พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1387 หยุดยั้งหนานโป

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1387 หยุดยั้งหนานโป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เซี่ยโห้วหลงเฉิง…” ฮ่าวเต๋อฟางเหล่ตาถาม “ท่านปู่สวรรค์ นี่คนของตระกูลท่านใช่มั้ย?”

เซี่ยโห้วท่ากล่าวอย่างอึดอัดเก้อเขินเล็กน้อย “เป็นเจ้าเด็กเปรตที่ไม่เอาไหนคนหนึ่ง”

ก่วงลิ่งกงก็พูดเสริมเช่นกัน “โค่วเหวินหลาน นึกไม่ถึงว่าขนาดหลานชายของพี่โค่วก็ยังเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”

โค่วหลิงซวีก็กล่าวอย่างอึดอัดเช่นกัน “พอได้ยินทูตขวาเกาเตือนแบบนี้ ก็เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้เช่นกัน”

สาเหตุที่เขากับเซี่ยโห้วท่าอึดอัดเก้อเขิน ก็เป็นเพราะสองตระกูลได้หุ้นไปจากร้านขายของชำซื่อตรงไปแล้วสองส่วน เดิมทีก็ไม่เป็นอะไรหรอก เป็นร้านค้าร้านหนึ่งเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญคือเปิดโปงออกมาต่อหน้าประมุขชิง

ประมุขชิงเหลือบมองซ้ายมองขวา เรื่องบางเรื่องรู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนหาบันไดลงไม่ได้ ที่สำคัญคือเมื่อคนในตำแหน่งระดับนี้ทำเรื่องแบบนี้ จะให้เขาลงโทษอย่างไรล่ะ? เขาแค่อยากจะรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อเกี่ยวข้องอะไรกับพระปีศาจหนานโปรึเปล่า ในเมื่อไม่เกี่ยวข้อง มันก็เป็นคนละเรื่องกันเลย เขาวางใจแล้วเช่นกัน ถามหูลี่ลี่ต่อว่า “ตอนหลังล่ะ?”

หูลี่ลี่เล่าต่อว่า หลังจากพระหนุ่มโยนสัตว์มีพิษลงมาครั้งหนึ่งแล้ว พระปีศาจหนานโปก็กลัวว่าเขาจะมาก่อกวนอีก จึงทำได้เพียงส่งคนประมาณพันคนไปล้อมหุบเขาเอาไว้ แต่หลังจากนั้นพระหนุ่มนั่นก็ไม่ได้กลับมาอีก ทว่ารอจนใกล้จะถึงเวลาอีกหนึ่งพันปีครั้งต่อไป ตอนที่ทุกคนหนีอีกครั้ง พระหนุ่มนั่นก็วิ่งออกมาแล้ว ทุกคนหนีด้วยความเร็วสุดชีวิต แต่เขากลับวิ่งมาถล่มหุบเขา รีบฝังกลบให้หุบเขาเรียบเสมอกัน นี่คือเรื่องที่ทุกคนอยากทำแต่ไม่กล้าทำ แบบนั้นจะยั่วโมโหใหเพระปีศาจหนานโปสะกดจิตให้เจ้าฆ่าตัวตายได้ทุกเมื่อ แต่พระหนุ่มนั่นทำแล้ว

แต่ฝังกลบหุบเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีทางหยุดยั้งพระปีศาจหนานโปไม่ให้เรียกทุกคนกลับไปได้ และไม่มีทางทำให้ทุกคนหลุดพ้นจากการควบคุมของพระปีศาจหนานโปด้วย แต่กลับสร้างปัญหาใหญ่ไว้ให้พระปีศาจหนานโปแล้ว เพราะทำให้เขามองไม่เห็นความเคลื่อนไหวนอกวัดอีก พวกเราก็ทำได้เพียงหยุดผสมพันธุ์กันชั่วคราว ได้ไปขุดหุบเขาที่ถล่มลงมาแทน แต่หุบเขาก็ลึกเกินไป แถมพวกเราก็ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ด้วย ใช้เวลาขุดไปหนึ่งร้อยปีเต็มกว่าจะเจอวัดที่อยู่ข้างล่างอีกครั้ง ในนั้นยังมีคนโดนถล่มทับตายหลายสิบคนอีก

เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้พระหนุ่มนั่นมาก่อกวนอีก ภายใต้ความเดือดดาลชั่วขณะ พระปีศาจหนานโปจึงส่งลูกน้องส่วนใหญ่ไปทั่วทุกที่เพื่อจับตัวพระหนุ่มนั่นมา แต่ใครจะคิดว่าพระหนุ่มจะเดาออกแล้วว่าพระปีศาจหนานโปจะมาล้างแค้นเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะวางกับดักใหญ่เอาไว้ล่วงหน้า มีคนโดนเขาสังหารทิ้งไปนับพัน กดดันให้พระปีศาจหนานโปจำเป็นต้องเรียกคนกลับไป

หลังจากนั้นหลายร้อยปี อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีพระชราโผล่มาอีกหนึ่งคน แต่ที่แปลกก็คือวิชาของพระปีศาจหนานโปใช้ไม่ได้ผลกับพระชราคนนี้ และตอนที่พระชราปรากฏตัวในหุบเขา พระหนุ่มนั่นก็ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน โบกมือสองข้างตะโกนเรียกอย่างร้อนใจซ้ำๆ ว่า : ท่านอาจารย์ รีบหนีไป พระปีศาจที่โดนผนึกอยู่ข้างในควบคุมคนได้

ตอนนี้พวกเราถึงได้รู้ ว่าที่แท้พระชราก็คืออาจารย์ของพระหนุ่มนั่น อาจารย์ออกมาจากสำนักเดียวกัน ไม่แปลกใจที่ไม่กลัววิชาของพระปีศาจหนานโปเหมือนกัน

พวกประมุขชิงมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง มีคนอายุน้อยโผล่มาหนึ่งคน แล้วก็มีคนชราโผล่มาอีกหนึ่งคน ทั้งยังหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปพบ แล้วก็ไม่กลัวมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจหนานโปด้วย นี่มันเรื่องอะไรกัน?

จากนั้นก็ได้ยินหูลี่ลี่เล่าต่อว่า หลังจากพระชราเห็นภาพเหตุการณ์ในหุบเขา ก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมน่าเคารพ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่สนใจสิ่งที่พระหนุ่มห้าม ดันทุรังล่วงล้ำลงไปในหุบเขานั้น พระปีศาจหนานโปเห็นดังนั้นจึงสั่งให้พวกเราไปจับตัวพระชรา แต่ใครจะคิดว่าพระหนุ่มนั่นจะร้อนรน ลากสัตว์มีพิษกลุ่มหนึ่งโยนลงไปในหุบเขาอีก สุดท้ายก็บุกเข้าไปในหุบเขา ดึงผ้าปิดหลังทิ้ง ที่หลังเขามีดาบและกระบี่เป็นกองเสียบไว้ เขาใช้สองมือถือดาบและกระบี่สังหารฝ่าเข้าไปในหุบเขานั่น

พวกเราทุกคนมีร่างเปลือยเปล่า สิ่งของพวกกำไลเก็บสมบัติถูกเก็บไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่มีอาวุธอะไรเลย จะสู้พระหนุ่มที่ถืออาวุธสองมือนั่นได้ยังไง จึงถูกฟันบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย สุดท้ายพวกเราเก็บก้อนหินขว้างใส่ ทำให้พระหนุ่มหัวแตกเลือดกำเดาไหล ใบหน้าฟกช้ำดำเขียว กดดันให้พระหนุ่มดึงที่เลือดเต็มตัวลากอาจารย์ของเขาปีนขึ้นไปบนหลังคาวัดอีก พอเขาถืออาวุธเฝ้าจุดยุทธศาสตร์ได้แล้ว พวกเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน

เมื่อพระปีศาจหนานโปเห็นดังนั้น ก็ไม่ให้พวกเราไปสังเวยชีวิตโดยสูญเปล่าอีก ให้พวกเราถอยลงมา ส่วนพระหนุ่มที่เลือดเต็มตัวนั่น ตอนแรกก็ด่าพระชราแบบสาดเสียเทเสีย ด่าประมาณว่าโดนพระชราวางกับดัก ไม่มีความสุภาพเกรงใจต่ออาจารย์ของตัวเองเลย

แต่พระปีศาจหนานโปนั่นกลับกล่าวชื่นชมพระหนุ่มน้อย บอกว่าไม่น่าเชื่อว่าเขาจะช่วยชีวิตอาจารย์โดยไม่สนใจชีวิตตัวเอง

จากนั้นพระชราก็เกลี้ยกล่อมให้พระปีศาจหนานโปวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ พระปีศาจหนานโปจึงบอกว่าตัวเองเป็นพระอยู่แล้ว พระชราเลยถามเขาว่าทำไมถึงโดนขังไว้ที่นี่ พระปีศาจหนานโปบอกว่าตัวเองโดนลูกศิษย์ทรยศ ถึงได้ตกต่ำจนมีจุดจบแบบนี้ ตอนนั้นพวกเราถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วประมุขปราชญ์หกลัทธิล้วนเป็นลูกศิษย์ของเขาทั้งหมด

ตอนหลังพระชราจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาปล่อยวางบุญคุณความแค้น เริ่มถกธรรมะกับพระปีศาจหนานโป ทั้งสองฝ่ายสนทนาธรรมกัน ถกธรรมะเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ ทว่าพระปีศาจหนานโปมีวิชาทางพุทธสูงส่งเลิศล้ำ สุดท้ายพระชราก็สู้ไม่ได้ พระชราบอกว่าเอาชนะเขาไม่ได้ โดนพระปีศาจหนานโปเทศนาจนน้ำตานองหน้า จึงคุกเข่าหมอบกราบ บอกว่ายินดีจะชำระจิตใจขอฝากตัวเป็นศิษย์พระปีศาจหนานโป เกือบจะกลายเป็นลูกศิษย์ของพระปีศาจหนานโปแล้ว โชคดีที่พระหนุ่มน้อยนั่นลงมือได้ทันเวลา เก็บหินที่พวกเราขว้างขึ้นไปบนหลังคา แล้วใช้หินทุบอาจารย์ตัวเองจนสลบไปแล้ว

จากนั้นพระปีศาจหนานโปก็จะถกธรรมะกับพระหนุ่มน้อยอีก บอกว่าขนาดอาจารย์ของเจ้ายังคิดว่าข้าถูกเลย ทำไมเจ้ายังไม่เปลี่ยนมาอยู่ลัทธิข้าอีก พระหนุ่มน้อยก็เริ่มถกธรรมะกับเขาแล้วเช่นกัน เพียงแต่สิ่งที่พูดออกมามีแต่คำหยาบคาย ด่าทอพระปีศาจหนานโปเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ส่วนอาจารย์ของเขา พอฟื้นขึ้นมาครั้งหนึ่งก็โดนเขาตบสลบไปครั้งหนึ่ง พระปีศาจหนานโปโดนเขาจนอับอายโมโห จึงไม่ถกธรรมะกับเขาอีกแล้ว

ประมุขชิงและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วตะลึงงัน มองหนั้นไปมองหน้ากันมาอย่างเลิกลั่ก อยากจะทำความรู้จักพระหนุ่มน้อยนั่นสักหน่อย

หูลี่ลี่ยังไม่หยุดเล่า

ทว่าพระชราโดนพระปีศาจหนานโปเกลี้ยกล่อมเรียบร้อยแล้ว ตกอยู่ในสภาวะถูกมารผจญ พระหนุ่มน้อยตบพระชราสลบไปสิบกว่าครั้ง แต่ทุกครั้งที่พระชราฟื้นขึ้นมาก็จะมัวเมาไม่ได้สติ ภายใต้ความจนใจ พระหนุ่มน้อยจึงแก้เชือกที่ผูกติดอาวุธบนร่างกายตัวเอง แล้วเอาเชือกนั้นมามัดพระชราไว้เสียเลย

หลังจากนั้น พระหนุ่มน้อยทำทุกวิถีทางเพื่อเกลี้ยกล่อมให้พระชราได้สติกลับมา แต่ผลปรากฏว่าไม่มีประโยชน์ ภายใต้ความจนใจ พระหนุ่มน้อยจึงนั่งขัดสมาธิบนหลังคา แล้วเริ่มท่องบทสวดมนต์ให้พระชราฟังด้วยความเคารพเลื่อมใส ท่องบทสวดมนต์หนึ่งบทซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ส่วนพระปีศาจหนานโปก็เหมือนจะพบวิธีการสู้กับพระหนุ่มน้อยแล้ว จึงนั่งขัดสมาธิสวดมนต์อยู่ในอารามด้านล่างเช่นกัน ในหุบเขาจึงเริ่มเต็มไปด้วยเสียงสวดมนต์ของคนสองคนดังต่อเนื่องไม่หยุด บทสวดมนต์สองประเภทเป็นการประลองสติปัญญากัน พวกเราฟังแล้วปวดหัวจนหัวแทบจะระเบิด

วิชาทางพุทธของพระหนุ่มน้อยสู้พระปีศาจหนานโปไม่ได้ กอปรกับบทสวดมนต์ที่พระปีศาจหนานโปสวดเหมือนจะคลายปริศนาบทสวดมนต์ของพระหนุ่มน้อย พระหนุ่มน้อยที่กำลังนั่งประนมมือแทบจะเป็นบ้าประสาทเสีย อาจารย์ที่โดนเขามัดก็ยิ่งร้องโอดครวญอย่างทรมาน พวกเราก็ทุกข์ทรมานจนแทบทนไม่ไหวเหมือนกัน ในหุบเขามีเสียงร้องโอดครวญดังเป็นแถบ

พระปีศาจหนานโปก็มีวิชาพุทธล้ำลึกจริงๆ พอเขาสวดมนต์ไปได้หนึ่งวัน ในหุบเขาก็เริ่มหนาวเย็นอีกครั้ง พอสวดไปได้สองวัน เมฆดำก็ปกคลุมบนท้องฟ้า ลมหนาวในหุบเขากลายเป็นหนาวเหน็บเข้ากระดูก บนหน้าผามีน้ำค้างแข็งเกาะ เมื่อสวดมนต์ไปได้สามวัน ก็ไม่รู้ว่าเรียกรวมพลังอัปมงคลของฟ้าดินมาจากไหน ทั้งยังมีวิญญาณหยินกับลูกไฟผีลอยมา ปะปนกันอยู่ในลมหนาวที่พัดหวีดหวิว

วัดที่สร้างฝังเลี่ยมอยู่บนหน้าผาถูกน้ำค้างแข็งเกาะแล้ว บนตัวพระหนุ่มน้อยก็มีน้ำค้างเกาะเช่นกัน หนาวจนตัวสั่นเทิ้ม เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะหนี แต่การมีอาจารย์เป็นภาระก็ทำให้หนีไม่ได้เลย พระหนุ่มน้อยที่ใกล้จะประสาทเสียพลันหยิบกระบี่ขึ้นมา แทงบนร่างกายตัวเองหนึ่งแผล หลังจากทำให้ตัวเองได้สติซ้ำไปซ้ำมา ก็รีบสวดบทสวดมนต์สู้กับพระปีศาจหนานโปต่อไป สรุปก็คือ ยิ่งสวดมนต์ก็ยิ่งสวดได้ช้าลง ทุกครั้งที่ใกล้จะเสียสติยอมแพ้ พระหนุ่มน้อยก็จะใช้กระบี่แทงบนร่างกายตัวเองหนึ่งครั้ง พอเวลาผ่านไปหนึ่งปี เกรงว่าบนตัวเขาคงจะแทงหลายพันแผลไม่ไหวแล้ว เพราะที่ผ่านมาก็แทบจะแทงไปสิบกว่าแผลต่อหนึ่งวัน

เมื่อได้ยินแบบนี้ พวกประมุขชิงก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าเคารพเลื่อมใส ถึงแม้พระที่พ่นคำหยาบเต็มปากจะไม่มีท่าทีเหมือนพระ แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีความเด็ดเดี่ยวมากขนาดนี้

พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วฟังหูลี่ลี่เล่าต่อไป

ตอนพลังลึกลับสูญเสียการควบคุมทุกๆ หนึ่งพันปี โชคดีที่พระหนุ่มน้อยก็ได้ฉวยโอกาสเตรียมตัวไว้แล้ว เขากลืนสมุนไพรเซียนซิงหัวเอาไว้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางทนไหวเลย

ทว่าเมื่อใช้วิธีปลุกตัวเองให้ได้สติด้วยความเจ็บปวดนานๆ เข้า ความรู้สึกเจ็บปวดก็เปลี่ยนเป็นความชินชาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนหลังพระหนุ่มน้อยทำให้ตัวเองเจ็บตัวอย่างไรก็ไม่ได้ผล ภายใต้การควบคุมของพระปีศาจหนานโป ทั้งตัวเขาเปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งอยู่ไม่สุขแล้ว ยามสวดมนต์ก็สวดแบบขาดๆ หายๆ เช่นกัน

แต่พระหนุ่มน้อยยังคงยืนหยัดต่อไป สุดท้ายก็ถึงขั้นเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด

พระหนุ่มน้อยที่ทนความเจ็บปวดทรมานไม่ไหว จู่ๆ ก็ชกลงบนหลังคาวัดอย่างแรงหนึ่งหมัด ชกจนกำปั้นมีเลือดสดไหลและเห็นกระดูกขาว ทว่าหลังจากโจมตีไปครั้งเดียว ก็ได้ไปกระตุ้นสิ่งต้องห้ามที่อยู่ในวัดแล้ว ในวัดมีเสียงระฆังดัง “เหง่งหง่าง” ทำให้พระปีศาจหนานโปที่กำลังสวดมนต์ไม่หยุดหุบปากทันที

เสียงระฆังนี้ทำให้พระหนุ่มน้อยพบวิธีแก้ปัญหา พระหนุ่มน้อยคว้ากระบี่มาแทงทะลุหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่โยนขึ้นมาบนหลังคา จากนั้นถอดจีวรมาห่อกระบี่ไว้ แล้วใช้เชือกมัดก้อนหินให้แน่น ทำเป็นไม้ตีบักฮื้ออันหนึ่ง แล้วก็นั่งขัดสมาธิสวดมนต์บนหลังคาอีกรอบ พอพระปีศาจหนานโปที่โดนขังอยู่ในวัดเริ่มสวดมนต์ เขาก็จะโบกกระบี่นั่นเคาะตีบนหลังคาทันที ทำให้เสียงระฆังในวัดดังขึ้นและหยุดยั้งไม่ให้พระปีศาจหนานโปสวดมนต์ต่อไปได้

พระหนุ่มน้อยใช้วิธีการนี้หยุดยั้งพระปีศาจหนานโปได้แล้ว จากนั้นในหุบเขาก็ได้ยินเพียงเสียงสวดมนต์ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจากเขาเพียงคนเดียว พระปีศาจหนานโปก็ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน พระหนุ่มน้อยสวดมนต์อยู่บนหลังคาได้ร้อยปี ใช้เวลาไปร้อยปีกว่าจะสลายปราณหยินชั่วร้ายที่พระปีศาจหนานโปเรียกมารวมไว้ในหุบเขาได้ วิญญาณหยินถูกขับไล่ให้หนีไป อารมณ์คับแค้นสลายไปหมดสิ้น

การสวดมนต์ด้วยความเคารพเลื่อมใสไม่หยุดหนึ่งร้อยปีของพระหนุ่มน้อย ก็ได้ทำให้เขาสวดได้คล่องชำนาญไร้ที่เปรียบเช่นกัน ลิ้นอ่อนดุจดอกบัว แต่ละคำที่เปล่งออกมาราวกับไข่มุก เสียงนั้นตราตรึงอยู่ในใจพวกเรา

ทันใดนั้น ในหุบเขาที่ไม่เคยมีฝนตกมาก่อนก็มีฝนสาดลงมาดับความแห้งแล้งท่ามกลางเสียงสวดมนต์ มีสายรุ้งสายหนึ่งทอดผ่านท้องฟ้าเหนือหุบเขา พระหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่บนหลังคามีลักษณะสง่าน่าเกรงขาม หลังจากเปียกน้ำฝนแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะสงบใจได้ ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในจิตใจสลายหายไปไม่น้อย และบทสวดมนต์ที่พระหนุ่มน้อยนั่นสวดวันแล้ววันเล่าก็ได้สลักอยู่ในหัวของพวกเราแล้ว มีบางคนเริ่มนั่งลงสวดตามเสียงดัง จากนั้นก็จุดชนวนให้ทุกคนสวดตามแล้วเช่นกัน

หลังจากพวกเราท่องบทสวดมนต์แล้ว พวกเราก็พบว่าตัวเองหลุดพ้นจากการควบคุมของพระปีศาจหนานโปได้ มีคนฉวยโอกาสหนีทันที แต่ใครจะคิดว่าพอเกิดความคิดที่ไม่ซื่อสัตย์ ชั่วพริบตาเดียวก็ตกอยู่ในการควบคุมเหมือนเดิม พวกเราก็เลยไม่กล้าคิดไม่ซื่ออีก ต้องนั่งลงสวดมนต์อยู่ในหุบเขาตามพระหนุ่มน้อยด้วยกันอย่างพร้อมเพียง

คนมากมายขนาดนี้สวดมนต์เสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงดังไม่หยุด ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ราวกับส่งผลกระทบมหาศาลต่อพระปีศาจหนานโปที่โดนขังอยู่ในวัด พระปีศาจหนานโปที่อยู่ในวัดคำรามอย่างเจ็บปวดทรมาน ตอนหลังพระปีศาจหนานโปจึงโต้ตอบด้วยบทสวดมนต์ที่ใช้ควบคุมพวกเรา พระหนุ่มน้อยจึงเคาะหลังคาให้ระฆังดังอีกครั้ง ทำให้ระงับพระปีศาจหนานโปต่อไปได้อีก จากนั้นพระปีศาจหนานโปก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้อีกเลย

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด