พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1217 โดนดักซุ่มโจมตี

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1217 โดนดักซุ่มโจมตี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

<p>จีฮวนอึ้งไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็เข้าใจได้จากสายตาบอกใบ้ของมู่ฝานจวิน ประเด็นสำคัญยังคงอยู่ที่คำทำนายของเทพพยากรณ์ การฝืนขัดขวางเหมียวอี้อาจจะไม่ใช่เรื่องดี</p>
<p>ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการเข้าไปสู่ใจกลางของแดนอเวจีเชียวนะ ในใจของพวกเขายังคงคิดวนเวียนสับสนอยู่บ้าง</p>
<p>เมื่อเห็นทุกคนไม่ห้ามอะไรแล้ว เหมียวอี้ก็ถามกลั้วหัวเราะว่า &#8220;ถ้าทุกคนไม่มีความเห็นแย้งอะไร ก็อย่าผัดวันประกันพรุ่งเลยแล้วกัน ออกเดินทางตอนนี้เลยดีมั้ย?&#8221;</p>
<p>ห้าปราชญ์ยังจะมีความเห็นแย้งอะไรได้อีก? ยอมเรียกรวมพลเพื่อออกเดินทางอยู่แล้ว</p>
<p>เพียงแต่ก่อนจะออกเดินทาง ฉางเหลยยังคงกล่าวว่าอามิตตาพุทธแล้วบอกว่า &#8220;เหมียวอี้ ที่นี่อันตราย เหมือนเจ้าจะได้เกราะรบผลึกแดงมาไม่น้อยเลย ไม่สู้ให้พวกเรายืมสักสองสามชุดล่ะ พวกเราจะได้มีหลักประกันบ้าง&#8221;</p>
<p>อวิ๋นอ้าวเทียนและตนตระกูลอวิ๋นไม่ขาดเกราะรบผลึกแดง อวิ๋นจือชิวเตรียมไว้ให้ตระกูลอวิ๋นอย่างครบครันตั้งแต่แรกแล้ว</p>
<p>ส่วนปราชญ์ที่เหลือ หลังจากดักฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนก็ได้มาสามชุด นอกจากจะแบ่งจำนวนลำบากแล้ว เมื่อแบ่งไปก็ยังขาดแคลนอยู่ดี</p>
<p>&#8220;เงินที่พวกเจ้าติดข้ายังไม่คืนเลย ยังจะยืมอีกเหรอ?&#8221; เหมียวอี้ถามกลับ</p>
<p>เขาต้องป้องกันไว้ เพราะถ้าคนพวกนี้ได้ของวิเศษดีๆ แล้วจะไม่เป็นผลดีกับเขา หกเคล็ดวิชาพิเศษก็ไม่ใช่เล่นๆ</p>
<p>ห้าปราชญ์พูดไม่ออกเหมือนกันหมด โดนคำถามนี้อุดปากจนอับอายพอสมควร จะเถียงกลับประมาณว่ายกลูกศิษย์หรือลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้าแล้วก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี เป็นเพราะถ้ายืมเงินไปแล้วยังพูดจาแบบนั้นออกมา ก็จะไม่ต่างอะไรกับการขายลูกสาวตัวเอง จะยังพูดออกมาได้อย่างไร</p>
<p>ตอนนี้ห้าปราชญ์ยังคืนเงินไม่ไหว ทรัพย์สินบนตัวที่ได้มาจากการดักฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนก็ยังพอมีอยู่บ้าง เพียงแต่ถ้าคืนตอนนี้ก็ยังรู้สึกแปลกนิดหน่อย และแน่นอน นอกจากอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ตอนนี้คนในตระกูลอวิ๋นก็ยังคืนไม่ไหวแน่นอน ของที่อวิ๋นจือชิวให้ไว้มีไม่น้อย  แค่เกราะรบผลึกแดงอย่างเดียวก็เยอะกว่าของบนตัวผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนนั้นรวมกันแล้ว</p>
<p>ห้าปราชญ์นับว่าประสบความพ่ายแพ้แล้ว พบว่าตัวเองวางมาดต่อหน้าเจ้าเวรนี่ไม่ไหวเลย อีกฝ่ายไม่ได้ใช้อำนาจกดดัน แต่การใช้เงินกดดันก็ทำให้เจ้าเถียงไม่ออกได้เหมือนกัน</p>
<p>&#8220;ช่างเถอะ!&#8221; ชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้ก็เลิกดึงดันแล้ว &#8220;ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ แต่ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป เห็นแก่บรรดาอนุภรรยาของข้า  ข้าให้ยืมก็ได้ ต้องการกี่ชุดล่ะ?&#8221;</p>
<p>ถ้าไม่ขอยืมก็เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอยู่ดี อยู่ในสถานที่อันตรายแบบนี้ยังมีคราวที่ต้องอาศัยพวกเขา ถ้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง การพกสมบัติมากมายไว้บนตัวจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าให้ยืมไปก็ยังเพิ่มศักยภาพให้ฝั่งตัวเองได้ พอไตร่ครวญดูแล้วก็พบว่าให้ยืมจะคุ้มค่ามากกว่า</p>
<p>ฝั่งห้าปราชญ์ย่อมอยากจะให้ทุกคนได้คนละชุด ในเมื่อเหมียวอี้ตัดสินใจว่าจะให้แล้ว ก็ต้องทำเรื่องดีให้ถึงที่สุด ไม่เพียงแค่ให้เกราะรบผลึกแดงหนึ่งชุดสำหรับคนที่ไม่มี ทั้งยังให้สัตว์เทพกับทุกคนที่ยังไม่มีด้วย</p>
<p>หลังจากสมาชิกของห้าปราชญ์มากันครบและต่างคนต่างนำของไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยและเพื่อไม่ให้สะดุดตาคนมากเกินไป พวกเขาต่างก็เก็บคนของตัวเองไว้ในกระเป๋าสัตว์แล้ว</p>
<p>เหมียวอี้กลับทำอย่างเรียบง่าย ใช้เท้าเตะครั้งเดียวก็ปลุกจนเฮยทั่นที่นอนงีบอยู่ตรงปากถ้ำตกใจจนกระโดดพรวดขึ้นมา พอถลันตัวขึ้นไปนั่งบนตัวของเฮยทั่นที่คับแค้นใจเล็กน้อย ตบคอเฮยทั่นเบาๆ เฮยทั่นก็แบกเขาพุ่งขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูงแล้ว</p>
<p>พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ต่างคนต่างเรียกสัตว์พาหนะออกมาเช่นกัน ควบขี่กระโจนขึ้นฟ้าตามไป&#8230;</p>
<p>ลูกกลมสีดำขนาดใหญ่ลูกหนึ่งกำลังหมุนวนอยู่ในดาราจักรที่เงียบงัน บางครั้งก็มีสิ่งที่คล้ายกับแสงสว่างปรากฏให้เห็นรางๆ</p>
<p>หลังจากมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นหลายครั้ง หลังจากการเข่นฆ่าอันดุเดือดหนึ่งฉาก</p>
<p>คนชุดดำนับหมื่นถลันวูบเข้ามาเก็บกวาดศพหลายพันร่าง ดูจากเกราะทองเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์ที่สวมใส่อยู่บนตัวศพส่วนใหญ่ ก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นคนของตำหนักสวรรค์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบ มีคนชุดดำอีกส่วนหนึ่งรีบไล่ตามคนของตำหนักสวรรค์ที่หนีกระเจิดกระเจิง</p>
<p>ผ่านไปไม่นาน ไม่มีใครหลุดรอดไปได้สักคน ผู้เข้าร่วมทดสอบหลายพันที่บังเอิญมาถึงที่นี่ติดกับดักทั้งหมด</p>
<p>นักพรตบงกชรุ้ง สัญลักษณ์วรยุทธ์ที่แท่นจิตตรงหว่างคิ้ว ดอกบัวสีรุ้งแปดสิบเอ็ดกลีบที่มีเก้าสีคือวรยุทธ์สูงสุดของระดับบงกชทอง เบ่งบานเก้ากลีบเก้าสีจำนวนหนึ่งชั้นก็คือขั้นหนึ่ง เบ่งบานเก้าสีเก้าชั้นก็คือขั้นเก้า</p>
<p>คนชุดดำหน้าดำคนหนึ่งกำลังลอยอยู่ในดาราจักรเพื่อดูการต่อสู้ ใบหน้าไร้หนวดเคราะ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ด กำลังใช้สายตากวาดมองสนามรบที่ปิดฉากลง หลังจากคนกลุ่มหนึ่งมารายงานผลการรบแล้ว แตรสัญญาณลวดลายดุร้ายสีดำขลับคล้ายเขาวัวอันหนึ่งก็ถูกหยิบออกมา จากนั้นก็วางในปากแล้วออกแรงเป่า</p>
<p>&#8220;อู…อู…&#8221;</p>
<p>เสียงสะอื้นที่ทำให้ทำให้รู้สึกอึดอัดดังกระจายอยู่ในดาราจักรตามพลังอิทธิฤทธิ์</p>
<p>กำลังพลนับหมื่นหันขวับมองมา มองไปทางคนชุดดำที่กำลังเป่าแตรสัญญาณ จากนั้นก็รีบมารวมตัวกันทันที รุกถอยอย่างมีระเบียบ เห็นได้ชัดว่าเป็นกำลังพลที่ผ่านการฝึกมาอย่างยาวนาน</p>
<p>เมื่อเก็บแตรสัญญาณแล้ว คนชุดดำก็ก็หันตัวเหาะไปทางลูกกลมสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง ส่วนกำลังพลนับหมื่นก็ไล่ตามเช่นกัน</p>
<p>หลังจากเข้าใกล้วัตถุทรงกลมลูกนั้น ถึงได้พบว่าลูกกลมสีดำลูกนั้นคือก้อนหินโลหะสีดำมันวาวทั้งเล็กทั้งใหญ่นับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันอย่างไร้ระเบียบ ลูกที่ใหญ่ก็มีขนาดเท่าภูเขา ลูกที่เล็กก็ขนาดเท่าก้อนกรวดทราย ดูคล้ายฉากกั้นขณะหมุนวนด้วยความเร็ว มองไกลๆ เหมือนรวมเป็นก้อนเดียวกัน</p>
<p>เมื่อเผชิญกับกระแสหินที่ยากจะทะลุผ่านไปได้หากไม่ใช้พลังอันแข็งแกร่ง กำลังพลนับหมื่นก็กลายเป็นหมอกหยินทะลุเข้าไประหว่างกระแสหินแล้ว ทั้งหมดเป็นนักพรตผี</p>
<p>จนกระทั่งลอดผ่านกระแสหินที่ปกคลุม หมอกหยินหลายกลุ่มก็ก่อตัวเป็นร่างคนอีกครั้งในชั่วพริบตาเดียว กำลังพลนับหมื่นปรากฏตัว แล้วเหาะไปข้างหน้าต่อไป ด้านหน้าต่างหากที่เป็นดาวเคราะห์ที่แท้จริง ส่วนสิ่งที่มองเห็นจากภายนอกล้วนเป็นกระแสหินที่ครอบคลุมปกป้องอยู่หนึ่งชั้น</p>
<p>คนกลุ่มหนึ่งเหยียบลงบนดินแดนมืดมิดที่ไร้แสงจากดวงอาทิตย์ มีเพียงบนภูเขาหินแหลมเหมือนกระดูกที่มีแสงสลัวกะพริบเป็นบางครั้ง ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตไม่ได้ ลมอันหนาวเหน็บพัดหวีดหวิว</p>
<p>ระหว่างซอกของภูเขาหินตะปุ่มตะป่ำ ในห้องถ้ำเผยศีรษะใบแล้วใบเล่า มองไม่ออกว่าใบหน้าแต่ละหน้าอยู่ในอารมณ์แบบไหน กำลังมองดูกำลังพลที่กลับมา พวกเขาทั้งหมดเป็นคนชุดดำเช่นกัน มองดูคร่าวๆ เกรงว่าจะมากถึงหลายหมื่น ไม่มีใครพูดจาสักคน ได้ยินเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิว</p>
<p>ปราณหยินที่เกิดจากการรวมตัวของนักพรตผีจำนวนมากพัดผ่านระหว่างภูเขาไปตามสายลม</p>
<p>ในบรรดาคนที่เหยียบลงพื้น พอหนึ่งคนในนั้นที่เป็นหัวหน้าโบกมือ คนชุดดำนับหมื่นก็โยนร่างของกำลังพลตำหนักสวรรค์หลายพันร่างออกมาทันที ศพกองรวมเป็นภูเขา</p>
<p>ไม่ใช่ว่าจะเป็นศพทั้งหมด ยังมีจำนวนอีกหลายร้อยที่เป็นเชลยศึก แต่ละคนถูกดาบจ่อคอให้คุกเข่าลงกับพื้น บรรดาเชลยศึกที่ไม่พิการก็บาดเจ็บพอโผล่หน้ามาก็มองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก เห็นเพียงใบหน้าไร้อารมณ์จำนวนมากที่อยู่ระหว่างซอกของภูเขาหินตะปุ่มตะป่ำกำลังมองพวกเขาอยู่</p>
<p>ใบหน้าพวกนั้นกำลังมองพวกเขาอย่างเงียบๆ มองอย่างนิ่งเฉย ไม่มีทางบรรยายได้ว่าในดวงตาแต่ละคู่นั้นเป็นแววตาแบบไหน เป็นแววตาประเภทที่มองไม่เห็นความหวังใดๆ ราวกับเป็นผีดิบที่เดินได้ เมื่อโดนแววตาแบบนี้หลายคู่จ้องมอง บรรดาเชลยศึกที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็รู้สึกเหมือนหัวใจเจอกับอากาศหนาว</p>
<p>ในบรรดาทหารสวรรค์ที่นั่งคุดเข่า จู่ๆ ก็มีคนตะโกนเสียงดังอย่างวิตกจริตว่า &#8220;ยอมแพ้! ข้ายอมแพ้…&#8221;</p>
<p>แต่ใครจะคิดว่ายังพูดไม่ทันจบ ก็โดนนักพรตผีที่ใช้ดาบจ่ออยู่ข้างหลังฟันทิ้งแล้ว เสียงร้องขอชีวิตพลันหยุดชะงัก เลือดร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากอกถูกลมพัดสลายหายไป ศีรษะใบใหญ่ที่กลิ้งไปไกลตามสายลมติดค้างอยู่ที่ภูเขาหินแล้ว</p>
<p>คนอื่นๆ ที่เดิมทีคิดจะร้องขอชีวิตตามตกใจจนหุบปากทันที คำพูดที่ขึ้นมาถึงปากถูกกลืนลงไปอีกครั้ง</p>
<p>มีคนออกมาต้อนรับ กุมหมัดคารวะผู้ที่เป็นหัวหน้าคนนั้นว่า&#8221;ผู้บัญชาการกวน&#8221;</p>
<p>&#8220;ขุนพลอยู่ที่ไหน?&#8221; ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้บัญชาการกวนถามเสียงต่ำ</p>
<p>&#8220;บนภูเขาขอรับ!&#8221; คนคนนั้นหันตัวแล้วชี้ไป</p>
<p>ผู้บัญชาการกวนเหลือบตาขึ้นมองตาม ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป บนยอดเขาของภูเขาลูกที่สูงที่สุด ยอดเขาที่โดนลมพัดม้วนปราณหยินสีเทาขึ้นมาปกคลุม ชายชุดดำรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งสวมผ้าคลุมบ่าสีดำที่กำลังปลิวสะบัดตามแรงลม ผมยาวยุ่งสยายปลิวว่อนตามสายลม หนวดยาวหลายช่อก็แกว่งไกวตามแรงลมเช่นกัน ใบหน้าขาวหมดจด กำลังเอามือไขว้หลังมองท้องฟ้า ในแววตาที่ล้ำลึกเผยให้เห็นอารมณ์งงงวยเหม่อลอย มองข้ามเชลยศึกที่ลูกสมุนคุมตัวมา ไม่รู้ว่ากำลังใคร่ครวญอะไรอยู่</p>
<p>ผู้บัญชาการกวนถลันตัวขึ้นมา เหยียบลงบนยอดเขาที่ตัดสลับกันเหมือนฟันสุนัข เสียงลมที่พัดผ่านระหว่างภูเขาหินระเกะระกะยิ่งฟังดูแหลมและเศร้ารันทด</p>
<p>หลังจากเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ก็กุมหมัดคารวะว่า &#8220;รายงานท่านขุนพล โจรกบฏอ่อนแอ ดักฆ่าโจรกบฏได้สี่พันสี่ร้อยสี่สิบเอ็ดคน จับผู้รอดชีวิตมาได้สามร้อยเจ็ดคน ไม่มีใครหลุดรอดไปได้ กองกำลังรบของข้าตายไปหกคน ได้รับชัยชนะโดยสมบูรณ์ ได้โปรดชี้แนะว่าจะให้จัดการอย่างไรขอรับ&#8221; ในคำพูดของเขา ไม่น่าเชื่อว่ากำลังพลของตำหนักสวรรค์จะกลายเป็นโจรกบฏแล้ว!</p>
<p>ขุนพลคนนั้นเหลือบตาลงเล็กน้อยเพื่อมองสถานการณ์ตรงตีนเขา แล้วถามเสียงเรียบว่า &#8220;อาณาเขตผืนนี้ที่พวกเรารับผิดชอบ วางด่านตรวจไว้หมดแล้วรึยัง?&#8221;</p>
<p>&#8220;วางกำลังไว้หมดแล้วขอรับ สายลับกล้าได้กล้าเสีย ขอเพียงแค่มีคนผ่านอาณาเขตผืนนี้ ก็จะถูกพบทันที&#8221; ผู้บัญชาการกวนตอบ</p>
<p>ตอนนี้ขุนพลถึงได้ตอบว่า &#8220;จัดการตามธรรมเนียมเดิมแล้วกัน&#8221;</p>
<p>&#8220;ขอรับ!&#8221; ผู้บัญชาการกวนกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป</p>
<p>พอกลับมาที่ตีนเขา เสียงคำสั่งดังขึ้น เชลยศึกตำหนักสวรรค์หลายร้อยคนก็ถูกกดไว้ทันที ปราณหยินหลายกลุ่มม้วนกรอกเข้าไปในร่างกายของพวกเขา ต้องการจะหลอมสร้างเชลยศึกทุกคนให้กลายเป็นผีดิบเพื่อกรีดเอาเม็ดยาหยิน</p>
<p>&#8220;อา…&#8221; บรรดาเชลยศึกที่รู้ชะตากรรมตัวเองแล้วส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทรมานเกินทน แต่ถูกควบคุมตัวไว้จึงไม่มีทางขัดขืนได้เลย</p>
<p>ขณะเดียวกันก็มีคนเริ่มจัดการศพนับพันที่กองกันเหมือนภูเขาแล้ว จัดการสิ่งของที่อยู่บนตัวศพ</p>
<p>ผู้บัญชาการกวนที่กำลังยืนมองลูกสมุนทำงานอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็คิ้วกระตุกเล็กน้อย เขาหยิบระฆังดาราออกมา แล้วเขย่าถามว่า : มีเรื่องอะไร?</p>
<p>สายลับส่งข่าวกลับมาว่า : รายงาน! ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีสัตว์พาหนะหกตัวเข้ามาใกล้ คาดว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วยามจะไปถึง!</p>
<p>ผู้บัญชาการกวน : แน่ใจนะว่ามีแค่หกคน?</p>
<p>สายลับ : ขอรับ! ไม่เห็นสมาชิกคนอื่นๆ</p>
<p>ผู้บัญชาการกวนเก็บระฆังดารา แล้วเรียกรวมกำลังพลจำนวนแปดร้อยคน ก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว</p>
<p>หกคนที่สายลับรายงานก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหกปราชญ์คนใหม่ที่มีเหมียวอี้เป็นหัวหน้า</p>
<p>พวกเหมียวอี้ย่อมนึกไม่ถึงอยู่แล้ว เพิ่งจะออกจากที่ซ่อนตัวหลายสิบปีได้ไม่ถึงครึ่งวัน ก็โดนคนจับตามองเสียแล้ว</p>
<p>หกคนที่ขี่สัตว์พาหนะทะยานอยู่ในดาราจักรมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังอยู่ตลอด แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร</p>
<p>เมื่อบุกเข้ามาในบริเวณที่มีหินระเกะระกะและกำลังจะผ่านออกไป จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ทั้งหกแทบจะหยุดพร้อมกัน เห็นเพียงข้างหน้ามีคนชุดดำหนึ่งร้อยคนพุ่งออกจากหลังก้อนหินที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างกะทันหัน มาขวางทางพวกเขาเอาไว้</p>
<p>ทั้งหกรีบมองไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ด้านเท่านั้น แต่สี่ด้านแปดทิศล้วนมีกำลังพลหนึ่งร้อยคนโผล่มา ตัดขาดทางเข้าและทางถอยของพวกเขาแล้ว</p>
<p>โดนดักซุ่มโจมตีแล้ว! ในใจทั้งหกเกิดความคิดนี้แทบจะพร้อมกัน</p>
<p>ทั้งหกล้วนมีประสบการณ์ในสนามรบมายาวนาน พอเห็นสภาพเหตุการณ์แบบนี้ก็รู้ทันทีว่าเป็นการดักซุ่มแบบพุ่งเป้าหมาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโดนจับตามองแต่ไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองก็ดูออกว่าเป็นนักพรตผีเหมือนกันหมด</p>
<p>ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าได้ปะทะกับคนในนรกแล้ว ทั้งหกรีบส่งสายตาให้กัน ในใจแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว แต่กลับไม่มีใครทำแสดงสีหน้าหวาดกลัว รีบสวมเกราะรบผลึกแดงเตรียมต่อสู้ในทันที</p>
<p>&#8220;ผีเฒ่าซือถู เจ้าเป็นราชาผี ชำนาญการรับมือกับนักพรตผีที่สุด ศึกแรกนี้ต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว เจ้าเป็นกองหน้า พวกเราห้าคนจะระวังหลังให้เจ้า ป้องกันบนล่างซ้ายขวาให้เจ้า เจ้าสนใจแค่บุกสังหารไปข้างหน้าก็พอ ทุกคนต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกพ่ายแพ้ในศึกเดียว โจมตีให้เกิดช่องโหว่&#8221; มู่ฝานจวินรีบสั่งทางซ้ายและขวา</p>
<p>&#8220;อย่าพัวพันอยู่กับพวกมัน ถ้าสังหารฝ่าออกไปได้ ก็หนีไปทันที!&#8221; จีฮวนก็กล่าวเสียงต่ำเช่นกัน</p>
<p>…………………………</p>

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด