พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1262 ถ้าไม่ใช้งานก็จะเสียของเปล่าๆ

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1262 ถ้าไม่ใช้งานก็จะเสียของเปล่าๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากฟังจบ เหมียวอี้ก็ครุ่นคิดถึงขั้นตอนอย่างละเอียด พยักหน้าเบาๆ เพราะรู้สึกว่าแผนนี้ใช้ได้

เมื่อเห็นว่าใช้ระฆังดาราติดต่อนานขนาดนี้ บวกกับสีหน้าของเหมียวอี้ที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุด ฉินเวยเวยจึงถามหยั่งเชิงว่า “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า จับมือที่อ่อนนุ่มของนางมาวางบนตักของตัวเอง ลูบไล้เบาๆ พร้อมเขย่าระฆังดาราตอบหยางชิ่ง : ยังมีอะไรเสริมอีกมั้ย?

หยางชิ่ง : นี่คือการทำงานโดยใช้อารมณ์ ทำให้ได้เปรียบเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่กลับก่อความยุ่งยากไปทั้งชาติ! ข้าน้อยยังแนะนำว่า ถ้าไม่ถึงขั้นหมดทางเลือก ก็อย่าทำแบบนี้ ถ้าหากทำแล้ว ทำแบบนี้ต่อเนื่องกันสองครั้ง นายท่านก็จะไม่มีทางถอยแล้ว หลังจากนี้ไปก็มีแต่จะต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น มีเพียงการยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านี้ หาแต้มต่อให้ได้มากกว่านี้ ถึงจะปกป้องตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นอาศัยตำแหน่งที่ตำหนักสวรรค์ของนายท่านตอนนี้ก็ยังค่อนข้างไร้ความสำคัญ ถ้าสบโอกาสก็จะมีคนไม่เกรงใจนายท่านทันที หวังว่านายท่านจะไตร่ตรองอีกที!

ตอนนี้ข้ากลายเป็นหัวหน้าโจรกบฏแล้ว ยังจะมีทางให้ถอยที่พิภพใหญ่ด้วยเหรอ? ถ้าจะถอยก็มีแต่ถอยกลับพิภพเล็กเท่านั้น!

เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่คำตอบก็แทบจะเหมือนที่ตอบอวิ๋นจือชิวทุกอย่าง : ข้ามีพื้นเพมาจากตลาด เข้าใจทฤษฎีอะไรไม่เยอะหรอก ข้ารู้เพียงว่าถ้าข้างในไม่สงบแล้วจะมีสมาธิไปรับมือกับข้างนอกยังไง? ศึกภายในต้องสงบก่อน จึงค่อยสู้ศึกภายนอก! ภายใต้การปกครองของข้า ข้าไม่ยอมให้เบื้องล่างมารังแกเบื้องบนเด็ดขาด!

หยางชิ่งเงียบไป สามารถพูดจาแบบนี้ต่อหน้าเขาได้ เขาก็ฟังออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ นี่คือเส้นตายที่เหมียวอี้วาดออกมา และเป็นการทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เห็นด้วย ส่วนหยางชิ่งก็เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเหมียวอี้ จึงรู้สึกว่าบางทีเหมียวอี้อาจจะกำลังเตือนหยางชิ่งอยู่ก็ได้

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หยางชิ่งก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากอีก ตอบไปว่า : ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะรอฟังข่าวดีจากนายท่านเงียบๆ แล้วกัน

เขารู้สึกว่าใกล้จะจบแล้ว แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ปล่อยเขาไป : ในเมื่อติดต่อกันแล้ว ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะฟังความเห็นของเจ้าสักหน่อย

หยางชิ่งขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร : ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง!

เหมียวอี้ : ข้ามีลูกน้องเก่าอยู่สองคน ตอนปี้เยว่ฮูหยินได้เลื่อนขั้นก็พาไปจวนแม่ทัพภาพตงหัวด้วย ตอนหลังข้าเข้าร่วมการทดสอบและต้องไปรวมตัวที่จวนแม่ทัพภาพตงหัว สองคนนั้นร่วมมือกับคนนอกสร้างความอับอายให้ข้า ข้าไม่คิดจะปล่อยไป เตรียมจะกำจัดไปพร้อมกันเลย เจ้ามีวิธีการที่เชื่อถือได้แนะนำบางหรือเปล่า?

ลูกน้องเก่า? หยางชิ่งพูดไม่ออก สงสัยเจ้าหมอนี่จะไม่ปล่อยคนที่รังแกเจ้านายตัวเองไปเลยสักคน เขาถามว่า : นายท่านบอกให้ละเอียดได้มั้ย ถ้าข้าน้อยไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน ก็ไม่สะดวกจะคาดคะเน

ไม่มีอะไรที่น่าปิดบัง สองคนที่เหมียวอี้คิดจะกำจัด คนหนึ่งคือกงอวี่เฟย อดีตผู้ช่วยของเขา ส่วนอีกคนก็ตำแหน่งต่ำกว่านั้น เดิมทีเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการที่ตำหนักคุ้มเมือง ชื่อหลี่หวนถัง ตอนเหมียวอี้ไปรวมตัวที่จวนแม่ทัพภาพตงหัวก่อนการทดสอบ กงอวี่เฟยก็เป็นคนดูแลเรื่องคฤหาสน์รวมตัว หลี่หวนถังเป็นแค่เจ้าหน้าที่ต้อนรับแต่กลับกำเริบเสิบสานยิ่งกว่า ขึ้นเสียงตะคอกเรียกเจ้านายเก่าอย่างเขาแบบโจ่งแจ้ง บัญชีแค้นนี้เขาจดจำมาตลอด

แต่จนใจที่สองคนนี้ล้วนเป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยิน เป็นลูกน้องเก่าที่ปี้เยว่ฮูหยินพาไปด้วยตลอด ต่อให้ปี้เยว่ฮูหยินจะไปเข้าร่วมการทดสอบแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ลงมือกับพวกเขาไม่ได้ง่ายๆ อยู่ดี

สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ เหมียวอี้เล่าให้หยางชิ่งฟัง

หยางชิ่งฟังจบแล้วขมวดคิ้วมุ่น ตอบไปว่า : นายท่าน เรื่องนี้เกรงว่าจะจัดการได้ยาก ไม่ว่าทั้งสองจะอยู่ในตำแหน่งสูงหรือต่ำ แต่ถึงอย่างไรก็ติดตามปี้เยว่ฮูหยินมาหลายปี ถ้าท่านแตะต้องสองคนนี้จริงๆ ก็เท่ากับตบหน้าปี้เยว่ฮูหยิน ถ้าแม้แต่ลูกน้องคนสนิทของตัวเองยังปกป้องไม่ได้ ในภายหลังปี้เยว่ฮูหยินจะคุมลูกน้องได้ยังไง? มิหนำซ้ำนายท่านยังเตรียมจะลงมือกับร้านค้าที่ตลาดสวรรค์อีก นางเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของท่าน เวลานี้ไม่เหมาะจะไปยั่วโมโหนางเลยจริงๆ ต่อให้นางจะไปเข้าร่วมการทดสอบแล้ว แต่ก็คงไม่ปล่อยให้ใครมาแตะต้องลูกน้องของนางง่ายๆ อยู่ดี ตัวนางอยู่แดนอเวจีก็จริง แต่ก็สามารถตอบโต้เอาคืนนายท่านได้เหมือนเดิม นายท่านต้องปล่อยวางก่อนชั่วคราว อย่าให้เรื่องเล็กน้อยทำให้สูญเสียสิ่งที่มีค่าไป

เหมียวอี้ : ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ไม่สะดวกจะแตะต้องพวกเขาจริงๆ เหรอ?

หยางชิ่ง : ไม่สะดวกจะแตะต้องจริงๆ นอกเสียจากท่านจะมีหนทางบีบจุดอ่อนปี้เยว่ฮูหยินได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เหมาะจะทำอะไรโดยพลการ

เหมียวอี้ : ถ้าพูดถึงบีบจุดอ่อน ตอนนี้ข้าก็มีวิธีการบีบบจุดอ่อนนางจริงๆ นางกำลังจะไปทดสอบรอบที่สองแล้ว ข้ามีวิธีการตัดสินคะแนนของเขา

หยางชิ่งอึ้งไปชั่วขณะ รู้สึกเหนือความหมายเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมีความสามารถนี้ แต่ในใจก็สงสัยนิดหน่อย ตอนนี้เรื่องการทดสอบครั้งที่สองของตำหนักสวรรค์ไม่ใช่ความลับแล้ว เขาเองก็ได้ยินมาจากฉินเวยเวยเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะมีวิธีการตัดสินคะแนนทดสอบของนักพรตบงกชรุ้ง แล้วทำไมตัวเองถึงได้มาแค่อันดับเก้าล่ะ?

เขาเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจชั่วคราว แล้วตอบไปว่า : ถ้าหากนายท่านสามารถตัดสินคะแนนของนางได้จริงๆ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จัดการง่ายแล้ว ตกลงแลกเปลี่ยนกับนางโดยตรงเลย ดึงสองคนนั้นมาเป็นลูกน้องตัวเอง ถึงตอนนั้นนายท่านอยากจะจัดการอย่างไรก็สั่งเพียงคำเดียวเท่ากัน

เหมียวอี้ : ก่อนหน้านี้ข้าก็มีความคิดนี้ เกือบจะเสนอออกมาแล้ว แต่พอกลับมาคิดดู ก็เป็นอย่างที่เจ้าบอกไปเมื่อครู่นี้ ถึงอย่างไรสองคนนั้นก็เป็นลูกน้องคนสนิทของปี้เยว่ฮูหยิน การเอ่ยปากขอแลกเปลี่ยนเกรงว่าจะทำให้ปี้เยว่ฮูหยินโมโหเพราะอับอาย ทำให้ข้าค่อนข้างลังเล

หยางชิ่งยิ้มบางๆ แล้วเขย่าระฆังดาราพูดประจบนิดหน่อย : นายท่านช่างปราดเปรื่อง! แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่สามารถเสนอโดยใช้วิธีการแลกเปลี่ยน หากท่านเสนอก่อน ก็จะทำให้นางอับอายจริงๆ ดีไม่ดีนางจะกดดันให้ท่านมอบวิธีรับประกันคะแนนทดสอบให้นาง แล้วก็ไม่ส่งคนให้ท่านด้วย เรื่องนี้ต้องคำนึงถึงหน้าตาศักดิ์ศรีของนาง ก่อนที่นางจะไปเข้าร่วมการทดสอบ ท่านต้องเอ่ยขอสองคนนั้นมาเป็นลูกน้องของตัวเองก่อนครั้งหนึ่ง แต่อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องรับประกันคะแนนทดสอบของนาง

เหมียวอี้ : ถ้าไม่เสนอเรื่องคะแนนทดสอบ งั้นนางก็ยิ่งไม่มอบคนให้ข้าน่ะสิ

หยางชิ่ง : แต่รอหลังจากที่นางเข้าแดนอเวจีไป ท่านค่อยหาโอกาสเปิดเผยว่าท่านมีวิธีรับประกันคะแนนทดสอบของนาง แต่ต้องพูดแบบคลุมเครือ ไม่ควรพูดให้ชัดเจน ถึงตอนนั้นนางย่อมเข้าใจความหมายว่าคืออะไร แล้วนางจะเป็นฝ่ายหาทางให้สองคนนั้นไปเป็นลูกน้องของท่านเอง ยกตัวอย่างเช่นให้คนของจวนแม่ทัพภาพตงหัวออกหน้าส่งคนไปให้เจ้า

เหมียวอี้พอจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่ลองคิดในมุมของอีกฝ่าย ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองจะยอมนำลูกน้องคนสนิทมาแลกเปลี่ยนแบบนี้เหรอ? ไม่มีทางแน่นอน ในใจเกิดความสงสัยมากมาย ตอบไปว่า : กลัวก็แต่ว่านางจะไม่ให้ความร่วมมือง่ายๆ แบบนี้ ถ้านางไม่ยอมและให้คนมากดดันข้าให้ส่งวิธีรับประกันคะแนนให้นางล่ะ จะไม่ไก่ก็บินหนี ไข่ก็แตก[1]หรอกเหรอ!

หยางชิ่ง : นายท่านไม่จำเป็นต้องกังวล นางจะมอบคนให้นายท่านแน่นอน ในเมื่อตอนแรกนางสามารถปล่อยให้นายท่านทนรับความอัปยศโดยแสร้งทำเป็นไม่เห็นได้ ก็แปลว่าคนประเภทนี้ค่อนข้างรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี คนประเภทนี้จะ ‘อ่านสถานการณ์ออก’ ถ้าอยู่นอกแดนอเวจีนางอาจจะไม่ตอบตกลง แต่พอเข้าไปในนรกแล้ว ภัยอันตรายก็จะสร้างแรงกดดันให้นางเอง ผู้หญิงไงล่ะ! โดยธรรมชาติไม่ได้มีความแข็งแกร่งอะไร ในช่วงเวลาจำเป็นท่านสามารถเอาเรื่องอันตรายมาขู่นางแบบเกินจริงได้ ถึงตอนนั้นก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการปกป้องชีวิตตัวเอง นางจะกังวลว่าถ้าสั่งคนให้กดดันท่าน แล้วท่านจะกลายเป็นสุนัขจนตรอกกระโดดกำแพง เล่นไม่ซื่อจนทำให้นางเกิดอันตรายถึงชีวิต ถึงตอนนั้นนางจะละทิ้งความคิดที่จะเดิมพันทุกอย่าง ดังนั้นนางจะส่งคนให้ท่านอย่าง ‘อ่านสถานการณ์ออก’ แน่นอน แล้วอีกอย่าง ในเมื่อนายท่านมีแผนสำรองแบบนี้แล้ว ข้าน้อยแนะนำว่าตอนที่นายท่านลงมือกับร้านค้าของตลาดสวรรค์ ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านนี้ด้วยเช่นกัน สามารถรอให้นางเข้าไปนนรกแล้วได้วิธีการรับประกันคะแนนจากท่านก่อน ถึงตอนนั้นค่อยลงมือก็ยังไม่สาย มีนางคอยขวางเบื้องบนให้สักนิดก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย ต้องทำให้มั่นใจและเชื่อถือได้สักหน่อย

พอได้ยินว่าเขาแน่ใจขนาดนี้ แล้วนึกถึงความคิดเห็นที่บอกว่าขู่ปี้เยว่ฮูหยิน เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก ไม่รู้จริงๆ ว่าหยางชิ่งจะสมองดีขนาดนี้ มีแผนวางกับดักคนชุดแล้วชุดเล่า

ฉินเวยเวยคอยสังเกตคำพูดและการกระทำอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นเขายิ้มออกมา นางก็แอบโล่งอก ตอนแรกที่เห็นเหมียวอี้สีหน้าแปลกไป นางก็นึกว่าพ่อบุญธรรมของตัวเองทำอะไรให้ไม่พอใ ถ้ายิ้มออกแบบนี้ก็แสดงว่าไม่เป็นอะไร นางจึงยิ้มหวานพร้อมถามว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปคะ?”

“ไม่มีอะไร!” เหมียวอี้ยื่นมือข้างหนึ่งไปช้อนเอวบาของนาง แล้วเขย่าระฆังดาราตอบหยางชิ่งต่อ : ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกเก้าคนของจวนแม่ทัพภาพตงหัว ข้าก็อยากกำจัดไปพร้อมกันเลยเหมือนกัน เจ้ามีวิธีการอะไรมั้ย?

ตอนนี้เขารู้สึกว่าถ้าไม่ใช้งานก็จะเสียของเปล่าๆ

หยางชิ่งปวดหัวนิดหน่อย แค่คิดยังไม่อยากจะคิด จึงเกลี้ยกล่อมไปเสียเลยว่า  : นายท่าน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นที่ร้านค้าของตลาดสวรรค์ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีผลลัพธ์ไม่คาดคิดอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ท่านถือโอกาสจัดการแค่สองคนนั้นก็พอแล้ว ยังจะทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โตขึ้นได้อย่างไรอีก! เก้าคนนั้นล้วนมีอำนาจท้องถิ่นหนุนหลัง ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งเดียวกับท่านที่ตลาดสวรรค์อีก เรื่องของตลาดสวรรค์ยังไม่ทันจบ ถ้าท่านทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตขึ้นอีก ก็ไม่ต่างอะไรกับความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก นายท่านได้โปรดพักก่อน แก้ปัญหาเรื่องหนึ่งก่อน ในภายหลังถ้ามีโอกาสดีแล้วค่อยจัดการก็ยังไม่สาย กินคำเดียวไม่สามารถอ้วนได้ในทันที ต้องค่อยๆ วางแผน จะใจร้อนไม่ได้!

มีแต่คำพูดเกลี้ยกล่อมให้หยุด ทำให้เหมียวอี้ต้องล้มเลิกความคิดนี้ทิ้ง ที่จริงเขาเองก็รู้ว่าการจัดการรวดเดียวไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง แค่ถามส่งเดชไปอย่างนั้นเอง จึงตอบอีกว่า : ในเมื่อทำไม่ได้ งั้นก็ช่างเถอะ เอาตามนี้ก่อนแล้วกัน!

แต่ใครจะคิดว่าหยางชิ่งจะรีบห้ามว่า : นายท่าน ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง!

เหมียวอี้ : เรื่องอะไร?

หยางชิ่ง : ท่านเองก็รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินซีกับเวยเวย ไม่ได้เจอลูกสาวนานแล้ว ฉินซีมักจะคิดถึงอยู่บ่อยๆ ให้เวยเวยกลับมาพิภพเล็กสักครั้งได้มั้ย ให้แม่กับลูกสาวได้อยู่ด้วยกัน?

เหมียวอี้เอียงหน้ามองฉินเวยเวยที่ซบอยู่ในอ้อมกอดตัวเอง พร้อมถามว่า : เจ้ากังวลใช่มั้ยว่าทางนี้จะเกิดเรื่องขึ้น อยากจะให้เวยเวยกลับไปหลบภัยที่พิภพเล็กล่ะสิ?

หยางชิ่ง : ไม่ได้มีเจตนานี้แน่นอน! ฉินซีคิดถึงลูกสาวมากเกินไปจริงๆ ถ้านายท่านคิดว่าข้าน้อยอยากจะหลบภัย ก็ให้เวยเวยกลับมาพิภพเล็ก แล้วให้ข้าน้อยไปรับใช้นายท่านที่พิภพใหญ่แทนสิ!

พอโดนเขาเตือนแบบนี้ ในใจเหมียวอี้ก็เกิดความคิดอะไรบางอย่างนิดหน่อย ตอนนี้สถานการณ์ที่พิภพเล็กนิ่งแล้ว ถ้าปล่อยคนแบบหยางชิ่งไว้ที่พิภพเล็กก็เสียของจริงๆ ภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน ถ้ามาที่พิภพใหญ่ก็ยังช่วยงานเขาได้ ถ้าให้หยางชิ่งไปต่อสู้เล่นบทบู๊อาจจะไม่ไหว แต่สมองของเจ้าหมอนั่นใช้งานได้ดี ปัญหามากมายที่คนระดับล่างมองไม่ทะลุ แต่หยางชิ่งสามารถจี้ถูกสุดสำคัญ

แต่ก็เป็นเพราะสมองหยางชิ่งใช้งานได้ดีเกินไป เมื่อเวลาผ่านไปนานก็ทำให้เขาเกิดความกังวล บวกกับประวัติที่หยางชิ่งเคยก่อกบฏ ก็ทำให้คนต้องระแวดระวัง

แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรที่แน่นอน บอกเพียงว่า : เดี๋ยวค่อยว่ากัน!

พอเก็บระฆังดารา เหมียวอี้ก็ก็มองดูฉินเวยเวยที่ซบอยู่ในอ้อมอก แล้วยื่นจมูกไปดมดอมกลิ่นหอมบนผมของนาง

ฉินเวยเวยเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน สายตาของฉินเวยเวยเปลี่ยนเป็นออดอ้อนออเซาะอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆ ยื่นริมฝีปากออกมา ลมหายใจหอมสดชื่นดุจดอกกล้วยไม้ เป็นฝ่ายจูบบนริมฝีปากเหมียวอี้เบาๆ รอคอยมาหนึ่งร้อยปี วันนี้ดอกไม้ผลิบานอย่างอ่อนโยน

ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เหมียวอี้อุ้มนางขึ้นมาเสียเลย แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปที่ห้องนอน เขาเก็บกดจากแดนอเวจีมาหนึ่งร้อยปี นับว่าสามารถปลดปล่อยอารมณ์ได้เต็มที่แล้ว…

หยางชิ่งเก็บระฆังดาราภายใต้ดอกไม้และแสงจันทร์ เงยหน้ามองดวงจันทร์กระจ่างที่เคลื่อนย้ายตำแหน่งไปแล้ว พร้อมถอนหายใจเบาๆ

ฉินซีคล้องแขนเขาเบาๆ แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป?”

“เป็นอย่างที่คาดไว้ เขายังคิดจะใช้กำลังจริงๆ ด้วย ข้าไม่อยากให้เขาทำแบบนั้น แต่เกลี้ยกล่อมไม่ได้ผล เขาดึงดันจะเดินไปสู่อันตราย” หยางชิ่งส่ายหน้า หันกลับมามองหน้าฉินซี พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ว่ากันว่านิสัยคือสิ่งที่ตัดสินชะตาชีวิต บางทีก็คงจะเกิดจากนิสัยจริงๆ! บางครั้งข้าก็คิดไม่ตกเหมือนกัน เขาชอบทำซี้ซั้วแต่ทำไมยังอยู่รอดมาจนวันนี้ได้ แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเขายังอยู่ได้อย่างสบายดี ไม่ว่าจะไปไหนก็เจอเรื่องหวาดเสียวแต่ไร้อันตราย ข้าเคยคิดว่าเขาเป็นคนดวงดี แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่โชคชะตาของคนคนหนึ่งจะได้เปรียบตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าข้าคิดผิด หรือว่าเขาที่คิดผิด”

ฉินซีไม่สนใจเรื่องนี้ ถามเพียงว่า “เขาตอบตกลงให้เวยเวยกลับมาหรือเปล่า?”

หยางชิ่งเงยหน้าจ้องดวงจันทร์อีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างใจคอแห้งเหี่ยวว่า “มารดาอยากเจอลูกสาว เขามีอะไรให้ต้องขัดขวาง เพียงแต่ว่า…ข้าช่วยเขาวางแผนร้ายมากมาย เกรงว่าจะยิ่งทำให้เขาระแวงข้า ต่อให้ไปที่พิภพใหญ่แล้ว เกรงว่าเขาก็คงจะไม่มอบอำนาจที่แท้จริงให้ข้าอยู่ดี!”

…………………………

[1] ไก่ก็บินหนี ไข่ก็แตก 鸡飞蛋打 หมายถึงสุดท้ายแล้วไม่ได้อะไรสักอย่าง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด