พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1170 ตำหนักสวรรค์ไล่ฆ่า

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1170 ตำหนักสวรรค์ไล่ฆ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

<p>&#8220;เจ้าเป็นคนเก็บของไปแล้ว มันอยู่ในมือเจ้า ถ้าไม่ขอคำอธิบายจากเจ้าแล้วจะขอคำอธิบายจากใคร?&#8221; มู่ฝานจวินถาม</p>
<p>ซือถูเซี่ยวจึงบอกว่า &#8220;ข้าอธิบายได้ชัดเจนเหรอ? ไม่ผิดหรอกที่ข้าเป็นคนเก็บของ แต่ของมันมีนิดเดียวเท่านี้จริงๆ ถ้าเจ้าจะกดดันให้ข้าเอาของออกมาเยอะกว่านี้ แล้วข้าจะไปเอาจากไหนล่ะ? ต่อให้เจ้าเอาข้าไปขาย ข้าก็หาเงินมากขนาดนั้นไม่ได้อยู่ดี! แล้วอีกอย่าง ถ้าข้าละโมบจริงๆ จะอยู่ให้พวกเจ้ารังแกทำไม คงหาทางหนีไปตั้งนานแล้ว&#8221;</p>
<p>คำพูดนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล พวกเขาก็กลัดกลุ้มเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครยอมรับความจริงนี้ได้ เพื่อที่จะหาเงินจำนวนน้อยนิด แต่วุ่นวายจนหนีมาไกลสุดขอบฟ้าแบบนี้ จะว่าไปแล้วก็ขาดทุนเกินไป</p>
<p>&#8220;ค้นตัว!&#8221; อวิ๋นอ้าวเทียนที่เงียบมาตลอดพลันกล่าวสองคำ</p>
<p>คนที่เหลือเลิกคิ้ว เข้ามาล้อมซือถูเซี่ยวไว้ตรงกลางทันที</p>
<p>&#8220;พวกเจ้าจะทำอะไร?&#8221; ซือถูเซี่ยวตะคอกอย่างดุดัน พลางหันมองรอบๆ</p>
<p>ฉางเหลยจึงประนมมือกล่าวว่า &#8220;จอมมารพูดไม่ผิดหรอก ถ้าอยากจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองก็ต้องให้พวกเราค้นตัว ไม่อย่างนั้นจะปล่อยผ่านเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของเจ้าได้อย่างไร&#8221;</p>
<p>ล้อเล่นอะไรกัน ยังไม่ต้องพูดถึงฐานะของตัวเอง โดนค้นตัวต่อหน้าลูกศิษย์ตัวเองมันน่าไม่อายเกินไปหรือเปล่า? ซือถูเซี่ยวแสยะยิ้ม &#8220;พวกเจ้าเห็นข้าเป็นอะไรไปแล้ว อย่าแม้แต่จะคิด?&#8221;</p>
<p>อวิ๋นอ้าวเทียนจ้องเขาพร้อมบอกว่า &#8220;ผีเฒ่า ทุกคนเดินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีใครมีเจตนาจะกลั่นแกล้งเจ้าหรอก เพียงแต่ถ้าวันนี้ไม่ได้คำอธิบายเรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไม่ได้ ในใจเจ้าน่าจะรู้ดี ถ้าในใจเจ้าไม่มีอะไรแอบแฝง ก็อย่าทำให้ทุกคนลำบาก!&#8221;</p>
<p>ซือถูเซี่ยวเงียบงันแล้ว&#8230;</p>
<p>สุดท้าย เขาก็จำเป็นต้องยอมให้ค้นตัว สาเหตุสำคัญคือจะไม่ยอมก็ไม่ได้ ถ้ามีการลงไม้ลงมือกันจริงๆ เขาจะไปสู้ทั้งสี่ได้อย่างไรกัน ถ้าแตกคอกันแล้วก็คงจะได้ดื่มสุราลงทัณฑ์แทนสุราคำนับจริงๆ</p>
<p>ไม่ใช่แค่เขา แม้แต่ลูกศิษย์ของเขาก็ไม่รอด กลัวว่าระหว่างพวกเขาจะมีการรวมหัวกัน</p>
<p>ผลการตรวจค้นทำให้พวกเจ้ากลัดกลุ้มอย่างถึงที่สุดแล้ว ซือถูเซี่ยวกับฉางเหลยเป็นคนเก็บของไป ระหว่างทางถูกจับตาดูอยู่ตลอด ไม่มีโอกาสทำของหลุดมือเลย แต่ของที่ปล้นมาได้ก็มีจำนวนน้อยกว่าที่พวกเขาคาดไว้จริงๆ</p>
<p>&#8220;ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้เอาไป ตอนนี้พวกเจ้าเชื่อรึยังล่ะ?&#8221; ซือถูเซี่ยวที่ถูกสบประมาทเล็กน้อยเริ่มระบายอารมณ์โกรธแล้ว กำลังชี้หน้าด่าทีละคน</p>
<p>จีฮวนกล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า &#8220;ทำไม่ได้น้อยขนาดนี้ล่ะ แต่ให้รวมสมบัติของปีศาจแมงมุมนั่นไปด้วย แต่ก็ยังห่างไกลจากของของเหมียวอี้อยู่ดี เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่จะแตกต่างกันขนาดนี้นะ?&#8221;</p>
<p>&#8220;ตอนเรียกรวมพวกเรามาเจ้าตื่นเต้นมากไม่ใช่เหรอ?&#8221; มู่ฝานจวินเหล่ตาจ้องมาอย่างเย็นเยียบ</p>
<p>&#8220;อามิตาพุทธ!&#8221; ฉางเหลยประนมมือกล่าวชื่อพระพุทธเจ้า แล้วทอดถอนใจอย่างเศร้าสลด &#8220;ที่จริงเมื่อลองมาคิดดูให้ดีๆ พวกเราเองก็คาดเดาผลประโยชน์ของผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนแรกที่พวกเราปฏิเสธคำเชิญของเหมียวอี้ ก็เพราะเคยคำนวณแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้จึงถูกเงินก้อนนั้นของเหมียวอี้ทำให้หน้ามืดตามัวเสียแล้วล่ะ ทุกคนลองคิดดูเถิด สมบัติบนตัวของผู้บัญชาการใหญ่แตกต่างกับที่พวกเราคำนวณไว้ตอนแรกมากขนาดนั้นเชียวเหรอ? เหมือนจะได้ประมาณนี้กระมัง เพียงแต่พวกเราคิดมากไปเอง หน้ามืดตามัวเพราะเงินทองชัดๆ!&#8221;</p>
<p>คนอื่นๆ เงียบงัน คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ จีฮวนกล่าวว่า &#8220;ที่โดนเงินทองทำให้หน้ามืดตามัว ก็เพราะเงินขาดมือไม่ใช่เหรอ ไม่อย่างนั้นใครจะอยากมาเสี่ยงอันตรายอย่างนี้&#8221;</p>
<p>&#8220;ต่อให้พวกเราจะรู้ว่าพวกเขาไม่มีทรัพย์สินมากขนาดนั้น แต่เกรงว่าทุกคนก็จะทำอย่างเดิมอยู่ดี&#8221; อวิ๋นอ้าวเทียนพูดแดกดัน</p>
<p>พวกเขามองหน้ากันไปมองหน้ากันมาอย่างเลิกลั่ก คำพูดนี้ไม่ผิดหรอก ถึงแม้จะไม่ได้มีทรัพย์สมบัติเยอะเท่าเหมียวอี้ แต่ของบนตัวผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ทั้งสามคนก็มากพอที่จะดึงดูดทุกคนได้ ภายใต้สถานการณ์ที่จนตรอก พวกเขาก็จะทำอย่างนี้อยู่ดี</p>
<p>ไม่ได้มีของมากอย่างที่จินตนาการไว้ แต่นั่นเป็นเพราะไปเปรียบเทียบกับเหมียวอี้เท่านั้น ที่จริงนี่ยังถือเป็นทรัพย์สินก้อนใหญ่สำหรับพวกเขา หลังจากเริ่มแบ่งเฉลี่ยตามที่ตกลงกันไว้ แต่ละคนก็เริ่มกระปรี้กระเปร่าแล้ว ที่จริงของไม่ใช่จนวนน้อยๆ เลย</p>
<p>หลังจากแบ่งเฉลี่ยนกันคร่าวๆ ก็พบของที่ได้มาเยอะกว่าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ยังยากจนไม่รู้ตั้งกี่เท่า เพียงพอจะเลี้ยงคนที่อยู่ตรงนั้นได้หลายร้อยปี สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ มีของที่ราคาสูงอยู่ไม่น้อยเลย ทว่าเก็บไว้ก็ยังมีประโยชน์ ไม่สะดวกจะนำไปเปลี่ยนเป็นทรัพยากรฝึกตน สถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้นำไม่ปล่อยขาย แต่ของที่สามารถใช้สำหรับฝึกตนได้ เมื่อนำมาเฉลี่ยให้ทั้งห้าแล้วก็ไม่ถือว่าเยอะ</p>
<p>ก่อนหน้านี้ซือถูเซี่ยวเสียสัตว์พาหนะไป ตอนที่แบ่งของกันจึงให้เขาเอาไปก่อนตัวหนึ่ง นับว่าทำให้ความขุ่นเคืองของซือถูเซี่ยวที่โดนค้นตัวก่อนหน้านี้หายไปแล้ว</p>
<p>หลังจากนั้น ฉางเหลยก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า &#8220;เหมียวอี้เอาของมาจากไหนมากมายขนาดนั้น? คนเราต่างกันจนน่าโมโห สงสัยเทพพยากรณ์จะพูดไว้ไม่ผิด เจ้าหนุ่มนั่น…&#8221; เขาส่ายหน้าเบาๆ ประโยคหลังไม่ต้องพูดถึงแล้ว</p>
<p>มู่ฝานจวินดีดแหวนเก็บสมบัติสองวงแบ่งให้อันหรูอวี้กับจงเจิ้น หลังจากแบ่งพวกยาแก่นเซียนให้ลูกศิษย์แล้ว มู่ฝานจวินก็เหล่ตาจ้องอวิ๋นอ้าวเทียนพร้อมพูดแดกดัน &#8220;จอมมาร เกราะรบผลึกแดงช่างเข้ากับเจ้าจริงๆ ทั้งยังมีปีกคู่หนึ่งด้วย เกรงว่าจะเป็นวิชาที่อยู่ในเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินน่ะสิ หลานเขยดูแลเจ้าดีใช้ได้เลยนะ&#8221;</p>
<p>คนอื่นๆ ได้ยินแล้วมองมาอย่างค่อนข้างอิจฉา อวิ๋นอ้าวเทียนกลับฟังแล้วรู้สึกว่ามู่ฝานจวินค่อนข้างน้อยใจ เรื่องบางเรื่องมีเพียงทั้งสองเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ จึงพูดจาสองแง่สองง่ามว่า &#8220;คนที่แต่งงานออกไปไม่ใช่หลานสาวข้าคนเดียวเสียหน่อย เจ้าอยากได้ก็ไปเอ่ยปากเองสิ&#8221;</p>
<p>มู่ฝานจวินพ่นเสียงทางจมูกแล้วโต้ตอบว่า &#8220;ข้าไม่ได้ไร้ยางอายอย่างเจ้า!&#8221;</p>
<p>ทำไมฟังดูหยาบคายขนาดนี้? อวิ๋นอ้าวเทียนเลิกคิ้ว แล้วตอบกลับเสียงเรียบว่า &#8220;ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าร่างกายของผู้หยิงอย่างเจ้าจะอุ้มแล้วรู้สึกสบายมือเหมือนเดิม  ถ้ารู้แต่แรกคงฉวยโอกาสนอนกับเจ้าไปแล้ว!&#8221;</p>
<p>เมื่อกล่าวมาแบบนี้ มู่ฝานจวินก็เหมือนแมวที่โดนเหยียบหางทันที ตรงนั้นมีลูกศิษย์นางอยู่ด้วย มีหรือที่จะยอมโดนดูหมิ่นแบบนี้ ตะคอกอย่างเดือดดาบทันที &#8220;ไอ้โจรสุนัข…&#8221;</p>
<p>เรียกได้ว่าอยากจะพุ่งเข้ามาสู้ตายเสียตรงนั้นเลย พวกฉางเหลยที่กลั้นขำรีบเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองคน &#8220;ตอนอยู่พิภพเล็กพวกเจ้าสองคนทะเลาะกันมาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมมาพิภพใหญ่แล้วยังไม่ยอมหยุดอีก ถ้าอยากจะสู้กันตอนหลังยังมีโอกาส ตอนนี้ยังไม่ได้แตกหักกัน อย่าเพิ่งสู้กันเลย เก็บแรงไว้ รักษาพลังไว้&#8230;&#8221;</p>
<p>&#8220;ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน อย่าลืมคำทำนายของเทพพยากรณ์&#8230;&#8221;</p>
<p>หลังจากวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง พวกเขาที่ปลอมตัวแล้วก็เก็บลูกศิษย์ของตัวเองเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ มู่ฝานจวินที่โกรธจนกระหืดกระหอบรักษาระยะห่างกับอวิ๋นอ้าวเทียนที่ทำสีหน้าเหยียดหยาม โดยมีพวกฉางเหลยกั้นระหว่างทั้งสองไว้ ทุกคนเดินทางไปยังเป้าหมายอีกครั้ง</p>
<p>&#8220;หยุดก่อน!&#8221;</p>
<p>หลังจากนั้นหลายวัน บนท้องฟ้าก็มีเสียงตะคอกดังมา</p>
<p>ห้าคนที่เร่งเหาะด้วยความเร็วเอียงหน้ามองไป เห็นเพียงบนดาวเคราะห์ฝั่งขวามือพลันมีทหารสวรรค์เกราะทองถืออาวุธเหาะเข้ามาขวางทาง</p>
<p>&#8220;ท่าไม่ดีแล้ว หรือว่าพวกเราจะถูกจับได้เพราะเส้นทางที่มา?&#8221; จีฮวนถามอย่างร้อนใจ</p>
<p>&#8220;ต้องลงมือกำจัดพวกเขามั้ย?&#8221; ซือถูเซี่ยวถาม</p>
<p>&#8220;ไม่รู้ว่าแถวนี้ยังมีคนอื่นอีกหรือเปล่า อย่าให้โดนถ่วงเวลาเลย&#8221; ฉางเหลยกล่าว</p>
<p>&#8220;เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจพวกเขา พุ่งไปข้างหน้าต่อ!&#8221; อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง</p>
<p>ทั้งห้าเร่งความเร็วสุดแรงเกิดทันที พุ่งตัวผ่านไปก่อนที่ทหารสวรรค์สามคนจะขวางทาง หนีไปยังจุดลึกของดาราจักรด้วยความเร็วสูง</p>
<p>&#8220;บังอาจ! ยังไม่รีบหยุดให้สอบสวนอีก!&#8221; ทหารสวรรค์สามคนตวาดเสียงเข้ม ไล่ตามอยู่ข้างหลังไม่ยอมปล่อย</p>
<p>ทั้งสองฝ่ายวรยุทธ์ต่างกันเกินไป ทั้งห้าหันกลับมามองแวบหนึ่ง จากนั้นสบตาและพยักหน้าให้กัน แล้วโยนสัตยว์พาหนะออกมาช่วยเป็นพลังเท้า ไม่นานก็ดึงระยะห่างจากคนข้างหลังได้</p>
<p>เมื่อเห็นว่ายิ่งไล่ตามยิ่งห่างไกล ทหารสวรรค์คนหนึ่งก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาเขย่า ได้แต่มองดูทั้งห้าหายไปยังจุดลึกในดาราจักร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีปัจจัยที่จะขี่สัตว์พาหนะ</p>
<p>หลังจากนั้นครึ่งวัน ทั้งห้าถึงได้พบว่าตัวเองไปแหย่รังแตนเข้าแล้ว ระหว่างทางข้างหน้ามีทหารสวรรค์เหาะมาขวางทางไม่หยุด พร้อมตะโกนให้พวกเขาหยุด</p>
<p>ทั้งห้าจะกล้าหยุดเสียที่ไหนกัน และไม่เสียเวลาพัวพันด้วย บุกฝ่าผ่านไปหลายครั้งต่อต่อกัน จนสุดท้ายโดนทหารสวรรค์สิบกว่าคนขี่สัตว์พาหนะตามไม่ปล่อยแล้ว</p>
<p>สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นยังรออยู่ตอนหลัง บนฟ้าตรงหน้าพลันมีทหารสวรรค์เกราะม่วงหกคนโผล่มาเรียงแถวหน้ากระดาน ข้างหลังก็ยิ่งมีทหารสวรรค์กระจายกำลังอยู่หลายพันคน ฝ่ายตรงข้ามอุดทางพวกเขาไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่ารีบมาดักรอล่วงหน้าหลังจากได้รับข่าว</p>
<p>หกคนที่มาขวางอยู่ข้างหน้า แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นนักพรตระดับบงกชรุ้ง</p>
<p>&#8220;ทำยังไงดี? สัตว์พาหนะของพวกเราไม่เร็วเท่านักพรตระดับบงกชรุ้งหรอก&#8221; ฉางเหลยถามอย่างกังวล ลำพังแค่ปีศาจแมงมุมระดับบงกชรุ้งคนเดียวก็ทำให้พวกเขาทนไม่ไหวแล้ว มิหนำซ้ำตอนนี้ยังมีนักพรตบงกชรุ้งโผล่มารวดเดียวหกคนอีก</p>
<p>&#8220;เข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ข้า!&#8221; อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงต่ำ</p>
<p>สี่คนที่เหลือสบตากันแวบหนึ่ง เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจมากังวลแล้วว่าอวิ๋นอ้าวเทียนจะฉวยโอกาสทำร้ายพวกเขาหรือเปล่า พากันเก็บสัตว์เทพทันที เป็นฝ่ายเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของอวิ๋นอ้าวเทียนแทน</p>
<p>ส่วนอวิ๋นอ้าวเทียนก็หยุดอยู่บนฟ้าเช่นกัน เมื่อเห็นกองกำลังกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามา เขาก็ถือดาบใหญ่สีแดงในแนวขวาง พร้อมพึมพำเบาๆ &#8220;วิถีมารครองใต้หล้า!&#8221;</p>
<p>ปราณมารลอยวนเวียนรอบกาย ก่อตัวกลายเป็นลูกกลมสองลูกบนแผ่นหลัง แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดกลายเป็นปีกสีดำสองข้างราวกับผีเสื้อออกจากรังไหม</p>
<p>ปีกมารสองข้างขยับอย่างรวดเร็ว แล้วจู่ๆ ก็พุ่งขึ้นฟ้า บินวาดเป็นแนวเส้นโค้งเหนือท้องฟ้าผ่านกองกำลังกลุ่มใหญ่ข้างหน้าไป แม่ทัพเกราะม่วงหกคนนั้นหมุนตัวไล่ตามไปทันที โดยมีกำลังพลหลายพันคนเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางและไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง</p>
<p>หลังจากนั้นพักหนึ่ง กำลังพลหลายพันก็โดนทิ้งห่างจนมองไม่เห็นเงาแล้ว มีเพียงนักพรตบงกชรุ้งหกคนที่ยังกัดไม่ปล่อยอยู่ข้างหลัง แต่ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ</p>
<p>แม่ทัพที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังสบตากันแวบหนึ่งด้วยสีหน้าตกตะลึง ตามที่ได้รับรายงานข่าวก่อนหน้านี้ พวกเขาตัดสินว่าผู้ร้ายคือนักพรตระดับบงกชทอง เดิมทียังคิดว่าไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาลงมือเอง จนกระทั่งหลังจากได้ข่าวว่ากำลังพลเบื้องล่างตามคนร้ายไม่ทัน เบื้องบนถึงได้รีบส่งพวกเขามาดักทางไว้ แต่ใครจะคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีวิชาลับ ไม่น่าเชื่อว่าทุกคนจะไล่ตามไม่ทัน</p>
<p>แม่ทัพคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล จึงหยิบระฆังดารารายงานสถานการณ์ ขอให้เบื้องบนส่งแม่ทัพใหญ่ที่เป็นนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพมา!</p>
<p>เบื้องบนตอบกลับมาสี่คำ : บอกตำแหน่งมา!</p>
<p>ทั้งหกคนไม่สนว่าจะไล่ตามทันหรือไม่ ต่อให้ระยะห่างจะเพิ่มขึ้นทีละนิด แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดไล่ตาม ทำแบบนี้จะได้ไม่คลาดจากเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็คงการติดต่อกับเบื้องบนไว้เป็นระยะ รายงานทิศทางที่ไล่ตามไป จนกระทั่งมองไม่เห็นเงาของอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ทั้งหกถึงได้เลิกไล่ตาม</p>
<p>อวิ๋นอ้าวเทียนที่หันกลับไปมองเป็นระยะกลับยังไม่โล่งใจ ในใจกลับกระวนกระวายมากด้วยซ้ำ ร่องรอยเส้นทางถูกเปิดโปงแล้ว มีหรือที่ตำหนักสวรรค์จะหยุดอยู่แค่นี้ ตอนหลังจะยิ่งมีตัวละครที่ร้ายกาจกว่านี้โผล่มาแน่นอน</p>
<p>เดิมทีเขาคิดจะหาที่หลบ แต่การจะหลบตอนนี้ก็สายไปหน่อย อีกประเดี๋ยวกำลังพลของตำหนักสวรรค์จะต้องขยายการค้นหาบริเวณนี้อย่างเข้มงวดแน่นอน จะไปหลบอยู่ที่ดาวไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น มิหนำซ้ำรอบข้างก็มีกองกำลังกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่โผล่มาตะโกนให้หยุดเป็นระยะ ไม่มีทางหลบแล้วเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าอาณาเขตผืนนี้ถูกตำหนักสวรรค์ปิดล้อมไว้แล้ว กำลังพลกำลังเร่งมารวมตัวกันที่บริเวณนี้</p>
<p>โชคดีที่สถานที่เป้าหมายน่าจะอยู่ไม่ไกลแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนทำได้เพียงคาดหวังในความหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของเทพพยากรณ์ เชื่อมั่นว่าการไปยังสถานที่นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง</p>
<p>หลังจากนั้นครึ่งวัน อวิ๋นอ้าวเทียนที่กวาดสายตามองไปรอบๆ เป็นระยะพลันหยุดจ้อง เรียกได้ว่าดีใจมาก ประตูดวงดาวที่อยู่ตรงหน้าปรากฏให้เห็นรางๆ แล้ว ถึงเป้าหมายแล้ว!</p>
<p>ในขณะที่กำลังจะเข้าใกล้ประตูดวงดาว เรื่องที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็เกิดขึ้นแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนที่ระแวดระวังรอบข้างพลันเบิกตากว้างมองไปข้างหลัง เห็นเพียงคนสามคนที่สวมเกราะรบสีแดงยศแม่ทัพใหญ่ไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว</p>
<p>นักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ! อวิ๋นอ้าวเทียนหัวใจกระตุกวูบ สามคนนั้นมีความเร็วที่น่าหวาดกลัว ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว จากเงาคนที่เลือนรางก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ชัดเจนแล้ว</p>
<p>…………………………</p>

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด