พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1201 ใครขวางข้า ตาย!

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1201 ใครขวางข้า ตาย! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

<p>&#8220;พังร้านค้าของข้า…&#8221; จอมพลเถิงงงไปชั่วขณะ ด้วยฐานะอย่างเขา เรื่องบางอย่างถ้าผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป จะเอาแต่จดจำตัวละครเล็กๆ อย่างเหมียวอี้ได้อย่างไร แต่ในขณะที่ตะลึงงัน หางตาก็ไปหยุดอยู่บนเกราะม่วงของแม่ทัพบนตัวเหมียวอี้ เมื่อเชื่อมโยงกับคำพูดของเกาก้วน เขาก็เข้าใจในทันที &#8220;หนิวโหย่วเต๋อ? เขาคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?&#8221;</p>
<p>&#8220;เป็นเขานั่นแหละ!&#8221; เกาก้วนพยักหน้าเล็กน้อย &#8220;ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง แต่สามารถทำให้จอมพลเถิงลำบากจดจำชื่อไว้ได้ ก็นับว่าเป็นเกียรติของเขาเหมือนกัน&#8221;</p>
<p>ขณะที่เถิงเฟยมองเหมียวอี้อย่างงุนงง ก็พูดเหน็บแนมกลับเช่นกัน &#8220;สามารถทำให้ทูตขวาเกาจดจำได้ทั้งชื่อทั้งตัว เกรงว่าจะเป็นเกียรติยิ่งกว่า?&#8221;</p>
<p>เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบว่า &#8220;ไม่เหมือนกัน ข้าเห็นเขาตั้งแต่การทดสอบครั้งก่อนแล้ว ตอนหลังเมื่อเกิดคดีร้านค้าที่ดาวเทียนหยวนข้าก็สอบสวนเขาด้วยตัวเอง นับว่าดึงดูดความสนใจของข้าแล้ว ข้าพบว่าเขามีความสามารถ อยากจะรับเขามาทำงานในหน่วยตรวจการฝ่ายขวา แต่เขากลับไม่ตอบตกลง เขาย่อมตราตรึงอยู่ในความทรงจำของข้าอยู่แล้ว&#8221;</p>
<p>เถิงเฟยลูบเคราพลางกวาดสายตามองกลุ่มคนที่จ้องมองอย่างดุร้าย &#8220;งั้นตอนนี้เขาก็คงจะนึกเสียใจทีหลังแทบตายแล้ว ถ้าไปทำงานกับทูตขวาเกาตั้งแต่แรก ก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างวันนี้ขึ้นกับเขา วันนี้เจ้าเด็กนี่ไม่รอดแล้ว เนรคุณความปรารถนาดีของทูตขวาเกาเสียแล้ว!&#8221;</p>
<p>&#8220;ก็ไม่แน่หรอก! คนที่ทำให้ข้ามองเห็นความสำคัญได้ ย่อมต้องมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่ครจะตกต่ำอยู่ที่นี่สิถึงจะถูก&#8221; เกาก้วนกล่าว</p>
<p>&#8220;อ้อ!&#8221; เถิงเฟยกล่าวอย่างรู้สึกสนใจทันที &#8220;ถ้าเขารอดชีวิตกลับมาได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ พวกเรามาเดิมพันกันดีมั้ย ข้าเดิมพันว่าเขาต้องตายอยู่ที่นี่ เจ้าบอกเงินเดิมพันมาสิ!&#8221;</p>
<p>&#8220;ไม่มีอะไรน่าเดิมพัน!&#8221; สายตาของเกาก้วนจ้องเหมียวอี้อย่างสงบเงียบ &#8220;ถ้าแม้แต่เหตุการณ์เล็กๆ แบบนี้ยังผ่านไปไม่ได้ เช่นนั้นก็เลือกคนผิดแล้วจริงๆ…&#8221;</p>
<p>&#8220;เลือกคนผิดเหรอ?&#8221; เถิงเฟยหันกลับมาถามอย่างแปลกใจ</p>
<p>เกาก้วนถือโอกาสพูดต่อว่า &#8220;ถ้าแม้แต่อุปสรรคแบบนี้ยังก้าวข้ามไปไม่ได้ ก็แสดงว่าตอนแรกข้าไม่ควรเลือกเขา เป็นอย่างที่เจ้าบอก ในเมื่อเนรคุณความปรารถนาดีของข้าแล้ว ไม่สู้ตายอยู่ที่นี่ไปเสียดีกว่า ในอนาคตจะได้ไม่ยึดครองตำแหน่งแล้วทำเสียเรื่อง เป็นการทดสอบไง ทดสอบทั้งคนอื่น แล้วก็ทดสอบเขาด้วยเหมือนกัน ถ้าผ่านด่านนี้ถึงจะใช้ทำงานสำคัญได้ ถ้าไม่ผ่านตำแหน่งจะได้ว่าง ตำแหน่งบางคำแหน่ง พวกไร้ความสามารถไม่มีวาสนาได้ครองหรอก นี่เป็นจุดประสงค์ที่ราชินีสวรรค์จะปรับปรุงตลาดสวรรค์ไม่ได้เหรอ?&#8221;</p>
<p>&#8220;เหตุการณ์เล็กๆ? คันดินแบบนี้?&#8221; เถิงเฟยหลุดขำอย่างอัศจรรย์ใจ &#8220;เจ้าคิดว่าเขามีวรยุทธ์เท่าเจ้าเหรอ? เหตุการณ์นี้ อุปสรรคนี้ไม่เล็กสำหรับเขาเลยนะ เจ้าไม่ดูบ้างล่ะว่ามีคนตั้งเท่าไรอยากให้เขา…&#8221; คำพูดหยุดชะงัก ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้</p>
<p>เกาก้วนเอียงหน้าช้าๆ มองไปที่เขา แต่กลับเห็นจอมพลเถิงทำหน้าตึงและรีบหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อกับใคร</p>
<p>ที่จริงคำพูดของตัวเองเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เถิงเฟยนึกขึ้นได้เช่นกัน เขาคาดเดาว่าในบรรดาคนที่ล้อมโจมตีเหมียวอี้คงจะมีคนของเขาด้วย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่ใช่การคาดเดา แต่แน่ใจว่ามีคนของเขาแน่นอน</p>
<p>ความคิดจิตใจของพวกลูกน้องเป็นอย่างไร ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขานั่งรักษาการณ์อยู่ที่นี่ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา พวกลูกน้องจะต้องยิ่งอยากทุ่มเทกำลังเพื่อแสดงผลงานแน่นอน</p>
<p>การตายของเหมียวอี้คนเดียวไม่สำคัญอะไรสำหรับเขา ถ้าลูกน้องต้องการจะทำแบบนี้ เขาก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไรเหมือนกัน คนที่กล้ามาลูบเคราของเขา ถ้าไม่ให้บทเรียนไว้สักหน่อย หรือถ้าไม่เชือดไก่ให้ลิงดูสักหน่อย ต่อไปไม่ว่าใครก็กล้าทำซี้ซั้วน่ะสิ ร้านค้าของจอมพลเถิงไม่ได้พังกันง่ายๆ ขนาดนั้น</p>
<p>เมื่อเดินขึ้นมาอยู่ในระดับอย่างเขา บารมีชื่อเสียงกับความน่าเกรงขามของตัวเองก็ไม่ได้มาจากการกระทำของตัวเองแล้ว ถ้าวางมาดแบบนั้นจะเสียเกียรติ แต่ต้องอาศัยให้พวกลูกน้องขับดุนให้เด่น เมื่ออยู่ในระดับนี้ การไม่วางมาดต่างหากที่เป็นมาดอันสง่างามอย่างแท้จริง และแน่นอน คนที่อยู่ในระดับอย่างเขาก็ไม่มีทางไปเสนอะแนะให้ลูกน้องทำเรื่องพรรค์นี้เช่นกัน ถ้ารู้ไปถึงไหนก็เสียเกียรติอยู่ดี แค่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็พอแล้ว</p>
<p>แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ เรื่องราวแสดงให้เห็นอยู่ทนโท่ หนึ่งในสิบสองจอมพลผู้สง่าผ่าเผยมองดูกลุ่มลูกน้องตัวเองรุมตัวละครเล็กๆ คนหนึ่ง แบบนี้มันใช่เรื่องเสียที่ไหนกัน? จอมพลคนอื่นๆ สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ แต่เรื่องเกิดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้เหรอ?</p>
<p>นี่คือการทดสอบที่ราชินีสวรรค์ใช้อำนาจนอกวังหลังเพื่อจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ถ้าเขาเอาแต่ปล่อยให้ลูกน้องทำแบบนี้โดยไม่ห้าม ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว บางครั้งการมีตำแหน่งสูงเกินไปก็เป็นอุปสรรคเหมือนกัน</p>
<p>แต่คนที่เข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ โดยส่วนใหญ่ก็มีแต่ตัวละครเล็กๆ ทั้งนั้น เขาไม่มีทางติดต่อกับคนกลุ่มนี้ได้โดยตรง ตอนนี้กำลังรีบติดต่อกับพ่อบ้านของตัวเอง สั่งให้จัดการเรื่องนี้อย่างด่วนจี๋เป็นพิเศษ</p>
<p>เขาใจร้อนขนาดนี้ ลูกน้องก็ย่อมไม่ชักช้า ข่าวกระจายไปถึงผู้นำทัพของกำลังพลสายชวดอย่างรวดเร็ว</p>
<p>มีการตอบสนองเร็วมาก เห็นในทัพใหญ่หนึ่งล้านเกิดความวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง กำลังพลหนึ่งแสนกว่าคนของสายชวดรีบปลีกออกจากทัพใหญ่อย่างรวดเร็ว ออกห่างไปเหมือนกำลังพลของตระกูลโค่ว ออกห่างจากความขัดแย้งสนามนี้ไป</p>
<p>เมื่อเห็นการตอบสนองที่รวดเร็วแบบนี้ เถิงเฟยที่จ้องไม่ละสายตาก็ถอนหายใจเบาๆ</p>
<p>เกาก้วนเหล่ตามองสำรวจ พอเห็นการเคลื่อนไหวที่เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่แบบนี้ ก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงกล่าวเสียงเรียบว่า &#8220;จอมพลเถิง ตัวเจ้าอยู่ในสนามทดสอบ ควบคุมสถานการณ์ในสนามทดสอบแบบนี้ กำลังทำผิดกฎปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ!&#8221;</p>
<p>&#8220;ทำผิดกฎอะไร?&#8221; เถิงเฟยลูบเคราพูดเหยียดว่า &#8220;ทูตขวาเกาไปฟ้องข้าต่อหน้าราชันสวรรค์หรือไม่ก็ราชินีสวรรค์ก็สิ้นเรื่องแล้ว&#8221;</p>
<p>อีกฝ่ายพูดไม่ผิดหรอก ตามกฎกติกา คนที่อยู่ในสนามทดสอบนี้ หากไม่ใช่ผู้ที่เข้าร่วมทดสอบก็ห้ามแทรกแซงการทดสอบ แต่การแหกกฎแบบนี้ ต่อให้อีกฝ่ายจะฟ้องร้องอย่างไรก็ทำอะไรเขาไม่ได้</p>
<p>เกาก้วนกล่าวอย่างสบายใจว่า &#8220;เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวข้าจะรายงานขึ้นไปตามความจริงแน่&#8221;</p>
<p>เถิงเฟยขี้คร้านจะสนใจเขา</p>
<p>เสียงกลองหยุดลง เสียงกลองหนึ่งยกจบไปแล้ว จุยหย่วนที่ยืนอยู่เหนือกลองหันกลับมามองเงาร่างที่โดดเดี่ยวนั้น เขาเองก็รู้จักเหมียวอี้เช่นกัน เมื่อเห็นเหมียวอี้ยังไม่ลงสนาม เขาก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย โบกมือสั่งให้ตีกลองยกที่สอง</p>
<p>เหมียวอี้ยืนลำพังอยู่ที่เดิม สาเหตุที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพื่อวางมาดหล่อ วางมาดภูมิฐาน และไม่ใช่เพื่อเรียกร้องความสนใจด้วย แต่เป็นเพราะเมื่อครู่นี้ถูกกดดันจนหมดทางเลือกแล้วจริงๆ</p>
<p>บอกได้เพียงว่าดวงไม่ดี มารดาเจ้าเถอะ ตำแหน่งที่เขายืนไม่ได้อยู่ข้างหน้าสุดหรือข้างหลังสุด แต่ซ้ายขวาหน้าหลังของเขาเต็มไปด้วยคน เขาโดนล้อมอยู่ตรงกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านคนพอดี ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด ต่อให้เขาจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าตามขบวนทัพพุ่งออกไปนอกเขตป้องกันทั้งๆ ที่รู้ว่ามีคนโขยงใหญ่ต้องการจะฆ่าตัวเอง ถ้าคนที่อยู่รอบข้างรวมตัวกันมาโจมตีเขา ถ้าไม่ตายก็แปลกแล้ว เขาไม่ได้มีร่างกายเป็นทองคำที่จะไม่บุบสลาย</p>
<p>ดังนั้นภายใต้ความจนใจ เขาจึงทำได้เพียงทำตัวโดดเด่นเหนือคนอื่น ปล่อยให้ทึกคนชื่นชมไป ที่จริงเขาไม่อยากทำตัวนอกคอกแบบนี้เลย</p>
<p>ส่วนตรงด้านหน้า ก็มีคนหลายกลุ่มกำลังจ้องมองเขา ขนาดตอนยังไม่เข้าร่วมการทดสอบก็มีคนจ้องมองเขาอย่างดุร้ายอย่างเสือแล้ว ไม่ใช่คนจำนวนน้อยๆ ด้วย</p>
<p>เขารู้ตั้งแต่ก่อนการทดสอบแล้ว ว่าเมื่อตัวเองเข้าสู่สนามทดสอบ นั่นก็อาจจะเป็นเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับเขา แต่นึกไม่ถึงว่าหลังจากไอ้พวกเวรตะไลมันรวมกลุ่มกันแล้ว จะมีคนกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ดักทางตัวเองไว้ ดึงผู้เข้าร่วมทดสอบทั่วไปที่ไร้ภูมิหลังไร้อำนาจมาปะปนอยู่ด้วยกัน</p>
<p>ที่ฝั่งตรงข้าม ยังไม่มีใครออกไปทดสอบสักคน ต่างก็กำลังเฝ้ารอตนอยู่ตรงนั้นอย่างดุร้าย บางทีอาจจะมีบางคนมาดูเอาสนุก ช่างประเมินผู้บัญชาการใหญ่หนิวสูงจริงๆ!</p>
<p>เดิมทีเขาคิดว่าการที่มีคนหลักพันหรืออย่างมากก็หลักหมื่นพุ่งเป้ามาที่เขาก็แย่มากแล้ว ด้วยศักยภาพ ประสบการณ์และความมั่นใจจากการรบมาทั้งชีวิตของเขา ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่วงล้อมไม่หนาแน่น เดิมทีก็คิดว่าจะสามารถสังหารฝ่าทางออกไปได้ แต่เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้เผชิญหน้ากับทัพใหญ่จำนวนหนึ่งล้านเพียงลำพัง ต้องอาศัยกำลังของตัวเองเผชิญกับทัพใหญ่หนึ่งล้านของตำหนักสวรรค์!</p>
<p>นี่เป็นจำนวนคนที่มากมายหมือนทะเลเหมือนภูเขา! จะฝ่าออกไปได้เหรอ? จะเอาตัวรอดได้เหรอ?</p>
<p>ที่เขายืนเงียบเหงาอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหน ไม่ใช่เพราะกลัวการต่อสู้ ก่อนการทดสอบยังกังวลอยู่บ้างนิดหน่อย แต่มากังวลตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ดังนั้นในใจเขาตอนนี้ไม่คิดด้วยซ้ำว่าคำว่า &#8216;กลัว&#8217; หน้าตาเป็นอย่างไร แต่กำลังครุ่นคิดพิจารณาถึงปัญหานี้อยู่จริงๆ ไม่ครุ่นคิดคงไม่ได้!</p>
<p>เสียงกลองยกแรกหยุดลง เสียงกลองยกสองที่ดังขึ้นได้ดึงเขากลับมาจากความรู้สึกนึกคิดอย่างช้าๆ เขาค่อยๆ กวาดสายตามองกำลังพลที่มากมายดุจขุนเขาและมหาสมุทร</p>
<p>เขาพิจารณาอย่างกระจ่างมากแล้ว คิดจะหนีเหรอ? ถึงแม้ความเร็วของเฮยทั่นจะไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ถนัดเรื่องการเหาะเหิน ไม่มีทางพาตนหนีไปได้เลย ถ้าหนีจะต้องโดนไล่ตามแน่นอน และถ้าจะสู้ด้วยของวิเศษล่ะ? ของวิเศษของตนไม่เหมาะกับการโจมตีหมู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโจมตีหมู่ของคนนับล้านเลย มิหนำซ้ำของวิเศษในมืออีกฝ่ายก็ไม่ได้แย่กว่าของตนด้วย แถมยังมีจำนวนมากกว่านแน่นอน ถึงอย่างไรก็มีลูกหลานของผู้มีอำนาจมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่จะทรัพย์จาง ถ้าประลองของวิเศษกันจะเป็นการรนหาที่ตาย</p>
<p>จะถอนตัวจากการทดสอบก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่พ้น ทั้งยังต้องหาทางหลบเลี่ยงการโจมตีจากของวิเศษจำนวนมากของอีกฝ่ายด้วย วิธีการเดียวที่เป็นไปได้ก็คือรุกโจมตี สังหารเข้าไปในฝูงชน อาศัยโอกาสที่อีกฝ่ายใช้ของวิเศษไม่สะดวกเพราะมีคนเยอะเกินไป นี่คือทางออกเดียวที่พอจะเป็นไปได้</p>
<p>อวิ๋นจือชิว พวกเจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปดีๆ นะ!&#8217;</p>
<p>ในใจพึมพำประโยคนี้เงียบๆ ความคิดในใจก็ถูกกำหนดแล้วเช่นกัน ตอนที่ปณิธานอันแน่วแน่ค่อยๆ ปรากฏอยู่ในแววตา เสียงกลองยกที่สองก็จบลงแล้ว</p>
<p>สายตาของทุกคนมารวมอยู่บนตัวเขาหมดแล้ว ต่างก็กำลังสงสัยว่าเขาจะกล้าออกไปหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ออกไปก็จะตายสถานเดียว</p>
<p>เกาก้วนไม่คุยเล่นกับเถิงเฟยอีก สายตากำลังจ้องเขาอย่างเย็นชา เถิงเฟยก็กำลังจ้องเขาเช่นกัน</p>
<p>ท่ามกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านมีคนไม่น้อยที่กำลังจ้องเขาด้วยแววตาหยอกล้อ ทุกคนกำลังจับตาดูปฏิกิริยาของเขา</p>
<p>พอจุยหย่วนที่กำลังยืนมองเขาอยู่บนกลองโบกมือ ตุ้งๆๆๆ…กลองยกที่สามเริ่มดังขึ้นแล้ว</p>
<p>เหมียวอี้ที่ถอนหายใจช้าๆ เฮือกหนึ่งกางแขนสองข้าง เกราะรบบนตัวกลายเป็นหมอกสีม่วงเก็บเข้าแหวนเก็บสมบัติ เกราะรบผลึกแดงตกอยู่ในฝ่ามือ สวมครอบทั้งร่างกายเสียงดังเปาะแปะ เป็นเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง!</p>
<p>เมื่อเกราะแดงคลุมตัว สายตาก็จ้องตรงไปหาทัพใหญ่หนึ่งล้านตรงหน้าอย่างสงบเงียบ มือขวาขยุ้มกลางอากาศอย่างมีพลัง ทวนเกล็ดย้อนพลันปรากฏอยู่ในมือ พอเขาสะบัดมือชี้เฉียงไปเบื้องล่าง &#8220;กรรร&#8221; เสียงมังกรคำรามดังแว่วไม่หยุด ลักษณะท่าทางเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว ดุร้าย!</p>
<p>พอโบกมือข้างซ้าย เงาร่างของเฮยทั่นก็แฉลบออกมาจากกระเป๋าสัตว์</p>
<p>เฮยทั่นยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มันสั่นหัวส่ายหางพลางเหลียวซ้ายแลขวา</p>
<p>&#8220;สัตว์พาหนะตัวนี้เหมือนจะเป็น &#8216;หลีหลง&#8217; ชนิดหนึ่งนะ&#8221; เถิงเฟยที่กำลังมองดูกล่าวเสียงเรียบ</p>
<p>เกาก้วนไม่ได้กล่าวปฏิเสธ ไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น ยังคงมองดูทุกการกระทำของเหมียวอี้อย่างเงียบๆ</p>
<p>แต่พอเหมียวอี้ชี้มือซ้ายไปที่เฮยทั่น ห่วงเหล็กบนคอเฮยทั่นเปล่งแสงสีทองทันที แยกออกกลายเป็นโลหะสีแดงที่ไหลกลิ้ง ชั่วพริบตาเดียวก็ครอบทั้งร่างกายเฮยทั่นเอาไว้ สัตว์พาหนะที่หน้าตาเหมือนมารปีศาจปรากฏตัวขึ้นในทันที</p>
<p>มือขวาถือทวน มือซ้ายชี้เฮยทั่นพร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า &#8220;ข้างหน้าคือศัตรูทั้งหมด กล้าไปสู้ตายด้วยกันกับข้ามั้ย!&#8221;</p>
<p>เฮยทั่นที่สั่นหัวส่ายหางหยุดนิ่งทันที ดวงตาสิงโตสีแดงเลือดจ้องทัพใหญ่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นก็เริ่มแสดงอาการกระสับกระส่ายร้อนรน ร่างกายโยกไหวอย่างช้าๆ แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าคำราม &#8220;อ๋าว…&#8221;</p>
<p>เสียงดังสะเทือนท้องฟ้า มันหันขวับมองไปที่เหมียวอี้</p>
<p>เหมียวอี้มองออกถึงความเร่าร้อนในแววตาของมัน เงาร่างของเขาถลันวูบ ไปตกลงบนหลังของมันแล้ว</p>
<p>ในชั่วพริบตาเดียว เฮยทั่นก็แบกเขาพุ่งออกไปราวกับลูกธนูพุ่งออกจากสาย ไม่มีการเลี้ยวอ้อม พุ่งชนไปหากลองสะท้านฟ้าที่ดังอยู่ตรงหน้าไม่หยุด</p>
<p>เหมียวอี้บอกว่าข้างหน้าคือศัตรูทั้งหมด เฮยทั่นย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว</p>
<p>เหมียวอี้เองก็นึกไม่ถึงว่าเฮยทั่นจะบุ่มบ่ามขนาดนี้ แต่ภายใต้ฉากและเหตุการณ์นี้ คนที่ผ่านสนามรบมานานอย่างเขารู้ว่าอะไรคือการทำให้สำเร็จลุล่วงในรวดเดียว เขาไม่ได้ห้ามมัน แต่กลับกระทุ้งออกไปเพื่อเสริมพลังอำนาจ</p>
<p>เสียงมังกรคำรามดังขึ้น บึ้ม! กลองสะท้านฟ้าถูกกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ คนตีกลองตกใจจนลนลานหนีออกไป เงาร่างของเฮยทั่นพุ่งฝ่าเศษกลองที่ปลิวว่อนออกไปแล้ว ดูมีพลังเข้มแข็งเกรียงไกร!</p>
<p>จุยหย่วนที่ยืนอยู่บนกลองนึกไม่ถึงว่าจะเกิดฉากนี้ขึ้นมา ภายใต้ความตื่นตะลึง เขาตะโกนเสียงเข้มว่า &#8220;บังอาจ!&#8221;</p>
<p>&#8220;ปล่อยเขาไป!&#8221; ยินเกาก้วนถ่ายทอดเสียงอันราบเรียบมาถึงข้างหู เขาหันกลับไปมอง เห็นเพียงเกาก้วนยกมือท่ามกลางฝูงชนเพื่อห้ามเขาไม่ให้แสดงปฏิกิริยาอะไรอีก</p>
<p>จู่ๆ ก็เกิดฉากแบบนี้ขึ้น ฉากที่อาละวาดกะทันหันแบบนี้ทำให้ทุกคนในเหตุการณ์ตกใจ ทัพใหญ่หนึ่งล้านโดนข่มพลังอำนาจไปสามส่วนโดยปริยาย</p>
<p>เหมียวอี้หยุดสัตว์พาหนะแล้ว คุมเชิงอยู่ตรงหน้าทัพใหญ่หนึ่งล้านตามลำพัง ถือทวนชี้ออกไป พลังอำนาจยามพังกลองสะท้านฟ้าของตำหนักสวรรค์ได้เขย่าขวัญคนทั้งสนาม &#8220;หลีกไป! ใครขวางข้า ตาย!&#8221;</p>
<p>…………………………</p>

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด