พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1223 หมอกโฉมงามอาภัพ

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1223 หมอกโฉมงามอาภัพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

<p>เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ก็ไม่ใช่แค่กุยอู๋ แต่ขุนพลใหญ่หกลัทธิ รวมทั้งกลุ่มนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพที่อยู่ข้างหลังก็ทำสีหน้าเศร้าสลด</p>
<p>พวกอวิ๋นอ้าวเทียนหะนกลับมามองแวบหนึ่ง ถึงขั้นสังเกตเห็นว่าในดวงตาบางคนมีน้ำตาคลอ ภาพนี้ฉากนี้ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนแอบทำสีหน้าสะเทือนใจ จินตนาการได้ไม่ยากว่าภาพที่หกมหาราชันปาดคอตัวเองเพื่อจะปกป้องลูกน้องมิตรสหายในปีนั้นเศร้าสลดและยิ่งใหญ่ขนาดไหน</p>
<p>เอาใจเขามาใส่ใจเรา การสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องคนอื่นไม่ใช่สิ่งทุกคนจะทำได้ และก็ไม่แปลกใจที่ประมุขไป๋ที่คิดจะเล่นงานคนกลุ่มนี้ให้ตายจะซาบซึ้งใจและปล่อยให้รอดชีวิต และไม่แปลกใจที่หลังจากหกมหาราชันตายแล้ว โจรกบฏพวกนี้ยังต่อต้านตำหนักสวรรค์มาจนถึงปัจจุบันโดยไม่ยอมจำนน</p>
<p>&#8220;ในเมื่อประมุขไป๋ปล่อยให้พวกท่านรอดชีวิตแล้ว ทำไมถึงยังวางค่ายกลใหญ่ขังประมุขขุนพลหกท่านไว้อีก?&#8221; เหมียวอี้แปลกใจ</p>
<p>ตานฉิง ขุนพลใหญ่แห่งลัทธิมารถอนหายใจยาวแล้วตอบว่า &#8220;เรื่องที่ประมุขขุนพลหกท่านโดนขังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นหลายปี ได้ยินว่าข้างนอกมีประมุขปีศาจโผล่มาอีกคน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรประมุขพุทธะกับประมุขชิงจึงยืนอยู่ฝ่ายเดียวกัน และแปรพักตร์ให้ประมุขไป๋กับประมุขปีศาจแล้ว ได้ยินว่าประมุขปีศาจตกเป็นตัวประกันอยู่ในมือของประมุขพุทธะและประมุขชิง ตอนนี้ไม่รู้ว่าประมุขไป๋เข้ามาในจนกที่ถูกปิดปนึกจากทางไหน มาหาตัวพวกเราพบ หลังจากคุยกันอยู่นาน ประมุขขุนพลหกท่านก็ยินดีถูกประมุขไป๋ขังไว้ในค่ายกลใหญ่ โดยขังมาจนกระทั่งวันนี้&#8221;</p>
<p>&#8220;ประมุขขุนพลหกท่านยินดีถูกขังเองเหรอ? ทำไมถึงยินดีถูกประมุขไป๋ขังล่ะ?&#8221; เหมียวอี้ตกตะลึงปนประหลาดใจ</p>
<p>เหลิ่งจัวฉุน ขุนพลใหญ่ลัทธิผีตอบว่า &#8220;พวกเราก็ไม่รู้เหตุผลโดยละเอียดเหมือนกัน ประมุขขุนพลหกท่านไม่ได้บอกชัดเจน บอกเพียงว่ารอให้ผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาของประมุขปราชญ์หกท่านมาถึง ก็จะเป็นเวลาที่พวกเขาหลุดพ้น เวลาออกจากนรกไปโค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็จะมาถึงแล้ว พวกเราก็คิดเพียงว่าประมุขไป๋เตรียมแผนการอะไรไว้ แต่ใครจะคิดว่าไม่นานหลังจากนั้น ก็ได้ข่าวว่าประมุขไป๋โดนสยบไว้ในเจดีย์สยบปีศาจ ข่าวนี้ทำให้พวกเราเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ แต่พวกเราก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลใหญ่เพื่อช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาได้ ทำได้เพียงรอคอยตามคำฝากฝังของประมุขขุนพลหกท่าน หนึ่งแสนกว่าปีแล้ว เดิมทีพวกเราหมดหวังไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะปรากฏตัว&#8221;</p>
<p>พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจ รู้ว่าตัวเองกับประมุขไป๋ท่านนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แล้วอีกอย่าง ประมุขไป๋ท่านนั้นก็ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจแล้ว จะมาเกี่ยวข้องกับพวกเขาได้อย่างไร</p>
<p>ถ้าจะบอกว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับประมุขไป๋จริงๆ เหมียวอี้ก็ยอมรับว่าเกี่ยวข้องอยู่นิดหน่อย เพราะเขามาขุดหาสมบัติที่ประมุขไป๋ที่ไว้ แต่ความเกี่ยวข้องเล็กน้อยแค่นี้ เป็นเพราะภายใต้โอกาสที่เหมาะเจาะ เขาได้บังเอิญได้กุญแจไขปปริศนาของเผ่าปีศาจจนเปิดใช้งานแผนที่ซ่อนสมบัติได้ที่สถานที่ไร้ระเบียบ ไม่ได้รับการชี้แนะใดๆ ทั้งนั้น เป็นความบังเอิญล้วนๆ</p>
<p>และสำหรับพวกอวิ๋นอ้าวเทียน แม้แต่ประมุขไป๋หน้าตาเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย พวกเขาก็ยิ่งไม่คิดว่าตัวเองกับประมุขไป๋มีความเกี่ยวข้องกัน ที่บอกว่าประมุขไป๋ส่งมาทำอะไร เป็นผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาของหกมหาราชันอะไรนั่นเพื่อมาทำลายค่ายกลช่วยชีวิตประมุขขุนพล พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย และไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงด้วย วันนี้เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก</p>
<p>แต่ในใจของพวกเขาก็เคลือบแคลงเช่นกัน หกมหาราชันตายไปแล้ว ประมุขไป๋ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ แล้วหกเคล็ดวิชาพิเศษตามคนกลุ่มนั้นหนีไปถึงพิภพเล็กได้อย่างไร? ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่พวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนเช่นกัน แต่ตอนนั้นมีคนยกทัพไปปราบเยอะเกินไป ไม่รู้ชัดเหมือนกันว่าคนกลุ่มไหนหนีมาตายอยู่ที่พิภพเล็กแล้ว</p>
<p>มู่ฝานจวินเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ หลังจากสายตาวูบไหวอยู่พักหนึ่งก็เงยหน้าถามว่า &#8220;พวกท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าประมุขไป๋ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ?&#8221;</p>
<p>&#8220;ถ้าไม่ได้ถูกขัง แล้วข้างนอกจะสงบสุขแบบนี้ได้อย่างไร?&#8221; เมิ่งหรูถาม</p>
<p>&#8220;ประมุขไป๋หน้าตาเป็นอย่างไร?&#8221; มู่ฝานจวินถามอีก</p>
<p>พวกเหมียวอี้หันหน้าไปมองนางทันที แปลกใจนิดหน่อยว่านางสนใจหน้าตาของประมุขไป๋ไปทำไม หน้าตาแบบไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?</p>
<p>จ่างหง ขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจตะคอกตอบว่า &#8220;ถ้าพวกเจ้าอยากจะรู้สถานการณ์โดยละเอียด ก็มีแค่ต้องทำลายค่ายกล รอจนประมุขขุนพลหกท่านหลุดพ้นออกมาก่อน มีอะไรก็ถามขอคำชี้แนะประมุขขุนพลหกท่านได้เลย พวกเราก็รู้ไม่เยอะเหมือนกัน&#8221;</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนบอกอีกว่า &#8220;เลิกชักช้าได้แล้ว สิ่งที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดก็บอกพวกเจ้าไปหมดแล้ว ทำลายทำลายค่ายกลให้ข้าเดี๋ยวนี้ ถ้าทำลายค่ายกลไม่ได้ก็แปลว่าพวกเจ้าคือสายลับที่โจรกบฏส่งมา&#8221;</p>
<p>ฉางเหลยถอนหายใจแล้วถามอีกว่า &#8220;ทำลายค่ายกลไม่ได้ก็แปล่วาเป็นสายลับของโจรกบฏ นี่มันหลักการอะไรกัน?&#8221;</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนเหล่ตาตอบว่า &#8220;หกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ในมือประมุขไป๋ ประมุขไป๋ถูกประมุขพุทธะกับประมุขชิงขังไว้ เป็นไปได้สูงว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษจะตกอยู่ในมือโจรกบฏ แล้วพวกเจ้าก็ฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษ ถ้าจะบอกว่าพวกเจ้าเป็นสายลับก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป&#8221;</p>
<p>อยากเล่นงานใคร ย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ! ทั้งหกเหลือบมองดาวเคราะห์สิบสองดวงนั่น ไม่มีที่ให้ลงมือเลย การให้พวกเขาทำลายค่ายกลช่างเป็นเรื่องล้อเล่นจริงๆ</p>
<p>&#8220;ค่ายกลนี้ข้าไม่มีทางทำลายได้หรอก&#8221; อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว</p>
<p>สายตาที่เจือด้วยความดุร้ายหลายสิบดวงจ้องมาทันที</p>
<p>เหลิ่งจัวฉุนแสยะยิ้มถามว่า &#8220;พวกเจ้าแน่ใจเหรอว่าทำลายไม่ได้?&#8221;</p>
<p>ในคำพูดแฝงรสชาติขู่เข็ญไว้เต็มเปี่ยม เหมือนเป็นคำขาดสุดท้าย</p>
<p>อวิ๋นอ้าวเทียนเม้มริมฝีปากแน่น แล้วถามเสียงต่ำว่า &#8220;พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำลายค่ายกลนี้ยังไง ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค่ายกลนี้เลย แล้วจะไปทำลายได้ยังไง?&#8221;</p>
<p>กลิ่นอายสังหารพรั่งพรูขึ้นมาบนตัวเหลิ่งจัวฉุนในชั่วพริบตาเดียว &#8220;ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็อย่าหาว่าพวกเรา…&#8221;</p>
<p>&#8220;ช้าก่อนๆๆๆ ทำลายได้ ทำลายได้&#8221; เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะลงมือสังหาร เหมียวอี้ก็รีบออกเสียงห้าม</p>
<p>สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวเขา เหลิ่งจัวฉุนรีบถามว่า &#8220;เจ้าทำลายได้เหรอ?&#8221;</p>
<p>พวกอวิ๋นอ้าวเทียนย่อมมองเหมียวอี้อย่างประหลาดใจสงสัย อดนึกเชื่อมโยงไม่ได้ว่าเดิมทีเหมียวอี้ก็ต้องการจะมาที่นี่อยู่แล้ว</p>
<p>เหมียวอี้ยิ้มแห้งพร้อมตอบว่า &#8220;ถ้าไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าทำลายไม่ได้&#8221;</p>
<p>ลักษณะการทำงานของเขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรื่องไหนที่ไม่เคยลองก็จะไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ อย่างน้อยก็ไม่ตัดโอกาสในรวดเดียว ถ้าถ่วงเวลาสักหน่อยอาจจะหาข้ออ้างมาตบตาได้ ไม่อย่างนั้นก็จะสิ้นชีพตอนนี้ ตายแบบนี้อาจจะไร้ความยุติธรรมเกินไปหน่อย</p>
<p>ทว่าฝ่ายนี้ไม่ให้โอกาสพวกเขาหาข้ออ้างมาตบตาเลย เหลิ่งจัวฉุนเอียงหน้าบอกใบ้ทนัที &#8220;ถ้าทำลายได้ก็รีบไปทำลาย&#8221;</p>
<p>&#8220;ทำลายยังไง?&#8221; เหมียวอี้ถามส่งเดช</p>
<p>คำถามนี้มีชั้นเชิงเกินไปแล้ว พูดในเหตุการณ์และบรรยากาศแบบนี้ก็สามารถทำให้สำลักตายได้ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนพูดไม่ออก กลุ่มโจรกบฏทำสีหน้าเหมือนโดนปั่นหัวทันที</p>
<p>เหลิ่งจัวฉุนถามอย่างเดือดดาลทันทีว่า &#8220;ถ้ารู้ว่าทำลายยังไงแล้วยังจะให้พวกเจ้ามาทำลายอีกเหรอ?&#8221;</p>
<p>&#8220;ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น&#8221; เหมียวอี้รีบพูดเสริม ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองสื่อสารผิด ช่างเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ รีบแก้คำพูดว่า &#8220;ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค่ายกลนี้เลย พวกท่านต้องแนะนำข้าสักหน่อยสิ&#8221;</p>
<p>ไฟโกรธที่ล้นทะลักของเหลิ่งจัวฉุนถูกคำพูดนี้ข่มเอาไว้ ถลึงตาจ้องเหมียวอี้ ส่วนคนที่ถูกจ้องก็อกสั่นขวัญแขวน</p>
<p>ยังเป็นเมิ่งหรูที่ก้าวขึ้นมาขวางเหลิ่งจัวฉุนไว้ แล้วชี้ไปที่ดาวเคราะห์สิบสองดวงนั้น พร้อมชี้แนะว่า &#8220;ประมุขไป๋บอกไว้หลังจากวางค่ายกลใหญ่ ว่าเขาอาศัยพลังโคจรของดาวเสริมสิบเอ็ดดวงเพื่อวางค่ายกลผนึกดาวรองที่อยู่ตรงกลาง ส่วนค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันบนดาวรองก็เชื่อมต่อกับชีวิตของประมุขขุนพลหกท่าน ถ้าฝืนบุกเข้าไปก็จะกระตุ้นค่ายกลและทำให้ประมุขขุนพลหกท่านตายทันที เขาบอกว่าพวกเราห้ามบุกเข้าไป ถ้าอยากจะเข้าดาวรอง ก็ต้องทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันระหว่างดาวเคราะห์สิบสองดวงให้ได้ก่อน ส่วนการทำลายแกนค่ายกลค่ายกลก็อยู่บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวง&#8221;</p>
<p>ประมุขไป๋ทท่านนั้นเหนื่อยบ้างรึเปล่า? เหมียวอี้พึมพำในใจ เอามือลูบคางจ้องมองดาวเคราะห์สิบสองดวงนั้นพร้อมถามว่า &#8220;ถ้าเป็นแบบนี้ ขอแค่หาแกนค่ายกลบนดาวเสริมเจอ ก็จะสามารถทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันและเข้าไปช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาจากดาวรองได้เหรอ?&#8221;</p>
<p>&#8220;ถูกแล้ว!&#8221; เมิ่งหรูพยักหน้า แล้วส่ายหน้าอีก &#8220;แต่จนใจที่หมอกหนาปกคลุม เป็นเรื่องยากมากที่จะหาพบ&#8221;</p>
<p>&#8220;อาศัยวรยุทธ์อย่างพวกท่าน หมอกเล็กน้อยแค่นี้เป็นอุปสรรคต่อการร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเหรอ?&#8221; เหมียวอี้หันกลับมาถามอย่างฉงนใจ</p>
<p>เมิ่งหรูอธิบายว่า &#8220;นั่นไม่ใช่หมอกธรรมดา เป็นพิษประหลาด &#8216;หมอกโฉมงามอาภัพ&#8217; ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของพลังดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นมารปีศาจหรือว่ามนุษย์ หากไปสัมผัสโดนมันก็จะสลายวิญญาณกร่อนกระดูกจนกลายเป็นน้ำสีดำทันที สามารถกัดกร่อนพลังอิทธิฤทธิ์ได้ ไม่มีทางร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจได้เลย พวกเราก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไปเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่รอให้พวกเจ้ามาทำลายค่ายกลหรอก&#8221;</p>
<p>ขณะจ้องมองหมอกสีเลือดที่ปกคลุมดาวเคราะห์สิบสองดวง พวกเหมียวอี้ก็ตะลึงงันเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้หันกลับมามองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็มองออกจากสายตาของกันและกันว่ามีความคิดแบบเดียวกัน ทำไมฟังดูคล้ายๆ แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กเลยล่ะ?</p>
<p>มู่ฝานจวินขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งทำสายตาพิศวงขึ้นเรื่อยๆ</p>
<p>ฉางเหลยกล่าวถามอย่างทอดถอนใจเล็กน้อย  &#8220;ผู้อาวุโสทุกท่าน นี่คือ &#8216;หมอกโฉมงามอาภัพ&#8217; แม้แต่พวกท่านยังหวาดกลัว แล้วพวกเราจะทำอะไรได้ล่ะ?&#8221;</p>
<p>ไม่มีใครสนใจ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่กลุ่มโจรกบฏพิจารณาถึง</p>
<p>แต่ใครจะคาดคิด ว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะถามว่า &#8220;ขุนพลใหญ่เมิ่ง ในหมอกโฉมงามอาภัพนี้มีตั๊กแตนหรือเปล่า?&#8221;</p>
<p>เขาเคยทดลองเข้าแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กมาแล้ว ถ้าสองแห่งนี้มีสัตว์ชนิดเดียวกัน เช่นนั้นหมอกโฉมงามอาภัพนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว กลัวก็แต่ในนั้นจะมีตั๊กแตนทมิฬ เขาเคยได้บทเรียนคามน่าหวาดกลัวของสิ่งนั้นมาแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวเลย</p>
<p>&#8220;ตั๊กแตน?&#8221; เมิ่งหรูงุนงง &#8220;ตั๊กแตนอะไร? ไม่เคยเห็นว่ามีตั๊กแตนอะไรนะ&#8221;</p>
<p>เขาไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนกลับเข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังพิสูจน์ว่าที่นี่ใช่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กหรือเปล่า</p>
<p>&#8220;ไม่เคยเห็น…&#8221; เหมียวอี้พึมพำกับตัวเอง แล้วถามอีกว่า &#8220;หมอกโฉมงามอาภัพนี้ จะเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีขาวทุกช่วงสั้นๆ หรือเปล่า?&#8221;</p>
<p>&#8220;เป็นสีแดงมาตลอด ยังไม่เคยเห็นเปลี่ยนเป็นสีขาว&#8221; เมิ่งหรูกล่าว</p>
<p>&#8220;ไม่มี…&#8221; เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ &#8220;หรือว่าจะไม่ใช่?&#8221;</p>
<p>มีบางคนทนรอไม่ไหวแล้ว ตานฉิงตะคอกว่า &#8220;เจ้าจะชักช้าไปถึงเมื่อไรถึงจะลงมือ? หรือว่าเจ้าคิดว่าจะถ่วงเวลาต่อไปได้?&#8221;</p>
<p>&#8220;ไป!&#8221; เหมียวอี้กวักมือเรียกพวกอวิ๋นอ้าวเทียน &#8220;พวกเราวนอ้อมเพื่อดูสถานการณ์ก่อน</p>
<p>คนที่เหลือมองเห็นสายตาของเขาแล้ว ถึงได้เหาะตามไปด้วยกัน โดยมีขุนพลใหญ่หกลัทธินำคนเหาะตามหลัง</p>
<p>พวกเขาหันกลับมามองกำลังพลที่ตามหลังตัวเองอยู่ แล้วอวิ๋นอ้าวเทียนก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า &#8220;เหมียวอี้ เจ้ามั่นใจเหรอว่าจะทำลายค่ายกลได้?&#8221;</p>
<p>&#8220;ไม่มั่นใจหรอก&#8221; เหมียวอี้ตอบ</p>
<p>&#8220;งั้นเจ้ายังรับปากอีกเหรอว่าจะทำลายค่ายกล?&#8221; จีฮวนถามอย่างโมโห</p>
<p>เหมียวอี้ &#8220;คนพวกนี้ไม่คุยกันด้วยเหตุผลเลย จะปฏิเสธได้ยังไง? ปฏิเสธก็ตายน่ะสิ! รออีกประเดี๋ยวข้าจะลองดูก่อน ดูว่าจะหาทางต้านทานหมอกโฉมงามอาภัพนี้ได้มั้ย ถ้าสามารถทำได้ ข้าก็จะลองดูอีกว่าจะทำลายค่ายกลได้หรือเปล่า ถ้าทำลายไม่ได้จริงๆ พวกเจ้าก็เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าทันที พวกเราเข้าไปหลบอยู่ในหมอกโฉมงามอาภัพนี้ด้วยกัน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าบุกเข้ามาอยู่แล้ว และไม่กล้าฝืนทำอะไรค่ายกลใหญ่นี้ด้วย&#8221;</p>
<p>ฉางเหลยถอนหายใจแล้วบอกว่า &#8220;ต่อให้เจ้าจะสามารถพาพวกเราเข้าไปหลบ แต่จะหลบได้นานแค่ไหนล่ะ คงไม่ต้องหลบไปทั้งชีวิตแล้วออกไปไม่ได้หรอกใช่มั้ย? ไม่มีทางที่จะหลบอยู่ในนั้นได้นานเกินไป!&#8221;</p>
<p>เหมียวอี้ตอบว่า &#8220;อยู่รอดได้อีกหนึ่งวันก็คือหนึ่งวัน ดีกว่าโดนประหารเสียเดี๋ยวนี้เลยใช่มั้ยล่ะ? ขอเพียงสามารถหลบภัยได้ชั่วคราว เดี๋ยวข้าค่อยติดต่อกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนตำหนักสวรรค์ รายงานภาพเหตุการณ์ที่เจอมาตลอดทางให้เขารู้ ดูว่าจะสามารถนำทางให้ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์มาล้อมปราบได้หรือเปล่า สรุปว่าตอนนี้อย่าเพิ่งสนใจอะไรมากขนาดนั้น หาทางมีชีวิตอยู่ต่อไปก่อน อย่างอื่นค่อยๆ คิดทีละก้าวแล้วกัน&#8221;</p>
<p>&#8220;เจ้าเด็กนี่รู้จักกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนของตำหนักสวรรค์จริงเหรอ?&#8221; อวิ๋นอ้าวเทียนโมโหแล้ว</p>
<p>คนอื่นๆ ก็สีหน้าบึ้งตึงแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้คิดว่าเหมียวอี้แค่พูดไปเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองเฉยๆ แต่ตอนนี้มาฟังดูแล้วเหมือนเขาจะรู้จักกับเกาก้วนจริงๆ เจ้าเวรนี่ไม่คิดจะพาพวกเขาออกจากนรก กลับพาพวกเขามาชนกำแพงรนหาที่ตายด้วยกัน ช่างน่าแค้นจริงๆ!</p>
<p>…………………………</p>

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด