พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1353 ลงมือแล้วจริงๆ

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1353 ลงมือแล้วจริงๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พวกเขามีความมั่นใจนี้จริงๆ บอกว่าทัพกลางจะเกิดเรื่องก็จะต้องเกิดเรื่องแน่นอน พวกเขาแค่บอกนิดเดียวก็เพียงพอจะทำให้เกิดเรื่องได้แล้ว

เหยาหย่วนชูพูดต่อว่า “ที่พี่คังพูดก็มีเหตุผล คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการทัพกลางที่สุดก็คือผู้ช่วยผู้บัญชาการสามคนที่มีอยู่ในทัพกลางอยู่แล้ว ข้าน้อยคิดว่าควรจะเลือกจาก เผยไหลหมิง อู๋เฟิงและเหิงก่วงหลิง สวีถังหรานไม่เหมาะสมเลย!” ประโยคสุดท้ายเท่ากับปฏิเสธชื่อที่เหมียวอี้เสนอมาแบบตรงๆ

สิ่งที่เรียกว่าความแข็งกร้าวคืออะไร  นี่ก็คือความแข็งกร้าว ปฏิเสธการแต่งตั้งและปลดออกจากตำแหน่งของผู้บังคับบัญชาโดยตรง!

เหมียวอี้มองเบื้องล่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนคังจือลวี่ เหยาหย่วนชูกับมองกลับอย่างมั่นใจว่าตัวเองมีเหตุผล สายตาทั้งสองกดดันเหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ท่าทางเหมือนไร้ความหวาดกลัวและไม่มีความเป็นไปได้ที่จะประนีประนอมเลยสักนิด บรรยากาศตรงนั้นตกอยู่ในความอึดอัดทันที

สวีถังหรานแอบมองข้างล่างและข้างบนไม่หยุด กังวลว่าทั้งสองคนจะฉีกหน้ากันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วสถานการณ์จะแย่

ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่นานมา สุดท้ายก็ยังเป็นเหมียวอี้ที่พูดก่อน น้ำเสียงอ่อนลงนิดหน่อย “สวีถังหรานมียศแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้บัญชาการทัพกลาง”

“ในทัพกลางนี้มีคนที่มีคุณสมบัติมากกว่าเขาทั้งนั้น” คังจือลวี่กล่าว

เหมียวอี้เปลี่ยนจากเสียงอ่อนเป็นเสียงแข็ง “แล้วถ้าข้าดึงดันจะแต่งตั้งให้สวีถังหรานเป็นผู้บัญชาการทัพกลางล่ะ?”

เหยาหย่วนชูยืนกรานว่า “เช่นนั้นก็เป็นอย่างที่พี่คังบอก ทัพกลางจะต้องเกิดเรื่องแน่! ผู้บัญชาการใหญ่ ถ้ากำลังพลทัพกลางร่วมมือกันใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตี ค่ายกลใหญ่นี้ก็ต้านทานไม่ไหวนะ!” นี่เป็นการขู่กันซึ้งๆ หน้า!

ในฝ่ามือสวีถังหรานกำเหงื่อเอาไว้ ส่วนหยางชิ่งก็สีหน้าหวั่นวิตก ส่วนไห่ผิงซินที่อยู่นอกประตูตำหนักก็ยื่นหน้าเข้ามามอง เหยียนซิวยังคงยืนอยู่ข้างหลังเหมียวอี้อย่าง

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ข้ามารับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ หลังจากรับตำแหน่ง แค่การแต่งตั้งครั้งแรกก็โดนกลั่นแกล้งแล้ว ทั้งสองทำเกินไปหน่อยรึเปล่า?”

เหยาหย่วนชูเถียงว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเรากลั่นแกล้งผู้บัญชาการใหญ่ แต่ผู้บัญชาการใหญ่กำลังกลั่นแกล้งเหล่าพี่น้องในทัพกลาง นี่แปลว่าผู้บัญชาการใหญ่ไม่เชื่อมั่นในตัวของพี่น้องในทัพกลาง แล้วในภายหลังจะให้เหล่าพี่น้องทุ่มเททำงานได้ยังไง? เอาอย่างนี้ดีมั้ย ตอนบ่ายผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพก็จะมาถึงแล้ว พวกเราจะไม่พูดอะไร ผู้บัญชาการใหญ่ถามความเห็นของพวกเขาได้เลย ดูว่าบรรดาพี่น้องทั้งข้างล่างข้างบนจะตอบตกลงหรือเปล่า”

คังจือลวี่พยักหน้า “ใช่! ถ้าผู้บัญชาการใหญ่รู้สึกว่าพวกเราสองคนจงใจกลั่นแกล้ง ก็ลองถามความเห็นของพวกพี่น้องได้เลย”

นี่ยังคงเป็นการขู่เข็ญซึ่งๆ หน้า ชัดเจนว่าจะให้เหมียวอี้ได้เห็นว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจตัดสินใจที่ธงพยัคฆ์ดำ

“ข้าไม่จำเป็นต้องถามความเห็นของพวกเขา ข้าเพียงถามพวกเจ้าสองคนว่าตอบตกลงหรือไม่ ข้าเชื่อว่าขอเพียงพวกเจ้าสองคนตอบตกลง พวกลูกน้องก็จะไม่มีความเห็นแย้ง” เหมียวอี้กล่าวอย่างสงบนิ่วเยือกเย็น

นับว่าเจ้ารู้จักข้อพกพร่องของตัวเอง! เหยาหย่วนชูตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่กล่าวเกินความจริงไปแล้ว พวกเราสองคนตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้บัญชาการใหญ่ไปถามพวกพี่น้องเองแล้วกัน”

“ตอนนี้ข้าถามพวกเจ้าสองคนว่าจะตกลงหรือไม่ตกลง!” เหมียวอี้เน้นย้ำอีกครั้ง

คังจือลวี่ เหยาหย่วนชูสบตากันแวบหนึ่ง แล้วตอบพร้อมกันว่า “หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะคิดทบทวน!”

เหมียวอี้หลับตาลงอย่างช้าๆ “ทั้งสองดึงดันจะต่อต้านข้าให้ถึงที่สุดนี่นา!”

“ผู้บัญชาการใหญ่กล่าวแบบนี้ก็ไม่ถูก พวกเราก็คำนึงถึงนายท่านด้วยเหมือนกัน และคำนึงถึงธงพยัคฆ์ดำด้วย ไม่ได้มีเจตนาจะต่อต้านนายท่านเด็ดขาด” เหยาหย่วนชูกล่าวด้วยความเคารพอย่างสูง

“ในเมื่อพวกเจ้าสองคนไม่ตอบตกลง งั้นก็รบกวนให้เขียนเหตุผลที่ไม่ตอบตกลงมาหน่อย ข้าจะได้ส่งให้เบื้องบนตัดสินได้สะดวก” เหมียวอี้กล่าวทั้งๆ ที่หลับตา

ทั้งสองจะเขียนอะไรแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าเหมียวอี้ไปให้เบื้องบนตัดสินโดยไม่กลัวเสียหน้า ไม่กลัวเบื้องบนจะสงสัยว่าอาศัยความสามารถของเหมียวอี้แล้วไม่สามารถคุมลูกน้องได้ แต่พวกเขายังกลัวจะทิ้งจุดอ่อนเอาไว้ ย่อมไม่ยอมเขียนแน่นอน จึงวิธีการชักจูงต่อไป คังจือลวี่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ตอบตกลง ประเด็นคือพวกเราตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ท่านไปถามความเห็นของพวกพี่น้องดีกว่า”

“สองคนนี้สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์!” เหมียวอี้ลืมตาช้าๆ จ้องมองทั้งสองคน ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบ แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนว่า “เหยียนซิว!”

บรรยากาศตึงเครียดพังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว เหยียนซิวที่อยู่ข้างหลังเขาพลันหายไปราวกับผี โผไปหาสองคนข้างล่าง

ไห่ผิงซินที่อยู่นอกตำหนัก หยางชิ่งกับสวีถังหรานที่อยู่ในตำหนัก พอเห็นเหยียนซิวลงมือกะทันหัน ทุกคนก็ทำสีหน้าตกใจมาก

และตอนที่เหมียวอี้กล่าวคำว่า ‘สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์’ ออกมา คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว จู่ๆ เห็นเหยียนซิวลงมือ พวกเขาก็ทั้งตกใจทั้งโมโห ถึงไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมีความกล้าในการลงมือกับพวกเขาสองคนจริงๆ

“บังอาจ!” คังจือลวี่ตะโกนอย่างเดือดดาล พลิกฝ่ามือหยิบทวนออกมา จากนั้นแทงทวนใส่เหยียนซิวที่กระโจนเข้ามา ลงมืออย่างรวดเร็วมาก

เหยาหย่วนชูที่กำลังโกรธขึงขังถือทวนอยู่ในมือ ถ้าจับโจรก็ให้จับหัวหน้าโจรก่อน เขาถลันตัวขึ้นไปหาเหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องบนทันที ฉีกหน้ากันอย่างถึงที่สุดแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเกรงใจอีก ความเร็วนั้นทำให้หยางชิ่งกับสวีถังหรานตอบสนองไม่ทัน อาศัยกำลังของทั้งสอง ถ้าอยากจะหยุดยั้งก็ไม่มีความสามารถนั้น

เหยียนซิวที่ลงมือคนแรกไม่หลบไม่หลีก และไม่สนใจความปลอดภัยของเหมียวอี้ด้วย จะเอาชีวิตคังจือลวี่โดยตรง

ในดวงตาคังจือลวี่ฉายแววตกตะลึงไม่น้อย ตกตะลึงการรุกโจมตีที่รวดเร็วของเหยียนซิว ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา โดนปิดบังวรยุทธ์แล้ว!

เขาคิดไม่ตกว่าเหยียนซิวปิดบังวรยุทธ์ของตัวเองได้อย่างไร ตอนที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายรับสมาชิก ก็จะต้องตรวจสอบสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้ว

ขณะที่กำลังตกใจ ดวงตาก็ฉายแววดีใจ เหยียนซิวหลบทวนที่ดุร้ายของเขาไม่ทัน ทวนแทงโดนหน้าอกของเหยียนซิว จมเข้าไปแล้ว!

ฉากนี้ทำให้หยางชิ่งกับสวีถังหรานตะลึงค้าง ในใจร่ำร้องอย่างบ้าคลั่งว่าซวยแล้ว ท่าไม่ดีแล้ว!

ทว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่เห็นรอยเลือดใดๆ จากตัวเหยียนซิวที่โดนแทงหน้าอก กลับเห็นเหยียนซิวที่โดนทวนพุ่งไปข้างหน้าต่อ ในแขนเสื้อสองข้างยิ่งกรบเล็บแหลมออกมา เล็บสีเขียวดำที่แหลมคมราวกับเป็นแสงเย็นสิบสาย

คังจือลวี่รีบใช้ฝ่ามือฟันเหยียนซิวที่โจมตีเข้ามา ความเร็วในการโจมตีเหนือกว่าเหยียนซิว

เหยียนซิวตาขวางดุร้าย ใช้กรงเล้บข้างหนึ่งรับไว้ แทบจะเกิดเป็นสี่เงาในชั่วพริบตาเดียว ‘กรงเล็บภูตอเวจี’ ผงาดขึ้นมาเป็นครั้งแรก

ปั้ง! วินาทีนั้นเลือดสดสาดกระจายทั่วทิศ ทำลายฝ่ามือของคังจือลวี่ที่ฟันเข้ามาแล้ว

“เอื้อ…” คังจือลวี่ส่งเรียงร้องเจ็บปวด ที่เสียดายไม่ใช่ฝ่ามือที่ขาดไป แต่เขาพลันก้มมองหัวใจของตัวเอง เกราะม่วงยศแม่ทัพบนร่างกาย ไม่น่าเชื่อว่าเกราะรบหนาที่คลุมบนหน้าอกตรงหัวใจจะมีเสียงดัง ‘แคว่ก’ โดนกรงเล็บของเหยียนซิวทำลายขาดแล้ว กรงเล็บแหลมทั้งห้าจมลงในหน้าอกของเขาแล้ว เลือดสดระเบิดกระเด็นออกมา

หัวใจที่เต็นอยู่ในหน้าอกของเขาโดนเหยียนซิวกุมไว้แล้ว ถ้ากล้าขัดขืนละก็ เหยียนซิวก็สามารถบีบขย่ำเอาชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ

คังจือลวี่ที่ดวงตาฉายแววตกตะลึงรีบมองไปที่เหยียนซิว มองดูเหยียนซิวที่โดนทวนแทงทะลุหน้าอกแต่กลับเหมือนคนไม่เป็นอะไร เป็นไปได้อย่างไร?

ปั้ง!

เหยาหย่วนชูที่อยู่อีกด้านแทงทวนไปทางเหมียวอี้ เขาลงมือได้รวดเร็วมากพอแล้ว เหมียวอี้ก็ผลักลูกกลมสีแดงสีแดงขนาดใหญ่ลูกหนึ่งออกมาต้านไว้ด้วยความเร็วสูงสุดเช่นกัน ทวนแทงโดนลูกกลมสีแดงแล้ว ทว่ายิ่งพลังโจมตีของเขามีมากเท่าไร การโต้ตอบของลูกกลมสีแดงก็ยิ่งเร็วเท่านั้น ราวกับชามที่พลิกกลับด้าน ชั่วพริบตาเดียวก็ครอบเขาเอาไว้ในนั้นแล้ว

พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดทำให้เก้าอี้ในตำหนักปลิวว่อนกระจัดกระจาย

เหมียวอี้ที่ถลันตัวขึ้นเหยียดเท้าไปข้างหลัง เตะบัลลังก์จนกระเด็น พร้อมใช้นิ้วร่ายวิชา รีบปิดครอบ ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ เอาไว้

ปั้งๆๆ! ในลูกกลมตีไม่พังมีเสียงโจมตีอย่างบ้าคลั่งดุเดือดดังขึ้น ทว่าของวิเศษที่ทำจากผลึกแดงจะโดนโจมตีพังง่ายๆ ได้อย่างไร

แต่เหมียวอี้ก็ไม่สามารถควบคุมเหยาหย่วนชูที่อยู่ในลูกกลมตีไม่พังได้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าทำอะไรลูกกลมตีไม่พังไมได้ ไม่น่าเชื่อว่าเหยาหย่วนชูดันลูกกลมตีไม่พังพุ่งชนใส่เหมียวอี้เสียเลย

ตรงหน้าเหมียวอี้กลับมีเงาร่างขนาดใหญ่โผออกมาอย่างเหี้ยมหาญ เป็นเฮยทั่นที่สวมเกราะรบดุร้ายทั้งตัว ปั้ง! ใช้สองเล็บสองข้างยันลูกกลมสีแดงขนาดใหญ่เอาไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยกำลังอันป่าเถื่อนต้านทานเหยาหย่วนชูที่มีวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นสองได้ ทำให้เหยาหย่วนชูไม่มีทางขยับไปข้างหน้าได้เลย ไม่เสียแรงที่กินยาเจี๋ยตันมาหลายปี

ส่วนเหยียนซิวที่กุมหัวใจของคังจือลวี่เอาไว้ก็ลงมืออีกครั้ง รีบผนึกวรยุทธ์บนร่างกายคังจือลวี่เอาไว้ ยังไม่ฆ่าในทันที ชักกรงเล็บที่ขยุ้มหัวใจคังจือลวี่ออกมา แล้วจับคังจือลวี่ไปโยนให้หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ บนหน้าอกยังมีทวนด้ามหนึ่งเสียบอยู่ จู่ๆ ก็หันตัวมองไปทางลูกกลมสีแดงใหญ่ที่กำลังคุมเชิงอยู่กับเฮยทั่น

ระหว่างลูกกลมตีไม่พังยังมีซอกร่อง เหยาหย่วนชูเห็นคังจื่อลวี่แพ้และโดนจับผ่านซอกร่องนั้น จึงหวั่นวิตกทันที มีหรือที่จะกล้าเสียเวลาต่อไป รีบหยุดสู้กับเฮยทั่น และดันลูกกลมสีแดงพุ่งไปอีกด้านหนึ่งแทน

เฮยทั่นกระโจนเข้าใส่ความว่างเปล่าทันที เหยียนซิวถลันตัวเข้าไปดักไว้แล้ว ใช้ฝ่ามือตบอย่างบ้าคลั่ง

โครม! พลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมซัดสาดที่เกิดขึ้นจากการใช้กำลังโจมตี ไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักใหญ่หลังนี้จะรับไหว ตำหนักใหญ่ที่เดิมทีก็โดนพลังอิทธิฤทธิ์พัดม้วนจนต้องดันทุรังประคองตัวไว้ ตอนนี้ได้พังทลายลงแล้ว ฝุ่นควันตลบอบอวล

การโมตีที่ใช้กำลังปะทะครั้งเดียวนี้ทำให้เหยียนซิวกระเด็นออกไปทันที ที่มุมปากก็มีรอยเลือดเช่นกัน

ถ้าพูดถึงวรยุทธ์ เหยียนซิวยังห่างไกลจากเหยาหย่วนชู เสียเปรียบแล้ว แต่กลับทำถ่วงเวลาการตีฝ่าวงล้อมของเหยาหย่วนชูให้ข้าลงชั่วคราวได้ เฮยทั่นฉวยโอกาสนี้โผเข้ามา บึ้ม! ขยุ้มลูกกลมสีแดงตบลงกับพื้น

เหยียนซิวพลิกตัวกระโจนเข้ามาอีกครั้ง พอกางแขนสองข้าง ทั้งร่างกายก็สลายตัว กลายเป็นไอหมอกสีดำแดงในชั่วพริบตาเดียว โผไปที่ลูกกลมตีไม่พัง แทรกซึมเข้าไปตามซอกร่องของลูกกลมตีไม่พังแล้ว ส่วนทวนที่เสียบอยู่บนร่างกายเหยียนซิวก็ตกลงพื้นเสียงดังแกร๊ง

ท่ามกลางฝุ่นดินที่ตลบอบอวล คนนอกอาจจะมองเห็นไม่ชัดเจนว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น แต่ภายใต้การต่อสู้ข้างใน พลังอิทธิฤทธิ์ปัดเป่าฝุ่นควันออกไป หยางชิ่งกับสวีถังหรานเห็นฮากที่แปลกพิลึกของเหยียนซิวอย่างชัดเจนแล้ว เรียกได้ว่าตกใจมาก ทำไมทำเหมือนเป็นนักพรตผีเลยล่ะ แต่ดูแล้วก็ไม่เหมือนนักพรตผี หลักฐานสำคัญก็คือไม่เม็ดยาหยิน!

หินกระเพื่อมปลิวว่อนมั่วไปหมด ฝุ่นควันที่ตลบอบอวลพัดม้วนเข้ามา กลุ่มผู้หญิงที่รวมตัวกันอยู่ในลานบ้านด้านหลัง เดิมทีก็ตกใจกับเสียงต่อสู้ในตำหนักข้างหน้าอยู่แล้ว เมื่อได้เห็นฉากนี้อีกครั้ง จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าเกิดเรื่องแล้ว!

เฟยหงรวมทั้งสาวใช้สองคน เสวี่ยหลิงหลงและสาวใช้ทั้งสอง หลินผิงผิง ชิงจวี๋จำต้องรีบเหาะถอยไปข้างหลัง พวกนางมองฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตระหนกตกใจ เป็นห่วงกังวลผู้ชายของตัวเองสุดขีด แต่ก็รู้ว่าการต่อสู้ประเภทนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางจะไปเข้าร่วม ถ้าเข้าไปร่วมด้วยก็มีแต่จะเพิ่มความยุ่งยาก

ในโลกของผู้ชาย ในสายตาของผู้หญิงแล้ว บางครั้งก็ยากแก่การเข้าใจจริงๆ ทำไมถึงเอาแต่ต่อสู้เข่นฆ่ากันอยู่ตลอด ทำไมถึงต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่เสมอ!

“ตำหนักใหญ่ของสำนักถล่ม ศิษย์ทั้งสำนักหกนิ้วโผล่ออกมา มองดูฝุ่นดินที่พัดม้วนภายใต้พลังอิทธิฤทธิ์บนยอดเขาที่สูงที่สุดของสำนักอย่างประหลาดใจสงสัย”

หยางเจาชิงที่เฝ้าอยูหน้าประตูใหญ่ พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ก็ไม่สนใจว่านักพรตบงกชทองหลายคนของสำนักหกนิ้วที่อยู่ข้างๆ จะตกใจ รีบสวมเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงแล้ว เรียกสัตว์พาหนะที่เป็นสัตว์เทพออกมาแล้วกระโดดขึ้นขี่  ถือทวนมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเย็นเยียบดุร้าย

“ที่สองฝั่งแม่น้ำนอกประตูใหญ่ กำลังพลของทัพกลางรีบเหาะขึ้นฟ้าเพื่อมองสำรวจ และมีคนจำนวนหนึ่งที่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เผยไหลหมิง อู๋เฟิง เหิงก่วงหลิงเหาะขึ้นจากฝั่งแม่น้ำทิศตะวันออก พอเห็นเหตุการณ์บนยอดเขา ทุกคนก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก เผยไหลหมิงหลุดอุทานว่า “โชคไม่ดีเป็นจริงตามที่ข้าพูดแล้ว เจ้าแซ่หนิวใจกล้านัก ไม่น่าเชื่อว่าจะลงมือแล้วจริงๆ!”

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด