พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1392 เยียนเป่ยหงพลาดพลั้ง

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1392 เยียนเป่ยหงพลาดพลั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้สบตากันอย่างพูดไม่ออก นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว

เฮ่อจือโย่วหลือบมองคู่แค้นที่ก่อเรื่องจนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่ว แล้วก็ทำท่าเหมือนอึกอักอยากจะพูดอะไรบางอย่าง อยากจะถามว่าเรื่องระหว่างทั้งสองเป็นอย่างไรกันแน่ ทะเลาะกันขนาดนั้นแล้วทำไมถึงมาอยู่ด้วยกันได้ แต่เพราะนึกถึงเรื่องจริงอันน่าอับอายที่จ้านหรูอี้ทำไว้ เขาก็ไม่สะดวกจะเอ่ยปากถามจริงๆ สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะ บอกว่าตัวเองยังมีธุระต้องทำ ต้องขอตัวไปก่อน

จากนั้นทั้งสองก็ต่างคนต่างกลับที่พักของตัวเอง

พอกลับมาถึงที่ประจำการของธงพยัคฆ์ดำ เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังก้มหน้า เดินช้าๆ เข้าไปในเขตค่าย กำลังครุ่นคิดถึงภารกิจที่น่านฟ้าเถาะติง เขาจำได้ว่าตอนที่เกาก้วนเอ่ยถึงเรื่องปีศาจจิ้งจอก ก็เหมือนว่านางจะถูกพบที่น่านฟ้าเถาะติงเหมือนกัน ไม่รู้ว่าภารกิจในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า

เดินไปได้ไม่นานก็หยุดฝีเท้าอีก พอเงยหน้ามอง ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังดักมองตนด้วยสีหน้าเฝ้าคอย ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพนั่นเอง เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามอย่างงุนงงว่า “ทำอะไรกัน?”

“ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่ามีภารกิจอะไรมั้ย?” หลี่จื้อหย่วนกุมหมัดถาม

เหมียวอี้กวาดสายตามองแววตาอันฮึกเหิมเร่าร้อนของคนกลุ่มนี้ แล้วก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ในตำหนักประชุมของกองมังกรดำ ทำให้รู้ทันทีว่าเรื่องแบบเดียวกันกำลังจะเกิดกับตัวเอง มีหรือที่เขาจะเอ่ยเรื่องที่ภารกิจถูกแย่งไป จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง โบกมือบอกทันทีว่า “ท่านแม่ทัพภาคบอกว่าไม่มีภารกิจ ตอนนี้ให้ประจำการพักผ่อนอยู่ที่นี่ชั่วคราว”

กลุ่มคนมองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ทว่าเหมียวอี้เร่งฝีเท้าเดินผ่ากลางทุกคนไปอย่างรวดเร็ว หนีไปแล้ว

เงาร่างสูงใหญ่กำยำที่สวมชุดคลุมสีแดงหยุดลอยอยู่ในดาราจักร เยียนเป่ยหงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครากำลังจ้องดาวทะเลพิษที่อยู่ตรงหน้า เมื่อแน่ใจสถานที่แล้ว เขาก็พลิกเก็บแผนที่ดาวในมือ จากนั้นดึงชุดคลุมสีแดงบนตัวออก เผยให้เห็นชุดเดินทางกลางคืนสีดำที่อยู่ข้างใน หน้ากากผีที่ดุร้ายสวมใส่ไว้บนใบหน้าแล้ว

พอกางแขนสองข้างออก ศีรษะก็พุ่งไปที่ดาวทะเลพิษตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

พอฝ่าชั้นบรรยากาศเข้าไป มหาสมุทรผืนใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตา ในทะเลอันกว้างใหญ่ของที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิต เพราะน้ำทะเลมีพิษ นี่ก็คือที่มาของชื่อดาวทะเลพิษนั่นเอง บนแผ่นดินที่ถูกโอบล้อมด้วยน้ำทะเลมีรอยสีเขียวเป็นจุดๆ เป็นพืชพรรณที่ดำรงอยู่ได้ด้วยน้ำฝน แต่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายเปล่าเปลี่ยว

เยียนเป่ยหงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าหันมองรอบๆ จากนั้นก็ลาดตระเวนบนท้องฟ้าเหนือแผ่นดินใหญ่อีก สายตากวาดค้นหาเบื้องล่าง เน้นค้นหาตรงจุดที่มีพืชพรรณสีเขียว

เมื่อค้นหาอยู่นานแต่ไม่เจอเป้าหมาย จู่ๆ เขาก็หยุดลอยอยู่บนท้องฟ้า พลันใช้หมัดชกลงไปบนผิวดินหนึ่งครั้ง

บึ้ม! แผ่นดินใหญ่สั่นสะเทือน ฝุ่นดินตลบฟุ้งขึ้นมา บนผิวดินปรากฏโพรงขนาดใหญ่ รอบๆ แตกแขนงราวกับใยแมงมุม

ด้านบนของฝุ่นดินที่ปลิวว่อน เยียนเป่ยหงลอยรออยู่เงียบๆ กำลังกวาดสายตาค้นหาไปรอบๆ

รอได้สักประเดี๋ยวเดียว ตรงที่ไกลๆ ก็มีจุดสีดำจุดหนึ่งเหาะมา ชายชราคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมยาวสีเทาเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชแดงขั้นสอง

หลังจากเข้ามาใกล้ ชายชราชุดคลุมเทาก็ก้มมองกหลุมลึกด้านล่าง มีสีหน้าอกสั่นขวัญผวาอย่างเห็นได้ชัด เขาเหลือบมองเยียนเป่ยหงพร้อมถามว่า “ข่าเป็นเทพแห่งผืนดินของที่นี่ ใครกันมาพาลกำเริบเสิบสานที่นี่?”

“ข้าเป็นสหายเก่าของเซี่ยโห้วหลงเฉิง ตั้งใจมาเยี่ยมเขาโดยเฉพาะ เขาอยู่ที่ไหน?” เยียนเป่ยหงถาม

ชายชราผมขาวชุดเทาอึ้งไปครู่เดียว คาดว่าคงไม่ผิดพลาดแน่ ไม่อย่างนั้นอยู่ดีๆ ใครจะมาหาเรื่องที่นี่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกล้ายั่วโมโหเทพแห่งภูผาที่มีภูมิหลังแบบนั้นได้ จึงเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มทันที ถ้าไปล่วงเกินสหายของเทพแห่งภูผาก็จะเกิดปัญหา คงไม่ดีหากจะไปยั่วโมโหคนนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างเจ้าหมีควายเทพแห่งภูผา จึงเปลี่ยนการกระทำเป็นตรงกันข้ามทันที จึงหยิบระฆังดาราออกมาแล้วถามด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ทันที “ขออนุญาตถามถึงนามอันยิ่งใหญ่ของท่าน ตาแก่คนนี้จะบอกท่านเทพแห่งภูผาให้”

“ข้าจะเป็นใครเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์รู้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงเห็นข้าแล้วก็ย่อมรู้เอง” เยียนเป่ยหงกล่าว

ชายชราจนปัญญา ทำได้เพียงเขย่าระฆังดาราติดต่อ

“ท้องฟ้าสดใส พื้นดินเปล่าเปลี่ยว ท้องฟ้าสดใส พื้นดินเปล่าเปลี่ยว ข้าเบื่อหน่ายอยู่ลำพัง…”

บนเนินเขาที่เปล่าเปลี่ยว คนคนหนึ่งกำลังเดินเนิบนาบอยู่บนไหล่เขา ทั้งยังสะบัดแขนกึ่งเดินกึ่งไถลกลิ้งลงไปที่ไหล่เขาอีกด้าน ใต้เท้ามีเสียงเหยียบก้อนกรวด คนคนนี้ก็คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นเอง บนศีรษะเขาสวมมงกุฎดอกไม้ ในมือถือน้ำเต้าสุราใบใหญ่ ดื่มจนเมามายพลางร้องเพลงที่ตัวเองแต่งขึ้น เดินโซเซอยู่ระหว่างภูเขา ดูออกเลยว่าไม่ได้เหงาแบบธรรมดา

ถึงแม้จะสูงศักดิ์เป็นลูกหลานของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่เหมือนไม่ต่างอะไรกับการโดนตระกูลเซี่ยโห้วทอดทิ้ง โชคดีที่มีน้องชายนำของมาส่งให้จำนวนหนึ่งในยามว่าง ยกตัวอย่างเช่นสุราที่อยู่ในมือ หรือไม่ก็ส่งผู้หญิงมาจำนวนหนึ่ง แต่ก็ต้านทานความเบื่อหน่ายไม่ได้อยู่ดี

ถึงแม้เซี่ยโห้วหู่เฉิงจะย้ำกับเขาหลายครั้ง ว่าคนอื่นอยากจะได้ความสงบเงียบแบบนี้ยังไม่ได้เลย พี่ใหญ่อยู่ที่นี่ก็ควรสงบจิตสงบใจฝึกตน ถ้าวรยุทธ์เพิ่มขึ้นแล้ว ตระกูลใช้งานเขาได้แล้ว เดี๋ยวก็จะย้ายเขาออกไปเอง

แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงขมขื่นใจ! ตระกูลเซี่ยโห้วทำเพื่อประโยชน์ของวงศ์ตระกูล เห็นได้ชัดว่าจงใจจะควบคุมเขาไว้ที่นี่ ตระกูลทำแบบนี้ก็เพื่อจะลดความยุ่งยาก เขาจะได้ออกไปจากที่นี่เมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ขาดแคลนคนที่มีวรยุทธ์สูง จะเพิ่มหรือขาดเขาไปสักคนก็ไม่เป็นไรเลย บางครั้งเขาอาจจะไม่ได้ออกจากที่นี่ไปทั้งชีวิตเลยก็ได้

เขาเรอหนึ่งทีแล้วหยิบระฆังดาราออกมา หลังจากได้ข่าวแล้วก็แปลกใจอยู่บ้าง มีคนมาหาข้างั้นเหรอ? เขาแทบจะไม่ได้คิดอะไรในหัวเลย กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ไม่สนใจหรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร มีคนมาแก้เซ็งให้ได้ก็พอแล้ว จึงตอบอย่างยินดีปรีดาว่า : ข้าอยู่ที่ภูเขาทางทิศเหนือ รีบพาตัวเขามาที่นี่

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เยียนเป่ยหงที่สวมหน้ากากผีถึงได้เหาะตามหลังชายชรามาแล้ว เยียนเป่ยหงก็ข่มใจเอาไว้เช่นกัน ไม่รีบร้อนไปให้ถึง

“นายท่าน ข้าพาสหายของท่านมาแล้ว” พอเหยียบลงพื้น ชายชราก็ประสานมือโค้งกายคารวะเซี่ยโห้วหลงเฉิงอย่างนอบน้อม

เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่สนใจเขา แต่กลับเอียงหน้า เอียงซ้ายเอียงขวามองเยียนเป่ยหง แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย “เจ้าคือใครกัน? ถอดหน้ากากออกมา”

ไม่รู้จักเหรอ? เทพแห่งผืนดินหันกลับไปมองทันที

เยียนเป่ยหงตอบว่า “เซี่ยโห้วหู่เฉิงให้ข้านำของมาให้เจ้า” เรื่องเกี่ยวกับเซี่ยโห้วหู่เฉิง เขาเองก็ได้ยินมาจากปากเหมียวอี้เช่นกัน

“ของอะไร?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถาม

เยียนเป่ยหงมองประเมินเซี่ยโห้วหลงเฉิงแวบหนึ่ง เน้นมองมงกุฏดอกไม้บนศีรษะเขา ในดวงตาฉายแววสงสัย รูปลักษณ์ภายนอกสอดคล้องกับที่เหมียวอี้บรรยาย เพียงแต่ศีรษะใหญ่ขนาดนี้สวมมงกุฎดอกไม้…เขากังวลนิดหน่อยว่าถ้าฆ่าผิดคนจนแหวกหญ้าให้งูตื่นจะเป็นการสร้างปัญหาให้เหมียวอี้ จำเป็นต้องระมัดระวัง จึงถามว่า “เจ้าพิสูจน์มาก่อนว่าเจ้าคือเซี่ยโห้วหลงเฉิง ให้ข้าดูแผ่นหยกขุนนางของเจ้าสักหน่อย”

ดวงตาเซี่ยโห้วหลงเฉิงฉายแววสงสัย ถ้าน้องชายจะส่งคนให้นำของมาให้เขา ก็จะต้องบอกเขาก่อนแน่นอน หลายปีมานี้ก็ทำแบบนี้ สายตาไปหยุดอยู่บนหน้ากากผีของอีกฝ่าย ในดวงตาเริ่มฉายแววระแวดระวัง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาทันที “ให้ข้ายืนยันกับน้องชายข้าก่อน”

มีหรือที่เยียนเป่ยหงจะปล่อยให้เขายืนยัน การที่สามารถติดต่อกับเซี่ยโห้วหู่เฉิงได้ ก็เท่ากับเป็นการยืนยันตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว เขาแทบจะไม่พูดพร่ำทำเพลง ดาบใหญ่ผลึกแดงบริสุทธิ์ด้ามหนึ่งอยู่ในมือแล้ว ควงดาบออกมาอย่างรวดเร็วราวกับเงาผี “อา!” เทพแห่งผืนดินที่บังหน้าอยู่ร้องโอดครวญทันที โดนฟันขาดเป็นสองท่อนแล้ว

เซี่ยโห้วหลงเฉิงตกใจมาก โชคดีที่เขาเตรียมพร้อมป้องกันไว้ล่วงหน้า กำไลบนข้อมือระเบิดแสงออกมา เงากำไลที่ลอยวนเวียนออกมาจำนวนมากยิงระเบิดออกมา ทุ่มใส่เงาดาบฟันเข้ามาตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง

ของวิเศษขั้นห้าประเภทนี้ต้านทานเยียนเป่ยหงในปัจจุบันไม่ได้เลย กำไลกลุ่มหนึ่งที่ระเบิดยิงเข้ามาโดนเยียนเป่ยหงใช้ดาบฟันกระเด็นออกไปจำนวนไม่น้อย

ทว่ากลับเป็นการช่วยชีวิตเซี่ยโห้วหลงเฉิงเอาไว้ ในขณะที่กำไลโดนฟันจนอับแสงสั่นสะเทือน กระแทกชนบนร่างกายเซี่ยโห้วหลงเฉิง เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่กำลังกระอักเลือดหลบไม่ทัน โดนกำไลที่สะเทือนกลับมากระแทกจนตัวเองกระเด็นออกไป หลบเงาดาบที่ฟันแสกหน้าเข้ามาได้แล้ว

กำไลหลายสิบวงโดนฟันกระเด็นออกไปแล้ว แต่กลับยังมีกำไลสิบล้านวงหมุนวนล้อมโจมตีไปทางเยียนเป่ยหง แต่เห็นเยียนเป่ยหงพลันหมุนตัวอย่างรวดเร็ว เงาดาบนับไม่ถ้วนฟันเข้ามาจากทั่วสารทิศ แกร๊งๆๆ กำไลสิบล้านวงกระเด็นออกไปจนหมดทันที แสงสว่างดับวูบ พลังงานหมดแล้ว ไม่มีทางบินกลับมาได้อีกแล้ว

เยียนเป่ยหงยกดาบขึ้นมา แล้วไล่ฟันเซี่ยโห้วหลงเฉิง

เซี่ยโห้วหลงเฉิงเพิ่งจะเหยียบลงพื้นและอาเจียนเป็นเลือด พอหันกลับมาก็ตกใจแทบขวัญกระเจิง รีบโบกมือโยนเงาสีดำเงาหนึ่งใส่เยียนเป่ยหงที่พุ่งเข้ามาทนัที

กระเป๋าสีดำใบหนึ่งพลันขยายมาตรงหน้าเขา เยียนเป่ยหงที่พุ่งเข้ามาหยุดยั้งตัวเองไม่ทัน โดนโจมตีจนฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก อยากจะถลันตัวหลบ แต่กลับโดนเชือกนับไม่ถวนที่ยิงออกจากกระเป๋าพร้อมกับเสียงลมวูบๆ มัดไว้แล้ว พายุหมุนที่พัดวูบออกมาจากกระเป๋าหอบเขาหมุนวนไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว

เยียนเป่ยหงตกใจมาก พบว่าตัวเองประมาทเกินไปแล้ว บนตัวลูกหลานตระกูลขุนนางมีของวิเศษไม่ขาดเลย เขาจึงพลิกข้อมือหมุนดาบใหญ่ทันที ขณะกำลังจะตัดเชือก แต่กระเป๋าสีดำกลับไม่ให้โอกาสเขา พอแวบผ่านไป ก็เก็บเขาเอาไว้ในกระเป๋าทันที

พายุหมุนหยุดนิ่ง หินทรายที่พัดม้วนอยู่บนผิวดินค่อยๆ หยุดลง มีเพียงฝุ่นดินที่ตลบอบอวล กระเป๋าสีดำที่หดเล็กลงแวบกลับเข้ามาแล้ว มาตกอยู่ตรงหน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิง

“แค่กๆ…ถุย!”เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่กำลังไอถ่มน้ำเลือดออกมา จากนั้นก็พลิกตัวนั่งลง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตรงมุมปากมีรอยเลือด หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวยัดเข้าปาก หลังจากปลอบประโลมอาการแสบร้อนในช่องอก  ถึงได้คว้ากระเป๋าสีดำที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา ยังคงมีสีหน้าหวาดกลัว

ถึงแม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะลดขั้นให้เขามาอยู่ที่นี่ แต่เมื่อเซี่ยโห้วหู่เฉิงเห็นพี่ชายอยู่ที่นี่โดยไม่มีกำลังพลที่สามารถปกป้องได้สักคน บวกกับนิสัยของพี่ชายที่ทำให้คนเอ่ยปากว่าลำบาก มีเรื่องกับคนอื่นไว้เยอะเกินไป ถึงได้มอบของวิเศษของตัวเองไว้ให้พี่ชายป้องกันตัว เขาย่อมไม่รู้อยู่แล้ว ว่ายามหน้าสิ่วหน้าขวานมันสามารถช่วยชีวิตพี่ชายไว้ได้ครั้งหนึ่งแล้วจริงๆ

เซี่ยโห้วหลงเฉิงเองก็รู้สึกโชคดีไม่หาย โชคดีที่น้องชายมอบของวิเศษชิ้นนี้ไว้ให้ ตอนนั้นตัวเองยังไม่ยอมรับไว้ รู้สึกว่าน้องชายจำเป็นต้องใช้มากกว่า เขาไม่เคยโดนลอยสังหารเลย จึงรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายดึงดันยัดใส่มือเขา ครั้งนี้เขาจะต้องรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แน่นอน

ตอนนี้เขากลัวแล้วจริงๆ กำลังมองซ้ายมองขวา กังวลว่าจะมีคนมาฆ่าตนอีก จึงนำเกราะรบผลึกแดงมาสวมไว้บนตัวแล้ว

ใครจะคิดว่าสิ่งที่กลัวจะมาเยือน บางทีอาจจะได้ยินเสียงคนต่อสู้กัน เงาคนสองคนเหาะเข้ามาอย่างรวดเร็ว มาหยุดจ้องประเมินด้านล่าง

เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่กำลังตกใจเตรียมจะสังเวยของวิเศษ แต่ชั่วพริบตาเดียวก็อึ้งอีก เพราะเขารู้จักคนสองคนที่อยู่บนฟ้า ตอนที่เขาเคยไปเป็นที่ปรึกษาให้การทดสอบ เขาเคยเจอสองคนนี้มาก่อน เป็นลูกน้องของทูตขวาเกาก้วนที่จัดการทดสอบ คนหนึ่งชื่อจางหลวนซาน อีกคนชื่อเผยโม่

ทั้งสองเหยียบลงพื้นตรงหน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิง จางหลวนซานพลิกมือเผยป้ายคำสั่งของป้ายคำสั่งหน่วยตรวจการฝ่ายขวา แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิง พวกเราได้รับคำสั่งให้มาสอบสวน…เกิดเรื่องอะไรกับเจ้า?”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงราวกับได้เห็นเทพผู้ช่วยชีวิต รีบร้อนลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก เป็นเพราะบาดเจ็บสาหัสเกินไปจริงๆ ร้องบอกเมือนผีสางว่า “รีบพาข้าออกไป มีคนต้องการจะสังหารข้า…” เขารีบเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

จางหลวนซานเดินเข้ามาแล้ว ใช้แขนข้างหนึ่งประคองเขาขึ้นมา แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ใครกันต้องการจะฆ่าเจ้า?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! ข้าก็อยู่ของข้าดีๆ จู่ๆ เขาก็โผล่มา บอกว่าเป็น…” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็มองไปข้างหลังเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว

จางหลวนซานหันขวับกลับไป ฉึก ศีรษะกระเด็นออกไปแล้ว แสงสะท้อนคมดาบแวบผ่านท่ามกลางเลือดในอกที่พุ่งขึ้นมา มีเสียงดังอีกฉึก คมดาบนั้นถือโอกาสแทงเข้ามาในคอของเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด