานอวี้เฟยสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย และคงไม่ทำให้ผู้บัญชาการใหญ่พวกนั้นบุกโจมตีพร้อมกันในเวลานั้น และอวี้ชิงหลางก็คงไม่วางค่ายกลรอในเวลานั้นด้วย ถ้าอวี้ชิงหลางไม่ได้วางค่ายกลตอนนั้น เหมียวอี้ก็คงไม่ได้คะแนนของอวี้ชิงหลางมาไว้ในมือ อย่างน้อยถ้าไม่สร้างความปั่นป่วนให้พวกฮุยชิงเหยียน ต่อให้ได้ของมาจากชิงอวี้หลาง แต่เหมียวอี้ก็ไม่มีทางกลับมาได้ง่ายๆ แน่

นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่ากงเกวียนกำเกวียน เพราะมีกรรมจึงมีผลที่ตามมา

จะบอกว่าโค่วเหวินหวง ‘วางแผนเก่งเกินไปจนทำให้ตัวเองเสียหาย’ ก็ได้เหมือนกัน การที่เหมียวอี้กอบโกยได้มากมายแบบนี้ ก็ต้องขอบคุณโค่วเหวินหวงจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้คงไม่มีใครไปครุ่นคิดถึงมูลเหตุและผลที่เกี่ยวเนื่องกันของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

ดังนั้นโค่วเหวินหวงจึงได้แต่โกรธจนหน้าเขียว กำหมัดสองข้างไว้แน่น ได้แต่มองดูเจ้าหกเดินไปตรงตีนบันไดหน้าตำหนักโดยทำอะไรไม่ได้

“นายท่านผู้คุม ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าน้อยกลับมารายงานผลการทดสอบขอรับ!” โค่วเหวินหลานยืนกุมหมัดคารวะอยู่ตรงตีนบันได

เกาก้วนจ้องเขาหลายครั้ง จากนั้นก็เอียงหน้าไปข้างๆ จุยหย่วนเข้าใจทันที เหาะลงบันไดมาถามว่า “ตั้งใจกับการทดสอบหรือไม่?”

โค่วเหวินหลานใช้สองมือยื่นกระเป๋าสัตว์ให้ พร้อมบอกว่า “เชิญท่านพ่อบ้านตรวจสอบ!”

พอจุยหย่วนโบกมือ ก็มีคนหลายคนเดินเข้ามาทันที โค่วเหวินชิงกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ฉวยโอกาสถลันตัวเข้ามาเช่นกัน เพื่อแสดงความยุติธรรม จุยหย่วนถึงรับกระเป๋าสัตว์โค่วเหวินหลานต่อหน้าฝูงชน แล้วยื่นให้ลูกน้องตรวจนับเป็นพยาน ส่วนเขาก็คอบควบคุมอยู่ข้างๆ โค่วเหวินหวงและผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามาดูอยู่ข้างๆ เช่นกัน

นักโทษที่ถูกมัดคนแรกถูกจับออกมา หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้ฟื้น ก็รวบดึงผมไปไว้ข้างหลัง พอเผยใบหน้าออกมาแล้ว ก็มีคนนำรายชื่อและภาพของนักโทษที่ต้องจับมาเทียบตรวจทันที หลังจากเทียบแล้วว่าเป็นนักโทษ ก็ทำการตรวจสอบยืนยันขั้นต่อไปทันที จากนั้นก็บังคับให้นักโทษลงตราอิทธิฤทธิ์เพื่อเทียบกับร่องรอยของนักโทษในปีนั้นซึ่งไม่รู้ว่าไปสืบค้นมาจากไหน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด ก็มีคนกุมหมัดรายงานจุยหย่วน “นักโทษกัวลี่ชุน ตรวจสอบแล้วไม่ผิดพลาด”

กัวลี่ชุนหลบหนีมาหลายปี เดิมทีนึกว่าจะปะปนใช้ชีวิตต่อไปได้ สุดท้ายตอนนี้ตกอยู่ในตาข่ายกฎหมาย เมื่อได้สัมผัสกับความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ ถึงได้รู้ว่าเจตจำนงของสวรรค์ยากจะฝ่าฝืน เรียกได้ว่าตกใจจนกน้าซีดเหมือนสีดิน คุกเข่าเอาหน้าโขกพื้นเพิ่อวิงวอนทันที

จุยหย่วนโบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทางซ้ายและขวามีคนพุ่งเข้ามาทันที โดนลากออกไปแล้ว ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต้องอธิบาย!

จากนั้นก็เป็นนักโทษคนต่อไป นักโทษถูกลากออกไปคนแล้วคนเล่า บางก็เป็นศพ บางก็ยังเป็นๆ บ้างก็สาหัสปางตาย ทางจุยหย่วนย่อมมีวิธีการยืนยันตัวตนอยู่แล้ว พอถูกลากไปคนหนึ่ง จุยหย่วนก็ขีดฆ่าบนรายชื่อ

ตอนนี้นักโทษโดนดึงออกมาจากกระเป๋าสัตว์เกินสิบคน โค่วเหวินหวงก็หน้าเขียวแล้ว นึกไม่ถึงว่าในมือเจ้าหกจะมีนักโทษเยอะขนาดนี้

ผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็สีหน้าแย่เช่นกัน เมื่อทางนี้มีนักโทษเพิ่มมาหนึ่งคน ก็หมายความว่าโอกาสที่ลูกน้องตัวเองจะต่อสู้ช่วงชิงให้ได้อันดับต้นๆ ก็น้อยไปส่วนหนึ่งแล้ว

 …………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด