พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1108 ในมือเจ้ามีแค่เคล็ดวิชาภาคคน

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1108 ในมือเจ้ามีแค่เคล็ดวิชาภาคคน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 1108 ในมือเจ้ามีแค่เคล็ดวิชาภาคคน

ฉินซีหันตัวเงียบๆ หันข้างให้เหมียวอี้ จ้องมองภูเขาแม่น้ำที่พังถล่มอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

ท่าทางเวลานางหันข้าง เรียกได้ว่าเหมือนความเขียวชอุ่มของภูเขาที่อยู่ไกลๆ สงบนิ่งดุจสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ราวกับคนในภาพวาดจริงๆ โดยเฉพาะคุณสมบัติประจำตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใครแบบนั้น หลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะมองดูหลายครั้ง

เหมียวอี้เองก็ต้องแอบชื่นชมในใจเช่นกัน รูปโฉมที่งดงามของแม่ยายคนนี้ไม่มีอะไรต้องพูดแล้วจริงๆ จะบอกว่างามข่มผู้หญิงคนอื่นก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป และก็ไม่แปลกใจที่หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยเลือกมาเป็นฮูหยินคนใหม่ หยางชิ่งช่างกล้านัก!

เหมียวอี้เอียงศีรษะเบาๆ มองหลิงเทียน “ไปดูข้างล่างหน่อยว่ามีคนหรือเปล่า”

หลิงเทียนรู้ว่าพวกเขามีเรื่องจะคุยกันตามลำพัง จึงพยักหน้าเอ่ยรับ แล้วถลันตัวลงไป ไปตรวจดูตามอาคารบ้านเรือนในภาอู๋เลี่ยง

ผ่านไปครู่ใหญ่ ฉินซีถึงได้ถอนหายใจเบาๆ “เฟิงเป่ยเฉินล้มแล้ว นอกจากหาที่หลบซ่อน ข้ายังจะไปไหนได้อีก? อาศัยแค่ที่ข้าเป็นฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน เจ้าคิดว่าอีกห้าปราชญ์จะปล่อยข้าไปได้เหรอ?”

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ยอมแพ้เถอะ! เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกไม่สู้บอกว่ายอมแพ้ข้า ข้างกายข้าขาดกำลังคนพอดี มาทำงานเป็นลูกน้องข้าแล้วกัน!”

ฉินซีเอียงศีรษะมองมา “ต่อไปเกรงว่าเจ้าเองก็คงไม่ได้อยู่อย่างสงบเท่าไรหรอก อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่าอีกห้าปราชญ์จะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ?”

เหมียวอี้บอกว่า “ไม่ใช่พวกเขาไม่ปล่อยข้าหรอก แต่ข้าต่างหากที่จะไม่ปล่อยพวกเขา ครั้งนี้ในมือฉีกหน้ากันแล้ว ต่อให้พวกเขาไม่มาหาข้า ข้าก็จะไปหาพวกเขาเช่นกัน ข้าจะแก้ไขเรื่องนี้ให้จบในครั้งเดียว ท่านไม่ต้องกังวล”

ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ถามนอกเรื่อง “ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ทำไมเจ้าไม่เปิดโปงภูมิหลังของโม่จวินหลัน?”

เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ที่จริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับโม่จวินหลัน จากที่ข้ารู้มา โม่จวินหลันเองก็ไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งอะไร เหตุใดต้องใช้ความสัมพันธ์ที่ไร้ระเบียบของคนรุ่นก่อนทำร้ายนาง นางไม่ได้ทำอะไรผิด อย่างไรเสีย สำหรับข้าแล้ว โม่จวินหลันคนเดียวไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อข้าหรอก”

ฉินซีพยักหน้า ตอบอย่างตรงไปตรงมามากว่า “ดี! ข้ายอมแพ้เจ้า”

เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย นิสัยคิดอะไรกระโดดไปกระโดดมาของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาไม่เข้าใจ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “อย่าบอกนะว่าที่ยอมจำนนข้าเพราะเกี่ยวข้องกับโม่จวินหลัน?”

ฉินซีตอบว่า “ข้ากังวล คิดว่าที่เจ้าโน้มน้าวให้ข้ายอมจำนนเพราะเจ้าอยากได้รูปโฉมที่งดงามของข้า จากเรื่องของโม่จวินหลันทำให้ข้าดูออกแล้วว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร ข้าวางใจแล้ว”

ปาดเหงื่อ! เหมียวอี้ค่อนข้างเหม่องง นี่นับว่าเป็นเหตุผลอะไรกัน ผู้หญิงคนนี้หลงตัวเองเกินไปรึเปล่า? คิดว่าข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยมาก่อนรึไง? ด้วยความสัมพันธ์ของเจ้ากับฉินเวยเวย ข้าจะกล้าทำเรื่องเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานแบบนั้นได้เหรอ? เขากล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ผู้อาวุโส ข้าไม่ขาดผู้หญิงหรอก ไม่ขาดผู้หญิงสวยด้วย ที่ขอให้ท่านยอมจำนนเป็นเพราะฉินเวยเวย ข้าไม่ใช่เฟิงเป่ยเฉินนะ ท่านก็พูดเกินไปแล้ว!”

“ข้าหน้าตาเป็นอย่างไรข้ารู้ดี ส่วนผู้ชายอย่างพวกเจ้าเป็นอย่างไร พวกเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ข้าไม่อยากเถียงเรื่องนี้กับเจ้า!” ฉินซีส่ายหน้า

ช่างเถอะ! เหมียวอี้ก็ขี้คร้านจะเถียงอีก หวังดีแต่กลายเป็นถูกเข้าใจผิด เขาโบกมือเรียกฉินเวยเวยออกมาแล้ว

พอฉินเวยเวยโผล่หน้ามาก็มองไปรอบๆ นางดึงแขนเหมียวอี้อย่างขวัญเสีย “ท่านสามี เป็นอย่างไรบ้างคะ?”

“เรื่องเฟิงเป่ยเฉินผ่านไปแล้ว ที่เจ้ารอดตัวมาได้ครั้งนี้ก็เพราะโชคดีที่มีผู้อาวุโสฉิน อยู่เป็นเพื่อนผู้อาวุโสฉินแทนข้าหน่อย” เหมียวอี้เองก็นับว่าจงใจจะสร้างโอกาสให้แม่ลูกอยู่ด้วยกัน

ฉินซีมองฉินเวยเวยด้วยแววตาที่ต่างออกไป เป็นฝ่ายจูงมือฉินเวยเวยก่อน พาไปเดินดูนภาอู๋เลี่ยงที่อยู่ข้างๆ สาเหตุหลักเป็นเพราะอยากคุยกับฉินเวยเวย

จากนั้นเหมียวอี้ก็ถลันตัวไปเหยียบบนหลังคาตำหนักหลักของตำหนักอู๋เลี่ยง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว : ช่วยเวยเวยออกมาได้แล้ว เฟิงเป่ยเฉินถูกข้าจับไว้แล้ว!

อวิ๋นจือชิวกำลังเร่งเหาะอยู่เหนือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เมื่อได้รับข้อความจากเหมียวอี้ ก็ตกใจจนหยุดลอยอยู่บนฟ้า เขย่าระฆังดาราถามอย่างร้อนใจว่า : เจ้าลงมือก่อนแล้วเหรอ?

เหมียวอี้ : ใช่!

อวิ๋นจือชิวเริ่มกังวลแล้ว : พวกสงเวยไปถึงหรือยัง? นภาอู๋เลี่ยงปล่อยข่าวรึเปล่า?

เหมียวอี้ : พวกสงเวยยังมาไม่ถึง คนของนภาอู๋เลี่ยงหนีไปไม่น้อย แถมเฟิงเป่ยเฉินก็ขอกำลังหนุนจากปู่เจ้าด้วย ข่าวนี้ปิดบังไม่ไหวแน่นอน

อวิ๋นจือชิว : ข้าให้เจ้ารอก่อนแล้วค่อยลงมือไม่ใช่เหรอ? เจ้าจะใจร้อนขนาดนี้ไปทำไมกัน? กำลังพลส่วนใหญ่ของสายมะโรงยังไม่ได้รับข่าวเรื่องเรียกระดมพลเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้เจ้าลงมือแล้วงั้นเหรอ ทำให้ทูตสายต่างๆ ของแดนอู๋เลี่ยงตกใจไปแล้ว ไม่สู้จัดการพวกเขาให้หมดทีเดียวเลยดีมั้ย? มียอดฝีมือนั่งรักษาการณ์ เดี๋ยวตอนที่กำลังพลสายมะโรงของข้าบุกโจมตี ฝ่ายเราจะต้องได้รับความเสียหายใหญ่หลวงแน่ มิหนำซ้ำ…

ยังพูดไม่ทันจบ เหมียวอี้ก็ถามตัดบทว่า : เจ้าน่าจะยังไปไม่ถึงนภาจอมมารสินะ?

อวิ๋นจือชิว : ยังไม่ถึง! ในเมื่อเฟิงเป่ยเฉินล้มเลิกิแผนที่จะฮุบสมบัติบนตัวเจ้าไว้เพียงลำพังแล้ว ก็คงจะบอกเรื่องนี้ให้ปราชญ์คนอื่นๆ รู้แล้วเหมือนกัน หนิวเอ้อร์ ข้าจะคอยดูว่าตอนนี้เจ้าจะยุติเรื่องราวยังไง!

เหมียวอี้ : เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง จะให้คำตอบกับเจ้าเอง ส่วนทางนภาจอมมารเจ้าไม่ต้องไปแล้ว บอกหยางชิ่งว่าไม่ต้องระดมกำลังพลของสายมะโรงแล้ว ไม่ต้องใช้คนมากมาย ข้าคนเดียวก็ครอบครองอาณาเขตของแดนอู๋เลี่ยงได้อยู่ดี!

อวิ๋นจือชิวจนใจ : หนิวเอ้อร์ เจ้าจะอาศัยอะไรครอบครอง?

เหมียวอี้ : ก็อาศัยที่เฟิงเป่ยเฉินแพ้ให้กับข้าไง อาศัยที่ข้าหยั่งเชิงฝีมือของหกปราชญ์แล้ว ข้ามีแผนในใจแล้ว เรื่องที่พิภพเล็กจะถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว ครั้งนี้ข้าต้องแก้ไขให้เสร็จในรวดเดียว!

อวิ๋นจือชิวร้อนใจแล้วจริงๆ : หนิวเอ้อร์ เจ้าบ้าไปแล้วรึเปล่า? หกปราชญ์เป็นใครเจ้าไม่รู้เหรอ ลำพังแค่เจ้าสู้กับเฟิงเป่ยเฉินยังเปลืองแรงเลย ข้าแน่ใจได้เลยว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนนะ นักพรตบงกชทองที่พิภพใหญ่ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ท่านปู่ข้า เคล็ดวิชาพิเศษของหกปราชญ์ไม่ใช่ของเด็กเล่น ท่านปู่ข้าไม่ออมมือเพราะเห็นแก่ข้าแน่!

เหมียวอี้ : ข้ามีวิธีการทำงานของข้า คุยกับเจ้าในระฆังดาราไม่เข้าใจหรอก ข้าจะรอปู่เจ้าและคนอื่นๆ อยู่ที่นภาอู๋เลี่ยง พอแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน!

อวิ๋นจือชิวเก็บระฆังดาราอย่างหมั่นไส้ ทำได้เพียงติดต่อหยางชิ่งเพื่อบอกให้วางมือ

หยางชิ่งยังคงอยู่ระหว่างทางที่ออกจากแดนโพ้นสวรรค์ ถึงขนาดยังไม่เข้าเขตสายมะโรงด้วยซ้ำ ระหว่างทางเมื่อได้รับข้อความปลอบใจจากอวิ๋นจือชิวว่าฉินเวยเวยปลอดภัยแล้ว เขาก็รู้สึกประสาทเสียนิดหน่อยเช่นกัน เมื่อเจอกับคนที่ไม่ลงไพ่ตามกติกาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเหมียวอี้ เขาก็อยากจะกระอักเลือดจริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วที่เขาอยากจะกระอักเลือด

ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ในภายหลังถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ต้องถามแนวคิดของนายท่านก่อน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากนายท่าน ไม่ว่าเจ้าจะวางแผนอะไรไว้ก็จะกลายเป็นเรื่องเหลวไหลเหมือนตดหมาได้ทั้งนั้น อีกฝ่ายไม่ทำตามแผนเลย เวลาเจอเรื่องเสี่ยงอันตรายก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน อย่างไรเสีย แต่ไหนแต่ไรมานายท่านเหมียวสะดวกแบบไหนก็ทำแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ลงมือทำก่อนแล้วค่อยพิจารณาปัญหาทีหลัง อย่างมากถ้าเสียเปรียบก็ค่อยหวนกลับมาเอาคืนใหม่ ตอนแรกที่อยู่ทะเลทรายม่านเมฆาก็ทำแบบนี้ แทบจะโดนคนเล่นงานจนตายแล้ว

เหมียวอี้จะตายก็ตายไปเถอะ แต่ประเด็นสำคัญคือตอนนี้อีกฝ่ายเป็นสามีของลูกสาวตน ถ้าเขาตายลูกสาวสุดที่รักของตนก็จะกลายเป็นม่าย นี่คือเรื่องที่ทำให้หยางชิ่งประสาทเสีย ทุกครั้งที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เหมียวอี้เข้ามาแทรก ก็ทำเอาเขาคิดอะไรวุ่นวายไร้ระเบียบ รับไม่ไหวแล้ว…

ณ ตำหนักอู๋เลี่ยง ในห้องหนังสือของเฟิงเป่ยเฉิน

สำหรับเฟิงเป่ยเฉินในตอนนี้ที่สภาพจนตรอก เครื่องเรือนของที่นี่เป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาก แต่เขาก็รู้ดี ว่าตอนนี้มันไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว

ลักษณะสูงส่งดูแพงโดนตีกระหน่ำตกเมฆแล้ว ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาทั่วไป ถึงขั้นเทียบคนทั่วไปไม่ติดด้วยซ้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั้งตัวเปื้อนฝุ่นดิน ทั้งหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือด ไหล่ข้างหนึ่งก็ยิ่งหักครึ่ง ถูกเลือดฉาบจนเกือบมิดแล้ว ใครจะยังจำได้ว่าเขาคือปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน

ขณะกำลังตัวสั่นงันงก เฟิงเป่ยเฉินถูกเหมียวอี้กดให้นั่งลงบนที่นั่งเดิมของตัวเอง ย่อมต้องบังคับให้เขียนมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว ในของใช้ของเฟิงเป่ยเฉินหาไม่พบมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ต้นฉบับจะต้องถูกตาแก่นี่ทำลายทิ้งเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดแน่ ของอยู่ในหัวสมองของตาแก่นี่เท่านั้น เฟิงเป่ยเฉินเองก็ยอมรับแล้วเช่นกัน

เหมียวอี้ไม่ได้คลายผนึกวรยุทธ์เพื่อให้เขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์เขียนบนแผ่นหยก แต่ฝนหมึกโยนให้เขาเขียนเองตามสะดวก “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เขียนสิ!”

“ถ้าข้าเขียนแล้วเจ้าจะปล่อยข้าไปเหรอ?” เฟิงเป่ยเฉินถามด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก

“ตราบใดที่เจ้ากลับตัวอย่างจริงใจ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะให้เจ้าเป็นผู้ช่วยเอาไว้ต้านทานคนอื่นๆ จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า เหมียวไม่จำเป็นต้องอธิบายเยอะ” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินออกไป แต่พอเดินไปถึงประตูแล้วก็หยุดฝีเท้า หันกลับมาถามว่า “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแบ่งเป็นสามภาค มีภาคฟ้า ภาคดิน ภาคคน ในมือเจ้ามีแค่ภาคคน ข้าพูดไม่ผิดใช่มั้ย?”

เฟิงเป่ยเฉินตกตะลึงพรึงเพริด เบิกตากว้างมองเขา ไม่รู้ว่าเขาไปได้ข่าวนี้มาจากไหน ความลับนี้มีเพียงหกปราชญ์เท่านั้นที่รู้ชัด พวกเขาไม่มีทางเปิดเผยต่อคนนอกเด็ดขาด นี่ก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาพยายามหาทางจะขึ้นเรือมังกรอเวจีครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อย่างนั้นถ้าข่าวหลุดออกไป ก็เกรงว่าจะดึงดูดให้คนอื่นๆ คิดหาทางขึ้นเรือมังกรอเวจีเหมือนกัน ทำให้การปกครองพิภพเล็กของพวกเขาสั่นคลอน ดังนั้นต่อให้เป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด พวกเขาก็ไม่มีทางบอกเหมือนกัน

ในขณะที่ตกใจ เฟิงเป่ยเฉินก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้มาจากไหน?”

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ฉบับสมบูรณ์ของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ถึงแม้ข้าจะจำไม่ได้ แต่กลับเคยเห็นจากมือของเทพพยากรณ์ ข้าขอจากเทพพยากรณ์แต่เขาไม่ยอมให้ แต่ถ้านำฉบับที่เจ้าเขียนให้ไปขอให้เขาช่วยเทียบสักหน่อยก็ไม่มีปัญหา ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าคิดไม่ซื่อ ถ้าเขียนผิดไปสักตัวอักษรเดียว ก็อย่าโทษว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าแล้วกัน และข้าก็ไม่ให้โอกาสครั้งที่สองกับเจ้าด้วย เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน”

ไม่ได้ใช้วิธีการสุดโต่งอะไรมาบีบบังคับ พูดจบก็เดินก้าวยาวออกไป

ผ่านไปครู่เดียว หลิงเทียนก็เดินเข้ามาอีก มายืนกอดอกเฝ้าเขาในห้องหนังสือ

เฟิงเป่ยเฉินยังคงจมอยู่ในคำพูดเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าในมือเทพพยากรณ์จะมีฉบับสมบูรณ์ของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงด้วย? ตกลงว่าเป็นไปได้หรือเปล่า? คิดไปคิดมาก็พบว่าบนตัวเหมียวอี้มีของที่มาจากเรือมังกรอเวจี ก่อนหน้านี้ก็ถามได้ความจากปากฉินเวยเวยว่าของมาจากเทพพยากรณ์จริงๆ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเทพพยากรณ์อาจจะเคยขึ้นเรือมังกรอเวจีจริงๆ หรือแปลว่าอาจจะได้ฉบับสมบูรณ์ของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงมาแล้วจริงๆ

และสิ่งที่เขากังวลที่สุดในตอนนี้ก็คือ หลังจากเหมียวอี้ได้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงจากมือตนไปแล้ว จะฆ่าคนทิ้งหรือเปล่า ตอนนี้การรักษาชีวิตต่างหากที่สำคัญที่สุด

เมื่อลองคิดดูให้ละเอียด ก็พบว่าศักยภาพของตนมีคุณค่ามหาศาลสำหรับให้เหมียวอี้ใช้ประโยชน์จริงๆ ถ้าอยากจะจะต้านทานอีกห้าปราชญ์ ตนก็ยังสามารถแสดงประโยชน์ได้ ถ้าเปลี่ยนให้ตนเป็นเหมียวอี้ ก็จะต้องใช้ตนเป็นไพ่ลับแน่นอน อาศัยทรัพยากรฝึกตนมหาศาล รอให้พลังของเขาเหนือกว่าที่ตนจะควบคุมเขาได้ เขาจะต้องเอาตนมาใช้ประโยชน์แน่นอน ก่อนเขาจะได้ครอบครองใต้หล้า การฆ่าตนก็มีความเป็นไปได้ไม่ค่อยสูง

อันที่จริง ก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่แค่อยากได้ของบนตัวเหมียวอี้เท่านั้น อยากจะจับเป็นเหมียวอี้มาควบคุมแล้วใช้เป็นไพ่ใบสุดท้ายเช่นกัน เมื่อลองคิดในมุมของอีกฝ่าย ก็รู้สึกว่าตัวเองยังมีโอกาสรอดชีวิต

ขอเพียงผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้ รักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้ ตราบใดที่ภูเขายังเขียวขจี ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไร้ไม้ฟืน[1] ในภายหลังอาจจะมีโอกาสเงยหน้าอ้าปากก็ได้

หลังจากคิดได้แบบนี้แล้ว เฟิงเป่ยเฉินที่ไหล่หักหนึ่งข้างก็หยิบพู่กันขึ้นมา แล้วเริ่มปูกระดาษเขียนหนังสือ

ความคิดแบบนี้ของเขา อันที่จริงก็มีส่วนในการปลอบใจตัวเองอยู่บ้าง

คนบางคนก็รู้อยู่แล้ว ว่าไม่ว่าจะเลือกซ้ายหรือขวาตัวเองก็ตายอยู่ดี บางคนก็จะมีความคิดว่า ต่อให้ข้าตายแต่ก็จะไม่ให้เจ้าสมหวัง แต่คนบางคนกระดูกไม่ได้แข็งขนาดนั้น ต่อให้มีโอกาสรอดชีวิตแม้เพียงหนึ่งในหมื่น ก็จะลองพยายามดูสักหน่อยอยู่ดี ถ้าจะให้เอะอะก็ทุ่มสุดชีวิต พวกเขาทำเรื่องแบบนั้นไม่ลง

…………………………

[1] ตราบใดที่ภูเขายังเขียวขจี ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไร้ไม้ฟืน 留得青山在 不愁没柴烧 หมายถึงตราบใดที่มีชีวิตก็ย่อมมีหวัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด