พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1183 นี่ก็คือราคที่ต้องจ่าย

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1183 นี่ก็คือราคที่ต้องจ่าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

<p>ที่ลานบ้านหลังหนึ่งนอกตำหนักอู๋เลี่ยง หลังจากหยางเจาชิงแต่งงานแล้วก็ย้ายออกไปพักนอกตำหนักอู๋เลี่ยง</p>
<p>พอทั้งสามเดินมาถึงประตูลานบ้าน ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดคุยหัวเราะกันดังมาจากด้านใน พอเดินเข้าไปดู ก็เห็นหลินผิงผิงกับอู่ฉุนฟาง เฉิงอิงอู่ผู้เป็นลูกสาวก็อยู่ด้วยเช่นกัน เฉิงอิงอู่กำลังใช้สองมือเท้าเอว สะบัดผมเปียเล็กๆ ที่มีอยู่เต็มศีรษะ ไม่รู้ว่ากำลังเรียนรู้วิธีการเดินจากใคร ทำเอาหลินผิงผิงกับอู่ฉุนฟางหัวเราะไม่หยุด</p>
<p>ตอนนี้อู่ฉุนฟางและเฉิงอิงอู่สองแม่ลูกเป็นฝ่ายอาสาอยู่ที่นภาอู๋เลี่ยงเพื่อดูแลพวกต้นไม้ใบหญ้า ส่วนเฉิงเย่าเวยก็เป็นประมุขปราสาท ลูกชายและลูกสาวคนอื่นๆ ขึ้นเป็นประมุขตำหนักกันหมดแล้ว อู่ฉุนฟางพาเฉิงอิงอู่อยู่ที่นภาอู๋เลี่ยงต่อก็เพื่อจะรักษาความสัมพันธ์กับบุคลคลระดับสูงต่อไป เป็นการวางแผนเพื่ออนาคตของตระกูลเฉิงเช่นกัน</p>
<p>เฉิงอิงอู่กำลังหมุนตัวสะบัดผมเปีย แต่บังเอิญเห็นพวกเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลกำลังยิ้มพลางมองนางแสดงฝีมือโอ้อวด ทำให้เหม่อค้างอยู่กับที่ทันที</p>
<p>หลินผิงผิงกับอู่ฉุนฟางเห็นสถานการณ์แล้วหันไปมอง ทำให้ตะลึงค้างทันที จากนั้นทั้งคู่ก็รีบลุกขึ้นยืน รีบนำเฉิงอิงอู่เดินมาคำนับ &#8220;คำนับท่านปราชญ์!&#8221;</p>
<p>&#8220;ไม่ต้องมากพิธี!&#8221; เหมียวอี้ผายมือให้ยืนขึ้น แล้วเดินผ่านทั้งสามที่หลีกทางให้ออกไป พอเข้ามานั่งในศาลา หลินผิงผิงก็รีบกำชับให้คนนำน้ำชามาวางให้</p>
<p>เมื่อเห็นเฉิงอิงอู่ยืนขวยอายอยู่นอกศาลา เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมอกยว่า &#8220;อิงอู่กำลังเต้นระบำอยู่เหรอ? เต้นต่อสิ เต้นให้ข้าดูหน่อย&#8221;</p>
<p>ที่จริงเขาแค่พูดหยอก แต่ใครจะคิดว่าอู่ฉุนฟางจะเร่งลูกสาวทันที &#8220;อิงอู่ ไม่ได้ยินที่ท่านปราชญ์พูดเหรอ? เต้นระบำที่เจ้าถนัดที่สุดให้ท่านปราชญ์ดู&#8221;</p>
<p>พอได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ตะลึงไปชั่วขณะ เด็กสาวที่มีกลิ่นอายโจรทั้งตัวเต้นระบำเป็นจริงๆ เหรอ? ไม่ฝืนใจเกินไปรึไง?</p>
<p>&#8220;ค่ะ!&#8221; เฉิงอิงอู่ตอบเสียงอ่อนปวกเปียก นางเขินอายนิดหน่อย แล้วถอยหลังไปอย่างช้าๆ</p>
<p>หลังจากหยุดยืนอยู่กับที่แล้ว ก็กวักมือเรียกกระบี่วิเศษออกมา นางสงบสติอารมณ์และตั้งสมาธิ พอชูกระบี่ในมือ เอวก็บิดจนกระโปรงปลิวสะบัดขึ้นมา งอขาขึ้นฟ้าราวกับวงกระจันทร์ ยืนนิ่งโดยใช้ขาข้างเดียว! จากนั้นก็เห็นคมกระบี่สะท้อนแสงอย่างช้าๆ นางกางแขนยืดเท้า เรือนร่างยืดแผ่อย่างนิ่มนวลงดงาม เปียเล็กเต็มศีรษะปลิวว่อน นี่คือระบำกระบี่</p>
<p>กลิ่นอายที่ต่างออกไปอบอวลอยู่ในลานบ้าน ในความดิบเถื่อนซ่อนความแข็งแกร่งและอ่อนโยนของผู้หญิงเอาไว้ บางครั้งก็เหมือนควันที่ลอยอยู่ในทะเลทรายกว้าง บางครั้งก็เหมือนพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ บางครั้งก็เหมือนพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำ บรรยายความสง่างามไม่หมด เฉิงอิงอู่ราวกับกำลังเต้นระบายความรู้สึก ดำดิ่งลงไปอย่างช้าๆ</p>
<p>เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เห็นระบำที่มีรสนิยมแบบนี้ มีเสน่ห์ไปอีกแบบจริงๆ ดึงดูดให้ละสายตาไม่ได้ สายตาของคนอื่นๆ ก็มองตามเงาร่างที่กำลังเต้นระบำของเฉิงอิงอู่เช่นกัน มีเพียงอู่ฉุนฟางที่มองลูกสาวและเหลือบมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้เป็นระยะ</p>
<p>หลังจากเต้นระบำ เฉิงอิงอู่ก็จบการระบำอย่างเป็นทางการโดยใช้ท่าเก็บกระบี่ไว้ตรงหน้าอกและใช้นิ้วกดไว้ เสร็จแล้วถึงได้ถือกระบี่คว่ำลงพลางกุมหมัดคารวะเหมียวอี้อย่างเขินอาย &#8220;แสดงฝีมืออ่อนด้อยต่อหน้าท่านปราชญ์แล้ว&#8221;</p>
<p>แปะๆ! เหมียวอี้ประบมือชื่นชม แล้วส่ายหน้าถอนหายใจด้วยความทึ่ง &#8220;ข้าก็ยังนึกว่าเจ้าเหมาะจะเป็นโจรทะเลทรายอย่างเดียว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเต้นระบำได้ด้วย คนเก่งไม่ออกหน้าโอ้อวดจริงๆ ด้วย แต่ดูจากอารมณ์ตอนที่เจ้าระบำ เหมือนยังคนึงหาทะเลทรายอยู่ อาศัยอยู่ที่นี่ค่อนข้างผูกมัดเจ้า ถ้าเจ้าชอบทะเลทรายจริงๆ ก็ให้ผู้การหยางจัดหาที่ทางที่ทะเลทรายม่านเมฆาให้ก็ได้&#8221;</p>
<p>อู่ฉุนฟางที่อยู่ข้างๆ รีบบอกทันทีว่า &#8220;อิงอู่ยังชอบทำงานรับใช้อยู่ข้างกายท่านปราชญ์ค่ะ&#8221;</p>
<p>&#8220;เหอะๆ! ทำงานที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ขอเพียงมีความตั้งใจนั้นก็พอ&#8221; เหมียวอี้โบกมือ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาหันไปมองหลินผิงผิง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าหยอกล้อ &#8220;หลินผิงผิง ลูกน้องข้าคนนี้แต่งงานกับเจ้าแล้วเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมใช่มั้ย? เขาเป็นผู้ชายของเจ้าได้อย่างเหมาะสมหรือเปล่า?&#8221;</p>
<p>&#8220;ยังดีค่ะ!&#8221; หลินผิงผิงตอบอย่างเขินอายเล็กน้อย</p>
<p>หยางเจาชิงหัวเราะเบาๆ อยู่ข้างกาย</p>
<p>หลังจากถามตอบไปสักพัก เหมียวอี้ก็มีธุระจะถามเหยียนซิวกับหยางเจาชิง จึงให้พวกผู้หญิงออกไปก่อน</p>
<p>ในระหว่างนั้นอาศัยโอกาสที่หยางเจาชิงกลับเข้ามาในลานบ้าน จู่ๆ หลินผิงผิงก็โผล่ออกมาจากด้านข้าง ดึงตัวเขามากระซิบสองสามประโยค</p>
<p>หยางเจาชิงได้ยินแล้วขมวดคิ้วถาม &#8220;แบบนี้ไม่เหมาะสมมั้ง เจ้ามายุ่งเรื่องนี้ไม่เหมาะสมมั้ง?&#8221;</p>
<p>หลินผิงผิงพึมพำว่า &#8220;ในเมื่อเจ้าตัวมีความตั้งใจแบบนั้น เจ้าไปถามความเห็นนายท่านสักหน่อยคงไม่เสียหายหรอกมั้ง&#8221;</p>
<p>ดังนั้น รอจนกระทั่งเหมียวอี้ออกจากตรงนี้และเดินออกจากลานบ้านไปได้ไม่นาน จู่ๆ หยางเจาชิงที่เดินตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ก็บอกว่า &#8220;นายท่าน มีเรื่องบางเรื่องที่ไม่รู้ว่าข้าน้อยสมควรจะพูดหรือเปล่าขอรับ?&#8221;</p>
<p>&#8220;มีอะไรก็พูดมาเถอะ&#8221; เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ</p>
<p>หยางเจาชิงที่กำลังเดินลงบันไดลังเลครู่หนึ่ง แล้วลองถามหยั่งเชิงว่า &#8220;อู่ฉุนฟางไหว้วานให้หลินผิงผิงบอกให้ข้าน้อยถามนายท่าน นางอยากจะให้เฉิงอิงอู่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายนายท่านขอรับ&#8221;</p>
<p>&#8220;ไม่มีความจำเป็นนั้นหรอกมั้ง&#8221; เหมียวอี้ยิ้มตอบ</p>
<p>เมื่อเห็นว่าเขาเหมือนจะยังไม่เข้าใจความหมาย หยางเจาชิงจึงพูดตรงๆ เสียเลยว่า &#8220;เจตนาของอู่ฉุนฟางก็คือ ถ้าหากนายท่านไม่รังเกียจเฉิงอิงอู่ ก็อยากจะให้นายท่านรับเฉิงอิงอู่เข้าห้องขอรับ&#8221;</p>
<p>เหมียวอี้หยุดฝีเท้าไปชั่วขณะ จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าต่ออีก แล้วส่ายหน้าบอกว่า &#8220;ไม่กล่าวว่ารังเกียจหรือไม่รังเกียจหรอก เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอนางมีเจตนาอะไร นางทำเพื่ออนาคตของตระกูลเฉิงอย่างเดียว โดยให้เฉิงอิงอู่เป็นคนเสียสละ นี่ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเฉิงอิงอู่แน่นอน ข้างกายข้ามีผู้หญิงเยอะจะตาย ยังใช้ไม่หมดเลย ไม่ขาดผู้หญิงหรอก! ถ้าข้ามีอารมณ์ขึ้นมา อยากจะได้เฉิงอิงอู่เมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องให้อู่ฉุนฟางเตรียมวางแผนหรอก เจาชิง เรื่องแบบนี้เจ้าไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว ช่วยเหยียนซิวตั้งใจทำงานมากๆ หน่อยก็พอแล้ว&#8221;</p>
<p>&#8220;ขอรับ!&#8221; หยางเจาชิงดูอึดอัดเล็กน้อย ด้วยฐานะอย่างเขา เดิมทีก็ไม่ควรเอ่ยปากอยู่แล้ว ขุนนางที่ใกล้ชิดอยู่ข้างกายนายท่านไม่ควรวางแผนใดๆ เพื่อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องตำหนักหลัง ฐานะอย่างเขาทำได้เพียงอยู่ข้างกายนายท่านเท่านั้น เดี๋ยวต่อไปถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูฮูหยิน อย่าว่าแต่ฮูหยินเลย ต่อให้รู้ถึงหูหยางชิ่งแล้ว หยางชิ่งจะต้องไม่ปลื้มแน่นอน ครั้งนี้ตัวเองเลอะเลือนไปแล้ว เดี๋ยวกลับไปเขาจะต้องต่อว่าหลินผิงผิงสักหน่อย</p>
<p>วันต่อมา หยางชิ่งส่งคนไปรับตัวเหวินฟางมาแล้ว</p>
<p>พอเห็นเหมียวอี้และฮูหยินที่ตำหนักหลัง เหวินฟางก็ประหม่าเล็กน้อย ความแตกต่างทางด้านฐานะทำให้เกิดแรงกดดันที่มองไม่เห็น กอปรกับไม่เจอกันมานาน เพียงแต่นางก็ยังพยายามแสร้งทำตัวผ่อนคลายเหมือนเดิม หัวเราะคิกคักพร้อมคำนับว่า &#8220;พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่คือนำใจเล็กน้อยที่น้องสาวลงมือทำด้วยตัวเอง&#8221; ในมือนางถือกล่องของขวัญอยู่หนึ่งกล่อง</p>
<p>เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วบอกเรื่องที่จะย้ายให้นางมาทำงานที่สมาคมร้านค้าแดนอู๋เลี่ยง เหวินฟางย่อมยินดีปรีดาอยู่แล้ว</p>
<p>อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งเข้ากันง่าย นางดึงตัวเหวินฟางมาคุยกันสักพัก แล้วยัดของขวัญเล็กน้อยใส่มืออีกฝ่าย</p>
<p>จูเก๋อชิงหัวหน้าพรรคดรุณีหยกก็เคลื่อนไหวเร็วมาก เร่งเตรียมงานแต่งงานของเย่ซินกับถานเล่าเสร็จเรียบร้อยก่อนงานแต่งงานของเยารั่วเซียนแล้ว</p>
<p>หลังจากทางนภาอู๋เลี่ยงได้รับข่าว เดิมทีเหมียวอี้อยากจะพาอวิ๋นจือชิวไปด้วยกัน ทว่าอวิ๋นจือชิวปฏิเสธ</p>
<p>นางสามารถไว้หน้าเย่ซินกับถานเล่าได้ แต่นางไม่พอใจมากที่จูเก๋อชิงเอาความสัมพันธ์ระหว่างเย่ซิน ถานเล่ากับเหมียวอี้มาบีบจุดอ่อน รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องให้สองสามีภรรยาไปเป็นหน้าเป็นหน้าให้พรรคดรุณีหยกเล็กๆ เจตนาเดิมของนางคือจะไปเอง ไม่ให้เหมียวอี้ไป แต่เหมียวอี้ต้องการจะไปเพราะนึกถึงไมตรีเก่า เช่นนั้นอวิ๋นจือชิวก็ปฏิเสธที่จะไปด้วยกัน</p>
<p>อวิ๋นรั่วซวงอยากจะตามเหมียวอี้ไปดูความคึกครื้น ปรากฏว่าโดนอวิ๋นจือชิวดึงหูเอาไว้</p>
<p>เหมียวอี้ทำได้เพียงพาเหยียนซิวกับหยางเจาชิงไปด้วยกัน</p>
<p>หลังจากกำลังพลของแดนเซียนสายมะโรงย้ายมาอยู่ที่แดนอู๋เลี่ยง พรรคดรุณีหยกก็ยังถือว่าครองสายมะโรงด้วย จึงอาศัยบารมีของเหมียวอี้แจกบัตรเชิญทั่วสายมะโรง ทำให้ท่านทูตสายมะโรงและประมุขปราสาททุกคนมาร่วมงานเลี้ยงด้วยกัน สำนักใหญ่ๆ แต่ละแห่งก็ยิ่งมากันครบ พรรคดรุณีหยกมีหน้ามีตาขึ้นมาทันที</p>
<p>&#8220;คำนับท่านปราชญ์!&#8221;</p>
<p>ตอนที่เหมียวอี้มาถึง ก็เรียกได้ว่ามีเสียงต้อนรับดังราวกับภูเขาคำรามทะเลคลั่ง กลุ่มวีรบุรุษก้มตัวต้อนรับเป็นแถบๆ</p>
<p>ราชาปีศาจชิงเซิ่งซึ่งเป็นท่านทูตที่มาใหม่จากทะเลดาวนักษัตร และเจ้าถิ่นจูเก๋อชิงซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคดรุณีหยก ทั้งสองก้าวขึ้นมาคำนับพร้อมกัน แล้วนำทางอยู่ทางซ้ายและขวา</p>
<p>จูเก๋อชิงที่บนใบหน้าคลุมด้วยผ้ามุ้งบางสีขาวหันกลับมามองหลายครั้ง เมื่อไม่เห็นว่าอวิ๋นจือชิวมาด้วย นางก็ผิดหวังอยู่บ้าง ถ้าหากอวิ๋นจือชิวมาด้วยกัน งานแต่งงานนี้ก็ย่อมอลังการยิ่งกว่าเดิม การขาดอวิ๋นจือชิวไม่ใช่เพียงการขาดคนไปคนเดียว ที่มากกว่านั้นคือท่าทีที่แสดงว่าให้ความสำคัญหรือไม่ นางเคยถามเย่ซินมาก่อน รู้ว่าอวิ๋นจือชิวให้ความสำคัญกับบรรดาสหายเก่าของเหมียวอี้มาก แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มา สิ่งนี้เหนือความคาดหมายจูเก๋อชิงนิดหน่อย</p>
<p>ท่านปราชญ์แดนอู๋เลี่ยงที่ในวันนี้คือบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้า มีความโดดเด่นข่มปราชญ์คนอื่นๆ ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะให้เกียรติมาร่วมงานแต่งงานของศิษย์พรรคดรุณีหยกด้วยตัวเอง ศิษย์ทั้งข้างล่างข้างบนของพรรคดรุณีหยกแหงนหน้ามอง แต่ละคนต่างก็รู้สึกเป็นเกียรติ หน้าตาหน้าตาสดใส เหมือนจะนับนิ้วรอวันที่พรรคดรุณีหยกจะผงาดขึ้นมาได้แล้ว</p>
<p>ศิษย์จากสำนักอื่นที่ยืนอยู่สองข้างทางพากันทำสีหน้าอิจฉาไม่หยุด อิจฉาพรรคดรุณีหยก</p>
<p>ตลอดทางที่เดินไป ใบหน้าเหมียวอี้เจือด้วยรอยยิ้มบางๆ สองข้างทางพบเจอคนรู้จักเก่าไม่น้อยเลย จางเทียนเซี่ยวที่ยังเป็นประมุขปราสาทดำเนินจันทร์ ประมุขปราสาทดำเนินธาราเถาชิงหลีและซือคงอู๋เว่ย เฉิงอ้าวฟางประมุขปราสาทแมกไม้ จ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันก็มาแล้วเช่นกัน เวิ่นไหลกงหัวหน้าพรรคร้างกระบี่ก็ยืนอยู่กับลูกศิษย์ตัวเองกู่ซานเจิ้ง เผิงอวี๋เจ้าสำนักตรีบรรพบุรุษ&#8230;</p>
<p>มีคนรู้จักมากมาย เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แสดงการทักทาย ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้ ทำให้ไม่สะดวกจะตบบ่ากอดคอกับคนสนิทต่อหน้าฝูงชนอีกต่อไป วันนี้ถึงขั้นไม่สะดวกจะทำตัวอบอุ่นเป็นมิตรด้วยซ้ำ ต้องรอให้งานแต่งงานจบก่อนถึงจะเจอกันเป็นการส่วนตัวได้</p>
<p>ในคืนนั้น งานแต่งงานของถานเล่ากับเย่ซินย่อมมีหน้ามีตาที่สุด พรรคดรุณีหยกกับสำนักดิรัจฉานหลวงร่วมมือกันจัดงานนี้อย่างสุดความสามารถ ทรัพยากรอะไรที่ใช้ได้ก็นำมาใช้หมด เป็นการจัดงานนี้โดยไม่เสียดายอะไร อาหารเลิศรสหายากบนงานเลี้ยงก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นี่คือการจัดงานให้คนทั้งใต้หล้าดู</p>
<p>เจ้าสำนักดิรัจฉานหลวงถึงขั้นไม่พอใจนิดหน่อยที่แย่งจัดงานแต่งงานนี้ที่สำนักของตัวเองไม่ได้</p>
<p>เมื่องานเลี้ยงจบลง เรือนพักแยกที่ดีที่สุดที่จัดเตรียมอย่างพิถีพิถันย่อมเป็นของเหมียวอี้ หลังจากเหมียวอี้ทยอยให้สหายเก่าและคนรู้จักเก่าเข้าพบหมดแล้ว นอกจากเหยียนซิวกับหยางเจาชิงที่ยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของเหมียวอี้ ก็ยังเหลือจูเก๋อชิงที่เป็นเจ้าบ้านอยู่อีกหนึ่งคน</p>
<p>เหมียวอี้กำลังนั่งอย่างสง่างาม ตอนนี้สายตาหยุดอยู่บนใบหน้าของจูเก๋อชิงที่ยืนอยู่เบื้องล่างแล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามา จ้องดวงตาทั้งคู่ของจูเก๋อชิง</p>
<p>ตอนแรกเขานึกไม่ถึงว่าจูเก๋อชิงจะจัดงานใหญ่โตขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าจูเก๋อชิงอยากจะอาศัยอิทธิพลของเขา</p>
<p>จูเก๋อชิงโดนเขามองจนรู้สึกกลัวนิดหน่อย เห็นเพียงเหมียวอี้ยื่นมือมาตรงหน้านาง ดึงผ้ามุ้งสีขาวบนใบหน้านางลงมา พอเขาโบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผ้ามุ้งสีขาวก็ตกลงพื้น เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา</p>
<p>การกระทำนี้ค่อนข้างไร้มารยาท จูเก๋อชิงเม้มริมฝีปากเอาไว้</p>
<p>แต่เหมียวอี้กลับถูกทำให้ตกตะลึง สายตาหยุดจ้องอยู่บนหน้านาง นางเกล้ามวยผมสูง ผิวขาวหมดจดราวกับหิมะ คิ้วโค้งเหมือนทิวเขาไกลๆ ดวงตาชุ่มฉ่ำดุจน้ำ ปากแดงชุ่มชื้น ยามขมวดคิ้วจนตาเป็นประกายนั้นเพียงพอจะทำให้ผู้ชายหลงใหลได้ ไม่น่าเชื่อว่าความงามเลิศล้ำนั่นจะเหนือกว่าฉินซีเสียอีก</p>
<p>ในที่สุดตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงคนนี้จึงใช้ผ้าบางปิดบังใบหน้าไว้หนึ่งชั้น นึกไม่ถึงว่าภายใต้ผ้าปิดหน้าจะซ่อนความงามเลิศล้ำเช่นนี้เอาไว้</p>
<p>เพิ่งจะดื่มสุราเลิศรสจนอิ่มเปรม ภายใต้การกระตุ้นของฤทธิ์สุรา เหมียวอี้กลืนน้ำลายอย่างคอแห้ง สายตามองไปทางเหยียนซิวกับหยางเจาชิง เอียงหน้าพร้อมพ่นเสียงทางจมูกหนึ่งที</p>
<p>ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่งอย่างเข้าใจ แล้วรีบถอยออกไปทันที</p>
<p>จูเก๋อชิงกำลังอยู่ในความประหม่ากังวล จาหนั้นเรื่องที่กังวลก็ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ เหมียวอี้ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอดอย่างเอาแต่ใจ หญิงงามอยู่ในอ้อมกอด เขาอุ้มนางเดินออกไป นี่คือราคาที่ต้องจ่าย!</p>
<p>แสงจันทร์ส่องสว่างชายคา ในห้องห้องหนึ่ง จูเก๋อชิงไม่ได้ขัดขืนใดๆ เรือนร่างหยกงามอ้อนแอ้นพลิกไปพลิกมาอย่างสุดจะทานทน ดอกไม้บานดอกไม้ร่วงทั้งคืน ไม่ต้องพูดก็เข้าใจแล้ว</p>
<p>ที่นอกห้อง หยางเจาชิงและเหยียนซิวเฝ้าอยู่ทางซ้ายและขวาของประตู ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ไม่สนใจศิษย์พรรคดรุณีหยกที่ทำสีหน้ากังวลอยู่ไกลๆ</p>
<p>…………………………</p>

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด