พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1373 คนหาเรื่องมาแล้ว

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1373 คนหาเรื่องมาแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากนั้นครึ่งวัน

จ้านหรูอี้ก็ไปที่กองมังกรดำเพื่อยกเหตุผลมาถกเถียงกับเนี่ยอู๋เซี่ยว ทุกคนล้วนมาใหม่เหมือนกัน แต่ทำไมหนิวโหย่วเต๋อจึงสามารถนำกำลังพลไปปรับตัวให้เข้ากันได้ แต่นางทำไม่ได้?

เนี่ยอู๋เซี่ยวตอบรับคำขอของนาง ให้เงื่อนไขอะไรกับเหมียวอี้ก็ให้เงื่อนไขนั้นกับนาง รินน้ำใส่ชามให้เท่ากัน เรียกได้ว่ายุติธรรมสมเหตุสมผล

ดังนั้นเมื่อผ่านไปครึ่งวัน เป็นครึ่งวันหลังจากที่เหมียวอี้นำกำลังพลออกไป จ้านหรูอี้ก็นำกำลังพลของธงพยัคฆ์น้ำเงินเร่งรีบมาถึงนอกประตูเมืองของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนแล้ว ข้างหน้าคือรั้วกันว่างเปล่าที่กำลังพลธงพยัคฆ์ดำทิ้งไว้หลังจากออกเดินทางไปหมดแล้ว จะยังเห็นเงาคนของธงพยัคฆ์ดำได้อย่างไรกัน

พ่อค้าที่เข้าออกอยู่นอกเมืองกลับถูกทำให้ตกใจจนรีบวิ่งกลับเข้าไปในเมืองอีก ไม่เข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่

ผ่านไปไม่นาน พวกพ่อค้าในเมืองก็ทยอยกันวิ่งออกมาตรวจดูแล้ว นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

ฝูชิงก็นำทหารยามในเมืองออกมาข้างนอกเช่นกัน ยืนตรวจสอบอยู่นอกประตูรั้ว เห็นเพียงกำลังพลกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาเหยียบพื้น บนผืนธงผ้าแพรขนาดใหญ่ที่กำลังพลกลุ่มนั้นถือปักลายเสือสีน้ำเงินดุร้ายเอาไว้ แค่มองสัญลักษณ์ธงก็รู้แล้วว่าเป็นธงพยัคฆ์น้ำเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่นำทัพมา มีคนไม่น้อยที่ไม่รู้สึกแปลกหน้า นางคือจ้านหรูอี้ไง หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง มีคนไม่น้อยที่รู้จักนาง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน ผู้หญิงคนนี้มาได้ยังไง?” ฝูชิงเอียงหน้าถาม

ชิงเฟิงพยักหน้าเบาๆ “ไม่ทราบขอรับ ที่จู่ๆ เขาถอนทัพไป เป็นเพราะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะมาหรือเปล่า?”

ท่ามกลางพ่อค้ามีคนคนหนึ่งเดินออกมา หวงฝู่จวินโหรวลอยเข้ามาช้าๆ อาวุธที่ตั้งแถวเรียงรายอยู่ในธงพยัคฆ์ดำตั้งขึ้นเตรียมป้องกันทันที จ้านหรูอี้ยกมือเล็กน้อย ทำให้กำลังพลข้างหลังวางอาวุธลงไป

“เจ้ามาได้ยังไง?” หวงฝู่จวินโหรวที่เหยียบลงตรงหน้าจ้านหรูอี้ถามอย่างแปลกใจนิดหน่อย

จ้านหรูอี้เดินช้าๆ ไปตรงหน้าแถวรั้วกั้น สายตากวาดมองเขตตั้งค่ายที่ว่างเปล่า พอได้ยินคำถามนี้ นางก็หยุดฝีเท้า ยื่นมือไปคว้าบนราวจับ แล้วหันกลับมาถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อกับกำลังพลของเขาไปไหนแล้ว?”

“เขาก้าวนำไปก่อน แล้วเจ้าก็ก้าวตามหลังมา เวลาห่างกันครึ่งวัน” หวงฝู่จวินโหรวตอบ

“ไปแล้วเหรอ?” จ้านหรูอี้เห็นสถานการณ์ที่ตัวเองกังวลที่สุดเกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว คว้าน้ำเหลวแล้วเหรอ? นางกัดฟัน แล้วถามอย่างรู้สึกไม่ยอมว่า “ทำไมถึงไปแล้ว?”

ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเขาไปแล้ว? หวงฝู่จวินโหรวถามอย่างไม่แน่ใจว่า  “เจ้ามาหาเรื่องเขาใช่มั้ย? หรือว่าเขารู้ว่าเจ้าจะมา ถึงได้หนีไปแล้ว?”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ จ้านหรูอี้กลับสบายใจขึ้นบ้าง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกลัวแล้วหนีไปก็ได้

แต่นางก็ยังงงเหมือนเดิม สิ้นเปลืองความพยายามไปมากขนาดนี้กว่าจะได้รับอนุญาตจากเบื้องบนให้นางนำกำลังพลออกมาปรับตัวข้างนอกได้ ตอนนี้เหมียวอี้หนีไปแล้ว หนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แล้วนางจะถ่อมาที่นี่ทำไมล่ะ? จะต้องนำกำลังพลเพ่นพ่านไปทั่วเพื่อปรับตัวให้เข้ากันงั้นเหรอ?

ในขณะนี้ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ฝูชิงที่อยู่ในฐานะเจ้าถิ่นนำคนจำนวนหนึ่งเหาะมาแล้ว พอเหยียบลงพื้นก็กุมหมัดคารวะ “ผู้บัญชาการใหญ่จ้าน ไม่ทราบว่านำกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินมาทำอะไรที่นี่?”

“มาดูเฉยๆ” จ้านหรูอี้ตอบอย่างขอไปที ย่อมไม่บอกความจริงที่ทำให้ตัวเองเสียหน้าอยู่แล้ว และในเมื่อมาแล้วก็คงไม่ดีที่จะรีบร้อนจากไปทันที ดีไม่ดีอาจจะดูเหมือนกำลังวิ่งไล่ตามก้นหนิวโหย่วเต๋ออยู่ ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็อยากจะรู้ด้วยว่าเหมียวอี้ไปไหนแล้ว ถึงได้หันตัวมาออกคำสั่งให้กำลังพลตั้งค่ายชั่วคราวบนร่องรอยที่ธงพยัคฆ์ดำทิ้งไว้

ฝูชิงกลุ้มใจ ตรงนี้ธงพยัคฆ์ดำเพิ่งจะออกไป แต่ก็มีธงพยัคฆ์น้ำเงินมาอีกแล้ว มาตั้งฐานประตูบ้านเขาอย่างต่อเนื่อง เล่นบ้าอะไรกัน เห็นอาณาเขตของเขาเป็นอะไรไปแล้ว?

ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎเลยสักนิด บวกกับต่อให้กำลังพลของตัวเองรวมกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอยู่ดี บ่นอะไรจ้านหรูอี้ไม่ได้เหมือนกัน

เพียงแต่ในครั้งนี้ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนเงียบสงบมาก พ่อค้าในเมืองก็ไม่มีใครกลัวว่าจ้านหรูอี้จะทำอย่างไรได้ ทุกคนมาดูเอาสนุกล้วนๆ

ทิศทางการเคลื่อนไหวของเหมียวอี้สืบเจอได้ไม่ยาก หลังจากนั้นหนึ่งวัน จ้านหรูอี้ที่นั่งคุยกับหวงฝู่จวินโหรวอยู่ในค่ายทัพกลางก็ได้รับข่าวแล้ว ทำให้นางโมโหแทบกระอักเลือด

เหมียวอี้นำกำลังพลกลับไปถึงดาวหกนิ้วตั้งนานแล้ว กำลังตบรางวัลปลอบขวัญกองทัพกันอย่างครื้นเครง ตบรางวัลปลอบขวัญกองทัพก็ยังไม่เท่าไร ที่สำคัญคือของที่รางวัลให้ลูกน้องยังไม่ใช่ของของเหมียวอี้ด้วย แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าเอาของจากไหนมาตบรางวัล พอเหมียวอี้ถอนทัพออกไปจากที่นี่ เจ้าของร้านแต่ละร้านไม่เห็นเรื่องที่ตัวเองจินตนาการไว้เกิดขึ้น ทำให้รู้สึกแปลกใจทันที

ไม่เห็นเหมียวอี้ถูกยั่วยุให้ทำอะไรซี้ซั้วกลัวว่าแปลกแล้ว ทำไมร้านค้าแต่ละร้านกลับมาเปิดกิจการ แต่เหมียวอี้กลับนำคนหนีไปล่ะ เจ้าของร้านแต่ละร้านย่อมต้องสืบดูสถานการณ์ เรื่องบางอย่างทำก็ส่วนทำ แต่ถ้าจะให้หลอกลวงเบื้องบน พวกเขาก็ยังไม่กล้า ผู้จัดการร้านค้าแต่ละร้านจึงคายความจริงออกมาว่าจ่ายเงินเพื่อกำจัดภัยพิบัติ

พวกเจ้าของร้านค้าแค้นจนกัดฟันกรอด แต่ก็คงจะไม่ดีถ้าจะไปว่าอะไรพวกผู้จัดการ เพราะผู้จัดการควักเงินของตัวเองเพื่อธุรกิจของพวกเจ้าของร้าน!

เมื่อเชื่อมโย่งต้นสายปลายเหตุ ในที่สุดก็เข้าใจจุดประสงค์ของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้คิดจะทำให้เรื่องราวใหญ่โตเลย ครั้งนี้ก็แค่มาเพื่อขู่เอาเงินเท่านั้น พอทำสำเร็จก็พาคนหนีไปทันที แถมเจ้ายังว่าอีกฝ่ายไม่ได้ว่าขู่เอาเงิน เพราะอีกฝ่ายไม่ได้บังคับคนอื่น เป็นคนอื่นที่เป็นฝ่ายนำของขวัญไปมอบให้เพื่อขอโทษเอง

แบบนี้จะไม่ให้จ้านหรูอี้โมโหจนแทบกระอักเลือดได้อย่างไร สงสัยหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ได้หนีไปเพราะกลัวนาเลย แต่เป็นเพราะขู่เอาเงินสำเร็จแล้วจึงหนีไป

สิ่งที่ทำให้นางทรมานยิ่งกว่านั้นก็คือ หนิวโหย่วเต๋อกำลังตบรางวัลปลอบขวัญกองทัพ ในการแสดงผลงานแบบนี้ นางไม่อยากแพ้เหมียวอี้อีกต่อไปแล้ว ทว่านางก็ไม่มีเป้าหมายให้ขู่เอาเงิน จะเอาเงินจากไหนมากมายมาตบรางวัลปลอบขวัญกองทัพล่ะ แน่นอน ใช่ว่าตระกูลจ้านจะหาเงินจำนวนนั้นมาไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ตบรางวัลให้กำลังพลหนึ่งแสน นั่นก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ถ้าควักเงินตัวเองมาทำเรื่องนี้ก็เหมือนสมองมีปัญหา ถ้าทำแบบนั้นจริงกลับจะก่อให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะด้วยซ้ำ

โดนเหมียวอี้เอาชนะทุกอย่างในด้านการแสดงผลงาน สิ่งนี้ทำให้จ้านหรูอี้สุดจะทนจริงๆ นางไม่อยากยอมรับว่าตัวเองสู้เหมียวอี้ไม่ได้ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้นางเก็บกดจนระบายออกมาไม่ได้ โมโหจนหน้าซีดขาวหมดแล้ว

หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่เป็นเพื่อนจ้านหรูอี้ในค่ายทัพกลาง เมื่อได้รู้ความจริงก็พูดไม่ออกเหมือนกัน ยังนึกว่าเหมียวอี้จะมาล้างเลือดตลาดสวรรค์จริงๆ เสียอีก ที่แท้ก็ไม่ได้มาล้างเลือด แต่มาเพื่อปล้นจนเกลี้ยงบ้านนี่เอง ทำให้ดูเหมือนร้านค้าของตลาดสวรรค์นำเงินไปซื้อใจคน เจ้าเวรนั่นทำให้นางไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาพูดแล้ว จำเป็นต้องยอมรับว่ามีความสามารถจริงๆ ทำให้คนทั้งรักทั้งเกลียด

“จุจุ! ออกไปรอบเดียวก็ทำเงินได้เยอะขนาดนี้”

“ผู้บัญชาการใหญ่มีสัจจะ!”

“ใช่แล้ว! อย่างน้อยทำงานกับคนแบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะฮุบผลประโยชน์ของพวกเราไป”

มีทั้งคนดีใจมีทั้งคนกลุ้มใจ กำลังพลฝั่งธงพยัคฆ์ดำกลับส่งเสียงกล่าวชม

ที่จริงเงินที่แบ่งมาถึงมือทุกคนแล้วก็ไม่ได้เยอะเท่าไร เมื่อเฉลี่ยกันแล้วก็ได้เป็นยาแก่นเซียนคนละประมาณหนึ่งหมื่นเม็ด เท่ากับได้แจกค่าจ้างหลายปีในรวดเดียว แต่ช่วยไม่ได้ที่คนเยอะ! ทุกคนก็ไม่ใช่คนโง่ เฉลี่ยแบ่งให้คนประมาณแสนกว่า แต่ละคนได้ยาแก่นเซียนหนึ่งหมื่นเม็ด บวกรวมกันแล้วมีความหมายแฝงว่าอะไรล่ะ? ที่จริงเงินก้อนนี้ผู้บัญชาการใหญ่ไม่จำเป็นต้องแจกจ่ายให้ทุกคนเลย ต่อให้ไม่แจกก็ไม่มีใครว่าอะไร

เฉลี่ยแบ่งแล้วอาจจะเป็นเงินจำนวนไม่เยอะ แต่จำนวนรวมก็เห็นๆ กันอยู่ เมื่อเจอกับผู้บังคับบัญชาแบบนี้ มีใครบ้างจะไม่วางใจ ทุกคนยังมีอะไรให้บ่นอีกล่ะ?

ส่วนมู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงก็รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก เหมียวอี้บอกว่าที่ครั้งนี้ร่ำรวยได้เป็นเพราะทั้งสองช่วงชิงโอกาสมาจากกองมังกรดำ เรียกได้ว่าไม่ฝั่งกลบผลงาน พวกนางได้รางวัลเป็นยาแก่นเซียนคนละสิบล้านเม็ด ต้องตบรางวัลทั้งสองอย่างงามก่อน แล้วที่เหลือค่อยแบ่งให้ทุกคนตามระเบียบปฏิบัติ

เดิมทีทั้งสองนึกว่าเหมียวอี้จะบีบจุดอ่อนพวกนาง การตบรางวัลก้อนนี้ทำให้ทั้งสองประหลาดใจมาก ถึงแม้วรยุทธ์ของทั้งสองจะถึงระดับนี้แล้ว แต่สำหรับพวกนาง นี่ก็ไม่ใช่รางวัลจำนวนน้อยๆ ไม่ว่าจะไปวางไว้ตรงไหนก็ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย พวกนางอยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รางวัลเยอะขนาดนี้ในรวดเดียว

ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้น เหมียวอี้ก็ไม่ปฏิบัติกับทั้งสองอย่างขาดความยุติธรรม มุมมองที่ทั้งสองมีต่อเหมียวอี้เปลี่ยนไปมากในทันที เมื่อตัดสินจากท่าทีของผู้บัญชาการใหญ่ ก็คาดว่าในภายหลังชีวิตในธงพยัคฆ์ดำคงจะไม่ลำบากเกินไป

“ถอนกำลังไปแล้วเหรอ? ขู่เอาเงินจากร้านค้าพวกนั้น พอกลับไปก็ตบรางวัลปลอบขวัญทหารเหรอ?”

ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงถามจนเขาอึ้งไปแล้ว กำลังทำสีหน้างุนนงง

“ใช่ขอรับ! ทุกคนต่างก็คิดว่าเขากำลังจะก่อเรื่อง ใครจะคิดว่าเขาจะถ่อไปขู่เอาเงิน…แต่ก็ไม่นับว่าเป็นการขู่เอาเงิน เพราะทุกคนล้วนเป็นฝ่ายนำไปมอบให้เขาเองถึงที่” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ

“ฮ่าๆ!” ในที่สุดประมุขชิงก็กลั้นขำไม่ไหว “ลูกลิงน้อยตัวนี้น่าสนใจทีเดียว เวิ่นเทียน เจ้าบอกว่าเขาจงใจปล่อยข่าวลือเพื่อหาบันไดลงให้ตัวเองไม่ใช่เหรอ? เคยคิดหรือเปล่าว่าเขาจะทำแบบนี้?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะพลางถอนหายใจ “ข้าน้อยนึกไม่ถึงจริงๆ”

จู่ๆ ประมุขชิงก็ยืนขึ้น เอามือไขว้หลังพร้อมบอกว่า “ในด้านความสามารถม่มีอะไรต้องสงสัยแล้ว สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้ก็คือผลงานในการรบ!”

ดาวหยกงาม หอสามรากฐาน

“เหอะๆ! ผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักโดนเขาปั่นหัวเล่นแล้ว เมื่อมีหนังเสืออย่างหน่วยองครักษ์ซ้ายไว้คลุม นับวันจะยิ่งกำเริบเสิบสานไม่กวาดกลัวอะไร” อ๋องสวรรค์โค่วที่เอนกายบนเก้าอี้ส่ายหน้ากล่าวอย่างจนใจ

ผู้เฒ่าถัง บ่าวชรามองลูกชายทั้งสามของตระกูลโค่วที่ยืนอยู่เบื้องล่างแวบหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างขื่นขมเล็กน้อย “ใครจะคาดคิดล่ะ! เจ้าเด็กนั่นไม่ได้ลงไพ่ตามกติกาเลย แต่กลับยิ่งโดดเด่นสะดุดตา โอ้อวดความฉลาดเจ้าเล่ห์ใส่ทุกคนในราชสำนักเสียแล้ว ดึงดูดความสนใจจริงๆ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาในตอนนี้”

“อืม!” อ๋องสวรรค์โค่วหรี่ตาเล็กน้อย แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไม้เด่นเกินป่า ลมพัดหักโค่น”

ตรงที่ไกลๆ ของดาวหกนิ้ว กำลังพลสามหมื่นเหาะเข้ามาอย่างเข้มแข็งเกรียงไกร

ยังไม่ทันเข้าใกล้ดาวหกนิ้ว กำลังพลกลุ่มเล็กๆ จำนวนหนึ่งร้อยก็เหาะขึ้นมาจากดวงดาวรกร้างดวงหนึ่ง เข้ามาขวางด้านหน้าของกำลังพล ทหารที่นำหน้ามาตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “สถานที่นี้ไม่อนุญาตให้คนอื่นบุกเข้ามา ผู้ที่มาเป็นใคร!”

ทัพใหญ่ประชิดเข้ามาใกล้แล้วหยุดอยู่กับที่ มีคนตะโกนตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินนำทัพใหญ่มาเยี่ยมคารวะธงพยัคฆ์ดำผู้บัญชาการใหญ่หนิว รีบไปแจ้งให้ทราบ!”

จ้านหรูอี้อยู่ตรงหน้าทัพใหญ่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ

หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้กลับรังเก่า นากง็ไม่สะดวกจะตามมาในทันที จึงจงใจถ่วงเวลาอยู่ที่นอกตลาดสวรรค์สองสามวัน ถึงได้นำกำลังพลตามมา ครั้งนี้นางจะต้องให้บทเรียนกับเหมียวอี้ให้ได้

ฝั่งนี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็รู้ว่าจ้านหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีสักเท่าไร จะนำคนมาเยอะขนาดนี้ทำไม? ทหารที่นำหน้ามารีบหยิบระฆังดาราอกมาคิดต่อกับเบื้องบน

ในค่ายกลป้องกันของสำนักหกนิ้ว สวีถังหรานที่ได้รับข่าวรีบมารายงานที่จวนพักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่

“จ้านหรูอี้มาแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว แล้วพึมพำว่า “เกรงว่าคงจะไม่ได้มาดี ผู้หญิงคนนี้ยังไม่รู้จักจบจักสิ้นอีก”

สวีถังหรานพยักหน้า “ใช่แล้ว จากที่เบื้องล่างรายงานมา นางนำกำลังพลมาไม่ต่ำกว่าสามหมื่น”

“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป อนุญาตให้นางนำคนมาด้วยแค่สิบคนเท่านั้น ถ้ากล้าบุกเข้ามาก็จะรายงานเบื้องบนทันที” เหมียวอี้กล่าว

“ขอรับ!” สวีถังหรานเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมา แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะบอกอีกว่า “บอกธงอินทรีสิบกองทัพเดี๋ยวนี้ เหลือสมาชิกให้อยู่เฝ้า แล้วรวบรวมกำลังพลหนึ่งแสนมาที่นี่ ล้อมกำลังพลของธงพยัคฆ์น้ำเงินไว้ ถ้ากล้าทำซี้ซั้วก็ไม่ต้องเกรงใจ กำจัดนางเสียเลย!”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด